|
วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
ฟังเค้าบ้างก็ดี
วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
รองนายกรัฐมนตรีและคณะ ลงใต้ประชุมติดตามการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (1 พ.ค.2560) ที่ห้องประชุม 1 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ประธาน คปต.) พร้อมด้วยพลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล, พลเอกสุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก, พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะเดินทางลงพื้นที่ เพื่อเข้าประชุมติดตามการขับเคลื่อนงานการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล พลโทปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4, พลตำรวจโทรณศิลป์ ภู่สาระ ผู้บัญชาการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้, นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ว่าราชการจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจ พลเรือนและทหารในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งนี้ เพื่อติดตามการขับเคลื่อนงานตามแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ คปต. ปีงบประมาณ 2560 และการดำเนินงานเพื่อระวังป้องกันการก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สถานการณ์ด้านการข่าว และการเพิ่มประสิทธิภาพงานด้านการข่าวในพื้นที่ รวมทั้งความก้าวหน้าการดำเนินโครงการบูรณาการระบบกล้อง CCTV ในพื้นที่
นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรียังได้ติดตามรับทราบผลการดำเนินงานตามแผนบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีความสอดคล้องกับแผนงานปฎิบัติการ ทั้งกลุ่มงานภารกิจงาน ตลอดจนติดตามผลการดำเนินงานโครงการสำคัญตามความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และ road map ของคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้แก่ เมืองต้นแบบสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
โดยโครงการนี้มุ่งการพัฒนาที่ ให้ความสำคัญกับกระบวนการทำงานที่สามารถเชื่อมต่อได้ทุกภาคส่วน และร่วมกันพัฒนาตามแนวทาง “ห่วง โซ่คุณค่า” (Value of Chain) เพื่อให้ประชาชนมีงานทำ มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเป็นรูปธรรม
‘ประเด็นญีฮาด จชต.’ เมื่อผู้นำศาสนาลงพื้นที่รับรู้ความจริง
"Ibrahim"
เมื่อวันที่ 5-7 เมษายน 2560 “แกรนด์ ดร.ชัคกี อัลแลม” (The Grand Mufti of Egypt) หรือผู้ตัดสินชี้ขาดสูงสุดทางศาสนาอิสลามประเทศอียิปต์ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทย – อียิปต์ รวมถึงการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมลงพื้นที่สัมผัสวิถีชีวิตพุทธ-มุสลิม
การเดินทางมาของผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลาม คณะ OIC ผู้ตัดสินชี้ขาดสูงสุดทางศาสนาอิสลามประเทศอียิปต์ หรือแม้กระทั่งผู้สืบเชื้อสายท่านศาสดา นบี มูฮัมหมัด (ซ.ล.) ในหลายโอกาสที่คณะเหล่านั้นได้ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยเรา ได้รับรู้ปัญหาและสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องในพื้นที่อย่างใกล้ชิด กลับพบว่าเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขทั้งชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิม และชาวไทยเชื้อสายจีน
“แกรนด์ ดร.ชัคกี อัลแลม”ได้กล่าวเห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบาย สามเหลี่ยมเศรษฐกิจ“มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” อีกทั้งยังมั่นใจรัฐบาลไทยต่อการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เดินมาถูกทางแล้ว
ทุกครั้งที่บุคคลสำคัญทางศาสนาอิสลามได้มาเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับรู้สถานการณ์ที่แท้จริง ได้สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในพื้นที่ ต่างได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่ารัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญ และความเท่าเทียมของผู้คน ถึงแม้จะต่างเชื้อชาติและศาสนา
โดยเฉพาะต่อพี่น้องประชาชนผู้นับถือศาสนาอิสลาม รัฐบาลมิได้ขัดขวางหรือกีดกันในการประกอบศาสนกิจแต่อย่างใด มีแต่สนับสนุนกิจกรรมทางศาสนาไม่ว่าการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ หรือการทำอุมเราะห์ แถมยังส่งเสริมกิจกรรมทางศาสนาดีกว่าประเทศอิสลามบางประเทศด้วยซ้ำ
จากการโฆษณาชวนเชื่อของบุคคลบางกลุ่มได้การกล่าวหารัฐบาลไทยกีดกันการนับถือศาสนา และ ไม่ได้รับความเท่าเทียมในสังคม มีการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม นำประเด็นในเรื่องศาสนาซึ่งมีความละเอียดอ่อนต่อความคิดความเชื่อเป็นเครื่องมือ ปลุกกระแสให้ลุกขึ้นต่อสู้ด้วยการทำญีฮาด ซึ่งจากการที่ “แกรนด์ ดร.ชัคกี อัลแลม” ผู้ตัดสินชี้ขาดสูงสุดทางศาสนาอิสลามประเทศอียิปต์ และฮาบีฟหนุ่ม ผู้สืบเชื้อสายท่านศาสดา นบี มูฮัมหมัด (ซ.ล.) จากประเทศอินโดนีเซียที่มาเยือน จชต.กลับพบว่าแท้จริงแล้วรัฐบาลไทย ไม่ได้ขัดขวางพี่น้องมุสลิมในการนับถือศาสนาด้วยซ้ำ และไม่เข้าเงื่อนไขการปลุกกระแสให้ให้มีการญีฮาดแต่ประการใด.
----------------------------
บุกรวบตัวผู้ต้องหา “คาร์บอมบ์เบตง”
เมื่อ 29 เม.ย. 60 พ.อ.ธนุตม์ พิศาลสิทธิวัฒน์ รองผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจยะลา , พ.อ.สิทธิศักดิ์ เจนบรรจง ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 , พ.อ.ณรงค์ชัย เจริญชัย ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 33 , พ.ต.อ.สุทธิเวท บุญยรัตกลิน ผู้กำกับการ กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา สนธิกำลังทำการปิดล้อมตรวจค้นติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา หลังทราบข่าวในพื้นที่แจ้งว่า พบบุคคลเป้าหมายตามหมายจับคดีความมั่นคง เข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่
หลังจากเจ้าหน้าที่เข้าปิดล้อมบ้านเป้าหมายในพื้นที่หมู่ 9 บ้านตาเนาะปูเต๊ะใน ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ได้ควบคุมตัว นายอารีดิน สิแล อายุ 35 ปี ที่อยู่ 205 ม.9 ต.ตาเน๊าะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา บุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา เลขที่ จ.440 /2557 ลงวันที่ 4 ธ.ค.57 ในข้อหาความผิดฐานปล้นทรัพย์ มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น หรือกระทำการด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ร่วมกันก่อการร้าย สนับสนุนหรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นแผนเพื่อก่อการร้าย หรือยุยงประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการก่อการร้าย หรือรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายและกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้เป็นอั้งยี่ และซ่องโจร
ดับไฟใต้..ด้วยแนวทาง‘สันติวิธี’
ความไม่สงบในภาคใต้นั้นมีรากเหง้าความเป็นมาจากอดีตที่สั่งสมสืบทอดกันมานับศตวรรษ แต่นั่นก็ ไม่สำคัญเท่ากับสภาวการณ์ในปัจจุบันซึ่งสร้างความทุกข์ยากและความอึดอัดคับข้องใจด้วยสาเหตุทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการศึกษา อำนาจรัฐที่รวมศูนย์และไม่สามารถให้ความยุติธรรมตลอดจนสวัสดิภาพ แก่ประชาชนก็ดี วัฒนธรรมจากส่วนกลางที่นิยามความเป็นไทยอย่างคับแคบจนปฏิเสธวัฒนธรรมท้องถิ่น ก็ดี กลุ่มทุนและธุรกิจอิทธิพลที่ร่วมกับหน่วยงานรัฐในการแย่งชิงทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่นก็ดี เหล่านี้ล้วนเป็นเงื่อนไขให้หน่วยงานรัฐสูญเสียความสนับสนุนจากประชาชน ขณะเดียวกันก็ขยายแนวร่วมให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนมากขึ้น พร้อมกันนั้นอำนาจรัฐที่ถดถอยก็เปิดพื้นที่ให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลสามารถเคลื่อนไหวและสร้างสถานการณ์ได้ง่ายขึ้น
การดับไฟใต้ด้วยสันติวิธีหมายถึงการสลายแนวร่วมของผู้ก่อความไม่สงบ และดียิ่งกว่านั้นก็คือ ดึงประชาชนเหล่านั้นมาเป็นแนวร่วมของรัฐแทน จะทำเช่นนั้นได้การทำงานกับมวลชนเป็นสิ่งสำคัญ เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องได้รับการฝึกฝนให้พูดภาษามลายูท้องถิ่น เข้าใจพื้นฐานของศาสนาอิสลามและธรรมเนียมปฏิบัติของประชาชน สามารถดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับรัฐ ตั้งแต่ระดับการตัดสินใจ โดยเฉพาะในสิ่งที่จะมีผลกระทบต่อประชาชน อาทิ จัดตั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจสังคมโดยมีผู้นำท้องถิ่นและผู้นำศาสนามาร่วมเป็นกรรมการ ทั้งในระดับจังหวัดลงไปถึงระดับตำบล โดยไม่ให้ซ้ำซ้อนกับ อบต. หรือคณะกรรมการสันติสุขชุมชน ซึ่งทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน สร้างความสมานฉันท์ในชุมชน รวมทั้งดูแลรักษา ความปลอดภัยร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านหรือตำบลไปจนถึงระดับจังหวัด
ขณะเดียวกัน การให้หลักประกันทางด้านความยุติธรรมแก่ประชาชนก็จะต้องมีมาตรการที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่กระทำด้วยการออกคำสั่งหรือเอ่ยปาก “กำชับ” เจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น มาตรการที่เป็นรูปธรรมได้แก่ การจัดตั้งคณะกรรมการดูแลกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม คณะกรรมการติดตามการพิจารณาคดีความต่าง ๆ ที่มีเงื่อนงำ คณะกรรมการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิประชาชน ศูนย์รวบรวมข้อมูลผู้สูญหายหรือถูกสันนิษฐานว่าถูกอุ้มฆ่า ทั้งนี้โดยประกอบด้วยบุคคลในพื้นที่ที่ได้รับการยอมรับ ในความซื่อสัตย์สุจริต มีอำนาจในการตรวจสอบการทำงานของรัฐ และเสนอรายงานต่อนายกรัฐมนตรี และผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
สันติวิธีจะได้ผลต้องอาศัยความอดทนเพราะมักไม่ให้ผลทันทีทันใด เนื่องจากไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ให้ผลในระยะยาวและยั่งยืนกว่า ในขณะที่วิธีรุนแรงนั้นดูเหมือนให้ผลทันใจ เพราะเห็น “ผู้ร้าย” ตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ปัญหาหาได้หมดไปไม่ ความรุนแรงยังคงอยู่ต่อไปและ “ผู้ร้าย” ก็ยังเกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะรากเหง้ายังคงอยู่ วิธีรุนแรงไม่ได้ช่วยให้ปัญหาสงบลงอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามมักสงบลงช้ากว่าการแก้ด้วยสันติวิธีเสียอีก และในที่สุดก็หนีไม่พ้นที่ทุกฝ่ายจะต้องหันมาขึ้นโต๊ะเจรจาแทน เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนไม่น้อยมีความอดทนอย่างยิ่ง และพร้อมใช้สันติวิธีเพื่อเอาชนะใจประชาชน นี้คือต้นทุนที่สำคัญยิ่งของสังคมไทย ปัญหาอยู่ที่ว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะใช้สันติวิธีเพียงใด และกล้าคิดนอกกรอบหรือไม่ ถ้าหากรัฐบาลมีความมุ่งมั่นและกล้าคิดกล้าทำนอกกรอบ ขณะเดียวกันประชาชนทั่ว ทั้งประเทศก็สนับสนุน การดับไฟใต้ด้วยสันติวิธีย่อมเป็นอันหวังได้อย่างแน่นอน
ความไม่สงบในภาคใต้นั้นมีรากเหง้าความเป็นมาจากอดีตที่สั่งสมสืบทอดกันมานับศตวรรษ แต่นั่นก็ ไม่สำคัญเท่ากับสภาวการณ์ในปัจจุบันซึ่งสร้างความทุกข์ยากและความอึดอัดคับข้องใจด้วยสาเหตุทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการศึกษา อำนาจรัฐที่รวมศูนย์และไม่สามารถให้ความยุติธรรมตลอดจนสวัสดิภาพ แก่ประชาชนก็ดี วัฒนธรรมจากส่วนกลางที่นิยามความเป็นไทยอย่างคับแคบจนปฏิเสธวัฒนธรรมท้องถิ่น ก็ดี กลุ่มทุนและธุรกิจอิทธิพลที่ร่วมกับหน่วยงานรัฐในการแย่งชิงทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่นก็ดี เหล่านี้ล้วนเป็นเงื่อนไขให้หน่วยงานรัฐสูญเสียความสนับสนุนจากประชาชน ขณะเดียวกันก็ขยายแนวร่วมให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนมากขึ้น พร้อมกันนั้นอำนาจรัฐที่ถดถอยก็เปิดพื้นที่ให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลสามารถเคลื่อนไหวและสร้างสถานการณ์ได้ง่ายขึ้น
การดับไฟใต้ด้วยสันติวิธีหมายถึงการสลายแนวร่วมของผู้ก่อความไม่สงบ และดียิ่งกว่านั้นก็คือ ดึงประชาชนเหล่านั้นมาเป็นแนวร่วมของรัฐแทน จะทำเช่นนั้นได้การทำงานกับมวลชนเป็นสิ่งสำคัญ เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องได้รับการฝึกฝนให้พูดภาษามลายูท้องถิ่น เข้าใจพื้นฐานของศาสนาอิสลามและธรรมเนียมปฏิบัติของประชาชน สามารถดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับรัฐ ตั้งแต่ระดับการตัดสินใจ โดยเฉพาะในสิ่งที่จะมีผลกระทบต่อประชาชน อาทิ จัดตั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจสังคมโดยมีผู้นำท้องถิ่นและผู้นำศาสนามาร่วมเป็นกรรมการ ทั้งในระดับจังหวัดลงไปถึงระดับตำบล โดยไม่ให้ซ้ำซ้อนกับ อบต. หรือคณะกรรมการสันติสุขชุมชน ซึ่งทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน สร้างความสมานฉันท์ในชุมชน รวมทั้งดูแลรักษา ความปลอดภัยร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านหรือตำบลไปจนถึงระดับจังหวัด
ขณะเดียวกัน การให้หลักประกันทางด้านความยุติธรรมแก่ประชาชนก็จะต้องมีมาตรการที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่กระทำด้วยการออกคำสั่งหรือเอ่ยปาก “กำชับ” เจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น มาตรการที่เป็นรูปธรรมได้แก่ การจัดตั้งคณะกรรมการดูแลกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม คณะกรรมการติดตามการพิจารณาคดีความต่าง ๆ ที่มีเงื่อนงำ คณะกรรมการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิประชาชน ศูนย์รวบรวมข้อมูลผู้สูญหายหรือถูกสันนิษฐานว่าถูกอุ้มฆ่า ทั้งนี้โดยประกอบด้วยบุคคลในพื้นที่ที่ได้รับการยอมรับ ในความซื่อสัตย์สุจริต มีอำนาจในการตรวจสอบการทำงานของรัฐ และเสนอรายงานต่อนายกรัฐมนตรี และผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น สันติวิธีจะได้ผลต้องอาศัยความอดทนเพราะมักไม่ให้ผลทันทีทันใด เนื่องจากไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ให้ผลในระยะยาวและยั่งยืนกว่า ในขณะที่วิธีรุนแรงนั้นดูเหมือนให้ผลทันใจ เพราะเห็น “ผู้ร้าย” ตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ปัญหาหาได้หมดไปไม่ ความรุนแรงยังคงอยู่ต่อไปและ “ผู้ร้าย” ก็ยังเกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะรากเหง้ายังคงอยู่ วิธีรุนแรงไม่ได้ช่วยให้ปัญหาสงบลงอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามมักสงบลงช้ากว่าการแก้ด้วยสันติวิธีเสียอีก
และในที่สุดก็หนีไม่พ้นที่ทุกฝ่ายจะต้องหันมาขึ้นโต๊ะเจรจาแทน เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนไม่น้อยมีความอดทนอย่างยิ่ง และพร้อมใช้สันติวิธีเพื่อเอาชนะใจประชาชน นี้คือต้นทุนที่สำคัญยิ่งของสังคมไทย ปัญหาอยู่ที่ว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะใช้สันติวิธีเพียงใด และกล้าคิดนอกกรอบหรือไม่ ถ้าหากรัฐบาลมีความมุ่งมั่นและกล้าคิดกล้าทำนอกกรอบ ขณะเดียวกันประชาชนทั่ว ทั้งประเทศก็สนับสนุน การดับไฟใต้ด้วยสันติวิธีย่อมเป็นความหวังได้อย่างแน่นอน.
วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560
มาเลเซียให้ที่อยุ่ “ซากิร ไนค์” ผู้ต้องหาก่อการร้าย และฟอกเงิน
สำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดียกล่าวว่าจะติดต่อตำรวจสากลเพื่อขอความช่วยเหลือในการจับกุม “นายซากิร ไนค์” ที่ถูกข้อหาก่อการร้ายและฟอกเงิน
เว็บไซต์ freemalaysiatoday รายงานว่า ศาลประเทศอินเดียได้ออกหมายจับที่ไม่สามารถประกันตัวได้เป็นครั้งที่สองเพื่อจับกุมตัว นายซากิร ไนค์ นักเผยแพร่ศาสนาและนักเทศน์
เจ้าหน้าที่อินเดียต้องการสอบสวนเขาเกี่ยวเนื่องกับบทบาทที่เขาถูกกล่าวหาในคดีที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการฟอกเงิน
ศาลอินเดียได้ออกหมายจับตามคำร้องขอโดยสำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดีย (NIA) อินเดียเอ็กซ์เพรสรายงาน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลอินเดียอีกศาลหนึ่งซึ่งเป็นศาลพิเศษด้านการป้องกันการฟอกเงินได้ออกหมายจับที่ไม่สามารถประกันตัวอีกครั้งต่อ “ซากิร ไนค์” ในคดีฟอกเงินที่ฟ้องโดยคณะกรรมการด้านการป้องกันและปรามปราม (Enforcement Directorate)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาสำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดียบอกผู้พิพากษาพิเศษว่า “ซากิร ไนค์” ได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม
ปัจจุบัน “ซากิร ไนค์” อาศัยอยู่ในมาเลเซีย เขาได้รับสถานะพำนักถาวรโดยรัฐบาลมาเลเซียเมื่อห้าปีก่อน
ตามรายงานของอินเดียเอ็กซ์เพรส สำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดียอ้างว่าจากการสืบสวนได้บ่งชัดว่า “ซากิร ไนค์” เคย “ส่งเสริมและช่วยเหลือ” ลูกศิษย์ของเขาผ่านการพูดในที่สาธารณะ การบรรยาย และการพูดคุย เพื่อสร้างกความขัดแย้งระหว่างชุมชนและกลุ่มศาสนาที่แตกต่างกัน
ตามรายงานของเอ็นดีทีวี (NDTV) ระบุว่า สำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดียจะขอความช่วยเหลือจากตำรวจสากลเพื่อพาตัว “ซากิร ไนค์” กลับไปอินเดีย
รายงานระบุว่า หลังการโจมตีจากการก่อการร้ายในกรุงธากา เมืองหลวงบังคลาเทศเมื่อปีที่แล้วซึ่งผู้ต้องหาคนหนึ่งถูกอ้างว่าได้รับอิทธิพลจากซากิร ไนค์ กระทรวงการต่างประเทศก็ได้ยื่นฟ้องนายซากิร ไนค์ และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ของมูลนิธิวิจัยอิสลาม (Islamic Research Foundation – IRF) ของเขาซึ่งอยู่ในเมืองมุมไบ
รายงานระบุว่า ซากิร ไนค์ ได้เดินทางไปต่างประเทศในช่วงเวลานั้น และตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้เดินทางกลับประเทศอินเดียเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมตามข้อกล่าวหาต่างๆ รวมทั้งกิจกรรมก่อการร้ายและการฟอกเงิน
เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียได้ประกาศว่า มูลนิธิ IRF ของเขาเป็นองค์กรเครือข่ายก่อการร้าย
ซากิร ไนค์ ที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซียถูกต่อต้านโดยกลุ่มต่างๆ หลายกลุ่มที่บอกว่า คำสอนและคำพูดของเขาจะสร้างความแตกแยกในสังคมมาเลเซียที่มีผู้คนหลายเชื้อชาติ
ชาวมาเลเซียเพิ่งรู้เมื่อวันอังคาร (18 เมษายน) ว่า ซากิร ไนค์ ได้รับสถานะผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรในมาเลเซีย ซึ่งตามมาด้วยแรงกดดันจากกลุ่ม Hindraf ซึ่งเป็นกลุ่มด้านสิทธิของชนกลุ่มน้อยชาวอินเดียในมาเลเซีย และกลุ่มอื่นๆ ที่ได้มีการไปยื่นคำร้องต่อศาล
ชาวมาเลเซีย 19 คน ซึ่งรวมถึงประธานของ Hindraf นายพี เวธามูร์ตี้ (P Waythamoorthy) และทนายความ ซิติ กาซิม (Siti Kasim) เพิ่งยื่นฟ้องรัฐบาลในกล่าวหาว่า ปิดบังซ่อนเร้นให้ที่พักแก่ผู้กระทำผิด
พวกเขาอ้างว่า นักเทศน์ซึ่งเป็นพลเมืองของอินเดียมีความสามารถในการคุกคามความมั่นคงและความสามัคคีของชาติ
อย่างไรก็ตาม ชาวมุสลิมบางกลุ่มในมาเลเซียได้ให้การสนับสนุนเขา โดยกล่าวว่าการที่รัฐบาลมาเลเซียอนุญาตให้ ซากิร ไนค์ เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรนั้นเป็นสิ่งชอบธรรม
วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560
หื่น จูบได้ไม่ผิด สังคมวิปริต ลัทธิวิปริต ความเห็นวิปลาศ
ให้คนกลาง ๆ อย่าง Google แปลให้
ถอดความ
เมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้มีอำนาจออก fatwa - การตีความกฎของอิสลามซึ่งก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างรุนแรง เมื่อ มีคำถามจากผู้ศรัทธา Diyanet ตอบว่าจากมุมมองของอิสลาม ไม่มีผลกระทบต่อการแต่งงาน "ถ้าพ่อจูบลูกสาวของเขาด้วยความปรารถนา"
นอกจากนี้ยังเป็นไปตาม Diyanet ไม่มีบาป "ถ้าพ่อมองลูกสาวของเขาและรู้สึกตัณหา." อย่างไรก็ตาม ลูกสาวต้องมีอายุเกินเก้าขวบ
fatwa นี้มาไม่นานหลังจาก fatwa อื่นจาก Diyanet ซึ่งกล่าวว่า
" คู่สมรสไม่ควรจับมือเพราะอาจนำไปสู่สิ่งอื่น ๆ สิ่งที่ haram (ผิดกฎหมาย) ในศาสนาอิสลาม
ในบางประเทศอาจทำให้คนที่เป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผลที่จะปาก้อนหิน ขว้างปาไปที่คู่สามีภรรยาจนกว่าจะถึงแก่ความตาย"
การนำสอง fatwas ล่าสุดมารวมเข้าด้วยกัน จะให้มุมมองของเรื่องเพศในศาสนาอิสลามที่สมบูรณ์ จะทำให้ศาสนาอิสลามเป็นเรื่องโกหก หลอกลวง และเป็นศาสนาที่น่าขยะแขยง ในสาสยตาของชาวตะวันตก
"ผิดพลาดในการแปล"
ถือเป็นเรื่องปกติ ที่ fatwa ทั้งสองนี้ เป็นเหตุให้ความชั่วร้ายในโลกออนไลน์ รุมกระหน่ำโจมตีอิสลาม แม้ว่า fatwa ดังกล่าวซึ่งอ้างว่าถูกลบออกไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีการเผยแพร่ fatwa ดังกล่าวอยู่ต่อไป เนื่องจากผู้คนในโลกออนไลน์ ที่ได้มาพบเห็นได้คัดลอกข้อความเหล่านี้ไว้ และนำไปเผยแพร่ต่อ
ขณะนี้หัวหน้า Diyanet, Mehmet Görmez พยายามแก้ไขเรื่องอื้อฉาวและหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์เบี่ยงเบน ในการให้สัมภาษณ์จากผู้ประกาศข่าว TRT ของตุรกี ซึ่งกล่าวว่า "การตีความเรื่องราวดังกล่าว ถือเป็นความผิดพลาดที่น่าเศร้า ในการแปลความภาษาอาหรับ !
คำตอบใหม่สำหรับคำถามของพ่อและลูกสาวตอนนี้อ่านตาม Diyanet กล่าวว่า การร่วมเพศเป็น "ความผิดปรกติทางพยาธิวิทยา"
มีปัญหาเพียงอย่างเดียวซึ่งทุกคน (อย่างน้อยก็ในตุรกี) รู้ บุคคลซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาที่ Diyanet สามารถใช้ภาษาอาหรับได้อย่างคล่องแคล่ว พวกเขาไม่เคยทำผิดพลาดในการแปลเช่นนี้เลย และนั่นก็เป็น สิ่งที่คนเหล่านี้ ต้องพยายามหาเหตุผลแก้ตัวบางอย่างและนี่ อาจเป็นปัญหาที่พวกเขาอาจจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างการประชุมระดมความคิดของนักบวชอย่างเร่งด่วน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)