วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ผู้ทำร้ายครู เขาเหล่านั้นหาใช่อิสลามไม่

ผู้ทำร้ายครู เขาเหล่านั้นหาใช่อิสลามไม่

         

          การเสียชีวิตของนางสาวฉัตรสุดา นิลสุวรรณ ครูโรงเรียนบ้านยาโงะ  อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส  นับเป็นเหตุคร่าชีวิตครูผู้หญิงรายที่ 2 ในรอบ 12 วัน เนื่องจากเมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ ผ่านมา เพิ่งจะเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสังหาร นางนันทนา แก้วจันทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่ากำชำ    อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เสียชีวิตขณะขับรถยนต์ออกจากโรงเรียนเพื่อเดินทางกลับบ้าน จนทำให้สมาพันธ์ครูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องประกาศปิดการเรียนการสอน โรงเรียนกว่า 300 แห่งใน จ.ปัตตานี อย่างไม่มีกำหนด เพื่อกดดันให้รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงปรับแผนรักษาความปลอดภัยครูให้รัดกุม กว่าที่เป็นอยู่  จนเมื่อมีการประชุมหารือกับฝ่ายความมั่นคงจนเป็นที่พอใจจึงได้ประกาศเปิดการ เรียนการสอนอีกครั้งเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา  แต่แล้วผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งเป็นฝ่ายจ้องกระทำก็ก่อเหตุยิงครูซ้ำขึ้นอีก ครั้ง
 
การก่อเหตุซ้ำซ้อนในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงยังตั้งตัวไม่ติด อีกครั้งนี้  แน่นอนว่าย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงบรรดาครูน้อยใหญ่ผู้ที่ยังมุ่งมั่น ที่จะสั่งสอนให้เด็กนักเรียนที่นี่ให้มีความรู้ต่อไป  

จากการก่อเหตุร้ายที่ไม่สามารถคาดเดาจิตใจที่ไร้มนุษยธรรม ของผู้ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์ได้ว่า พวกเขาคิดทำเรื่องเลวทรามนี้ได้อย่างไร  ได้สร้างความสลดใจให้กับผู้ที่ได้รับรู้ข่าวทั้งในและต่างประเทศ จนหลายฝ่ายต่างออกมาประณามการกระทำที่มิได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมโดยรวม นี้โดยถ้วนหน้า   เพราะไม่มีสนามรบใดเลยในโลกนี้ที่ฝ่ายผู้ต่อต้านรัฐฯ จะกระทำต่อครูผู้ซึ่งเป็นผู้ให้ความรู้หรือแม้กระทั่งพระสงฆ์ซึ่งเป็นนัก บวช  


นอกจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่กล้าเรียกตัวเองว่านักรบ   ที่สร้างความเดือนร้อนอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทยในเวลานี้....เท่านั้น  

และเช่นเคยเสมอ มาที่ยังไม่มีองค์กรภาคประชาสังคมใดออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ครูที่ เสียชีวิตไปเลย  แม้แต่มูลนิธิผสานวัฒนธรรมที่มักออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านกระบวนการมุ่งสู่ สันติภาพของฝ่ายความมั่นคงและ ศอ.บต. ในทุกกรณีก็ยังคงวางตัวนิ่งเฉย  ซึ่งกรณีนี้อยากฝากไว้ให้คิดว่าเหตุผลที่นิ่งเงียบคืออะไร

ด้านฝ่ายผู้นำศาสนา ท่านฮัญยีแวดือราแม  มะมิงจิ  ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานียังได้ออกมากล่าวถึงการกระทำของผู้ก่อ เหตุรุนแรงเหล่านี้ว่าเป็นพวกที่บิดเบือนศาสนาและไม่ใช่ผู้ที่เรียกตัวเอง ว่าเป็นอิสลาม โดยเฉพาะการบิดเบือนคำสอนอันดีงามของศาสนาอิสลามว่าการทำร้ายคนต่างศาสนา เป็นสิ่งที่ไม่ผิดนั้นยิ่งเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์

เพราะความสำคัญของครูในทัศนะอิสลามจากท่านอะบีอุมาอะมะฮ์  ท่านนบีกล่าวว่า “แท้ จริงอัลลอฮฺ บรรดามะลาอิกะฮฺของพระองค์และชาวฟ้าและแผ่นดิน  จนแม้กระทั่งมดในรูของมันและแม้กระทั่งปลา  ต่างก็ปราสาทพรแก่ครูผู้ที่สอนมนุษย์ทั้งหลายให้ประสบความดี”  และเพราะ ครูคือผู้ให้  ครูคือผู้เติมเต็ม  ครูคือผู้มีเมตตา  ดังนั้นอาชีพครูจึงเป็นอาชีพที่มีเกียรติ  ท่านนบี (ซ.ล.) นั้นให้เกียรติผู้ที่ทำหน้าที่ครู  แม้ว่าจะเป็นคนต่างศาสนานิกหรือศัตรู  ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ  ท่านได้ไถ่ตัวเชลยศึกในสงครามบะดัร 
 
ซึ่งเป็นมุชริกีนชาวมักกะฮฺ  โดยให้เป็นครูสอนเด็กมุสลิมชาวนครมะดีนะฮฺจำนวนสิบคน  แบบอย่างของท่านนบีฯ (ซ.ล.) นี้เป็นแบบอย่างที่งดงามที่มุสลิมทุกคนควรตระหนัก  หากมุสลิมได้ตระหนักแล้ว  กรณีการฆ่าครูหรือทำร้ายครูในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คงจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน

แต่แม้ว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับครูนับตั้งแต่เกิด สถานการณ์ในปี 47 เป็นต้นมาจะทำให้ครูต้องสังเวยชีวิตไปเป็นรายที่ 155 แล้วก็ตาม  ยังไม่ปรากฏว่าครูในพื้นที่จะมีการขอย้ายออกนอกพื้นที่แต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามครูกับยังคงอดทนทำหน้าที่อย่างเสียสละ  ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากอุดมการณ์ที่แน่วแน่ในฐานะแม่พิมพ์ของชาติ  และส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือ  ครูก็คือผู้ที่เกิดและเติบโตมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้  พื้นที่ที่เหล่านักรบขี้ขลาดที่ทำร้ายได้แม้คนไม่มีทางสู้เรียกว่า  “แผ่นดินมลายู”  เพราะครูก็คือลูกหลานคนไทยเชื้อสายมลายูที่เกิดและโตในแผ่นดินนี้ที่ต่างกัน เพียงความเชื่อถือศรัทธาเท่านั้น

คำถามคือสิ่ง ที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงทำกับครู ซึ่งก็คือลูกหลานมลายูนั้นมันถูกต้องและยุติธรรมแล้วหรือ  พี่น้องมลายูเห็นด้วยหรืออย่างไรว่า  การกระทำที่ชั่วช้าของผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งขัดต่อคำสอนอันดีงามของท่านนบีฯ (ซ.ล.) นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร  ในฐานะที่ได้ติดตามสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนมาโดยตลอดขอเป็นกำลังใจให้ครูใน จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกท่านได้รักษาความเสียสละ  มุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่เป็นแม่พิมพ์ของชาติและเป็นข้าราชการที่ ดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ  และของแผ่นดินไทยไว้ให้ได้อย่างมั่นคง  ซึ่งนั้นคงเป็นความต้องการของพ่อแม่ผู้ปกครองและความใฝ่ฝันของเด็กนักเรียน ในพื้นที่นี้ทุกคนด้วย

เพราะในส่วนของผู้ก่อเหตุรุนแรงแล้ว  จากการกระทำที่ขัดกับหลักศาสนาราวฟ้ากับเหวโดยไม่สนใจคุณธรรมความถูกต้องของ เขาเหล่านั้น  ตามหลักศาสนาแล้วพี่น้องมุสลิมทุกคนทราบดีว่าพวกเขาคือผู้ที่ “ตกศาสนา” ไปแล้ว  และพวกเขาเหล่านั้นหาใช่อิสลามไม่
---------------------------------------------
 
ซอเก๊าะ   นิรนาม
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม