วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

10 ปีกับวิถีคนแดนใต้ บทวิจัยเปื้อนอคติ เปลวเทียนในพายุ


10 ปีกับวิถีคนแดนใต้ บทวิจัยเปื้อนอคติ เปลวเทียนในพายุ


           นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่เป็นเสมือนระฆังส่งสัญญาณเริ่มการปะทุของไฟใต้ระลอกใหม่ส่งเสียงขึ้นด้วยเหตุการณ์ปล้นปืนของกองพันพัฒนาที่ 4 ซึ่งผู้ก่อเหตุรุนแรงนับร้อยคนบุกเข้าไปในค่ายทหารแล้วลงมือสังหารเจ้าหน้าที่เสียชีวิตไป 4 นาย พร้อมนำอาวุธปืนจำนวนมากไปด้วยนั้น ฝันร้ายของพี่น้องประชาชนในพื้นที่แห่งนี้ก็เริ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน


              เวลาผ่านไป 10 ปี กับหลายร้อยพันเหตุร้ายที่เกิดขึ้น พร้อมกับชีวิตทั้งของเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ปลิดปลิวไป เป็นไปตามสัจธรรมที่ว่าภายใต้ภาวะการรบพุ่งที่ต่างฝ่ายต่างใช้อาวุธเข้าห้ำหั่นกันย่อมมีการสูญเสีย เปรียบเสมือนการสาดน้ำเข้าหากันย่อมต้องเปียกปอนกันไปทั้งสองฝ่าย แต่ชีวิตของประชาชนผู้ไม่เกี่ยวข้องย่อมไม่สมควรที่จะต้องได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งประเด็นนี้คงเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยมโนธรรมของคู่ขัดแย้งเป็นสำคัญ ขึ้นอยู่กับว่าจะมีหรือไม่

               การวิพากษ์ถึงทางออกรวมถึงรากเหง้าของปัญหาถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทวิเคราะห์จากนักวิชาการผู้ทรงภูมิ การระดมสมองหาทางออกด้วยการกำหนด Road Map มากมายนับครั้งไม่ถ้วน รวมทั้งผลงานการวิจัยจากสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงอีกจำนวนมากเพื่อหาบทสรุปในการแก้ปัญหาที่ลงตัว แต่สุดท้ายก็ยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ด้วยเหตุผลสำคัญที่มองเห็นได้ง่ายที่สุดคือ บรรดาผู้รู้เหล่านั้นไม่ได้ลงมาสัมผัสกับวิถีชีวิตภายใต้ภาวะความขัดแย้งอย่างแท้จริง มีการใช้ความรู้สึกหรือทัศนคติของตนเองเข้าสู่กระบวนการคิดวิเคราะห์ ผลที่ออกมาจึงมีความคลาดเคลื่อนตั้งแต่เล็กน้อยไปถึงมากและมากขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือในท้ายที่สุด ซึ่งสำหรับผลงานทางวิชาการที่มีกระบวนการหาคำตอบอย่างมีหลักการแล้วนับว่าน่าเสียดายแรงกายแรงใจที่ตั้งใจจะใช้ความรู้ความสามารถมาเพื่อช่วยแก้ปัญหา แต่กลับกลายเป็นมาสร้างปัญหาไปซะได้

              ผมมีโอกาสได้อ่านงานวิจัยของท่านผู้รู้ท่านจากมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ซึ่งได้ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานวิจัย และนำเสนอในเว็บไซต์ต่างๆ เป็นเรื่องราวที่ท่านผู้วิจัยได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลเพื่อศึกษาวิถีชีวิตของผู้คนโดยมีพื้นฐานข้อมูลเดิมคือ ความแยกขาดจากวิถีชุมชนและการใช้ชีวิตที่ผูกติดกับศาสนาและวัฒนธรรมของคนที่นี่ ภาพของการก่อการร้ายและความรุนแรงในพื้นที่พร้อมๆ กับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจที่ลงมาปฏิบัติงานจำนวนมากมายซึ่งเป็นเพียงข้อมูลอันน้อยนิดที่ท่านผู้วิจัยมี ประกอบกับท่านเป็นหญิงมุสลิมซึ่งไม่ใช่คนในพื้นที่สามจังหวัดที่ได้รับรู้เพียงเถ้าธุลีของควันระเบิดจากสื่อต่างๆ เท่านั้น ผลงานวิจัยจึงออกมาในเชิงสะท้อนเพียงภาพความขัดแย้งและติดกับอยู่เพียงภาพลบที่ได้จากการเก็บข้อมูลเพียงไม่กี่วัน

นี่จึงเป็นการ “ติดกับดักทางความคิดแบบคู่ตรงข้าม” อย่างแท้จริง

คุยกับทหาร 2 นายตีค่าทหาร 20,000 นาย
            ตามแนวทางของงานวิจัยแล้ว การได้พูดคุยกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อเก็บข้อมูลที่มีคุณค่าเพื่อนำเข้าสู่กระบวนการเชิงตรรกมีหลักเกณฑ์และวิธีการอย่างแน่ชัด แต่การเก็บข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างจากหน่วยสันติพัฒนาเพียงสองนายซึ่งกล่าวถึงการอบรมก่อนลงมาประจำการในภาคใต้ว่ามีระยะเวลาเพียงสองวัน แล้วนำมาสรุปว่าเป็นสาเหตุสำคัญของความไม่เข้าใจในวิถีชุมชน ศาสนาและวัฒนธรรม


           คงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องทั้งหมด จริงอยู่ว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนนอกพื้นที่ได้เข้าใจทุกเรื่องราวด้วยเวลาอันสั้น แต่การเรียนรู้จากการเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงที่เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันต่างหากที่มีคุณค่า และได้ผลมากกว่าการเรียนรู้จากการอบรม และแน่นอนที่สุดคือ ทหารสองท่านนั้นน่าจะอยู่ในพื้นที่นานกว่าท่านผู้วิจัยอย่างแน่นอน

            การด่วนสรุปว่าไม่มีความเข้าใจนี้จึงอาจหมายรวมถึงตัวผู้วิจัยเองด้วย และการได้มาซึ่งข้อมูลที่ถูกต้องนั้นสมควรที่จะต้องใช้จำนวนของกลุ่มตัวอย่างอย่างเพียงพอแล้วจึงมาประมวลผลรวมในเชิงสถิติ นั่นจะเป็นการรวบรวมที่ได้ผลใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด การชิงฟันธงว่าเจ้าหน้าที่ไม่มีความเข้าใจถึงวิถีชุมชนจึงเป็นการตีความที่ไร้หลักการโดยสิ้นเชิง


บทสรุปความขัดแย้งในมโนสำนึก

           การนำเสนอภาพความขัดแย้งในลักษณะ “พวกเขา” และ “พวกเรา” ในที่นี้หมายถึงสองกรณี คือ ชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ และ คนไทยพุทธกับคนมุสลิม บ่งชี้ให้เห็นถึงภาพในจิตใจของผู้วิจัยที่มองเห็นเพียงภาพความแปลกแยกแตกต่างในมโนสำนึกตั้งแต่เริ่มแรก ทำให้บทสรุปของความรักความสามัคคีระหว่างคนที่มีความเชื่อถือศรัทธาแตกต่างแต่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้มาช้านานต้องเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งบทสรุปที่บิดเบี้ยวนี้เมื่อถูกสื่อผ่านสื่อมวลชนย่อมส่งผลให้ผู้ที่ไม่ได้รับทราบข้อเท็จจริงจินตนาการเห็นภาพความขัดแย้งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงหรือมีเพียงส่วนน้อยให้เป็นไปตามเจตนาที่ผู้วิจัยได้ตั้งธงไว้ก่อนแล้วล่วงหน้า ส่วนผสมระหว่าง “อคติ” กับ “ความเป็นจริง” จึงไม่สามารถเขย่ารวมกันได้อย่างกลมกลืน เนื่องจากอคติที่มาบดบังหลักวิชา


           ถึงวันนี้ภาพการอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าอกเข้าใจของคนสองศาสนาบนพื้นฐานของความพยายามเข้าใจซึ่งกันและกันยังมีให้เห็นอยู่มากมาย การร่วมกิจกรรมของเพื่อนบ้านต่างศาสนายังมีให้เห็นเป็นเรื่องปกติ น่าเสียดายที่ท่านผู้วิจัยมิได้หยิบยกมานำเสนอในลักษณะรักษาสมดุลอย่างมีจิตเป็นกลาง


การสนับสนุนการศึกษาทางศาสนาที่ถูกมองข้าม

           ข้อสังเกตุความคลาดเคลื่อนที่มิใช่ความจริงทั้งหมดอีกประการที่ถูกหยิบยกมานำเสนอเพียงด้านเดียวคือ การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากในพื้นที่ การกล่าวอ้างคำบอกเล่าของชาวบ้านซึ่งเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองหรือผู้บริหารโรงเรียนเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจค้นที่พัก และโรงเรียนด้วยเหตุสงสัยว่ามีความเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบทำให้ฝ่ายชาวบ้านไม่พอใจ จริงอยู่ว่าจากการปฏิบัติ หลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาไม่พบสิ่งต้องห้ามในสถานศึกษาที่เข้าตรวจค้น ซึ่งทราบว่าทุกครั้งได้มีการชี้แจงถึงเหตุผลและความจำเป็นให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบเพื่อความเข้าใจร่วมกัน และเป็นธรรมดาอยู่เองที่ผลกระทบทางจิตใจของผู้บริหารสถานศึกษาย่อมมีอยู่ในใจ แต่หากมองด้วยใจเป็นธรรมคงไม่มีใครต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพื่อสร้างผลกระทบต่อการเรียนของลูกหลานหากไม่มีสิ่งชี้นำที่พาดพิงไปถึง และหลายครั้งเช่นเดียวกันที่การตรวจค้นพบทั้งตัวผู้ต้องหาที่มีหมาย ป วิอาญา ระเบิด อุปกรณ์ประกอบระเบิด หรือแม้กระทั่งอาวุธปืนสงครามมากมาย จนถึงขนาดมีคำสั่งปิดโรงเรียนไปหลายแห่งนี่เป็นความจริงอีกเรื่องที่อยากจะสื่อให้สังคมทราบ

           ความจริงอีกประการที่อยากจะเสริมเพิ่มเติมให้กับงานวิจัยดังกล่าวคือ การสนับสนุนการศึกษาของเยาวชนมุสลิมในสามจังหวัดแห่งนี้ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนเป็นจำนวนกว่าหนึ่งหมื่นบาทต่อคนต่อปี ซึ่งการสนับสนุนเช่นนี้ไม่มีในโรงเรียนของรัฐทั้งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และทั่วประเทศ นี่ย่อมแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการสนับสนุนการศึกษาของบุตรหลานโดยรัฐบาล และนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การศึกษาทางศาสนาในสามจังหวัดได้รับการพัฒนาจนเป็นที่ยอมรับว่ามีมาตรฐานในโรงเรียนขนาดใหญ่

 

          แต่อีกมุมมองหนึ่งก็ทำให้เกิดโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามขึ้นอีกมากมายราวดอกเห็ด สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากเงินสนับสนุนของรัฐบาลนี่เอง

           เรื่องราวที่ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ทั้งผลดีและผลเสียจากการสนับสนุนข้างต้นจะยังไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ เป็นแต่เพียงสงสัยว่าเหตุใดเรื่องราวการสนับสนุนดีๆ เช่นนี้ไม่ถูกนำเสนอในผลงานวิจัย

             ผมเคยถามบาบอหลายท่านถึงสภาพความทรุดโทรมของห้องเรียนและอุปกรณ์การเรียนการสอนของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามส่วนใหญ่ในพื้นที่ว่าเหตุใดจึงไม่ได้รับการปรับปรุงทั้งที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจำนวนมาก คำตอบคือ เป็นความต้องการให้เยาวชนได้เรียนรู้สภาพความเป็นอยู่ตามวิถีที่เรียบง่ายของมุสลิม ซึ่งก็เป็นคำตอบที่ฟังดูมีเหตุผลแต่จะมีเหตุผลอื่นอีกหรือไม่ฝากท่านผู้วิจัยลองลงมาทำวิจัยเรื่องนี้ดูซักครั้ง

ความยุติธรรมกับการก่อการร้าย

          หลายปีที่ผ่านมาการติดตามจับกุมผู้กระทำผิดที่ก่อเหตุในพื้นที่มีเป็นจำนวนมาก ภายหลังการจับกุมสิ่งหนึ่งที่เขาเหล่านั้นเรียกร้องเป็นเสียงเดียวกันคือ “ความยุติธรรม” พร้อมกับการช่วยเหลืออย่างออกนอกหน้าขององค์กรภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและสิทธิมนุษยชนซึ่งมักเรียกร้องเฉพาะกรณีผู้กระทำผิดจากการก่อความไม่สงบเท่านั้น ที่ต้องบอกว่าเท่านั้นเพราะไม่มีการเรียกร้องสิทธิให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการกระทำของเขาเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อยนอกจากการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐ การกล่าวอ้างเรียกร้องความเป็นธรรมจากการสังหารประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องจึงไม่ใช่การเรียกร้องความยุติธรรม กระบวนการยุติธรรมที่โปร่งใสเป็นธรรมต่างหากที่พวกเขาต้องเข้าไปสู่กระบวนการตามครรลองของกฎหมาย

         การเรียกร้องหาเอกราชตามท้องถนนและป้ายจราจรวันนี้ยังมีปรากฎให้เห็นโดยทั่วไปพร้อมๆ กับการก่อเหตุร้ายเพื่อกดดันรัฐบาลควบคู่กับการพูดคุยตามแนวทางสันติที่กำลังดำเนินไป แต่สำหรับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการก่อเหตุของผู้ก่อเหตุรุนแรงแล้ว เขาจะไปเรียกร้องความยุติธรรมได้กับใคร

วิจัยปี 50 นำมาเสนอปี 56

           จากการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมทราบว่างานวิจัยดังกล่าวทำไว้ตั้งแต่ปี 50 และมีการนำเสนอผลงานการวิจัยนี้ผ่านสื่อในสมัยนั้นไปแล้ว แต่การนำข้อมูลเดิมซึ่งล้าสมัยมาเผยแพร่ใหม่โดยไม่ได้ให้ข้อมูลเรื่องเวลาที่ล่วงเลยและบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปของสภาพสังคมจิตวิทยาในพื้นที่จึงอาจสร้างความสับสนต่อผู้อ่านซึ่งไม่ใช่เรื่องที่สมควร เว้นแต่ผู้รวบรวมจะมีเจตนาแฝงอื่นๆ


            ตลอด 10 ปีที่ผมเฝ้าติดตามความเป็นไปในวิถีชีวิตของคนในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ ได้เห็นการโหมกระพือสถานการณ์ใต้จนเกินจริงเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ต้องการมากมาย ชีวิตและความตายกลายเป็นสิ่งหอมหวลสำหรับบุคคลและกลุ่มบุคคลหลายกลุ่มหลายฝ่ายที่เข้ามาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนอย่างไม่รู้จักจบสิ้น เสมือนพายุร้ายที่โหมกระหน่ำเข้าใส่เปลวเทียนที่ริบหรี่ใกล้มอดดับ เราจะช่วยกันปกป้องให้ผ่านพ้นไปในวันที่สามารถทำได้ตามบทบาทของแต่ละคน หรือจะเฝ้าดูมันดับลงพร้อมๆ กับชีวิตของคนชายขอบแห่งนี้ พระเจ้าเท่านั้นที่รู้...อามีน


ซอเก๊าะ นิรนาม

ครบรอบ 10 ปีป่วนใต้! ในภาวะเจรจาสันติภาพล่ม

ครบรอบ 10 ปีป่วนใต้! ในภาวะเจรจาสันติภาพล่ม



เหตุระเบิดกลางเมืองยะลา 2 วัน 8 จุด เมื่อวันที่ 6 และ 7 เมษายน 2557ที่ผ่านมา เป็นคาร์บอมบ์ 1 จุด โชเล่ย์บอมบ์ (รถจักรยานยนต์พ่วงข้างบรรทุกระเบิด) อีก 1 จุด ที่สร้างความเสียหายให้กับย่านธุรกิจการค้า ทั้งร้านเฟอร์นิเจอร์ โกดังเก็บสินค้าขนาดใหญ่กลางเมือง และร้านสะดวกซื้อชื่อดัง มีอาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหาย 15 คูหา มีผู้เคราะห์ร้ายสังเวยชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีกหลายสิบคนนั้น ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาต่อพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้อย่างหลีกเลี่ยงมิได้

ความภาคภูมิใจของทุกหน่วยงานที่สามารถสกัดกั้นเหตุรุนแรงขนาดใหญ่ในเขตเมือง โดยเฉพาะ อ.เมืองยะลา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าและการศึกษาของพื้นที่ได้ยาวนานกว่า 2 ปี ถึงคราวต้องมลายหายไปพริบตา
 สภาพการณ์ เต็มไปด้วยความหวาดผวา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ได้รับแจ้งจากประชาชนให้เข้าตรวจสอบรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ต้องสงสัยที่จอด ทิ้งไว้นานผิดสังเกตเกือบตลอดทั้งวัน

ขณะที่กลุ่มผู้นำศาสนา นักเรียน นักศึกษา พ่อค้า ประชาชนหลายร้อยคน พร้อมใจกันเดินรณรงค์เรียกร้องให้หยุดการก่อเหตุรุนแรง

ส่วน ความเคลื่อนไหวของภาครัฐ ทั้งศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) จังหวัด และเทศบาลนครยะลา ได้นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบความเสียหาย ให้กำลังใจ และเร่งรัดการช่วยเหลือเยียวยา มีการตั้งเต็นท์บริเวณหน้าแขวงการทางยะลา เพื่อรับเรื่องร้องทุกข์จากผู้ได้รับผลกระทบ ซึ่งมีทั้งบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย

สภาพการณ์"คาร์บอมบ์" สร้างความหวาดหวั่นให้กับคนในพื้นที่  โดยที่ฝ่ายปกครองอย่างพล.ท. ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) มองถึงเหตุวางระเบิดหลายพื้นที่ใน จ.ยะลาครั้งนี้ว่าเดือนเม.ย.จะเป็นช่วงวงรอบที่จะมีสถานการณ์ลักษณะนี้ เพราะครบรอบการสถาปนากระบวนการบีอาร์เอ็น คองเกรส วันสถานปนาธรรมนูญของกลุ่มเบอซาตู และครบรอบเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ จึงเกิดเหตุการณ์เพื่อแสดงสัญลักษณ์ ที่จะมีการแขวนป้ายผ้า และเหตุรุนแรง

แต่ ที่เลขาฯสมช. มองต่างไปจากเหตุการณ์เดือนเม.ย.ทุกๆปีก็คือการโยกย้ายตัวแม่ทัพภาพที่ 4 ที่มี พล.ท.วลิต โรจนภักดี เข้ามาสานต่อคนเดิมและการที่จะมีการเปลี่ยนแปลงตัวเลขาธิการ สมช.จากตัวเขามาเป็นนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี รวมทั้งการพูดคุยสันติภาพที่หยุดชะงักลงไป มีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน กลุ่มที่ต้องการให้พูดคุยก็พยายามจะสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้น

"ทาง นโยบายเขาต้องการความชัดเจนของผู้ที่จะมาดูแลการพูดคุยต่อว่าคนใหม่ที่จะมา แทนผม แนวทางการทำงานจะเหมือนกับที่เคยพูดคุยไว้ก่อนหรือไม่ ประกอบกับการเปลี่ยนตัวแม่ทัพภาค 4 ฝ่ายขบวนการ ฝ่ายภัยแทรกซ้อน ก็มีการลองของกันตลอด เป็นเรื่องปกติ ทุกปัจจัยมีความเกี่ยวข้องกันหมด" พล.ท.ภราดร กล่าว

ด้านนายศรีสมภพ จิตรภิรมย์ศรี นักวิชาการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต ปัตตานี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ เห็นว่าจากการวิเคราะห์เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาค ใต้ในช่วงนี้ พบว่ามีสาเหตุหลักจาก 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยแรกการ ครบวงรอบเดือนเสี่ยง โดยทุก 1 ปีจะมีสถิติการก่อเหตุสูงสุดในช่วง 3 เดือนสำคัญคือ เมษายน,พฤษภาคม และมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนร้าย มักจะก่อเหตุถี่และรุนแรงเป็นประจำทุกปี

ส่วนปัจจัยที่ 2 มาจากการครบรอบ10 ปี เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีส่วนผลักดันให้แนวร่วมในพื้นที่ฮึกเหิมและพยายามก่อเหตุเชิง สัญลักษณ์  โดยมีแนวโน้มการก่อเหตุความรุนแรงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการพุ่งเป้าหมายไปยังเป้าหมายอ่อนแอ ทั้งประชาชนผู้บริสุทธิ์ ครู และพระสงฆ์ รวมถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่คนร้ายเข้ามาก่อเหตุระเบิดหลายจุดในพื้นที่เขต เมืองและย่านเศรษฐกิจสำคัญของจ.ยะลา

ปัจจัยที่ 3 คือ การหยุดชะงักงันของการเจรจาสันติภาพด้วยปัจจัยทางการเมือง ทำให้ข้อกำหนดความร่วมมือที่ได้ตกลงดำเนินร่วมกันตลอด 1 ปี ที่เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการเจรจาของทุกภาคส่วน จนช่วยทำให้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น เช่น การหยุดก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่เศรษฐกิจ 7 หัวเมืองหลักไม่ว่าจะเป็นเมืองยะลา ,เบตง ,ปัตตานี, นราธิวาส, ตากใบ, สุไหงโกลก และหาดใหญ่ รวมถึงเป้าหมายอ่อนแอที่มีจำนวนลดลงเมื่อเทียบกับเป้าหมายที่เป็นเจ้า หน้าที่รัฐ แต่ทันทีที่กระแสการชะลอการเจรจาสันติภาพไม่มีความคืบหน้า ทำให้ภาพความรุนแรงในรูปแบบต่างๆเริ่มปรากฎขึ้นอีกครั้ง

ภาวะความ รุนแรงช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแห่งเดือนเมษายน ยังเห็นได้ว่าการใช้ความรุนแรงปัญหาชายแดนใต้ยังไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด ยิ่งการเจรจาสันติภาพหยุดชะงัก การใช้ความรุนแรงก็ยังไม่หยุด ประเด็นดังกล่าว จึงยังต้องเดินหน้าในการหยุดการใช้ความรุนแรงชายแดนใต้ให้ได้

ยังคงหวังว่าความสงบสันติจากชายแดนใต้ต้องกลับคืนกลับมา!!!

“ความสำเร็จ” ของมินดาเนา กับ “ความล้มเหลว” ที่เกิดขึ้นกับกระบวนการสันติภาพปาตานี

“ความสำเร็จ” ของมินดาเนา กับ “ความล้มเหลว” ที่เกิดขึ้นกับกระบวนการสันติภาพปาตานี


             วันที่ 27 มีนาคม 2557 ซึ่งเป็นวันสำคัญของมินดาเนาที่มีพิธีลงนาม The Comprehensive Agreement on Bangsamoro การลงนามดังกล่าวเป็นความสำเร็จระดับหนึ่งของชาวมินดาเนาภายใต้การนำของขบวนการแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (Moro Islamic Liberation Front, MILF) และรัฐบาลฟิลิปปินส์ การรายงานข่าวในสื่อต่างๆ ในประเทศไทยเราโดยเฉพาะจากสื่อกระแสหลักที่เปรียบเทียบ “ความสำเร็จ” ของมินดาเนากับ “ความล้มเลว” ที่เกิดขึ้นกับกระบวนการสันติภาพปาตานี เหมือนกับ “เด็กทารกกับเด็กมัธยมปลาย?”



             ประสบการณ์ของบังซาโมโรบนเกาะมินดาเนา มีความแตกต่างจากสภาพแวดล้อมที่ปาตานี ในเรื่องกระบวนการสันติภาพมินดาเนามีประสบการณ์มากกว่า 17 ปี นับตั้งแต่ ปี ค.ศ.1997 (พ.ศ.2540) และมีการเจรจาเปิดไม่ต่ำกว่า 60 ครั้ง ไม่นับรวมการเจรจาทางลับอีกหลายครั้งส่วนปาตานีเพิ่งผ่านมาแค่ปีเดียวเอง ซึ่งได้เริ่มต้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2556 (ค.ศ.2013) ที่สำคัญมีการพูดคุยแค่ 3 ครั้ง นับตั้งแต่มีการลงนามในกระบวนการพูดคุยสันติภาพที่มีประเทศมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก
ป่วนหนักทุกครั้งก่อนเจรจา?

             มีการตั้งข้อสงสัยจากหลายฝ่าย รวมทั้งกระแสการสนทนาของชาวบ้านตามร้านน้ำชาที่ติดตามข่าวสารกระบวนการพูดคุยสันติภาพที่เกิดขึ้น ทุกครั้งก่อนการพูดคุย จะมีการก่อเหตุรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่รัฐและเป้าหมายอ่อนแอ ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มไหน? และกระทำไปทำไม?

         ยิ่งไปกว่านั้นความเชื่อมั่นในตัวของนายฮัสซัน ตอยิบ ตัวแทนของกลุ่ม BRN ที่เข้าร่วมกระบวนการพูดคุยสันติภาพเป็นตัวจริงเสียงจริงหรือไม่? เพราะแทบทุกครั้งที่มีการก่อเหตุสิ่งบ่งบอกให้เห็นว่า แกนนำไม่มีเอกภาพในการสั่งการกลุ่ม RKK ในพื้นที่หยุดทำการเคลื่อนไหวได้เลย

          การขาดเอกภาพในการสั่งการเป็นแค่ส่วนหนึ่งในการก่อเหตุ ข้อมูลเชิงลึกประชาชนในพื้นที่ต่างรู้ดีว่ากลุ่มที่มีความคิดต่างจากรัฐมีอยู่ด้วยกันหลายกลุ่ม และในแต่ละกลุ่มมีการแยกตัวออกไปจัดตั้งกลุ่มใหม่เป็นเอกเทศ มีแนวความคิด มีอุดมการณ์ แนวทางการต่อสู้เป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นการที่รัฐไทยมีการพูดคุยกับกลุ่ม BRN เพียงกลุ่มเดียวจึงเกิดกระแสต้านจากลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ได้เข้าร่วม


ป่วนหนักกว่าเดิมหลังเลื่อนเจรจาออกไปไม่มีกำหนด?

           เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ดาโต๊ะ สรี อาหมัด ซัมซามิน อาซิม อดีตผู้อำนวยการข่าวกรองมาเลเซีย ในฐานะผู้อำนวยความสะดวกกระบวนการพูดคุย จะออกมาสร้างภาพตอกย้ำสร้างความเชื่อมั่นและแข็งแกร่งของโต๊ะสันติภาพในวาระครบรอบ 1 ปี ส่งสัญญาณให้ทุกฝ่ายรู้ว่ากระบวนการพูดคุยสันติภาพยังไม่ล่มพร้อมเดินหน้าต่อ ถึงแม้ในช่วงนี้จะยังไม่มีกำหนดการของการพูดคุยก็ตามที และหากตัวเองพ้นจากตำแหน่งนี้ก็จะมีผู้ที่จะมาทำหน้าที่ผู้อำนวยความสะดวกแทนตน


           หากย้อนกลับไปดูการก่อเหตุในห้วงที่กระบวนการพูดคุยสันติภาพได้ห่างหายไปจากหน้าสื่อที่มีการนำเสนอ ข้อมูลข่าวสารที่เข้ามาแทนที่ในการแย่งชิงในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนแต่ละสำนักในการขายข่าวแทน คือการสร้างสถานการณ์การก่อเหตุรุนแรงด้วยการฆ่า สังหาร แล้วเผา “เป้าหมายอ่อนแอ” ทั้งครู พระ ผู้หญิง รวมทั้งประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งไทยพุทธและมุสลิม



               การก่อเหตุต้อนรับเดือนเมษายน เดือนแห่งเทศกาลสงกรานต์ ที่ทุกคนต่างรอคอยในการละเล่นสาดน้ำคลายร้อนของคนหนุ่มสาว สรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวขอพรผู้สูงอายุหรือบุคคลที่เคารพนับถือ ด้วยการลอบวางระเบิดในเขตเทศบาลนครยะลาจำนวนหลายจุด ตั้งแต่บ่ายของวันที่ 6 เมษายน และเช้าของวันที่ 7 เมษายน 2557 สร้างความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างประเมินค่ามิได้ โดยเฉพาะด้านจิตใจของผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่สามารถเยียวยาให้กลับคืนมาได้



              ทั้งหมดนี้คือความรู้สึกนึกคิดของกลุ่มขบวนการ BRN หรือกลุ่มอื่นๆ ที่แอบแฝงอยู่ในเงามืด ได้สะท้อนผ่านการก่อเหตุรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ด้วยการทำลายแหล่งเศรษฐกิจ โจมตีเป้าหมายอ่อนแอ ด้วยการกระทำที่ป่าเถื่อน อำมหิต สุดโต่ง ที่คนปกติเค้าไม่กระทำกัน เช่นการฆ่าตัดคอ การฆ่าแล้วเผาทำลายศพ เพื่อยั่วยุให้เกิดการใช้ความรุนแรง การตอบโต้ของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ และการสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์โดยไม่เลือกศาสนา เพื่อปลุกเร้าให้คนต่างศาสนาขัดแย้งและใช้ความรุนแรงเข่นฆ่ากันเอง

บทเรียนมินดาเนาเพื่อประโยชน์สันติภาพปาตานี

           การนำเสนอของสื่อกระแสหลัก สื่อกระแสรอง และสื่อทางเลือกไม่จำเป็นต้องจะต้องมีการนำเสนอในลักษณะเปรียบเทียบ “ความสำเร็จ” ของมินดาเนากับ “ความล้มเลว” ที่ปาตานี เพราะกระบวนการสันติภาพของแต่ละพื้นที่อยู่ในระดับที่แตกต่างกัน อีกทั้งปัญหารากเหง้าของความขัดแย้งต่างกันโดยสิ้นเชิงการนำเสนอที่ชี้นำทางความคิดที่ไม่สร้างสรรค์ ที่มีการเปรียบเปรยให้เห็นภาพของสันติภาพ“นักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายคนหนึ่งกับเด็กทารกคนหนึ่ง”

          สื่อทั้งหลายควรจะถอดบทเรียนจากประสบการณ์ของมินดาเนา เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับการสร้างสันติภาพ ณ ปาตานี น่าเสียดายอย่างยิ่งที่แทบไม่มีสื่อที่กระทำเช่นนั้น ตั้งแต่กระบวนการสันติภาพปาตานีริเริ่ม สื่อกระแสหลักส่วนใหญ่ยังไม่ทำหน้าที่ซึ่งเอื้อต่อกระบวนการสันติภาพ แต่ยังเป็น “คนขายข่าว”  เพื่อป้อนความต้องการของผู้บริโภคสื่อเท่านั้น

ใคร?? คือผู้ชี้ชะตาสันติภาพปาตานี

           สื่อมีหน้าที่ในการนำเสนอข้อเท็จจริงตีแผ่พฤติกรรมของกลุ่มขบวนการที่ยังเดินหน้าก่อเหตุสร้างความรุนแรง เปิดเผยความเชื่อมโยงของกลุ่มขบวนการที่สนับสนุนกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ ทำการลักลอบสินค้าหนีภาษี ยาเสพติด น้ำมันเถื่อน ที่มีผลประโยชน์มหาศาล



            นี่คือต้นเหตุของไฟใต้ที่ไม่รู้จักกับคำว่าสงบ เนื่องจากมีบุคคลบางกลุ่มที่ไม่ต้องการให้พื้นที่แห่งนี้เกิดสันติสุข กลุ่มกระบวนการที่ดำรงอยู่ได้เพราะได้รับเงินทุนหล่อเลี้ยงองค์กรจากพ่อค้ายาเสพติด น้ำมันเถื่อน และจากธุรกิจผิดกฎหมายทุกชนิด สถานการณ์ลักษณะเช่นนี้ยังดำเนินไปยากที่จะแก้ไข เปรียบเสมือนพายเรือวนอยู่ในอ่าง ณ วันนี้ เมื่อวานนี้ หรือเมื่อช่วงหลังเหตุปล้นปืนต้นปี 47 รูปแบบยังคงเป็นเช่นเดิม เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนตัวละครผู้ที่รับบาดเจ็บ ล้มตาย แต่ผู้ก่อเหตุคือกลุ่มขบวนการBRN และพันธมิตรเดิมๆ ที่แย่งชิงความสงบสุขยัดเหยียดความทุกข์เข็นแสนสาหัสให้กับประชาชนปาตานี



            ประชาชนปาตานีคือผู้กำหนดชี้ชะตาสันติภาพอย่างแท้จริง เปิดรับข้อเท็จจริง
ของข่าวสาร ปฏิเสธความรุนแรงทุกรูปแบบของกลุ่มขบวนการ อย่าหลงเชื่อข่าวลือที่ยังไม่รู้ต้นตอและแหล่งที่มา

           หากวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ ประชาชนชาวปาตานียังคงนิ่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน นั้นหมายความว่าเม็ดเงินที่รัฐไทยได้ทุ่มลงไปในการแก้ไขปัญหาไปถึงกว่า 2 แสนล้านบาท ตลอด 11 ปีงบประมาณ กำลังละลายไปกับเสียงระเบิด เปลวเพลิง และความสูญเสียของผู้คน!! แสงริบหรี่แห่งสันติภาพจะดับมอดไป
ชั่วลูกชั่วหลานคงไม่เห็นแสงสว่างเกิดขึ้น ณ ดินแดนแห่งนี้


วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

ระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ สภ.รือเสาะ

           เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 30 มี.ค. เกิดเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดดักสังหารเจ้าหน้าที่
ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ สภ.รือเสาะ เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บในท่อลอดของถนน
สายรือเสาะ -โกตาบารู ช่วงบริเวณบ้านซือเลาะ ม.4 ต.เรียง ที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระบะ
4 ประตู ยี่ห้ออีซูซุ สีดำ ทะเบียน กง 3766 ตรัง อยู่ในสภาพถูกอานุภาพของระเบิด
ได้รับความเสียหายจอดหงายท้องอยู่บนถนน และมีเศษชิ้นส่วนของรถยนต์กระบะ
ตกกระจายเกลื่อนในที่เกิดเหตุ ห่างไปประมาณ 30 เมตร พบหลุมระเบิดกลางถนน
ลึก 1 เมตร กว้าง 2 เมตร และมีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้าย
ประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุ้งต้ม หนักประมาณ 50 กก. จุดชนวนด้วยแบตเตอรี่
ที่ลากสายไฟฟ้าเข้าไปในป่ารกทึบตกกระจายเกลื่อนบนถนน และพงหญ้ารกทึบ
ข้างทาง ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 5 นาย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ช่วยกันส่งรักษาที่
โรงพยาบาลรือเสาะ ซึ่งประกอบด้วย

  • 1.ส.ต.ท.จักรวรรดิ์ คงอยู่
  • 2.ส.ต.ต.กิติศักดิ์ บัวมา
  • 3.ส.ต.ต.ประพันธ์ ริตพนพันธ์
  • 4.ส.ต.ท.ไตรรงค์ เด่นดวง
  • 5.ส.ต.ต.นัณพงศ์ เลิศหล้า 

         ซึ่งส่วนใหญ่ถูกสะเก็ดระเบิด และแรงอัดที่บริเวณลำตัว ซึ่งอาการสาหัส 2 นาย คือ ส.ต.ท.ไตรรงค์ และ ส.ต.ต.นัณพงศ์ และได้เสียชีวิตต่อมาที่โรงพยาบาลรือเสาะ ส่วนที่เหลืออีก 3 นาย ได้ขอสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์จาก ศชต.เพื่อลำเลียงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บทั้ง 3 นาย ส่งตัวรักษาต่อยังโรงพยาบาลศูนย์ จ.ยะลา ก่อนเกิดเหตุทราบว่า พ.ต.ต.วสิทธิ์ เมืองนาม สว.สืบสวน สภ.รือเสาะ ได้นำกำลัง รวม 16 นาย รถยนต์กระบะ 2 คัน รถยนต์เก๋ง 1 คัน และรถจักรยานยนต์อีก 1 คัน เพื่อตระเวนตรวจสอบความเรียบร้อยหน่วยเลือกตั้งในพื้นที่รับผิดชอบ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 5 นาย ได้ขับนำหน้าขบวน เมื่อถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนแฝงตัวอยู่ในป่ารกทึบริมทาง ได้ใช้แบตเตอรี่จุดชนวนระเบิดที่ลอบนำไปวางไว้ในท่อลอดกลางถนน จนเกิดระเบิดขึ้นในขณะรถยนต์ขับผ่าน ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 5 นาย เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บดังกล่าว









































สมุนโอลันล้า วางระเบิด พลาดโดนตัวเองไส้กระจาย

         เมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 19 มี.ค.เกิดเหตุระเบิด บริเวณสามแยกต้นตำเสา ม.5 ต.เขาตูม ที่เกิดเหตุพบหลุมระเบิดกว้าง 1 เมตร และมีชิ้นส่วนระเบิดกระจายไปทั่วบริเวณ การตรวจสอบในที่เกิดเหตุปรากฏว่าพบชิ้นส่วนของมนุษย์ทั้งเศษสมอง ผม แขน ขา กระจายไปทั่วบริเวณ คาดว่าน่าจะถูกระเบิดเสียชีวิตจนร่างแหลก ก่อนเกิดเหตุทราบว่า เส้นทางดังกล่าว ชุดทหารพรานที่ 22 กำลังจะใช้เส้นทางกลับไปยังฐาน ปรากฏว่าได้เกิดเสียงระเบิดขึ้นก่อน จึงเชื่อว่าคนร้ายน่าจะนำระเบิดแสวงเครื่อง น้ำหนักประมาณ 15 กก.มาฝังเพื่อดักสังหารเจ้าหน้าที่ แต่ประกอบพลาดเกิดระเบิดก่อนจึงทำให้คนร้ายคาดว่า 2 คนเสียชีวิตร่างแหลก หลังเกิดเหตุ ผบ.ทพ.22 ปัตตานี นำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นตามรอยเลือด เนื่องจากเชื่อน่าจะมีคนร้ายที่ได้รับบาดเจ็บ 2-3 คนหลบหนีไป






วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

กราดยิงชาวบ้านบันนังกูแว ความจริงที่สื่อไม่กล้าเปิดเผย


กราดยิงชาวบ้านบันนังกูแว ความจริงที่สื่อไม่กล้าเปิดเผย


ตนไทยปลายด้ามขวาน

             สถานการณ์ชายแดนภาคใต้ ผู้ที่ติดตามข่าวสารมาโดยตลอด จากการนำเสนอของสื่อมวลชนในแต่ละวันจะเห็นได้ว่ามีความรุนแรงขึ้นทั้งที่ก่อนหน้านี้เหตุการณ์ได้บรรเทาเบาบางลงไปบ้าง อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลให้ไฟใต้ไม่มีทีท่าจะดับลงสักที ความสงบ สันติสุข ที่ประชาชนในพื้นที่คาดหวังจากการพูดคุยสันติภาพต้องการ จะเป็นจริงได้หรือไม่ หากเหตุการณ์ยังคงคุกกรุ่นเช่นนี้อยู่ และจะต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดวันต่อวัน นอกเหนือไปจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่กำลังดำเนินอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร สร้างความแตกแยกทางความคิด บ่อนทำลายความรู้สึกของคนไทยที่รักชาติ รักแผ่นดินเกิดทุกคน


            ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ บางคนอาจจะมองเป็นเรื่องปกติ และรู้สึกเบื่อหน่ายกับเหตุการณ์ฆ่ากันตายรายวันในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ไม่มีวี่แววจะสงบสักที ผู้คนต่างกล่าวถึงการก่อเหตุร้ายที่เกิดขึ้นว่าเป็นเรื่องปกติประจำวัน หากวันไหนเงียบไม่เกิดเหตุ รู้สึกผิดปกติ เพราะต่างคนต่างรู้สึกชินชากับเหตุร้าย และสามารถใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเสียงปืน เสียงระเบิด และกลิ่นคาวเลือด แต่จากการสังเกตในช่วงนี้จะเห็นได้ว่าการก่อเหตุรุนแรงมีการมุ่งเป้าไปที่ประชาชนในพื้นที่เป็นหลัก หลังจากนั้นมีการกล่าวอ้างเอาคืนด้วยการฆ่าแล้วเผาชาวไทยพุทธเพื่อสร้างเงื่อนไขความเกลียดชัง ความขัดแย้งขึ้นระหว่างเชื้อชาติ และศาสนา ในส่วนของการลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่มีบ้างประปราย หากสังเกตจะพบว่าการก่อเหตุกับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ผู้ก่อเหตุรุนแรงจะเน้นการใช้ระเบิดเป็นหลัก ต่างกับประชาชนทั่วไปจะเป็นไปในลักษณะของการลอบยิง วางเพลิง และโปรยใบปลิวอ้างความชอบธรรมในการเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยการกล่าวอ้างทำเพื่อประชาชนปาตอนี



           ปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ สาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งที่ได้สะสมมานานแล้ว มีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงที่สลับซับซ้อนกับธุรกิจการค้าความขัดแย้งระหว่างคนในตระกูล ปัญหาการเมืองท้องถิ่น ปัญหาภัยแทรกซ้อน กลุ่มอิทธิพลมืด ธุรกิจผิดกฎหมาย และยาเสพติด กลายเป็นเชื้อในกองเพลิงชั้นดีในการสุมให้ไฟใต้ไม่มีวันดับ การสร้างสถานการณ์ต่างๆ ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเพื่อดึงดูดความสนใจ เหตุจูงใจให้กลุ่มผู้ที่กระทำผิดกฎหมายในเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทน หันมาใช้บริการกลุ่ม RKK ติดอาวุธในพื้นที่เข่นฆ่าคู่ขัดแย้งธุรกิจเถื่อนเหตุนองเลือดจึงเริ่มต้นขึ้น เกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่โดยการอาศัยสถานการณ์บังหน้า ในการก่อเหตุของกลุ่มขบวนการ BRN ผสมโรงโดยกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม นักวิชาการในมหาวิทยาลัยดัง โดยเฉพาะกลุ่ม PerMAS ที่อาศัยสถานการณ์ความขัดแย้ง ปลุกปั่น ปลูกฝัง สืบทอดอุดมการณ์ด้านประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และมาตุภูมิ ให้ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความแปลกแยกด้านจิตใจ นำไปสู่ความหวาดระแวงเจ้าหน้าที่รัฐ


              ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ในการก่อเหตุฆ่ากันเองของประชาชนกลายเป็นปัญหาที่มีการนำมาเชื่อมโยงกับสถานการณ์ไฟใต้ได้อย่างแนบเนียน ลงตัวประจวบเหมาะกับห้วงเวลา มีการบิดเบือนกล่าวหาว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ จากกรณีนายอาแซ (ซัน) สมาชิกครอบครัว “ผดุง” บ้านบันนังกูแว ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งกับอับดุลฮากิม ดาราเซะ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ยืนยันมาจากความแค้นส่วนตัว ความหวาดระแวง และความกังวลว่าจะถูกลอบทำร้ายจึงตัดสินใจชิงลงมือทำการก่อเหตุกราดยิงจน นายดอเลาะนางมารีแย ผดุง ต้องมาจบชีวิตแทนลูกชายคาบ้านพัก กลายเป็นที่สนใจของคนทั่วไป 

          ซึ่งหลังเกิดเหตุนายอับดุลฮากิม กลายเป็นผู้ต้องสงสัยทันที่พร้อมกับการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่การดำเนินเกมส์ของขบวนการ BRN และกลุ่ม PerMSAS ได้มีการโฆษณาชวนเชื่อ กล่าวหาว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ หากพลิกปูมหลังของคนในตระกูล “ผดุง” นำมาส่องทีละคนพบว่าไม่ธรรมดาอย่างที่คิด ไม่ติดใจเลยว่าทำไมกลุ่มขบวนการ BRN และกลุ่ม PerMAS จึงจัดฉากสร้างละครให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเกิดจากน้ำมือของเจ้าหน้าที่ โดยนายดอเลาะ ผดุง ผู้พ่อ พฤติกรรมเป็นแนวร่วม เมื่อปี 2553 แต่ยังไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร แต่ต่อมาภายหลังจากนายมะยาหะรี อาลี ซึ่งเป็นแกนนำในพื้นที่บ้านบันนังกูแว ได้ถูกคนร้ายลอบยิงเสียชีวิต นายดอเลาะ ผดุง ได้ขึ้นมาทำหน้าที่แทนอย่างเต็มตัว 

            นางมารีแย ผดุง ภรรยา นายดอเลาะ มิใช่ย่อยแต่เริ่มเดิมทีเป็นแกนนำฝ่ายสตรีเคลื่อนไหวในพื้นที่ ทำหน้าที่ปลุกระดมมวลชน ชักชวนให้ราษฎรออกมาชุมนุมต่อต้านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่บ้านบันนังกูแว ส่วนตัวลูกชาย คือนายอาแซ (ซัน) ผดุง เดิมเป็นสมาชิกระดับปฏิบัติการ จบการศึกษาชั้น 10 จากโรงเรียนธรรมวิทยา ขณะกำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุลอบวางระเบิด 7 จุด ภายในเขตเทศบาลเมืองยะลา เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2550 หน่วยงานภาครัฐจึงได้ออกหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2551 นายอาแซ ได้ไปรายงานตัวแสดงตนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เพื่อเข้าร่วมศูนย์ยะลาสันติสุข ได้ยอมรับว่าเคยถูกชักชวนเข้าร่วมขบวนการจริงสมัยที่เรียนอยู่โรงเรียนธรรมวิทยา แต่ไม่เคยก่อเหตุรุนแรงจึงได้รับการปล่อยตัวไปเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 ที่น่าสนใจคือในปัจจุบันนายอาแซ ผดุง เป็นสมาชิกกลุ่มชมรมบัณฑิตอาสาจังหวัดชายแดนใต้ (Insouth) และสมาชิกกลุ่ม PerMAS ที่มีนายสุไฮมี ดูละสะ เป็นประธานกลุ่มในการขับเคลื่อนแย่งชิงมวลชนกับเจ้าหน้าที่รัฐ

             ย้อนกลับไปดูต้นตอความขัดแย้งของตระกูล “ผดุง” กับนายอับดุลฮากิม ดาราเซะ มาจากสาเหตุนายอาแซ ตกเป็นผู้ต้องสงสัยลอบวางระเบิดอีกถึง 2 ครั้ง ด้วยกันหลังได้รับการปล่อยตัว และปมที่สำคัญนำไปสู่ความขัดแย้งเริ่มต้นจากเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดนายอับดุลฮากิม ดาราเซะ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา กับพวกในพื้นที่บ้านบันนังกูแว โดยนายอับดุลฮากิมฯ ให้การยืนยันชัดเจนว่า นายอาแซ ผดุง มีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน ซึ่งเป็นชนวนนำไปสู่ความบาดหมาง ความหวาดระแวง และในที่สุดนำมาซึ่งความตายของคนในครอบครัว“ผดุง” ถึง 2 ศพ ด้วยกัน

 

            หลังเกิดเหตุกลุ่ม PerMAS สร้างละครน้ำเน่าเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ลงพื้นที่เกิดเหตุทันที กล่าวหาเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ ด้านขบวนการ BRN มิรอช้าใช้โอกาสในการก่อเหตุ กระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ทันทีโดยการปาระเบิด M-26A1 ร้านก๋วยจั๊บ หน้าโรงเรียนผดุงประชาพาณิชยการ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2557 แต่โชคดีระเบิดด้านไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตาย พร้อมกันนี้ได้ทิ้งใบปลิวไว้ข้อความว่า “โทษฐานที่มึงปล่อยให้หมาอับดุลฮากิม ดาราเซะอส.อ.บันนังสตา ระรานชาวบ้านบันนังกูแว” ถัดมาวันที่ 4 มีนาคม เกิดเหตุยิง 2 สามีภรรยาชาวไทยพุทธ พื้นที่เกิดเหตุหมู่ที่ 2 ตำบล/อำเภอบันนังสตา นายอภิชาต แสงจันทร์ นางอังคณา หนูแดง ภรรยาเสียชีวิต สามีได้รับบาดเจ็บ ส่วนวันที่ 5 มีนาคม 2557 เหตุเกิดกับชาวไทยพุทธเช่นเดิม นายประวิง นางสุนีย์ หลุมนา เสียชีวิตคาที่เหตุเกิดพื้นที่ บ้านจาเต๊ะ หมู่ที่ 1 ตำบลเขื่อนบางลาง อำเภอบันนังสตา และเหตุการณ์ที่ 4 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2557 คนร้ายประกบยิง สิบโทจิรพันธ์ ปราบณรงค์ สังกัดหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 48 ช่วยราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เสียชีวิต ส่วนนางสาวอารีรมณ์ สมสวย ภรรยาได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดท้องที่บ้านทุ่งคอก ตำบลตาเซะ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา พร้อมทิ้งใบปลิว “กูทำเพื่อชาวบ้าน บันนังกูแว”

            นี่คือความเลวร้ายของกลุ่มขบวนการ BRN ที่ยังคงใช้ยุทธวิธีรูปแบบเดิมๆ ในการก่อเหตุ จากปัญหาความขัดแย้งส่วนตัว การฆ่ากันเองของกลุ่มสูญเสียผลประโยชน์ นำมาซึ่งความตายของการฆ่ากัน ทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม ขบวนการ BRN กลับนำมาอ้างว่าเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ผลสุดท้ายสร้างความหวาดกลัวด้วยการลงมือเข่นฆ่าชาวไทยพุทธผู้บริสุทธิ์ พร้อมกับสร้างความชอบธรรมด้วยการโปรยใบปลิว อย่างหน้าด้านๆ แค่ต้องการเอาคืนที่คนของขบวนการโดนฆ่าตาย ทั้งๆ ที่ประชาชนผู้เสียชีวิตไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับใครทั้งสิ้น ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อความจริงปรากฏออกมาโจรใต้ไร้ศาสนากลุ่มนี้ไม่เคยออกมารับผิดชอบ เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่ยังคงดำรงอยู่ต่อไปตราบใดไฟใต้ยังไม่มอดดับ ตราบใดที่ยังมีเชื้อเพลิงคอยหล่อเลี้ยงอยู่ อีกกี่ศพที่จะต้องสังเวยกับคราบน้ำตาที่ไม่เคยแห้งเหือดของคนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักในครอบครัวไปศพแล้วศพเล่า อนิจจา..ความสงบ สันติสุข ที่ทุกคนโหยหา…

*****************************

วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2557

งานหลักของ PerMAS

งานหลักของ PerMAS


           พบกันฉบับนี้ก็คงหนีไม่พ้นการบอกเล่าเรื่องราวของ สหพันธ์นิสิต นักศึกษา นักเรียน และเยาวชน ปาตานีหรือ PerMAS ที่มี นายสุไฮมu ดูละสะ เป็นประธานอีกเช่นเคย เพราะจากการเฝ้าสังเกตพฤติกรรม การกระทำในบางสิ่งบางอย่างนับวันจะแสดงให้เห็นถึงปีกทางการเมืองเพื่อนำมวลชน ของขบวนการ บีอาร์เอ็น.(BRN.) ในคราบนักศึกษามากยิ่งขึ้นทุกวัน จนประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เริ่มเกิดอาการไม่ค่อยไว้ใจนิสิต นักศึกษา ในสถาบันการศึกษา 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้กันบ้างแล้วเวลานี้ มูลเหตุที่คิดว่า PerMAS เกี่ยวข้องกับขบวนการ บีอาร์อ็น.(BRN.) นั่นคือ งานและกิจกรรมที่กระทำ ทั้งการสืบเสาะหาข้อมูลจากผู้ได้รับผลกระทบ นำมาสร้างกระแส ปลุกระดม โฆษณาชวนเชื่อเพื่อหลอกลวงประชาชน หน่ำซ้ำยังดึงต่างชาติ ต่างประเทศเข้ามาพัวพันสนับสนุนการทำงานหลังจากที่องค์กรบางองค์กรในประเทศเริ่มตีตัวออกห่าง เพราะเริ่มเห็นว่า PerMAS ไม่ได้ทำเพื่ออุดมการณ์จริง แต่ทำเพื่อผลประโยชน์แอบแฝง 




          เมื่อเร็วๆ นี้ ก็ยิ่งชัดเจนแบบปฏิเสธไม่ได้ถึงรูปแบบกระบวนการคิด การทำงานของกลุ่ม PerMAS 
ในการนำเหตุการณ์ของคนร้ายที่บุกเข้ายิงครอบครัวของ นายเจะมุ มะมัน ทำให้ภรรยาของนายเจะมุ มะมัน บาดเจ็บ พร้อมกับลูกน้อยอีก 3 คนต้องเสียชีวิต กลุ่ม PerMAS ได้เอาเหตุการณ์นี้มาปลุกระดมทั้งทางสื่อสังคมออนไลน์ การจัดเวทีสาตู ปาตานี และอื่นๆมาโจมตีว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเหตุผลของความมั่นคง แต่แล้วความจริงก็ปรากฏว่า เหตุการณ์ที่เกิดกับครอบครัว นายเจะมุ มะมัน เป็นการแก้แค้นส่วนตัว ด้วยเหตุที่ว่า นายเจะมุ มะมัน เป็นฆาตรกรในคราบผู้นำศาสนาที่ได้ลอบฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์มาแล้วนั่นเองสถานการณ์พลิกผันแบบนี้PerMAS จะรับผิดชอบอย่างไร ? กับสิ่งที่ได้หลอกลวงประชาชน เป็นเรื่องที่น่าติดตามเพราะคิดว่า “ความคิดชั่วๆ ของPerMAS ยังมีอีกเยอะ”



         เมื่อ 23 ก.พ.57 คนร้ายใช้รถกระบะเป็นยานพาหนะ กราดยิงแล้วเผาบ้านชาวบ้าน 2 หลัง ที่หมู่ 4 บ.บันนังกูแว ต.บันนังสตา อ.บันนังสตา จว.ย.ล.เป็นเหตุให้ชาวบ้านสองสามีภรรยาชาวมุสลิมเสียชีวิต 2 ราย บ้านเรือนเสียหาย รถยนต์โดนเผา 3 คันในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนอาก้า และ M-16 ตกเกลื่อนกว่า 50 ปลอก หลังก่อเหตุคนร้ายได้ขับรถหลบหนีและโปรยตะปูเรือใบระหว่างเส้นทาง แล้วทิ้งใบปลิวกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่รัฐเป็นคนทำอีกเช่นเคย แล้ววันต่อมา นายสุไฮมิง ดุลละสะ นำแนวร่วมของ PerMAS ลงพื้นที่สร้างภาพและผลงานเช่นเคยว่าทำเพื่อคนมุสลิม แล้วช่วยขยายผลว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเช่นเคย 

.



อีกเรื่องครับที่เราชาว 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เฝ้าสังเกต คือเมื่อวันที่ 2มี.ค.57 ได้มีชายฉกรรณ์ 2 คน ใส่เสื้อเจ็กเก็ตสีดำ หมวกกันน็อกสีดำ ขี่รถจักรยานยนต์ยีห้อ susuki smash (ขาว/ดำ) ไม่มีป้ายทะเบียน และได้ใช้อาวุธปืนพกสั้นประกบยิง นายกอรี ดอเลาะ ซึ่งเป็นอีหม่ามประจำมัสยิดบ้านกูยิ(อุสตาส รร.ดารุลกุรอานุลการีมหรือปอเนาะบาบอแม) ขณะขี่รถจักรยานยนต์ไปสอนหนังสือที่โรงเรียนดังกล่าว พร้อมกับลูกชายคือ นายฮารีส ดอเลาะ ทำให้ นายกอรี ดอเลาะได้เสียชีวิต และลูกชายได้รับบาดเจ็บ



เช่นเคยครับ ไม่ต่างจากทุกๆ ครั้ง เมื่อใดที่มีการยิงประชาชนโดยเฉพาะประชาชนที่เป็นบุคคลสำคัญ เป็นครู ผู้นำศาสนา หรือเด็ก เน้นที่เป็นไทยมุสลิม PerMASได้นำสมาชิก PerMAS เกือบ 30 คน มี นายสูไฮมิง ดุลละสะ ประธานPerMAS ได้ยกโขยงนิสิต นักศึกษา ลงพื้นที่หาข้อเท็จจริง ขอให้ผู้อ่านทุกท่านได้สังเกตการสวมใส่เสื้อผ้า การใช้รถจักรยานยนต์และอุปกรณ์ประกอบเพื่อแยกเเยะตามลักษณะการเลือกสวมใสเสื้อผ้า การใช้รถ และบุคคลที่ได้รับผลกระทบด้วยน่ะครับ เพราะจากการได้ใกล้ชิดกับสมาชิกของ PerMAS มีหลายเรื่องที่ปิดไม่มิดครับ แต่ที่น่าสนใจในเหตุการณ์นี้คือ PerMAS ได้ดึงเอาภาคประชาสังคมของประเทศมาเลเซีย อย่างนายชากีร ตอฮา ตัวแทนองค์กร AMANI MALAYSIA ภาคประชาสังคม มาเลเซีย มาร่วมด้วย พร้อมกับจัดฉากเรียบร้อยให้สมจริงด้วยการมอบเงินช่วยเหลือจำนวนหนึ่งแก่ครอบครัว นายกอรี ดอเลาะ ก็ยังไม่รู้น่ะครับว่าแผนนี้ของ PerMAS จะออกมาแหกตาประชาชน ประชาชาติ กันอย่างไงอีก ต้องเคยติดตามกันน่ะครับ เพราะเชื่อว่าจากเหตุการณ์ยิงครอบครัว นายเจะมุ มะมัน เป็นทหารพรานฆ่าเพื่อล้างแค้น นายเจะมุ มะมัน PerMAS พลาดตกม้าตายแล้ว แต่น่าจะใช้แผนเชื่อมโยงว่ายังคงเป็นผลงานของเจ้าหน้าที่อีกหรือไม่ แต่งานนี้มีเรื่องให้วิพากษ์วิจารณ์กันแน่นอนครับ






PerMAS ได้ทำทุกอย่างเพื่อโจมตี ใส่ความ โยนความผิดให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องยอมรับถึงแนวคิด การวางแผนสนับสนุนการปฏิบัติงานให้กับขบวนการ บีอาร์เอ็น.(BRN.) ค่อนข้างเป็นระบบ แต่ยังไงประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เขารู้ เขาเห็น และเข้าใจต่อขั้นตอนของการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าใจความต้องการของ PerMAS เพราะเขาเกิดที่นี้ อยู่ที่นี่ และบางคนก็คุ้นเคยกับสมาชิก PerMAS ด้วย.......

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม