วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ฟังเค้าบ้างก็ดี

ต้องอย่าเชื่อ “แม่ทัพนายกอง-เสนาบดีเอี้ยๆ” และเลิกเสียการกระทำ “เข้าทางโจรใต้” / ไชยยงค์ มณีพิลึก



ต้องอย่าเชื่อ “แม่ทัพนายกอง-เสนาบดีเอี้ยๆ” และเลิกเสียการกระทำ “เข้าทางโจรใต้” / ไชยยงค์ มณีพิลึก
พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ลงพื้นที่ จ.ปัตตานี ร่วมประชุมกับหน่วยงานความมั่นคงชายแดนใต้เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2560
       
       คอลัมน์  :  จุดคบไฟใต้
       โดย...ไชยยงค์  มณีพิลึก
       -------------------------------------
     
     
       คงจะไม่ช้าสำหรับการที่จะแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ 6 ทหารพราน “ผู้พลีชีพ จากน้ำมือ “โจรใต้” ในคราบ “นักรบ” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็นฯ” ในพื้นที่ ต.ผดุงมาตร อ.จะแนะ จ.นราธิวาส
     
       ในวันที่เมียขาดผู้เป็น “เสาหลัก” และลูกต้องกลายเป็น “กำพร้า” สิ่งที่สื่อมวลชนเล็กๆ คนหนึ่งสามารถทำได้คือ “เสียใจ” และหวังว่ากองทัพ ซึ่งหมายรวมถึงรัฐบาลด้วย ต้องทำหน้าที่ “ดูแลครบครัวทหารกล้า” ทั้ง 6 นายให้ดีกว่าการดูแล และ “เยียวยา” ครอบครัวของโจรใต้ ไม่ว่าจะในฐานะของผู้ที่ “เห็นต่าง” หรือ “หลงผิด” อย่างที่รัฐพยายามเรียกร้อง เพื่อสร้าง “ความพึงใจ” ให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือที่ชัดเจนคือ “โจร” นั่นเอง
     
       แน่นอนว่าความสูญเสียเช่นนี้ยังต้องเกิดขึ้นต่อไป “หญิงหม้าย” และ “เด็กกำพร้า” ก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง รวมถึงประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และในภูมิภาคอื่นๆ ที่มีการส่งทหารเข้าไปทำหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ หากสถานการณ์ความรุนแรงยังไม่มีหนทางที่จะ “ยุติ”
     
       โดยเฉพาะเมื่อ “กองทัพภาคที่ 4” หรือ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ยังไม่สามารถเอาชนะ “ทางทหาร” กับขบวนการบีอาร์เอ็น หรือบรรดากลุ่มโจรใต้ในพื้นที่ได้
     
       ความจริงการเอาชนะทางการทหารไม่ยากเหมือนกับการเอาชนะ “ทางการเมือง” เพราะ “สงครามประชาชน” ที่เกิดขึ้นระลอกใหม่ และดำรงอยู่ต่อเนื่องมา 13 ปีนั้น ถึงวันนี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รู้แผนปฏิบัติการของบีอาร์เอ็น หรือกลุ่มโจรใต้ที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลาได้แก่ เทพา นาทวี สะบ้านย้อย และจะนะ ได้แบบกระจ่างแล้ว
     
       รวมทั้งยังรู้ถึงการสร้าง “เครือข่าย ของบีอาร์เอ็นในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนว่ามีอยู่ในพื้นที่ไหนบ้าง จนวันนี้กองทัพภาคที่ 4 ถึงกับมีการกำหนด “แผนพิทักษ์ส่วนหลัง เพื่อที่จะรับมือต่อการก่อการร้ายของบรรดาโจรใต้ในจังหวัดภาคใต้ตอนบนแล้วด้วย
     
       ซึ่งการที่จะเอาชนะบีอาร์เอ็น หรือกลุ่มโจรใต้ ต้องเอาชนะทางการทหารด้วยการ “ควบคุมพื้นที่” โดยเฉพาะพื้นที่ที่กองกำลังของบีอาร์เอ็นเข้มแข็ง โดยทั้งทหาร และตำรวจในพื้นที่เหล่านั้นต้องทำให้ “กองกำลังจรยุทธ์” ของบีอาร์เอ็น ซึ่งมีอยู่หมู่บ้านละ 25 คน เคลื่อนไหวไม่ได้ รวมทั้งต้องมีการ “ไล่ต้อน กองกำลังจรยุทธ์เหล่านั้นให้จมมุม ถ้าจับไม่ได้ ก็ต้องอยู่ในพื้นที่ไม่ได้เช่นกัน
     
       แต่ที่ผ่านมา “ยุทธวิธี” ของกำลังรบของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังขาด “แผนยุทธการ” ที่ดี นั่นก็คงเป็นเหตุเป็นผลของ “ผู้บังคับบัญชา” ในแต่ละพื้นที่ ซึ่งก็ต้องมีการทำความเข้าใจในสถานการณ์ให้ตรงกัน โดยต้องมี “ชุดความจริง” ชุดเดียวกัน และที่สำคัญต้องฟังคำสั่งจาก “ผู้บังคับบัญชาระดับสูง” เพียงคนเดียว
     
       เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้วได้เห็น พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสารท ผบ.ทบ. เดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อติดตามสถานการณ์แบบ “ค้างคืน มีการตรวจจุดตรวจ และจุดสกัดในพื้นที่หลายจุด และมีการให้นโยบายต่อกำลังพล โดยให้มี “แผนรุกทางการทหาร” และ “แผนรุกทางการเมือง” พร้อมให้มีการ “ลาดตระเวนในเวลากลางคืน” และให้มีการ “ตั้งด่านลอย”
     
       นั่นแสดงให้เห็นว่า ผบ.ทบ.รู้ว่า “ศัตรู” ของแผ่นดินปลายด้ามขวานคือ บีอาร์เอ็น หาใช้เป็นเรื่องของ “ภัยแทรกซ้อน” และนโยบายที่ ผบ.ทบ.ให้แก่กำลังในพื้นที่คือ การรุกทางการทหารเพื่อควบคุมพื้นที่ ควบคุมความเคลื่อนไหวของโจรใต้ และหากต่อสู้ก็หมายถึงการ “วิสามัญ” เพราะไม่มีกองทัพประเทศไหนในโลกนี้ที่จะปล่อยให้โจรทำร้าย และมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่รัฐ
     
       นโยบายให้กองกำลังในพื้นที่ออกปฏิบัติการในเวลากลางคืน เป็นวิธีการที่ถูกต้อง เพราะที่โจรใต้ย่ามใจจนสามารถปฏิบัติการในเวลากลางคืนอย่างได้ผล มาจากการที่โจรใต้รู้ความเคลื่อนไหวของกำลังเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ และรู้ว่าในเวลากลางคืนเจ้าหน้าที่จะไม่ออกจากฐานปฏิบัติการ เพราะกลัวความสูญเสีย
     
       จนชาวบ้านในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ถึงกับกล่าวกันว่า “พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น กลางวันเป็นเวลาของเจ้าหน้าที่ ส่วนกลางคืนเป็นเวลาของโจร” แต่สุดท้ายแล้ว แม้แต่เวลา “กลางวัน โจรใต้ก็ยังสามารถปฏิบัติการฆ่าเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างสะดวกสบาย อย่างเช่นกรณี 6 ศพทหารพรานที่ ต.ผดุงมาตร อ.จะแนะ จ.นราธิวาสนั่นไง
     
       ต้องยอมรับว่า ยุทธวิธีในการเดินทาง “ลาดตระเวน ของเจ้าหน้าที่ยังไม่มี “ความรัดกุม ยานพาหนะที่ใช้ก็ยังไม่ “เซฟตี้ ซึ่งเวลานี้วิธีการยังเหมือนกับการเดินทางใน “พื้นที่ปกติ ทั้งที่พื้นที่ตรงนั้นเป็น “พื้นที่สู้รบ ที่เห็นชัดเจนคือ ไม่มีการแบ่งกำลังเพื่อช่วยกันและกันในยามถูกซุ่มยิง หรือถูกลอบวางระเบิด
        
       ที่สำคัญเวลาเดินทางในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรายังเห็นกองกำลังในพื้นที่ “ขาดความใสใจ” กับสิ่งรอบข้าง กับยานพาหนะ และบุคคลที่ผ่านไป-มา ดูได้จากส่วนหนึ่ง “นั่งเล่นไลน์-เล่นเฟซบุ๊ก” และที่สำคัญที่เห็น และรู้จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วก็คือ การ “จัดฉาก” ตั้งด่านตรวจ แล้ว “ถ่ายรูป” ส่งไลน์ไปให้ “นาย” เห็นว่ามีการปฏิบัติหน้าที่แล้ว แต่หลังจากนั้นทั้งจุดตรวจ และจุดสกัดก็ถูกยกเลิก
        
       โดยเฉพาะวิธีการนี้หน่วยงานที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “อาสาสมัคร” นิยมชมชอบมากที่สุด
         
ต้องอย่าเชื่อ “แม่ทัพนายกอง-เสนาบดีเอี้ยๆ” และเลิกเสียการกระทำ “เข้าทางโจรใต้” / ไชยยงค์ มณีพิลึก
พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ลงพื้นที่ จ.ปัตตานี ร่วมประชุมกับหน่วยงานความมั่นคงชายแดนใต้เมื่อวันที่ 1 พ.ค.2560
       
       ล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้เดินทางมายังพื้นที่ จ.ปัตตานี เพื่อร่วมประชุมกับคณะ “คปต.” หรือที่มักเรียกกันว่า “ครม.ส่วนหน้า” พร้อมๆ กับ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งถือเป็นการลงมาเพื่อ “ติวเข้ม” ในการแก้ปัญหาความไม่สงบที่เห็นถึงความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
     
       แน่นอนว่าต้องรวมถึงการมองเห็นการเคลื่อนไหวของ “ไทยพุทธ ที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับ “นโยบายดับไฟใต้”  ทั้งในเรื่องของการ “พาคนกลับบ้าน” และการ “พูดคุยสันติสุข” ตลอดจนการออกมาเรียกร้อง “ความเท่าเทียม” ในสิทธิพิเศษต่างๆ สำหรับคนในพื้นที่ ซึ่งเวลานี้ “มุสลิม” ได้รับได้รับมากกว่า รวมทั้งการดูแลด้าน “ความปลอดภัยคนไทยพุทธ” ที่ต้องตกเป็นเหยื่อสถานการณ์ จนปัจจุบันมีจำนวน “ร่อยหรอ” ลงเรื่อยๆ
     
       ณ วันนี้เหลือคนไทยพุทธในพื้นที่อยู่เพียงประมาณ 60,000 ชีวิต” จากที่ก่อนปี 2547 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีคนไทยพุทธอยู่มากกว่า 200,000 ชีวิต”
        
       เรื่องนี้เป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงที่สุดหาก พล.อ.ประวิตร ได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือได้ข้อมูลจากบรรดา “แม่ทัพนายกอง” หรือ “เสนาบดี” เอี้ยๆ ในพื้นที่ที่ต้องการ “ปกปิดความจริง” เพราะมีการนั่ง “ทับอึ” เอาไว้มากมาย การแก้ปัญหาไฟใต้แทนที่จะถูกต้อง ถูกจุด ก็จะถูก “เบี่ยงเบน” เพื่อประโยชน์ส่วนตน และพรรคพวก จนลืมประโยชน์ของประเทศชาติไปเสีย
     
       ซึ่งคนในปลายด้ามขวานจะต้องช่วยกันติดตามอย่างใกล้ชิดว่า หลังการลงมาของคนระดับรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม รวมทั้ง ผบ.ทบ.จะทำให้ “นโยบาย” และ “ยุทธวิธี” ของกองกำลังในพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่  “เป็นประโยชน์” โดยเฉพาะเป็นไปเพื่อการ “ทำลายโจรใต้” ได้หรือไม่
     
       เพราะเราต้องผจญกับโจรใต้ หรือบีอาร์เอ็นมาแล้วถึง 13 ปี น่าจะเพียงพอแล้วต่อวิธีการ “เอาใจโจร” ในทุกรูปแบบ วันนี้ควรจะถึงเวลา “แตกหัก” ของการทำ “สงครามประชาชน” ได้แล้ว  ถึงวันนี้เป็นเวลาที่เราสามารถแยกแยะ “คนดี” กับ “คนชั่ว” ออกจากกันได้แล้ว กลุ่มไหน หรือใครที่พูดคุย “รู้เรื่อง” ก็พูดคุยกันไป คนไหนที่ยัง “ถอนชิฟ” ได้ก็ถอนกันไป
        
       แต่กลุ่มไหน หรือคนไหนไม่ว่าจะเป็น “กองกำลังติดอาวุธ” หรือเล่นบท “ลูกคู่-หางเครื่อง” ที่อยู่ในคราบขององค์กรโน้น นู้น นี่ นั่น ถ้ายัง “ตีสองหน้า” ยัง “แทงข้างหลัง” ก็ต้องใช้วิธีการ “สุดท้าย” ในการจัดการเพื่อให้พื้นที่ตรงนี้มีความสงบ ส่วนเรื่อง “สันติภาพ” มันเป็นเรื่องใหญ่ และ “เพ้อฝัน” สำหรับคนบางกลุ่ม หรือบางพวกเท่านั้น
     
       และไม่ว่าจะใช้นโยบายแบบไหน หรือใช้ยุทธการอย่างไร สิ่งที่หน่วยงานทุกหน่วยต้องคิดให้ตรงกันคือ ประเทศเราเป็น “รัฐพุทธ ดังนั้น “คนไทยพุทธ ต้องได้รับความคุ้มครอง และส่งเสริมที่เท่าเทียมกับคนในศาสนาอื่นๆ
     
       โดยเราต้องเห็นด้วยต่อนโยบายดับไฟใต้ที่จะต้อง “ล้างความคิดที่ผิด” จาก “คนที่หลงผิด” โดยจะไม่ “ทำลายชีวิตของคนที่คิดผิด” ยกเว้นคนเหล่านั้น “หมดหนทางเยียวยา” แล้วก็ย่อมปล่อยให้เป็น “เสี้ยนหนามแผ่นดิน” ต่อไปไม่ได้
     
       แต่เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วรู้สึกผิดหวังกับ “เวทีไทยพุทธ” ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเวทีของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” หรือของ “ศอ.บต.” เพราะพบว่าวันนี้คนไทยพุทธยัง “ไม่มีเอกภาพ” ในการรวมกลุ่ม โดยเฉพาะในการ “สร้างเครือข่าย”
     
       เนื่องเพราะคนที่เป็น “หลัก” เป็น “แกนนำ ได้ปฏิเสธที่จะไปร่วมแก้ปัญหา หรือเสนอแนวทางในการแก้ปัญหากับรัฐ แต่ถนัดในการที่จะเป็น “กองเชียร์ ทางไลน์ ทางเฟซบุ๊ก ส่วนคนที่ไม่ร่วมเวทีส่วนหนึ่งยังเป็นพวก “มวยวัด” หรือ “มวยทะเล ที่สุดท้ายแล้วยังหา “ความเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ได้
     
       และที่สำคัญวันนี้เรามีแต่ “นักสู้ผมขาว” ส่วนหนุ่มสาวเยาวชนที่ควรจะเป็นอนาคตของปลายด้ามขวานกลับยังหาไม่เจอ นี่คือ “โจทย์ ใหญ่สำหรับคนไทยพุทธในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จะต้องเร่งทำการแก้ไขโดยด่วน
     
       เพราะเห็นเวทีของคนมุสลิมหลายเวที ต้องนับเป็นเวทีที่มีนักคิด นักการศาสนา เยาวชนคนหนุ่มสาวเป็น “พลัง” หรือเป็น “กำลังหลัก” ในการขับเคลื่อนสิ่งที่เขาเรียกร้อง เขารู้จัก “สร้างเครือข่าย” เพื่อให้ “เสียงของเขาก้องดัง” ทั้งในระดับประเทศ และสังคมโลก
     
       ในขณะที่ไทยพุทธเราที่ลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายรัฐอาจจะต้อง “จ้าง คนไทยพุทธให้อยู่ในพื้นที่ พวกเรายังทำตัวเป็น “ไก่ในเข่งวันตรุษจีน ที่รู้วันตายว่าพรุ่งนี้จะถูกเชือดคอไหว้เจ้า แทนที่จะช่วยกัน “ทลายเข่ง” ออกมา แต่เรากลับ “จิกตีกันเอง” เพราะแก่งแย่งความเป็นที่หนึ่ง มากกว่าที่จะเห็นความสำคัญของประเทศชาติ
     
       แน่นอนว่า “ความไม่เป็นเอกภาพ” ของคนไทยพุทธในพื้นที่ คือสิ่งที่บีอาร์เอ็นต้องการที่จะเห็น และต้อการให้เกิดมากขึ้นๆ เพราะนี่คือ “ตัวแปร” ที่สำคัญที่สุดของการแบ่งแยกดินแดน เพราะถ้าคนไทยพุทธอ่อนแอ และร่อยหรอลงเรื่อยๆ แผ่นดินปลายด้ามขวานมีปัญหาแน่นอน เพราะ “คนอยู่ แผ่นดินยัง” แต่ถ้าคนหมด แผ่นดินก็หมดไปด้วย
     
       วันนี้คนไทยพุทธต้อง “คิดให้ได้-คิดให้เป็น” ต้องเป็นกำลังหลักของรัฐ เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนรัฐแก้ปัญหา ในส่วนที่รัฐทำไม่ถูก โกง หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนก็ว่ากันไปตามกระบวนการของการตรวจสอบ แต่ไม่ควรที่จะ “ปฏิเสธ” และมองหน่วยของรัฐเป็น “ศัตรู ด้วยการไม่ร่วม “สังฆกรรม” เพราะนี่คือสิ่งที่บีอาร์เอ็นอยากให้เกิด เพื่อที่เขาจะได้ชัยชนะเร็วขึ้น
     
       เพราะฉะนั้นการที่ “สงครามประชาชนระลอกใหม่” ที่ปลายด้ามขวานยังคงเป็น “สงครามยืดเยื้อ” เรายังไม่รู้แพ้ ไม่รู้ชนะ ทั้งที่ต่อสู้กันมาแล้วถึง 13 ปี นั่นอาจจะเป็นเพราะทั้งหน่วยงานของรัฐ และประชาชนในพื้นที่ต่างทำในสิ่งที่เรียกว่า “เข้าทางโจร” ด้วยกันทั้งนั้น

วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

รองนายกรัฐมนตรีและคณะ ลงใต้ประชุมติดตามการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้





              เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (1 พ.ค.2560) ที่ห้องประชุม 1 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ประธาน คปต.) พร้อมด้วยพลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล, พลเอกสุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, พลเอกเฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก, พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะเดินทางลงพื้นที่ เพื่อเข้าประชุมติดตามการขับเคลื่อนงานการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับคณะผู้แทนพิเศษรัฐบาล พลโทปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4, พลตำรวจโทรณศิลป์ ภู่สาระ ผู้บัญชาการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้, นายศุภณัฐ สิรันทวิเนติ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ว่าราชการจังหวัด และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจ พลเรือนและทหารในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้



            ทั้งนี้ เพื่อติดตามการขับเคลื่อนงานตามแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ คปต. ปีงบประมาณ 2560 และการดำเนินงานเพื่อระวังป้องกันการก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สถานการณ์ด้านการข่าว และการเพิ่มประสิทธิภาพงานด้านการข่าวในพื้นที่ รวมทั้งความก้าวหน้าการดำเนินโครงการบูรณาการระบบกล้อง CCTV ในพื้นที่


           นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรียังได้ติดตามรับทราบผลการดำเนินงานตามแผนบูรณาการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่มีความสอดคล้องกับแผนงานปฎิบัติการ ทั้งกลุ่มงานภารกิจงาน ตลอดจนติดตามผลการดำเนินงานโครงการสำคัญตามความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และ road map ของคณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้แก่ เมืองต้นแบบสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน


            โดยโครงการนี้มุ่งการพัฒนาที่ ให้ความสำคัญกับกระบวนการทำงานที่สามารถเชื่อมต่อได้ทุกภาคส่วน และร่วมกันพัฒนาตามแนวทาง “ห่วง โซ่คุณค่า” (Value of Chain) เพื่อให้ประชาชนมีงานทำ มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเป็นรูปธรรม


           พลเอก อุดมเดช หัวหน้าผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ได้เน้นย้ำว่า ไม่ว่าจะเป็นงานด้านความมั่นคง หรือด้านการพัฒนา สิ่งสำคัญอย่างมากในการทำงาน คือ การมี ส่วนร่วมของประชาชน เพราะสิ่งนี้จะสะท้อนถึงความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ซึ่งรัฐจำเป็นต้อง ตอบสนองและให้การสนับสนุนต่อไป



‘ประเด็นญีฮาด จชต.’ เมื่อผู้นำศาสนาลงพื้นที่รับรู้ความจริง




"Ibrahim"

             เมื่อวันที่ 5-7 เมษายน 2560 “แกรนด์ ดร.ชัคกี อัลแลม” (The Grand Mufti of Egypt) หรือผู้ตัดสินชี้ขาดสูงสุดทางศาสนาอิสลามประเทศอียิปต์ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทย – อียิปต์ รวมถึงการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมลงพื้นที่สัมผัสวิถีชีวิตพุทธ-มุสลิม




         และล่าสุดเมื่อ 25 เมษายน 2560 ฮาบีบ อาลี หรือ Habib Ali Zainal Abidin Al-Kaff ผู้สืบเชื้อสายท่านศาสดา นบี มูฮัมหมัด (ซ.ล.) จากประเทศอินโดนีเซีย เดินทางมาเยือนประเทศไทย เพื่อเผยแพร่หลักคำสอนศาสนา และเป็นส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในมิติศาสนา และประชาสัมพันธ์บอกกล่าวผ่านคำบรรยายให้กับกลุ่มประเทศมุสลิม ได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ทั้งนี้ ฮาบีบ อาลี ชื่นชมไทยใช้หลักศาสนาแก้ปัญหาเยาวชน


        การเดินทางมาของผู้นำสูงสุดทางศาสนาอิสลาม คณะ OIC ผู้ตัดสินชี้ขาดสูงสุดทางศาสนาอิสลามประเทศอียิปต์ หรือแม้กระทั่งผู้สืบเชื้อสายท่านศาสดา นบี มูฮัมหมัด (ซ.ล.) ในหลายโอกาสที่คณะเหล่านั้นได้ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยเรา ได้รับรู้ปัญหาและสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องในพื้นที่อย่างใกล้ชิด กลับพบว่าเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีความหลากหลาย และอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขทั้งชาวไทยพุทธ ไทยมุสลิม และชาวไทยเชื้อสายจีน




         ซึ่งจากการเดินทางมาของ“แกรนด์ ดร.ชัคกี อัลแลม”ผู้ตัดสินชี้ขาดสูงสุดทางศาสนาอิสลามประเทศอียิปต์ ได้นำปรัชญาและหลักคำสอนมาเผยแพร่ให้กับพี่น้องผู้นับถือศาสนาอิสลาม ในพื้นที่ จชต.ตามหลักคำสอนศาสนาอิสลามที่ถูกต้องดั้งเดิม และแนวคิดการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ (peaceful coexistence)


         “แกรนด์ ดร.ชัคกี อัลแลม”ได้กล่าวเห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลไทยในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบาย สามเหลี่ยมเศรษฐกิจ“มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” อีกทั้งยังมั่นใจรัฐบาลไทยต่อการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เดินมาถูกทางแล้ว 




           ในส่วนของท่าน ฮาบีบ อาลี หรือ Habib Ali Zainal Abidin Al-Kaff ผู้สืบเชื้อสายท่านศาสดา นบี มูฮัมหมัด (ซ.ล.) จากประเทศอินโดนีเซีย กล่าวชื่นชมไทยที่ใช้หลักศาสนาแก้ปัญหาเยาวชน เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลไทยที่ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้นำศาสนา และผู้นำชุมชนร่วมกันสร้างชุมชนศรัทธา (กำปงตักวา) ตามแนวทางของศาสดา ให้เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง อีกทั้งมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหายาเสพติด เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้




          รวมทั้งรัฐบาลได้ส่งเสริมให้มีการศึกษาทั้งทางด้านศาสนา และวิชาสามัญควบคู่กันไป ซึ่งจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชน ประชาชน ให้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญการที่รัฐบาลไทยส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ทุกเชื้อชาติ ศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข นับเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งจะช่วยให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข ซึ่งในสมัยท่านศาสดา นบี มูฮัมหมัด ซ.ล. บางกลุ่มที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามก็ยังอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข และอยู่ด้วยกันด้วยความเคารพ ให้ความปลอดภัยต่อศาสนานั้นด้วย โดยทุกศาสนาจะเท่าเทียมกัน เคารพซึ่งกันและกัน






            ทุกครั้งที่บุคคลสำคัญทางศาสนาอิสลามได้มาเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รับรู้สถานการณ์ที่แท้จริง ได้สัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในพื้นที่ ต่างได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่ารัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญ และความเท่าเทียมของผู้คน ถึงแม้จะต่างเชื้อชาติและศาสนา


         โดยเฉพาะต่อพี่น้องประชาชนผู้นับถือศาสนาอิสลาม รัฐบาลมิได้ขัดขวางหรือกีดกันในการประกอบศาสนกิจแต่อย่างใด มีแต่สนับสนุนกิจกรรมทางศาสนาไม่ว่าการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ หรือการทำอุมเราะห์ แถมยังส่งเสริมกิจกรรมทางศาสนาดีกว่าประเทศอิสลามบางประเทศด้วยซ้ำ


        จากการโฆษณาชวนเชื่อของบุคคลบางกลุ่มได้การกล่าวหารัฐบาลไทยกีดกันการนับถือศาสนา และ ไม่ได้รับความเท่าเทียมในสังคม มีการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม นำประเด็นในเรื่องศาสนาซึ่งมีความละเอียดอ่อนต่อความคิดความเชื่อเป็นเครื่องมือ ปลุกกระแสให้ลุกขึ้นต่อสู้ด้วยการทำญีฮาด ซึ่งจากการที่ “แกรนด์ ดร.ชัคกี อัลแลม” ผู้ตัดสินชี้ขาดสูงสุดทางศาสนาอิสลามประเทศอียิปต์ และฮาบีฟหนุ่ม ผู้สืบเชื้อสายท่านศาสดา นบี มูฮัมหมัด (ซ.ล.) จากประเทศอินโดนีเซียที่มาเยือน จชต.กลับพบว่าแท้จริงแล้วรัฐบาลไทย ไม่ได้ขัดขวางพี่น้องมุสลิมในการนับถือศาสนาด้วยซ้ำ และไม่เข้าเงื่อนไขการปลุกกระแสให้ให้มีการญีฮาดแต่ประการใด.


----------------------------

บุกรวบตัวผู้ต้องหา “คาร์บอมบ์เบตง”




        เมื่อ 29 เม.ย. 60 พ.อ.ธนุตม์ พิศาลสิทธิวัฒน์ รองผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจยะลา , พ.อ.สิทธิศักดิ์ เจนบรรจง ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 , พ.อ.ณรงค์ชัย เจริญชัย ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 33 , พ.ต.อ.สุทธิเวท บุญยรัตกลิน ผู้กำกับการ กองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา สนธิกำลังทำการปิดล้อมตรวจค้นติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในพื้นที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา หลังทราบข่าวในพื้นที่แจ้งว่า พบบุคคลเป้าหมายตามหมายจับคดีความมั่นคง เข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่

           หลังจากเจ้าหน้าที่เข้าปิดล้อมบ้านเป้าหมายในพื้นที่หมู่ 9 บ้านตาเนาะปูเต๊ะใน ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา  ได้ควบคุมตัว นายอารีดิน สิแล อายุ 35 ปี ที่อยู่ 205 ม.9 ต.ตาเน๊าะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา บุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา เลขที่ จ.440 /2557 ลงวันที่ 4 ธ.ค.57 ในข้อหาความผิดฐานปล้นทรัพย์ มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น หรือกระทำการด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ร่วมกันก่อการร้าย สนับสนุนหรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นแผนเพื่อก่อการร้าย หรือยุยงประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการก่อการร้าย หรือรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายและกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้เป็นอั้งยี่ และซ่องโจร




         การจับกุมในครั้งนี้ เนื่องจากกรณีเหตุคนร้ายปล้นรถตู้สายยะลา-หาดใหญ่ พื้นที่บ้านปาโจ ม.2 ต.ลำใหม่ อ.เมือง จ.ยะลา นำไปก่อเหตุลอบวางระเบิดในพื้นที่ อ.เบตง จ.ยะลา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม2557 เป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ก่อนที่คนร้ายจะนำรถตู้มาจอดทิ้งไว้ริมทางหลวงหมายเลข 410 (ยะลา-เบตง) รอยต่อ อ.ธารโต จ.ยะลา



         นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้ใช้กฎอัยการศึก เชิญตัว นายบูดีมัน สิแล อายุ30 ปี ซึ่งเป็นน้องชายของ นายอารีดิน สิแล เข้ากระบวนการซักถามขั้นต้นที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 33อ.บันนังสตา จ.ยะลา พร้อมนำตัวไปลงบันทึกประจำวันที่ สภ.บันนังสตา และนำตัวส่งหน่วยซักถามที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 ต.วังพญา อ.รามัน จ.ยะลา

ดับไฟใต้..ด้วยแนวทาง‘สันติวิธี’





             ความไม่สงบในภาคใต้นั้นมีรากเหง้าความเป็นมาจากอดีตที่สั่งสมสืบทอดกันมานับศตวรรษ แต่นั่นก็ ไม่สำคัญเท่ากับสภาวการณ์ในปัจจุบันซึ่งสร้างความทุกข์ยากและความอึดอัดคับข้องใจด้วยสาเหตุทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการศึกษา อำนาจรัฐที่รวมศูนย์และไม่สามารถให้ความยุติธรรมตลอดจนสวัสดิภาพ แก่ประชาชนก็ดี วัฒนธรรมจากส่วนกลางที่นิยามความเป็นไทยอย่างคับแคบจนปฏิเสธวัฒนธรรมท้องถิ่น ก็ดี กลุ่มทุนและธุรกิจอิทธิพลที่ร่วมกับหน่วยงานรัฐในการแย่งชิงทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่นก็ดี เหล่านี้ล้วนเป็นเงื่อนไขให้หน่วยงานรัฐสูญเสียความสนับสนุนจากประชาชน ขณะเดียวกันก็ขยายแนวร่วมให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนมากขึ้น พร้อมกันนั้นอำนาจรัฐที่ถดถอยก็เปิดพื้นที่ให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลสามารถเคลื่อนไหวและสร้างสถานการณ์ได้ง่ายขึ้น
         การดับไฟใต้ด้วยสันติวิธีหมายถึงการสลายแนวร่วมของผู้ก่อความไม่สงบ และดียิ่งกว่านั้นก็คือ ดึงประชาชนเหล่านั้นมาเป็นแนวร่วมของรัฐแทน จะทำเช่นนั้นได้การทำงานกับมวลชนเป็นสิ่งสำคัญ เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องได้รับการฝึกฝนให้พูดภาษามลายูท้องถิ่น เข้าใจพื้นฐานของศาสนาอิสลามและธรรมเนียมปฏิบัติของประชาชน สามารถดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับรัฐ ตั้งแต่ระดับการตัดสินใจ โดยเฉพาะในสิ่งที่จะมีผลกระทบต่อประชาชน อาทิ จัดตั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจสังคมโดยมีผู้นำท้องถิ่นและผู้นำศาสนามาร่วมเป็นกรรมการ ทั้งในระดับจังหวัดลงไปถึงระดับตำบล โดยไม่ให้ซ้ำซ้อนกับ อบต. หรือคณะกรรมการสันติสุขชุมชน ซึ่งทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน สร้างความสมานฉันท์ในชุมชน รวมทั้งดูแลรักษา ความปลอดภัยร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านหรือตำบลไปจนถึงระดับจังหวัด
         ขณะเดียวกัน การให้หลักประกันทางด้านความยุติธรรมแก่ประชาชนก็จะต้องมีมาตรการที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่กระทำด้วยการออกคำสั่งหรือเอ่ยปาก “กำชับ” เจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น มาตรการที่เป็นรูปธรรมได้แก่ การจัดตั้งคณะกรรมการดูแลกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม คณะกรรมการติดตามการพิจารณาคดีความต่าง ๆ ที่มีเงื่อนงำ คณะกรรมการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิประชาชน ศูนย์รวบรวมข้อมูลผู้สูญหายหรือถูกสันนิษฐานว่าถูกอุ้มฆ่า ทั้งนี้โดยประกอบด้วยบุคคลในพื้นที่ที่ได้รับการยอมรับ ในความซื่อสัตย์สุจริต มีอำนาจในการตรวจสอบการทำงานของรัฐ และเสนอรายงานต่อนายกรัฐมนตรี และผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
          สันติวิธีจะได้ผลต้องอาศัยความอดทนเพราะมักไม่ให้ผลทันทีทันใด เนื่องจากไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ให้ผลในระยะยาวและยั่งยืนกว่า ในขณะที่วิธีรุนแรงนั้นดูเหมือนให้ผลทันใจ เพราะเห็น “ผู้ร้าย” ตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ปัญหาหาได้หมดไปไม่ ความรุนแรงยังคงอยู่ต่อไปและ “ผู้ร้าย” ก็ยังเกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะรากเหง้ายังคงอยู่ วิธีรุนแรงไม่ได้ช่วยให้ปัญหาสงบลงอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามมักสงบลงช้ากว่าการแก้ด้วยสันติวิธีเสียอีก และในที่สุดก็หนีไม่พ้นที่ทุกฝ่ายจะต้องหันมาขึ้นโต๊ะเจรจาแทน เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนไม่น้อยมีความอดทนอย่างยิ่ง และพร้อมใช้สันติวิธีเพื่อเอาชนะใจประชาชน นี้คือต้นทุนที่สำคัญยิ่งของสังคมไทย ปัญหาอยู่ที่ว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะใช้สันติวิธีเพียงใด และกล้าคิดนอกกรอบหรือไม่ ถ้าหากรัฐบาลมีความมุ่งมั่นและกล้าคิดกล้าทำนอกกรอบ ขณะเดียวกันประชาชนทั่ว ทั้งประเทศก็สนับสนุน การดับไฟใต้ด้วยสันติวิธีย่อมเป็นอันหวังได้อย่างแน่นอน
          ความไม่สงบในภาคใต้นั้นมีรากเหง้าความเป็นมาจากอดีตที่สั่งสมสืบทอดกันมานับศตวรรษ แต่นั่นก็ ไม่สำคัญเท่ากับสภาวการณ์ในปัจจุบันซึ่งสร้างความทุกข์ยากและความอึดอัดคับข้องใจด้วยสาเหตุทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการศึกษา อำนาจรัฐที่รวมศูนย์และไม่สามารถให้ความยุติธรรมตลอดจนสวัสดิภาพ แก่ประชาชนก็ดี วัฒนธรรมจากส่วนกลางที่นิยามความเป็นไทยอย่างคับแคบจนปฏิเสธวัฒนธรรมท้องถิ่น ก็ดี กลุ่มทุนและธุรกิจอิทธิพลที่ร่วมกับหน่วยงานรัฐในการแย่งชิงทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่นก็ดี เหล่านี้ล้วนเป็นเงื่อนไขให้หน่วยงานรัฐสูญเสียความสนับสนุนจากประชาชน ขณะเดียวกันก็ขยายแนวร่วมให้แก่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนมากขึ้น พร้อมกันนั้นอำนาจรัฐที่ถดถอยก็เปิดพื้นที่ให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลสามารถเคลื่อนไหวและสร้างสถานการณ์ได้ง่ายขึ้น
          การดับไฟใต้ด้วยสันติวิธีหมายถึงการสลายแนวร่วมของผู้ก่อความไม่สงบ และดียิ่งกว่านั้นก็คือ ดึงประชาชนเหล่านั้นมาเป็นแนวร่วมของรัฐแทน จะทำเช่นนั้นได้การทำงานกับมวลชนเป็นสิ่งสำคัญ เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องได้รับการฝึกฝนให้พูดภาษามลายูท้องถิ่น เข้าใจพื้นฐานของศาสนาอิสลามและธรรมเนียมปฏิบัติของประชาชน สามารถดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับรัฐ ตั้งแต่ระดับการตัดสินใจ โดยเฉพาะในสิ่งที่จะมีผลกระทบต่อประชาชน อาทิ จัดตั้งสภาพัฒนาเศรษฐกิจสังคมโดยมีผู้นำท้องถิ่นและผู้นำศาสนามาร่วมเป็นกรรมการ ทั้งในระดับจังหวัดลงไปถึงระดับตำบล โดยไม่ให้ซ้ำซ้อนกับ อบต. หรือคณะกรรมการสันติสุขชุมชน ซึ่งทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้าน สร้างความสมานฉันท์ในชุมชน รวมทั้งดูแลรักษา ความปลอดภัยร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้านหรือตำบลไปจนถึงระดับจังหวัด
           ขณะเดียวกัน การให้หลักประกันทางด้านความยุติธรรมแก่ประชาชนก็จะต้องมีมาตรการที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่กระทำด้วยการออกคำสั่งหรือเอ่ยปาก “กำชับ” เจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น มาตรการที่เป็นรูปธรรมได้แก่ การจัดตั้งคณะกรรมการดูแลกระบวนการยุติธรรมให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม คณะกรรมการติดตามการพิจารณาคดีความต่าง ๆ ที่มีเงื่อนงำ คณะกรรมการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิประชาชน ศูนย์รวบรวมข้อมูลผู้สูญหายหรือถูกสันนิษฐานว่าถูกอุ้มฆ่า ทั้งนี้โดยประกอบด้วยบุคคลในพื้นที่ที่ได้รับการยอมรับ ในความซื่อสัตย์สุจริต มีอำนาจในการตรวจสอบการทำงานของรัฐ และเสนอรายงานต่อนายกรัฐมนตรี และผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น สันติวิธีจะได้ผลต้องอาศัยความอดทนเพราะมักไม่ให้ผลทันทีทันใด เนื่องจากไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ให้ผลในระยะยาวและยั่งยืนกว่า ในขณะที่วิธีรุนแรงนั้นดูเหมือนให้ผลทันใจ เพราะเห็น “ผู้ร้าย” ตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ปัญหาหาได้หมดไปไม่ ความรุนแรงยังคงอยู่ต่อไปและ “ผู้ร้าย” ก็ยังเกิดขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะรากเหง้ายังคงอยู่ วิธีรุนแรงไม่ได้ช่วยให้ปัญหาสงบลงอย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามมักสงบลงช้ากว่าการแก้ด้วยสันติวิธีเสียอีก
        และในที่สุดก็หนีไม่พ้นที่ทุกฝ่ายจะต้องหันมาขึ้นโต๊ะเจรจาแทน เจ้าหน้าที่รัฐจำนวนไม่น้อยมีความอดทนอย่างยิ่ง และพร้อมใช้สันติวิธีเพื่อเอาชนะใจประชาชน นี้คือต้นทุนที่สำคัญยิ่งของสังคมไทย ปัญหาอยู่ที่ว่ารัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะใช้สันติวิธีเพียงใด และกล้าคิดนอกกรอบหรือไม่ ถ้าหากรัฐบาลมีความมุ่งมั่นและกล้าคิดกล้าทำนอกกรอบ ขณะเดียวกันประชาชนทั่ว ทั้งประเทศก็สนับสนุน การดับไฟใต้ด้วยสันติวิธีย่อมเป็นความหวังได้อย่างแน่นอน.

วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560

มาเลเซียให้ที่อยุ่ “ซากิร ไนค์” ผู้ต้องหาก่อการร้าย และฟอกเงิน



สำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดียกล่าวว่าจะติดต่อตำรวจสากลเพื่อขอความช่วยเหลือในการจับกุม “นายซากิร ไนค์” ที่ถูกข้อหาก่อการร้ายและฟอกเงิน
เว็บไซต์ freemalaysiatoday รายงานว่า ศาลประเทศอินเดียได้ออกหมายจับที่ไม่สามารถประกันตัวได้เป็นครั้งที่สองเพื่อจับกุมตัว นายซากิร ไนค์ นักเผยแพร่ศาสนาและนักเทศน์
เจ้าหน้าที่อินเดียต้องการสอบสวนเขาเกี่ยวเนื่องกับบทบาทที่เขาถูกกล่าวหาในคดีที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายและข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการฟอกเงิน
ศาลอินเดียได้ออกหมายจับตามคำร้องขอโดยสำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดีย (NIA) อินเดียเอ็กซ์เพรสรายงาน
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ศาลอินเดียอีกศาลหนึ่งซึ่งเป็นศาลพิเศษด้านการป้องกันการฟอกเงินได้ออกหมายจับที่ไม่สามารถประกันตัวอีกครั้งต่อ “ซากิร ไนค์” ในคดีฟอกเงินที่ฟ้องโดยคณะกรรมการด้านการป้องกันและปรามปราม (Enforcement Directorate)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาสำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดียบอกผู้พิพากษาพิเศษว่า “ซากิร ไนค์” ได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม

ปัจจุบัน “ซากิร ไนค์” อาศัยอยู่ในมาเลเซีย เขาได้รับสถานะพำนักถาวรโดยรัฐบาลมาเลเซียเมื่อห้าปีก่อน
ตามรายงานของอินเดียเอ็กซ์เพรส สำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดียอ้างว่าจากการสืบสวนได้บ่งชัดว่า “ซากิร ไนค์” เคย “ส่งเสริมและช่วยเหลือ” ลูกศิษย์ของเขาผ่านการพูดในที่สาธารณะ การบรรยาย และการพูดคุย เพื่อสร้างกความขัดแย้งระหว่างชุมชนและกลุ่มศาสนาที่แตกต่างกัน
ตามรายงานของเอ็นดีทีวี (NDTV) ระบุว่า  สำนักงานสืบสวนแห่งชาติอินเดียจะขอความช่วยเหลือจากตำรวจสากลเพื่อพาตัว “ซากิร ไนค์” กลับไปอินเดีย
รายงานระบุว่า หลังการโจมตีจากการก่อการร้ายในกรุงธากา เมืองหลวงบังคลาเทศเมื่อปีที่แล้วซึ่งผู้ต้องหาคนหนึ่งถูกอ้างว่าได้รับอิทธิพลจากซากิร ไนค์ กระทรวงการต่างประเทศก็ได้ยื่นฟ้องนายซากิร ไนค์ และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ของมูลนิธิวิจัยอิสลาม (Islamic Research Foundation – IRF) ของเขาซึ่งอยู่ในเมืองมุมไบ
รายงานระบุว่า ซากิร ไนค์ ได้เดินทางไปต่างประเทศในช่วงเวลานั้น และตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้เดินทางกลับประเทศอินเดียเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมตามข้อกล่าวหาต่างๆ รวมทั้งกิจกรรมก่อการร้ายและการฟอกเงิน
เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียได้ประกาศว่า มูลนิธิ IRF ของเขาเป็นองค์กรเครือข่ายก่อการร้าย
ซากิร ไนค์ ที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในประเทศมาเลเซียถูกต่อต้านโดยกลุ่มต่างๆ หลายกลุ่มที่บอกว่า คำสอนและคำพูดของเขาจะสร้างความแตกแยกในสังคมมาเลเซียที่มีผู้คนหลายเชื้อชาติ
ชาวมาเลเซียเพิ่งรู้เมื่อวันอังคาร (18 เมษายน) ว่า ซากิร ไนค์ ได้รับสถานะผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรในมาเลเซีย ซึ่งตามมาด้วยแรงกดดันจากกลุ่ม Hindraf ซึ่งเป็นกลุ่มด้านสิทธิของชนกลุ่มน้อยชาวอินเดียในมาเลเซีย และกลุ่มอื่นๆ ที่ได้มีการไปยื่นคำร้องต่อศาล
ชาวมาเลเซีย 19 คน ซึ่งรวมถึงประธานของ Hindraf นายพี เวธามูร์ตี้ (P Waythamoorthy) และทนายความ ซิติ กาซิม (Siti Kasim) เพิ่งยื่นฟ้องรัฐบาลในกล่าวหาว่า ปิดบังซ่อนเร้นให้ที่พักแก่ผู้กระทำผิด
พวกเขาอ้างว่า นักเทศน์ซึ่งเป็นพลเมืองของอินเดียมีความสามารถในการคุกคามความมั่นคงและความสามัคคีของชาติ
อย่างไรก็ตาม ชาวมุสลิมบางกลุ่มในมาเลเซียได้ให้การสนับสนุนเขา โดยกล่าวว่าการที่รัฐบาลมาเลเซียอนุญาตให้ ซากิร ไนค์ เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรนั้นเป็นสิ่งชอบธรรม

วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560

หื่น จูบได้ไม่ผิด สังคมวิปริต ลัทธิวิปริต ความเห็นวิปลาศ






ให้คนกลาง ๆ อย่าง Google แปลให้




ถอดความ


เมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้มีอำนาจออก fatwa - การตีความกฎของอิสลามซึ่งก่อให้เกิดการถกเถียงกันอย่างรุนแรง เมื่อ มีคำถามจากผู้ศรัทธา Diyanet ตอบว่าจากมุมมองของอิสลาม ไม่มีผลกระทบต่อการแต่งงาน "ถ้าพ่อจูบลูกสาวของเขาด้วยความปรารถนา"
  นอกจากนี้ยังเป็นไปตาม Diyanet ไม่มีบาป "ถ้าพ่อมองลูกสาวของเขาและรู้สึกตัณหา." อย่างไรก็ตาม ลูกสาวต้องมีอายุเกินเก้าขวบ  
fatwa นี้มาไม่นานหลังจาก fatwa อื่นจาก Diyanet ซึ่งกล่าวว่า
" คู่สมรสไม่ควรจับมือเพราะอาจนำไปสู่สิ่งอื่น ๆ สิ่งที่ haram (ผิดกฎหมาย) ในศาสนาอิสลาม
ในบางประเทศอาจทำให้คนที่เป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผลที่จะปาก้อนหิน ขว้างปาไปที่คู่สามีภรรยาจนกว่าจะถึงแก่ความตาย"   การนำสอง fatwas ล่าสุดมารวมเข้าด้วยกัน จะให้มุมมองของเรื่องเพศในศาสนาอิสลามที่สมบูรณ์ จะทำให้ศาสนาอิสลามเป็นเรื่องโกหก หลอกลวง และเป็นศาสนาที่น่าขยะแขยง ในสาสยตาของชาวตะวันตก
  "ผิดพลาดในการแปล" ถือเป็นเรื่องปกติ ที่ fatwa ทั้งสองนี้ เป็นเหตุให้ความชั่วร้ายในโลกออนไลน์ รุมกระหน่ำโจมตีอิสลาม แม้ว่า fatwa ดังกล่าวซึ่งอ้างว่าถูกลบออกไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีการเผยแพร่ fatwa ดังกล่าวอยู่ต่อไป เนื่องจากผู้คนในโลกออนไลน์ ที่ได้มาพบเห็นได้คัดลอกข้อความเหล่านี้ไว้ และนำไปเผยแพร่ต่อ   ขณะนี้หัวหน้า Diyanet, Mehmet Görmez พยายามแก้ไขเรื่องอื้อฉาวและหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์เบี่ยงเบน ในการให้สัมภาษณ์จากผู้ประกาศข่าว TRT ของตุรกี ซึ่งกล่าวว่า "การตีความเรื่องราวดังกล่าว ถือเป็นความผิดพลาดที่น่าเศร้า ในการแปลความภาษาอาหรับ !   คำตอบใหม่สำหรับคำถามของพ่อและลูกสาวตอนนี้อ่านตาม Diyanet กล่าวว่า การร่วมเพศเป็น "ความผิดปรกติทางพยาธิวิทยา"   มีปัญหาเพียงอย่างเดียวซึ่งทุกคน (อย่างน้อยก็ในตุรกี) รู้ บุคคลซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาที่ Diyanet สามารถใช้ภาษาอาหรับได้อย่างคล่องแคล่ว พวกเขาไม่เคยทำผิดพลาดในการแปลเช่นนี้เลย และนั่นก็เป็น สิ่งที่คนเหล่านี้ ต้องพยายามหาเหตุผลแก้ตัวบางอย่างและนี่ อาจเป็นปัญหาที่พวกเขาอาจจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างการประชุมระดมความคิดของนักบวชอย่างเร่งด่วน

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม