การเสียชีวิตของนางสาวฉัตรสุดา นิลสุวรรณ ครูโรงเรียนบ้านยาโงะ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส นับเป็นเหตุคร่าชีวิตครูผู้หญิงรายที่ 2 ในรอบ 12 วัน เนื่องจากเมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่
ผ่านมา เพิ่งจะเกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสังหาร นางนันทนา แก้วจันทร์
ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านท่ากำชำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
เสียชีวิตขณะขับรถยนต์ออกจากโรงเรียนเพื่อเดินทางกลับบ้าน
จนทำให้สมาพันธ์ครูสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องประกาศปิดการเรียนการสอน
โรงเรียนกว่า 300 แห่งใน จ.ปัตตานี
อย่างไม่มีกำหนด
เพื่อกดดันให้รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงปรับแผนรักษาความปลอดภัยครูให้รัดกุม
กว่าที่เป็นอยู่
จนเมื่อมีการประชุมหารือกับฝ่ายความมั่นคงจนเป็นที่พอใจจึงได้ประกาศเปิดการ
เรียนการสอนอีกครั้งเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา
แต่แล้วผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งเป็นฝ่ายจ้องกระทำก็ก่อเหตุยิงครูซ้ำขึ้นอีก
ครั้ง
การก่อเหตุซ้ำซ้อนในขณะที่ฝ่ายความมั่นคงยังตั้งตัวไม่ติด
อีกครั้งนี้
แน่นอนว่าย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนไปถึงบรรดาครูน้อยใหญ่ผู้ที่ยังมุ่งมั่น
ที่จะสั่งสอนให้เด็กนักเรียนที่นี่ให้มีความรู้ต่อไป
จากการก่อเหตุร้ายที่ไม่สามารถคาดเดาจิตใจที่ไร้มนุษยธรรม
ของผู้ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์ได้ว่า
พวกเขาคิดทำเรื่องเลวทรามนี้ได้อย่างไร
ได้สร้างความสลดใจให้กับผู้ที่ได้รับรู้ข่าวทั้งในและต่างประเทศ
จนหลายฝ่ายต่างออกมาประณามการกระทำที่มิได้คำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมโดยรวม
นี้โดยถ้วนหน้า เพราะไม่มีสนามรบใดเลยในโลกนี้ที่ฝ่ายผู้ต่อต้านรัฐฯ
จะกระทำต่อครูผู้ซึ่งเป็นผู้ให้ความรู้หรือแม้กระทั่งพระสงฆ์ซึ่งเป็นนัก
บวช
นอกจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่กล้าเรียกตัวเองว่านักรบ ที่สร้างความเดือนร้อนอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทยในเวลานี้....เท่านั้น
และเช่นเคยเสมอ
มาที่ยังไม่มีองค์กรภาคประชาสังคมใดออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ครูที่
เสียชีวิตไปเลย
แม้แต่มูลนิธิผสานวัฒนธรรมที่มักออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านกระบวนการมุ่งสู่
สันติภาพของฝ่ายความมั่นคงและ ศอ.บต. ในทุกกรณีก็ยังคงวางตัวนิ่งเฉย
ซึ่งกรณีนี้อยากฝากไว้ให้คิดว่าเหตุผลที่นิ่งเงียบคืออะไร
ด้านฝ่ายผู้นำศาสนา ท่านฮัญยีแวดือราแม มะมิงจิ
ประธานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานียังได้ออกมากล่าวถึงการกระทำของผู้ก่อ
เหตุรุนแรงเหล่านี้ว่าเป็นพวกที่บิดเบือนศาสนาและไม่ใช่ผู้ที่เรียกตัวเอง
ว่าเป็นอิสลาม
โดยเฉพาะการบิดเบือนคำสอนอันดีงามของศาสนาอิสลามว่าการทำร้ายคนต่างศาสนา
เป็นสิ่งที่ไม่ผิดนั้นยิ่งเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์
เพราะความสำคัญของครูในทัศนะอิสลามจากท่านอะบีอุมาอะมะฮ์ ท่านนบีกล่าวว่า “แท้
จริงอัลลอฮฺ บรรดามะลาอิกะฮฺของพระองค์และชาวฟ้าและแผ่นดิน
จนแม้กระทั่งมดในรูของมันและแม้กระทั่งปลา
ต่างก็ปราสาทพรแก่ครูผู้ที่สอนมนุษย์ทั้งหลายให้ประสบความดี” และเพราะ
ครูคือผู้ให้ ครูคือผู้เติมเต็ม ครูคือผู้มีเมตตา
ดังนั้นอาชีพครูจึงเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ท่านนบี (ซ.ล.)
นั้นให้เกียรติผู้ที่ทำหน้าที่ครู แม้ว่าจะเป็นคนต่างศาสนานิกหรือศัตรู
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ท่านได้ไถ่ตัวเชลยศึกในสงครามบะดัร
ซึ่งเป็นมุชริกีนชาวมักกะฮฺ โดยให้เป็นครูสอนเด็กมุสลิมชาวนครมะดีนะฮฺจำนวนสิบคน แบบอย่างของท่านนบีฯ (ซ.ล.) นี้เป็นแบบอย่างที่งดงามที่มุสลิมทุกคนควรตระหนัก หากมุสลิมได้ตระหนักแล้ว กรณีการฆ่าครูหรือทำร้ายครูในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้คงจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน
แต่แม้ว่าเหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับครูนับตั้งแต่เกิด
สถานการณ์ในปี 47 เป็นต้นมาจะทำให้ครูต้องสังเวยชีวิตไปเป็นรายที่ 155
แล้วก็ตาม
ยังไม่ปรากฏว่าครูในพื้นที่จะมีการขอย้ายออกนอกพื้นที่แต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้ามครูกับยังคงอดทนทำหน้าที่อย่างเสียสละ
ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากอุดมการณ์ที่แน่วแน่ในฐานะแม่พิมพ์ของชาติ
และส่วนหนึ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันคือ
ครูก็คือผู้ที่เกิดและเติบโตมาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้
พื้นที่ที่เหล่านักรบขี้ขลาดที่ทำร้ายได้แม้คนไม่มีทางสู้เรียกว่า
“แผ่นดินมลายู”
เพราะครูก็คือลูกหลานคนไทยเชื้อสายมลายูที่เกิดและโตในแผ่นดินนี้ที่ต่างกัน
เพียงความเชื่อถือศรัทธาเท่านั้น
คำถามคือสิ่ง
ที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงทำกับครู
ซึ่งก็คือลูกหลานมลายูนั้นมันถูกต้องและยุติธรรมแล้วหรือ
พี่น้องมลายูเห็นด้วยหรืออย่างไรว่า
การกระทำที่ชั่วช้าของผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งขัดต่อคำสอนอันดีงามของท่านนบีฯ
(ซ.ล.) นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร
ในฐานะที่ได้ติดตามสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนมาโดยตลอดขอเป็นกำลังใจให้ครูใน
จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกท่านได้รักษาความเสียสละ
มุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฏิบัติหน้าที่เป็นแม่พิมพ์ของชาติและเป็นข้าราชการที่
ดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และของแผ่นดินไทยไว้ให้ได้อย่างมั่นคง
ซึ่งนั้นคงเป็นความต้องการของพ่อแม่ผู้ปกครองและความใฝ่ฝันของเด็กนักเรียน
ในพื้นที่นี้ทุกคนด้วย
เพราะในส่วนของผู้ก่อเหตุรุนแรงแล้ว
จากการกระทำที่ขัดกับหลักศาสนาราวฟ้ากับเหวโดยไม่สนใจคุณธรรมความถูกต้องของ
เขาเหล่านั้น ตามหลักศาสนาแล้วพี่น้องมุสลิมทุกคนทราบดีว่าพวกเขาคือผู้ที่
“ตกศาสนา” ไปแล้ว และพวกเขาเหล่านั้นหาใช่อิสลามไม่
---------------------------------------------
ซอเก๊าะ นิรนาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น