วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

องค์กรชาวพุทธ เข้าพบประธานสภา


องค์กรชาวพุทธ เข้าพบประธานสภา
องค์กรชาวพุทธ เข้าพบประธานสภา

              องค์กรชาวพุทธ นำโดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลกรณราชวิทยาลัย เข้าพบ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแสดงความยินดีในการเข้ารับตำแหน่ง และได้หารือเรื่องการผลักดัน พระราชบัญญัติที่จะมาส่งเสริมพระคุ้มครองพระพุทธศานา

         เมื่อวันที่ ๒๖ ส.ค. ๒๕๕๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. พระครูปลัดสุวัฒนจริยคุณ รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแผ่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลกรณราชวิทยาลัย นำคณะผู้บริหารและคณาจารย์ เข้าพบ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งในครั้งนี้ พล.อ.ดร.ธงชัย  เกื้อสกุล รองประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย พร้อมคณะกรรมการบริหาร ได้เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย

             โดยคณะทั้งหมดได้แสดงความยินดีที่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้รับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา และได้ลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา ให้ได้ทราบ พร้อมทั้งได้หารือถึงปัญหาของชาวพุทธในขณะนี้ว่าไม่สามารถดำเนินกิจกรรมหลายๆ อย่างได้อย่างเต็มที่เนื่องจากเราไม่มีกฎหมายรองรับ อาทิ การบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ ,พ.ร.บ.คุ้มครองและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา, พ.ร.บ.ธนาคารพระพุทธศาสนา, การนำชาวพุทธไปนมัสการสังเวลนียสถาน ฯลฯ

           ในการเข้าพบครั้งนี้ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้กล่าวขอบพระคุณ พระสงฆ์ และขอบคุณองค์กรชาวพุทธ ที่ได้เมตตาให้กำลังใจในการทำงานซึ่งตนรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่องค์กรชาวพุทธได้มาเยี่ยมในครั้งนี้  และยินดีที่จะช่วยทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่

          "ช่วงที่ผ่านมาหลังจากเกิดการยึดอำนาจในปี ๒๕๔๙ ก็รู้สึกเบื่อการแย่งชิงอำนาจ ตนเองจึงได้ไปอุปสมบทที่ จ.พิษณุโลก และได้ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอย่างจริงจัง โดยอาจารย์ที่สอนวิปัสสนาได้ให้นั่งสมาธิวันละ ๑๐ ชั่วโมง เป็นเวลา๑๐ วัน และห้ามพูดคุยตลอด ๑๐ วัน ทำได้แค่ดูจิตตัวเอง ทำให้สามารถสัมผัสได้ถึงความสงบอันประเสริฐ ในพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และตั้งใจอยู่แล้วว่าจะต้องตอบแทนพระพุทธศาสนา และจะนำหลักปฏิบัติ ในเรื่องของการเจริญสติ ความสงบ และใช้ธรรมะในการทำงาน โดยหลักคิดคือ มารนั้นไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย มารอยู่ในใจเราเท่านั้นเราต้องชนะใจตนเองให้ได้เราก็จะชนะมารข้างนอกได้ด้วย " ประธานสภากล่าว
โดยการเข้าพบในครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่วโมง

ที่มา : ฝ่ายข่าวศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย

http://narater2010.blogspot.com/

ความกลัวทำให้เสื่อม


ความกลัวทำให้เสื่อม
      

       เราชาวพุทธเป็นชนส่วนใหญ่ ของของแผ่นดินนี้ อยู่ด้วยความกลัวตลอดมา จะเอ่ย จะกล่าวถึงการอุปถัมภ์ บำรุง พระพุทธศาสนา ก็ไม่กล้าระบุ ตรงๆ ได้แต่ระบุเพียงคำว่า “ศาสนา”

       พยายามที่บอกว่า กำลังสมานฉันท์ เพื่อกลบเกลื่อนความกลัว  อยากเป็นรัฐบาลจนตัวสั่น กลับร่างนโยบาย ด้วยความกลัว

        แต่นายกฯปูกลับกล้าหาญเกินหญิง จึงได้แก้ไข เพิ่มเติม และระบุคำว่า “พระพุทธศาสนา” กับคำว่า “ศีลธรรม” เมื่อตรวจ พบว่า จะซ้ำรอยความเสื่อม.....


      เพื่อความชัดเจนในความมั่นคงในพระพุทธศาสนาในวินาที สุดท้าย.....
ด้วยใบแทรกในหนังสือ นโยบาย

อ่านใบแทรกนโยบายรัฐบาลที่นายกฯปูแก้ไขด้วยมือตนเอง



http://narater2010.blogspot.com/

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554


คนไทย..ต้องอ่าน...ด่วน(2).......  โดย หอกข้างแคร่
          หลังจากเกิดการจลาจลของคนต่างเชื้อชาติและศาสนาที่คุกนราธิวาส เมื่อประมาณอาทิตย์ที่แล้ว จนต้องมีการอ้อนวอนให้แกนนำนักโทษค้ายาเสพย์ติดที่ไม่เคยเรียกตัวเองว่าคนไทยขึ้นโต๊ะเจรจากับเจ้าเมืองและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ระดมกันไปสุมศรีษะอยู่ที่นั่นจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รออยู่แต่ว่าท่านแม่ทัพของเขาจะประกาศให้คนพวกนี้เป็นผู้หลงผิดเมื่อไร  ....ก็ปรากฏว่ามี mail กระจายว่อนถามว่า อังคณาคือใคร  หอก ข้างแคร่ก็เลยตอบไปว่า ว่าที่ผู้ว่าการรัฐปัตตานีคนแรก ไงล่ะ

             คนไทย สงสัยกันไม๊ว่าทำไม ....  ก็ยุคนี้เป็นยุคผู้หญิงครองเมืองไง ประเทศไทยมียามีล่ะคลุมผ้าแดง  รัฐปัตตานีเขาก็มีอังคณีคลุมผ้าลูกไม้ดำมั่งขาวมั่งไงล่ะ.... คนไทยเป็นพวกยอมซูฮกต่างชาติมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ขอให้ไม่ใช่ชื่อตาสี ตาสา ยายมา ยายมี ละก็ขอให้บอก ประเคนให้เขาหมด  ขนาดเขาปลุกระดมแบ่งแยกดินแดนกันทั้งประเทศ อย่างเปิดเผยและต่อเนื่อง  พี่ไทย เอ๊ย ลูกไล่ไทยยังมองกันตาปริบๆๆ  .....คนไทย และสมานพลังไทย ได้ข่าวว่ากำลังตกใจวัดไทย แต่เด็กไทยไม่มีมีโอกาสได้เข้าเรียน คนต่างเชื้อชาติและศาสนายึคไปหมดแล้วอยู่ที่สะบ้าย้อย ว่าไงดี

           คนไทย  ยังงง อยู่ใช่ไหมงั้นมาลองอ่านข่าวนี้ดู จะตัดบางตอนมาให้อ่าน อยากรู้เพิ่มเติมไปหาอ่านได้ที่สถาบันอิศรา 10 ส.ค.54 หรือสื่อทั้งของเขาและยังไม่ใช่ของเขาอีกหลายสื่อ  เขากำลังโหมเคลื่อนไหวเผยแพร่กันอย่างสุดตัว .... คนไทยอ่านซะ แล้วเตรียมขยับขยายออกจากแผ่นดินไทย ก่อนที่ยามีล่ะคลุมผ้าแดงของเขาจะรับลูก  แต่จะมีที่ให้ซุกหัวนอนที่ไหนกันบ้างก็ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน เพราะต่างชาติจับจองหมดแล้วทั้ง 4 ภาคแล้ว  เอ้าเข้าใจกันซะ


มันโซร์ สาและ : ทวงสัญญารัฐบาลใหม่
เดินหน้ากระจายอำนาจ-ดัน"ปัตตานีมหานคร"

        ……. สำหรับเครือข่ายประชาชนเพื่อพัฒนาการมีส่วนร่วมทางการปกครองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งหนึ่งในแกนนำมีชื่อ มันโซร์ สาและ รองประธานมูลนิธิวัฒนธรรมอิสลาม อยู่ด้วยนั้น พวกเขาไม่ลังเลที่จะผลักดัน ปัตตานีมหานครต่อไป ….         

       ปัตตานีมหานครของเรามีสภาประชาชน และเป็นสภาวิชาชีพอย่างแท้จริง ไม่ใช่สภาที่ปรึกษา มีอำนาจถ่วงดุลผู้ว่าราชการปัตตานีมหานคร  ส่วนผู้ว่าราชการปัตตานีมหานคร เราก็มีเครื่องมือในการกลั่นกรองคุณสมบัติของผู้ที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง  ….

          เราจะยกร่างพระราชบัญญัติฉบับสมบูรณ์ให้เสร็จเรียบร้อยภายในปลายปีนี้ และอาจเสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา (ตามช่องทางรัฐธรรมนูญที่เปิดให้ประชาชนเข้าชื่อกันเสนอกฎหมายได้เอง) ช่วงต้นปีหน้า

          แต่การเคลื่อนไหวผลักดันปัตตานีมหานครไม่ใช่ประเด็นเฉพาะสามจังหวัดชายแดน ภาคใต้ เราเคลื่อนทั่วประเทศในแนวทางของ จังหวัดจัดการตัวเองซึ่งมีหลักการคล้ายกันคือการกระจายอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นปัตตานีมหานคร เชียงใหม่มหานคร ล้วนเป็นหลักการเดียวกัน คือกระจายอำนาจให้ประชาชนชายขอบ

          ขณะเดียวกันเราส่งเสริมการใช้ภาษามลายูควบคู่  ต้องมีการจัดการเรื่องภาษีใหม่ ที่ผ่าน....ไม่เพียงพอสำหรับการพัฒนาท้องถิ่น .....


         เราอยากได้มากกว่านั้น …..


        ของเราจะรวมพื้นที่ 3 จังหวัด ไดแก่ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา คือ อ.จะนะ เทพา สะบ้าย้อย และนาทวี เข้าด้วยกัน เพราะภาพรวมของปัญหาคล้ายคลึงกัน  


 ….  โมเดลที่เราคิดขึ้นนี้ต้องการแก้ที่โครงสร้างของประเทศ ไม่ใช่เฉพาะปัตตานี ... ถ้ารัฐไทยเปลี่ยนแปลงความคิดและนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงได้ ทั้งเชียงใหม่และคนในพื้นที่อื่นๆ ก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย



          เราไม่ได้ทำคนเดียว แต่มีแนวร่วมถึง 40 จังหวัดที่สนับสนุน……
(สถาบันอิศราวันพุธที่ 10 สิงหาคม 2554)

               คนไทย ได้รับุรู้การเคลื่อนไหวแบ่งแยกประเทศไทยทั้งประเทศออกเป็นส่วนๆอย่างเป็นขบวนการและอย่างเปิดเผยโดยคนที่อยู่ในประเทศไทยแต่เรียกแผ่นดินที่เขาอาศัยเกิดว่า " รัฐไทย " แล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง..คนไทยที่อยู่ในแผ่นดินไทย แต่มีคนต่างเชื้อชาติเข้ามายึคครองเป็นคนส่วนใหญ่ก็เตรียมตัวหาลู่ทางอพยพออกจากแผ่นดินไทยตรงนั้นซะ 
....คนไทยที่ระนอง สระแก้ว เป็นต้น...ว่าไงกันดีล่ะ
http://narater2010.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554


มมร. ข้องใจ ปปช.
"เตะถ่วง" คดีหนังพระไตรปิฎก
มมร. ข้องใจ ปปช.

"เตะถ่วง" คดีหนังพระไตรปิฎก


    อืม ! นักการเมืองในคราบผ้าเหลืองก็เป็นเช่นนี้แหละ สงสัยว่าพระเทพปริยัติวิมลคงอยากปลดพระเทพวิสุทธิกวีเต็มแก่ แบบว่าเหม็นขี้หน้าเต็มทนแล้ว จึงให้นายสงกรานต์ออกมาทวง ปปช. ทั้งเช้าทั้งเย็น ว่าเมื่อไหร่จะตัดสินเสียที จะได้ไล่พวกมารคอหอยพ้นจาก มมร. ของกรูไป


    แต่ก็ดีฮะ ฝนไม่ตกไม่รู้เรือนใครรั่ว สมัยก่อนนั้นเล่าลือกันนักว่า พระธรรมยุตเล่นการเมืองเก่ง ขนาดมีพลพรรคแค่ไม่กี่หมื่น ก็สามารถขี่คอมหานิกายซึ่งมีจำนวนตั้งหลายแสน กินตำแหน่งสังฆราชมานานร่วมร้อยปี แต่วันนี้ประชาธิปไตยเบ่งบาน ธรรมยุตเลยหันไปกัดกันเองเป็นการภายใน แต่ถึงยังไงก็ยัง "แซ่บอีหลี" เพราะว่านี่คือของจริง

นิมนต์เดินหน้าเถิดท่าน เอากันให้ตายไปข้างหนึ่ง เรื่องศีลธรรม เมตตาการุณ ฯลฯ อย่าพูดให้เหม็นขี้ปากเลย อ้างเอาคดีอาญายอมความไม่ได้นั่นแหละมาเป็นใบเบิกทางสังหารกัน มันจะแปลกอะไร ในเมื่อยอมเอามหาวิทยาลัยไปอยู่ในกำกับของรัฐ แล้วก็นุ่งผ้าเหลืองกินเงินเดือนเหมือนข้าราชการ แค่ฟ้องร้องนั้นยังน้อยไป ต่อไปถ้าศาลอาญาตัดสินไม่ถูกใจ ก็อาจจะมีรายการส่งมือปืนไปตามเก็บคู่อริก็เป็นได้ เพราะอะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นในโลกใบนี้

   ข่าวเมื่อวานนี้ พระเทพปริยัติวิมล ประกาศทุ่ม 2 พันล้าน จะสร้าง มมร. ศาลายาให้ยิ่งใหญ่ งานนี้รับรองว่า "พระเทพวิสุทธิกวี" จองกฐินข้ามปีกัดไม่ปล่อยแน่ ตรวจสอบยิ่งกว่าส่องพระสมเด็จวัดระฆัง ระวัง อย่าพลาดก็แล้วกัน รับรองว่ากินข้าวแดงแน่ๆ รู้จักมหาเกษมน้อยไปซะแล้ว




เอกายนมรรค - ทางเอก เดินได้คนเดียว

ถ้ามีผม ต้องไม่มีคุณ !
เพราะเก้าอี้อธิการบดีมีเพียงหนึ่งเดียว แบ่งใครไม่ได้




พระเทพปริยัติวิมล วัดบวรนิเวศวิหารอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงฆ์ มมร.

พระเทพวิสุทธิกวี วัดราชาธิวาสรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงฆ์ มมร.




ครือข่ายรวมพลังต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์  ข้องใจ ป.ป.ช. ดองคดี หนังไตรปิฎก

นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายรวมพลังต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ กล่าวว่า ตามที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) ได้สรุปสำนวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแอบอ้างชื่อ มมร.ไปใช้เรี่ยไรเงินเพื่อนำมาจัดสร้างพระไตรปิฎก ฉบับภาพยนตร์ โดยตั้งเป้าในการเรี่ยไรเงินให้ได้ถึง 1,200 ล้านบาท เพื่อนำไปจัดสร้างภาพยนตร์ดังกล่าว แต่ความจริงแล้วภาพยนตร์ดังกล่าวไม่มีการจัดสร้างขึ้นจริง มีเพียงภาพยนตร์ตัวอย่างยาว 30 นาที เท่านั้น ซึ่งทาง มมร.ได้มีการตรวจสอบและพบว่ามีบุคลากรระดับสูงใน มมร. มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย จึงสรุปสำนวนยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไปตั้งแต่ปี 2552 เพื่อขอให้ชี้มูลความผิด และทาง มมร.จะได้ดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไปได้ แต่จนถึงขณะนี้ ป.ป.ช.กลับยังไม่มีความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าว ตนได้ทำหนังสือสอบถามไปแล้ว 1 ครั้ง เรื่องก็ยังเงียบ ดังนั้น วันที่ 19 ส.ค. เวลา 13.00 น. ตนจะไปยื่นหนังสือสอบถามความคืบหน้าเรื่องดังกล่าวอีกครั้ง

นายสงกานต์ กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 7 ก.ย. ทราบมาว่า ทาง ป.ป.ช. จะแถลงผลงานการดำเนินการปราบปรามการทุจริต ตนจึงขอให้ ป.ป.ช. นำเรื่องคดีพระไตรปิฎกฉบับภาพยนตร์มาแถลงความคืบหน้าด้วย เพราะขณะนี้เป็นเวลากว่า 2 ปี แล้ว ป.ป.ช. ยังไม่มีการรายงานความคืบหน้าไปยัง มมร. แต่อย่างใด และหาก ป.ป.ช.ไม่มีการดำเนินการดังกล่าว จะถูกพุทธศาสนิกชนตั้งข้อสงสัยว่าดองคดีดังกล่าวหรือไม่แน่นอน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานภาครัฐและประชาชนจำนวนมากที่หลงเชื่อแล้วบริจาคเงินเพื่อนำไปจัดสร้างภาพยนตร์ดังกล่าว
ความผิดของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องความจริงแล้ว มมร. มีอำนาจในการไล่ออกได้เลย แต่เข้าใจว่าทาง มมร. ต้องการให้มีข้อมูลความผิดที่ชัดเจน จึงต้องยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ชี้มูลความผิดก่อน” นายสงกรานต์ กล่าว.

ข่าว : ไทยรัฐ
20 สิงหาคม 2554
http://narater2010.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554


อีแร้งภูเขาทอง
อีแร้งภูเขาทอง

พระเจดีย์วัดภูเขาทอง กรุงศรีอยุธยา

พระเจดีย์ภูเขาทอง วัดสระเกศ กรุงเทพฯ

   
    วันก่อนบรรยายเรื่องการประหารชีวิตด้วยการตัดคอไปแล้ว วันนี้มีอะไรจะให้ดูอีก เป็นภาพที่ต้องเรียกว่า "หาดูได้ยากจริงๆ" เพราะแม้แต่ผู้เขียนแต่ไหนแต่ไรก็เคยได้ยินได้ฟังแต่คนพูด หรืออ่านเจอสำนวนไทยในหนังสือว่า"แร้งภูเขาทอง" บ้าง "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" บ้าง เด็กสมัยปัจจุบันไปไหว้พระบรมสารีริกธาตุบนบรมบรรพตหรือภูเขาทองวัดสระเกศ เห็นสถานที่ร่มรื่นชื่นตา ไม่มีวี่แววให้เห็นว่าที่นี่เคยเป็นสุสานหรือป่าช้ามาก่อน
  แร้งภูเขาทองหรือแร้งวัดสระเกศเป็นแร้งกลุ่มเดียวกัน คือภูเขาทองนั้นสร้างไว้ในวัดสระเกศ แต่เวลาคนจะเรียกแล้วบางทีก็เรียกเป็นแร้งวัดสระเกศ หรือถ้าจะเอาให้ชัดเจนก็ชี้ขึ้นไปบนยอดดอยซึ่งมีพวกแร้งจับสุมกันอยู่บนนั้นว่า "แร้งภูเขาทอง" เป็นการกำหนดสถานที่ของแร้งให้แคบเข้า
     วัดสระเกศนั้นแต่เดิมท่านว่าชื่อ "วัดสระแก" มีมาแต่สมัยอยุธยาหรือก่อนหน้านั้น ครั้นถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดให้บูรณะขึ้นและให้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดสระเกศ มีความหมายว่าเป็นที่สรงสนานพระเศียร (มุธาภิเษก) เนื่องในคราวเสด็จจากนอกพระนคร และถือว่าวัดสระเกศเป็นต้นทางการเตรียมเสด็จเข้าสู่พระนครด้วย ถ้าเปรียบกับราชสำนักพระเจ้าเชียงใหม่สมัยโบราณแล้ว วัดสระเกศก็เท่ากับวัดเจ็ดลินที่พระเจ้าเชียงใหม่ทุกพระองค์จะเสด็จมาสรงน้ำมุรธาภิเษก ณ วัดนั้น จากนั้นทรงโปรดให้ขุดคลองขึ้นมาทางด้านเหนือของวัดสระแก แล้วพระราชทานนามว่า "คลองมหานาค" เป็นการถวายเกียรติแก่พระภิกษุรูปหนึ่งในสมัยอยุธยา พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาบันทึกว่า
     พ.ศ.2091 พระเจ้าตองอูเกตุมดีตะเบงชะเวตี้ ทรงโปรดให้เกณฑ์ทัพนับจำนวนพลทหาร 30 หมื่น ช้างเครื่อง 700 ม้ารบ 3,000 ให้พระมหาอุปราชเป็นกองหน้า ให้พระเจ้าแปรเป็นเกียกกาย ให้พระยาพสิมเป็นกองหลัง ยกออกในวันอาทิตย์ เดือน 3 ขึ้น 2 ค่ำ เพลาอุษาโยค มุ่งหมายจะตีเอาพระนครศรีอยุธยาไว้ในอำนาจ
     ฝ่ายพระมหานาคบวชอยู่วัดภูเขาทอง สึกออกรับศึกพม่า ตั้งค่ายกันทัพเรือตั้งแต่วัดภูเขาทองลงมาจนวัดป่าพลู พวกสมกำลังญาติโยมทาสชายหญิงของมหานาคช่วยกันขุดคูนอกค่ายกันทัพเรือ จึงเรียกว่า คลองมหานาค
    นั่นคือวีรกรรมของพระกู้ชาติในสมัยกรุงศรีอยุธยา นามของท่านคือ พระมหานาค หรือทิดมหานาค จึงได้รับการจารึกไว้ในชื่อของลำคลองสองสาย ทั้งคลองมหานาคกรุงศรีอยุธยาและคลองมหานาคกรุงเทพมหานคร
    วัดสระเกศนั้นสมัยนั้นเป็นวัดอยู่นอกกำแพงเมือง ดังมีเรื่องเล่าว่า ครั้นรัชกาลที่ 1 ทรงโปรดให้ขุดคลองมหานาคสำเร็จแล้ว ก็ทรงมีพระราชดำริจะสร้างสะพานช้างตรงใต้ปากคลองมหานาคเพื่อเชื่อมเข้ามายังภายในกรุงเทพมหานคร แต่พระพิมลธรรม วัดโพธาราม (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) ได้ถวายพระพรทัดทานว่า "ซึ่งจะทรงสร้างสะพานช้างข้ามคูพระนครนั้นอย่างธรรมเนียมแต่โบราณมาไม่เคยมี แม้มีการสงครามถึงพระนคร ข้าศึกก็จะข้ามมาถึงชานพระนครได้โดยง่าย" ปรากฏว่าทรงเห็นชอบด้วย จึงทรงโปรดให้ยกเลิกเสีย
    สำหรับประวัติการสร้างสุวรรณบรรพตหรือภูเขาทองขึ้นที่วัดสระเกศนั้นท่านว่าเป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 หวังจะสร้างพระเจดีย์ภูเขาทองเหมือนอย่างในกรุงศรีอยุธยา ซึ่งครั้งหนึ่งท่านสุนทรภู่ขณะบวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดราชบุรณะ เคยเดินทางไปชมและได้แต่งนิราศภูเขาทองขึ้น มีข้อความที่ท่านพรรณนาถึงวัดและพระเจดีย์ภูเขาทอง ดังนี้







ครั้นรุ่งเช้าเข้าเป็นวันอุโบสถ
ไปเจดีย์ที่ชื่อภูเขาทอง
อยู่กลางทุ่งรุ่งโรจสันโดษเด่น
ที่พื้นลานฐานบ้ทม์ถัดบันได
มีเจดีย์วิหารเป็นลานวัด
ที่องค์ก่อย่อเหลี่ยมสลับกัน
บันไดมีสี่ด้านสำราญรื่น
ประทักษิณจินตนาพยายาม
มีห้องถ้ำสำหรับจุดเทียนถวาย
เป็นลมทักขิณาวัฏน่าอัศจรรย์
ทั้งองค์ฐานราญร้าวถึงเก้าแสก
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น
เจริญรสธรรมาบูชาฉลอง
ดูสูงล่องลอยฟ้านภาลัย
เป็นที่เล่นนาวาคงคาใส
คงคาลัยล้อมรอบเป็นขอบคัน
ในจังหวัดวงแขวงกำแพงกั้น
เป็นสามชั้นเชิงชานตระหง่านงาม
ต่างชมชื่นชวนกันขึ้นชั้นสาม
ได้เสร็จสามรอบคำนับอภิวันท์
ด้วยพระพายพัดเวียนอยู่เหียนหัน
แต่ทุกวันนี้ชราหนักหนานัก
เผลอแยกสุดยอดก็หลุดหัก
เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น
จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น
คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น

   นั่นแหละคือพระเจดีย์วัดภูเขาทองกรุงศรีอยุธยาซึ่งต่อมาได้กลายเป็นแม่แบบของพระเจดีย์ที่วัดสระเกศ แต่ท่านระบุว่า การก่อสร้างยังมิทันเสร็จ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็สวรรคตไปเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสืบสานพระราชปณิธานก่อสร้างต่อมา แต่ว่าก็ไม่ทันสำเร็จอีก ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจดีย์ภูเขาทองจึงสำเร็จ รวมเวลาก่อสร้างนานถึง 3 รัชกาลด้วยกัน



   และทีนี้ก็จะเข้าเรื่องแร้งว่ามายังไงไปยังไงถึงได้จับจองภูเขาทองวัดสระเกศไปเป็นเขาอีแร้งแข่งกับเขาคิชฌกูฏเมืองราชคฤห์ประเทศอินเดีย มูลเหตุนั้นท่านว่าวัดสระเกศในตอนต้นรัตนโกสินทร์มาถึงประมาณ รัชกาลที่ 5 ปลายๆ นั้น เป็นป่าช้าผีดิบ คือนำเอาศพไปทิ้งสดๆ ไว้ในบริเวณนั้น และนั่นเองที่เป็นแรงดึงดูดให้ฝูงแร้งชักชวนกันมากินศพ และเพื่อให้ง่ายต่อการทำมาหากินก็จึงบินขึ้นไปจับเจ่าอยู่บนยอดภูเขาทองคอยเวลาคนจะนำศพมาทิ้ง
    แร้งนั้นเป็นสัตว์ปีกขนาดใหญ่ มีปกติออกหากินในเวลากลางวัน ต่างกับนกฮูกซึ่งนิยมออกหากินในเวลากลางคืน แร้งจึงเป็นสัตว์สายตาดีที่สุดในตอนกลางวัน ส่วนนกฮูกนั้นก็ดีที่สุดในตอนกลางคืน นักดูนกยอมรับว่าแร้งมีสายตาดีกว่ากล้องเทเลสโคปที่ใช้ส่องดูนกเสียอีก แร้งสามารถมองเห็นซากสัตว์ในระยะห่างไกลกว่า 1 ไมล์ หรือ 2 กิโลเมตรโดยประมาณ คนสมัยโบราณเวลาเดินทางกลางป่า ถ้าแหงนขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วเห็นฝูงอีแร้งบินวนอยู่ตรงไหนก็เข้าใจได้ว่า "ตรงนั้นมีซากสัตว์ตาย"
    ส่วนสายพันธุ์ของแร้งนั้นท่านว่ามีหลายสี ทั้งสีดำ สีแดง สีเทา สีน้ำตาล บางชนิดมีสีขาวแซมปีกด้วย และอาศัยอยู่ทุกทวีป เพียงแต่รูปร่างลักษณะอาจจะแตกต่างกันบ้าง หากแต่พฤติกรรม "กินศพ" นั้นเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว แร้งพันธุ์ตัวใหญ่ที่สุดนั้นท่านเรียกว่า พญาแร้ง


   การกินศพของแร้งนั้นถ้ามองด้วยสายตาธรรมดาๆ ก็เห็นว่า "เป็นพฤติกรรมน่ารังเกียจ" เพราะศพหรือซากสัตว์ที่ตายแล้วเป็นของเน่าเหม็น แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็จะเห็นว่า "แร้งเป็นสัตว์มีคุณธรรม" จะไม่กินสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ คือถ้าไม่ตายแล้วแร้งจะไม่แตะ แต่พฤติกรรมของสัตว์อื่นๆ นั้นจะฆ่าสัตว์อื่นเพื่อกิน แต่แร้งไม่เคยฆ่าใคร เพียงแต่ว่าพฤติกรรมการกินของแร้งค่อนข้างจะมูมมามหน่อยเท่านั้น จุดที่แร้งจะแย่งกันกินเป็นอันดับแรกนั้นท่านว่าคือ "ตา" ไม่ว่าจะเป็นตาของสัตว์หรือคน ถ้าแร้งตัวไหนไปถึงศพก่อนก็จะจิกกินลูกกะตาก่อนเพื่อน นับเป็นพฤติกรรมที่แปลก
   มีสำนวนไทยเกี่ยวกับแร้งอยู่มากมาย เช่น เวลาฝูงแร้งลงแย่งศพนั้นท่านว่าเป็นมหกรรมที่สนุกสนานมาก เพราะแร้งจะจิกตีทะเลาะเบาะแว้งแย่งกันกินศพเป็นที่สับสนอลเวง เสียงของแร้งในเวลาแย่งกันนั้นท่านว่าฟังไม่ได้ศัพท์ เอาแม่ค้าเป็นกองทัพมาด่าแข่งกับแร้งแล้วยังสู้ไม่ได้ สำนวนไทยที่ว่า "แร้งทึ้ง" จึงหมายถึงการแก่งแย่งกันจนน่าขยะแขยง ไม่มีกติกาและมารยาทเหมือนการเมืองไทยสมัยปัจจุบัน
     แร้งนั้นไม่ว่าสีอะไรก็สามารถอยู่และหากินร่วมกันได้โดยสันติไม่เอาเป็นเอาตาย ต่างกับคนบางประเทศพอใส่เสื้อต่างสีนิดหน่อยก็แบ่งเป็นมึงเป็นกูถึงกับฆ่ากันตาย ทั้งนี้เพราะเคยมีคนเห็นแร้งต่างพันธุ์ต่างสีอยู่รวมกลุ่มและกินซากศพด้วยกัน แม้ว่าจะทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างเหมือนลิ้นกับฟัน แต่ก็ไม่ถึงกับฆ่ากันตาย เอ๊ะเขียนไปชักจะไม่ใช่เรื่อง "อีแร้ง" เสียแล้ว แต่กลายเป็น "อีเหลือง-อีแดง" แทน



     "สาบแร้งสาบกา" ก็เป็นอีกสำนวนหนึ่ง ซึ่งนำเอากลิ่นของแร้งซึ่งเน่าเหม็นเหมือนศพนั้นมาเปรียบเทียบกับกลิ่นของคน ใครมีกลิ่นตัวระดับ "สาบแร้งสาบกา" ก็หมายถึงว่าเหม็นไม่ต่างจากซากศพ
     มีประวัติเล่าว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆังโฆสิตาราม และหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร ก็นิยมมาเจริญอสุภกรรมฐาน คือพิจารณาศพเป็นมรณานุสติที่ป่าช้าวัดสระเกศแห่งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าท่านต้องเคยเห็นอีแร้งพวกนี้แน่ แต่ถึงปัจจุบันนั้นไม่มีใครเคยเห็น เพราะว่าที่วัดสระเกศนั้นสร้างเมรุเผาศพไว้อย่างดี มิใช่ป่าช้าผีดิบเหมือนสมัยโบราณอีกต่อไปแล้ว

     ภาพที่จะนำเสนอด้านล่างนี้ เป็นภาพศพและแร้งที่มากินศพในวัดสระเกศ สภาพของศพนั้นท่านบรรยายว่าเป็นศพเดียวกัน โดยภาพแรกนั้นเป็นศพสมบูรณ์อยู่ แต่ศพที่สองนั้นมีการเฉือนศพให้แร้งกินเพื่อถ่ายภาพด้วย พวกแร้งในภาพนั้นอาจจะสังเกตยากซักหน่อย เพราะฟิล์มสมัยเก่าเป็นขาวดำ แร้งซึ่งมีโทนสีออกดำอยู่แล้ว เดินเกะกะอยู่รอบๆ กำแพงซึ่งโทนดำด้วยกัน ยิ่งทำให้ดูยากยิ่งขึ้น แต่ถ้าดูให้ดีก็จะเห็นหลายสิบตัวทีเดียว ผู้ชายที่ยืนอยู่ในรูปนั้นต้องถือไม้ไว้กันอีกแร้งไม่ให้แย่งศพในเวลาถ่ายรูป

อีแร้งวัดสระเกศ
บันทึกภาพในปี พ.ศ.2440

ภาพที่ 1


ภาพที่ 2

ภาพจากหนังสือ "เปิดกรุภาพเก่า"
ของ เอนก นาวิกมูล


    
http://narater2010.blogspot.com/


ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกกับการพระพุทศาสนา
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกกับการพระพุทธศาสนา


http://www.alittlebuddha.com/html/The%20Vision%20of%
20P.M.Narin/The%20Vision
%20of%20Phramaha%20Narin%20119.html







         ไม่กี่วันหลังจากนั้น ราวเดือนกันยายน 2545 นายกฯ (ทักษิณ ชินวัตร) มีภารกิจเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทที่วังไกลกังวล หัวหิน ในฐานะเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผม (วิษณุ เครืองาม) ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ ด้วย

        นายกฯ ได้กราบบังคมทูลถวายรายงานข้อราชการตามปกติ ซึ่งถือเป็นพระราชสิทธิที่จะทรงได้รับการกราบบังคมทูลถวายรายงานจากรัฐบาล เรื่องใหญ่ของรัฐบาลเวลานั้นคือ การจะปฏิรูประบบราชการ

ตอนหนึ่ง รับสั่งถามอย่างเป็นห่วงว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ของทำเล่น ใครจะดูแล

นายกฯ กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า

     รับสั่งถามว่า แล้วที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความยากจน การพัฒนาแหล่งน้ำ ที่ดิน ที่ทำกินซึ่งยืดเยื้อมานานซึ่งทรงเป็นห่วงมาก เป็นภารกิจหลักของรัฐบาล ใครจะดูแล

นายกฯ ก็กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า

รับสั่งถามถึงกี่เรื่อง นายกฯก็กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า

ลงท้ายรับสั่งว่า "เรื่องศาสนา ก็เป็นเรื่องใหญ่ ละเอียดอ่อน เวลานี้มีปัญหา ใครจะดูแล.."

บางตอนจากหนังสือ “โลกนี้คือละคร” ของวิษณุ เครืองาม

ก่อนอื่นก็ต้องขอแสดงมุทิตาจิตยินดีต่อ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่จะได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรีสุภาพสตรี"คนแรกของประเทศไทย ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ซึ่งถือว่าเป็นประวัติศาสตร์อันสำคัญยิ่งหน้าหนึ่ง ในฐานะที่คุณยิ่งลักษณ์กับผู้เขียนเป็นคนบ้านเดียวกัน หมายถึงว่าเป็นชาวเจียงใหม่ด้วยกัน คนเชียงใหม่ย่อมจะท่องคำขวัญประจำจังหวัดได้ติดปากว่า "ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า บุปผชาติล้วนงามตา นามล้ำค่า..นครพิงค์" แหมไม่อยากคุย บางท่านที่ไม่ค่อยชอบพรรคเพื่อไทยก็คงจะประชดให้ว่า "อ๋อก็แหงละซี เห็นมหานรินทร์ประกาศตัวห่มจีวรแดงตั้งแต่ปีก่อน มิน่า ตอนนี้ถึงได้ออกมาเชียร์ยิ่งลักษณ์แต่ไก่โห่ ฯลฯ" เอ้อเรื่องการเมืองนั้น ช่วงนี้อยู่กลางพรรษาตั้งใจไว้ว่าจะไม่พูดถึง ดังนั้นถึงใครจะว่ายังไง ผู้เขียนก็ขอสวมบท "พระเตมีย์ใบ้" ไม่รับไม่ตอบใดๆ ทั้งสิ้น

แต่ที่จะเขียนหรือพูดถึงในวันนี้ ขอย้ำว่า "ไม่เกี่ยวกับการเมือง" แต่เป็นเรื่องศาสนาโดยเฉพาะ แต่ทีนี้ว่า การศาสนากับการเมืองนั้นแยกกันไม่ออก จะบอกว่าพูดเรื่องศาสนาโดยไม่พาดพิงการเมืองเลยนั้นมันก็จะเข้าข่ายมุสา จึงขอให้เข้าใจเจตนาว่า ที่ว่าจะพูดเรื่องการศาสนาไม่เกี่ยวกับการเมืองนั้น ก็เป็นการ "ขีดกรอบ" หรือจำกัดประเด็นที่จะพูด คือพูดเรื่องศาสนาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง หรือถ้าการเมืองจะเกี่ยวข้องกับการศาสนา ก็ถือเสียว่า "เป็นไปโดยอนุโลม" เพราะถ้าเรื่องมันเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าไม่พูดถึงเรื่องก็จะขาดตกบกพร่องไป ขอเรียนท่านผู้อ่านไว้ตรงนี้ก่อน นะ ใจเย็งๆ ไอ้ตี๋ลางไฟ..

ที่ต้องเขียนเรื่องนี้ในวันนี้นั้น ก็เพราะทราบข่าวว่า กำลังมีการฟอร์มรัฐบาลใหม่ ท่ามกลางข่าว 2 กระแส คือ 1.มีการวิ่งเต้นขอตำแหน่งรัฐมนตรีกันอุตลุต จนบุรุษผู้มีบารมีเหนือการเมืองไทยสู้แรงตื๊อไม่ไหว ต้องปิดมือถือ แต่ก็เป็นข่าวลือเพราะไม่เคยมีใครยอมรับความจริง และ 2.มีการประชุมเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล เพื่อแถลงต่อรัฐสภาก่อนปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ

ข้อที่ 1 นั้นเขียนประดับไว้ให้สวยงาม แต่จะไม่วิเคราะห์เพราะไม่ใช่หน้าที่ จะขอวิเคราะห์เฉพาะข้อที่ 2 คือว่าด้วยนโยบายของรัฐบาลใหม่ ที่เรียกชื่อตามนิคเนมหรือชื่อเล่นของคุณยิ่งลักษณ์ว่า "รัฐบาลคุณปู 1/1"

ถามว่าทำไมผู้เขียนถึงต้องเขียนเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้วไม่เคยเขียน ตรงนี้ก็ต้องขอเรียนให้ทราบว่า เพราะว่ามีเหตุผลหลายประการ เช่น

1.รัฐบาลในอดีตเคยทำงานเกี่ยวกับศาสนาแล้วเกิดปัญหา แต่ไม่ขอเรียกว่าเป็นความผิด อาจจะเป็นความพลาดด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรืออะไรก็ตามแต่

2.รัฐบาลในอดีตนั้นเป็นรัฐบาลผู้ชาย ไม่ใช่รัฐบาลผู้หญิงเหมือนรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์

       เพราะว่าผู้หญิงกับผู้ชาย เมื่อจะทำอะไรเกี่ยวกับพระกับเจ้าแล้ว พูดถึงความใกล้ชิดยังไงก็สู้ผู้ชายไม่ได้ เพราะผู้ชายเข้าใกล้พระใกล้เจ้าได้ง่ายกว่า แต่ความใกล้ชิดก็มิใช่เหตุผลแห่งความสำเร็จเพียงอย่างเดียว เพราะบางทีความใกล้ชิดมากๆ ก็กลายเป็นการมองข้ามไปเสียก็มี บางทีคนที่อยู่ห่างออกไปอาจจะมองเห็นอะไรได้ชัดเจนกว่าคนใกล้ด้วยซ้ำ เพราะบางคนนั้นสายตายาวเกินไป มองอะไรใกล้ๆ ไม่เห็น ต้องให้คนอื่นช่วยดู

3.มีความคาดหวังกับรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์มาก แค่สถิติกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ของชาวไทยที่ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งในครั้งนี้ ถือว่ามากที่สุดในบรรดาการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา แถมโพลล์ต่างๆ นานา ก็ส่งสัญญาณบอกว่า คะแนนเสียงที่พรรคเพื่อไทยได้รับนั้นมีความหมายเป็นมุ่งหวังอันแรงกล้าต่อผู้ลงคะแนนเพียงใด ไม่ว่าด้านใดๆ ก็ตาม

"รัฐบาลไทยคือผู้บริหารประเทศไทยในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เป็นคำนิยามที่ต้องนำมาเตือนสตินักการเมืองไทยไว้ตรงนี้ แปลให้กะทัดรัดก็คือว่า รัฐบาลคือคณะบุคคลที่อาสาเข้ามาทำงาน เพื่อสนองงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งงานของรัฐบาลนั้นต้องเกี่ยวพันกับทุกภาคส่วนของประเทศไทย ส่วนหนึ่งซึ่งใหญ่มากๆ ก็คือ งานศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม หรือศาสนาอื่นใดที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำการเผยแพร่พระสัทธรรม ในประเทศไทยได้

แต่ตรงนี้จะจำกัดวงลงแค่ "พระพุทธศาสนา" เพราะประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา เรียกได้ว่าเป็นศาสนาประจำชาติไทย

ถ้าเราเอาประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของรัฐบาลไทยแบบว่าไม่ต้องไกล เอาแค่ 10 ปีให้หลัง คือนับจากปี พ.ศ.2544 ถึง ปีนี้ ปี พ.ศ.2554 ซึ่งปี พ.ศ.2544 นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพิ่งเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยแรก

อาจารย์วิษณุ เครืองาม ได้เขียนไว้ในหนังสือ "โลกนี้คือละคร" เล่าเรื่องที่ได้ยินจากปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเกี่ยวกับพระกับเจ้าเอาไว้ว่า "ผม (พ.ต.ท.ทักษิณ) เป็นคนเข้าพระเจ้าเข้าเจ้าไม่ค่อยเป็น เจ้าคุณก็รู้จักอยู่รูปเดียว คือเจ้าคุณใหญ่ วัดเจดีย์หลวง (พระพุทธพจนวราภรณ์ จันทร์ กุสโล ป.ธ.7 อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่) พระอุปัชฌาย์ของผม"

ซึ่งต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้แต่งตั้งให้ ดร.วิษณุ เครืองาม ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และให้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อันหมายถึงให้ดูแลกิจการพระศาสนาในนามของรัฐบาล และต่อมาก็เป็น ดร.วิษณุ เครืองาม ที่เป็นผู้ลงนามในคำสั่ง "แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" เป็นฉบับแรก เมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2547 อันนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ให้แก่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.9) วัดสระเกศ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ถูกพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว แห่งวัดป่าบ้านตาด อุดรธานี เรียกประชุมพระกรรมฐานสายวัดป่าจำนวนถึง 5 พันรูป ประกาศนิคหกรรม ปรับอาบัติระดับปาราชิกมาแล้ว

และก็เป็นหลวงตามหาบัวอีกเช่นกัน ที่ทั้งสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทยอย่างออกหน้า และต่อมาเมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ เรียกร้องให้ทักษิณลาออก หนักเข้าถึงกับสาปแช่งเป็นตาเถรเทวทัตไปโน่น โดนอย่างนี้อัศวินลูกที่สามก็ตามเถอะ ต้องปัดคำถามพัลวัน เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งเสีย นี่ขนาดว่าเป็นผู้ชายนะ ถ้าเป็นนายกผู้หญิงล่ะ ?

ขนาดว่าได้ปรมาจารย์ระดับวิษณุ เครืองาม ทำงานแทน ทักษิณก็ยังบอบช้ำแสนสาหัส นับประสาอะไรกับยิ่งลักษณ์น้องสาวเล่า

ไม่อยากให้ใครตำหนิคุณยิ่งลักษณ์เอาได้ว่า "ไม่ประสีประสาในเรื่องวัดเรื่องวาเรื่องพระเรื่องเจ้า"

นี่แหละคือเหตุผลว่า ทำไมผู้เขียนต้องเขียนถึงรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ ?

เพราะดังที่ยกพระดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็นนิกเขปบทใส่กรอบสี่เหลี่ยมไว้ในตอนต้นของคอลัมน์ว่า"เรื่องศาสนา ก็เป็นเรื่องใหญ่ ละเอียดอ่อน เวลานี้มีปัญหา ใครจะดูแล.." นั้น ก็เพราะว่าเรื่องศาสนาเป็นเรื่องใหญ่ มิใช่เรื่องเล็ก จะทำง่ายๆ แค่ขอให้เป็นรัฐบาลแบบผ่านๆ ไปเหมือนบางรัฐบาลนั้น ย่อมจะทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความผิดหวัง

พุทธศาสนิกชนนั้นก็ขอแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ อุบาสกอุบาสิกา และพระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกานั้นย่อมมุ่งหวังว่า ท่านนายกรัฐมนตรีจะเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี หมั่นเข้าวัดฟังธรรม ทำบุญสุนทาน ไม่ละทิ้งจารีตประเพณีอันดีงาม เป็นตัวอย่างอันดีให้แก่ประชาชนชาวไทย ในฐานะที่อุตส่าห์เลือกให้เป็นผู้นำประเทศ ส่วนพระภิกษุสามเณรซึ่งอยู่ใกล้ชิดพระศาสนามากกว่าอุบาสกอุบาสิกานั้น ก็ย่อมมุ่งหวังที่จะได้รับการอุปถัมภ์บำรุงจากรัฐบาลไทย ทั้งในด้านการศึกษา การเผยแผ่ การสาธารณสงเคราะห์ และการสาธารณูปการ อันเป็นงานหลักที่เรียกว่า "จตุสดมภ์" ของคณะสงฆ์ไทย รวมทั้งช่วยสนับสนุนในด้านการปกครองคณะสงฆ์ไทยด้วย

พูดง่ายๆ ว่า คุณยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ต้องรู้จักงานของคณะสงฆ์ทั้ง 4 หลักเหล่านี้ ก่อนที่จะร่าง-เขียน เป็นนโยบายของรัฐบาล และดำเนินการให้เป็นไปตามทีแถลงไว้ต่อรัฐสภา

ใช่แต่เท่านั้น รัฐบาลทุกรัฐบาล โดยเฉพาะก็คือตัวนายกรัฐมนตรี ต้องทำตัวให้เป็น "ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงดำรงตำแหน่ง องค์เอกอัครศาสนูปถัมภก" ซึ่งจะต้องประกอบด้วยองค์ 2 คือ

1. กิจการงานใด ที่เนื่องด้วยองค์พระประมุขของชาติ ที่จะต้องทำบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในบวรพระพุทธศาสนาแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องถือเป็นภาระหน้าที่ของตนเอง ด้วยการเอาใจใส่ เข้าไปน้อมรับพระกระแสรับสั่ง และดำเนินการให้เป็นไปตามพระบรมราชวินิจฉัย

2.กิจการงานใด แม้มิใช่พระกระแสรับสั่งหรือพระราชกรณียกิจ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนา เป็นการส่งเสริมให้พระพุทธศาสนาดำรงคงมั่น หรือก้าวหน้า นายกรัฐมนตรีต้องมีวิสัยทัศน์ที่จะดำเนินการให้เป็นมรรคเป็นผล ซึ่งเมื่อจะกระทำนั้นก็อาจจะกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบและขอพระกระแสรับสั่งเป็นแนวทางด้วยก็ได้

ข้อหลังนี้ เช่น กรณีตั้งธนาคารพุทธ ปรากฏว่ายื่นเป็น พรบ. เข้าไปในรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ปรากฏว่าไม่มีแรงดัน ปล่อยให้ตกไปพร้อมๆ กับการยุบสภา

ผู้เขียนคงจะไม่พูดมาก เพราะประเดี๋ยวจะเป็นการสอนนายกรัฐมนตรีผ่านเว็บไซต์ซึ่งไม่สวย แต่อย่างไรก็ตาม บรรดากิจการงานทั้งหลายนั้น "เมื่อไม่รู้ก็ย่อมมีทางหาความรู้ได้" ดังอาจารย์วิษณุ เครืองาม ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายของรัฐบาลทักษิณเอาไว้ว่า "ควรตั้งคณะที่ปรึกษาด้านกฎหมายไว้สักชุดหนึ่ง เผื่อขอความเห็นในคราวจำเป็น"

เรื่องพระศาสนานี้ก็เช่นกัน รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ก็ควรจะมีทีมงานที่ปรึกษาเกี่ยวกับพระศาสนาไว้ด้วย ซึ่งการปรึกษานั้น แม้ว่าจะผ่านการลงความเห็นกันในหมู่คณะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีหรือของรัฐบาลแล้วก็ตาม แต่เพื่อความสวยงามก็ควรกระทำตามอย่างคุณสมัคร สุนทรเวช ที่เข้าไปปวารณาตัวในท่ามกลางการประชุมของมหาเถรสมาคมว่า "ถ้ามีอะไรก็กรุณาให้เด็กวัดไปเรียก เกล้าฯกระผม-ลูกศิษย์วัด จะรีบมารับใช้ในทันที" ซึ่งฟังทีไรก็ชื่นใจทุกครั้ง

"ตัวประสานระหว่างรัฐบาลกับคณะสงฆ์" นี่แหละสำคัญที่สุด มันก็ไม่ต่างไปจากวิปรัฐบาลหรอก แต่ตำแหน่งเหล่านี้ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าคุณทักษิณ เอ๊ย คุณยิ่งลักษณ์ เห็นว่าสำคัญ ก็ควรจะตั้งเป็นครั้งแรก ซึ่งจะช่วยงานรัฐบาลในด้านนี้ได้ดีกว่าไม่มี

เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งผ่านการพิจารณาของมหาเถรสมาคมไปนานแล้ว ตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ 1/1 โน่นแหละ ถูกเก็บถูกดองผ่านมาถึง 6 รัฐบาล จนเค็มเป็นเกลือไปแล้วมั๊ง ไม่ทราบว่ารัฐบาลใหม่จะทำอย่างไร

ที่เขียนมาทั้งนี้เพราะมีข่าวว่า กำลังร่างนโยบายรัฐบาลใหม่อยู่ ก็กลัวว่าคุณยิ่งลักษณ์จะลืม กลัวว่าจะต้องร้องเพลง "เผลอใจรัก" เหมือน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เสียดายแต่ว่า คุณจุฬารัตน์ บุณยากร อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นสุภาพสตรีเพศเพียงคนเดียวนั้น ถึงแก่กรรมไปเสียแล้ว มิเช่นนั้นก็จะแนะนำให้ไปคุยด้วย เพราะคุณจุฬารัตน์เธอฉลาด ถูกถามเรื่องเกี่ยวกับพระกับเจ้าก็จะยิ้มและยกมือสิบนิ้วไว้เหนือหัว ท่องแต่คาถาว่า "ดิฉันมีหน้าที่ถวายความอุปถัมภ์บำรุงพระเจ้าพระสงฆ์เท่านั้น เจ้าค่ะ" ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่จนเกษียนอายุราชการได้อย่างสง่างาม

ขอสะกิดคุณยิ่งลักษณ์ไว้อีกนิดว่า "พระหนุ่มเณรน้อยชาวบ้านนอก แถวๆ ยโสธร อุดร ขอนแก่น หรือเชียงใหม่ เชียงราย โน้น ท่านมุ่งหวังกับรัฐบาลนี้ ไม่น้อยไปกว่าประชาชนที่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งแต่อย่างใด" ดังนั้น ก็ขอเจริญพรว่า "อย่าให้พระสงฆ์สามเณรผิดหวัง"

ว่างๆ ก็โทรหาแหน่เด้อ เอ๊ย ไปเยี่ยมบ้านนอกบ้างเน้อ

http://narater2010.blogspot.com/

ธนาคารอิสลาม ยัน "ไม่เกี่ยวข้องทุจริตเลือกตั้ง
ไม่เกี่ยวการเมือง !
อิสลามแบงค์ปัดพัลวัน

หลังถูกอ้างไปหาเสียง ส.ส.





"ไอแบงก์" ยัน "ไม่เกี่ยวข้องทุจริตเลือกตั้ง"
ไอแบงก์ แจงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตหาเสียงของนักการเมืองพรรคใด ยืนยันยึดหลักคุณธรรมในการให้บริการลูกค้าทุกศาสนาอย่างเป็นธรรม

เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. นายธีรศักดิ์ สุวรรณยศ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ชี้แจงถึงกรณีที่ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร เขต 17 พรรคเพื่อไทย ระบุว่า มีนักการเมืองพรรคอื่นในเขตมีนบุรี ได้หาเสียงโดยอ้างว่า ถ้าเลือกตนเป็น ส.ส. ในเขตมีนบุรี จะได้รับการอำนวยความสะดวกในการขออนุมัติสินเชื่อจากธนาคารอิสลามฯ ว่า ในฐานะของกรรมการผู้จัดการไอแบงก์ ธนาคารไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมือง โดยเฉพาะในเรื่องทุจริตใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องที่นายวิชาญกล่าวอ้างไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยไอแบงก์มีสาขาตั้งอยู่ในพื้นที่เขตมีนบุรีและหนองจอกมานานแล้ว และได้มีการให้สินเชื่อชุมชนและสินเชื่อจุลภาคกับลูกค้าในพื้นที่มาโดยตลอด เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีมุสลิมอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยธนาคารได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีเสมอมาอยู่แล้ว 
กรณีที่ไอแบงก์ถูกนำมาพาดพิงเกี่ยวกับการทุจริตในการหาเสียงครั้งนี้ จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่เป็นความจริงและเป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะไอแบงก์เป็นสถาบันการเงินของรัฐที่ให้บริการตามหลักศาสนาอิสลาม โดยได้คำนึงถึงการให้บริการในกรอบของคุณธรรมและจริยธรรมอย่างเสมอมา พร้อมทั้งให้หลักเกณฑ์ที่แน่นอนในการอนุมัติบริการสินเชื่อและธุรกรรมในรูปแบบต่างๆ จึงไม่มีความจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับการนักการเมืองแต่อย่างใด” นายธีรศักดิ์  กล่าว
ข่าว : ไทยรัฐ
10 มิถุนายน 2554
http://narater2010.blogspot.com/
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม