แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Natator2009 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Natator2009 แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

์NGO หายหัวไปมุดโสร่งอยู่ที่ไหน


           เด็กหญิงอายุ 14 ต้องรับภาระเลี้ยงครอบครัว หลังจากสูญเสียเสาหลักจากเหตุการณ์สามจังหวัดชายแดนใต้

            วันที่ 13 มกราคม 2558 เวลา 13.00 น.ภารกิจใจถึงคนไทยไม่ทิ้งกัน เยี่ยมบ้านครอบครัวพรหมจรรย์  หลังจากสูญเสีย นายจเรียม พรหมจรรย์ อายุ 46 ปี ผู้นำครอบครัว จากเหตุเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2558 เวลา 16:45 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาด ยิงราษฎร์ ขณะกำลังหาปูเปรี้ยว อยู่บริเวณสะพานท่ายามู หมู่3 บ้านท่ายามู ตำบลท่ากำชำ อำเภอหนอกจิก จังหวัดปัตตานี ทำให้นายจเรียม พรหมจรรย์ ผู้นำครอบครัว ที่เป็นเสาหลักของครอบครัวพรหมจรรย์ เสียชีวิต และที่น่าสงสารกว่านั้นคือครอบครัวพรหมจรรย์ มีฐานะค่อนข้างลำบาก มีสมาชิกในครอบครัวที่เหลืออีก 5 คน ซึ่งประกอบด้วย
  • พี่ชายคนโต นายนพดล พรหมจรรย์ อายุ19 ปี ที่มีความผิดปกติพิการทางสายตาตั้งแต่กำเนิด และไม่สามารถหาเลี้ยงครอบครัวได้ ทำให้ 
  • เด็กหญิง อภิชญา พรหมจรรย์ หรือน้องน้ำหวาน อายุ 14 ปีต้องลาออกจากโรงเรียนเบญจมราชูทิศปัตตานี ออกมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว อีกแรงหนึ่ง โดยต้องส่งเสียน้องอีกสองคน ก็คือ
  • เด็กหญิง ไชนภา พรหมจรรย์ อายุ 12 ปี ซึ่งเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล 5(อาคารสลากกินแบ่งรัฐบาล)และ
  • เด็กหญิง จิรภิญญา พรหมจรรย์ อายุ 7 ปี ซึ่งเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 1 โรงเรียนเทศบาล 5(อาคารสลากกินแบ่งรัฐบาล)เช่นกัน และยังมีมารดา ที่ชื่อ 
  • นางทองคำ ปานอูม อายุ 46 ปี ซึ่งมีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง หลังจากที่สูญเสียเสาหลักของครอบครัวพรหมจรรย์แล้ว ทำให้ เด็กหญิง อภิชญา พรหมจรรย์ หรือน้องน้ำหวานต้องกลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัวทั้งที่อายุ เพียง 14 ปีเท่านั้น

          ทางสมาคมกู้ชีพ กู้ภัย สันติปัตตานี หลังจากได้เยี่ยมบ้านของครอบครัวพรหมจรรย์ ที่เป็นเพียงเพลิงเล็กๆที่อยู่ในหมู่บ้าน ก็ได้อำนวยความสะดวกพาน้องน้ำหวานและมารดาไปเปิดบัญชีที่ธนาคารไทยพานิช สาขาสงขลานครินทร์(ปัตตานี) โดยการต้อนรับและอำนวยความสะดวกอย่างดีจากคุณเอ้ ผู้จัดการธนาคารไทยพานิช สาขาสงขลานครินทร์(ปัตตานี)และขอบคุณคุณเอ้ ผู้จัดการธนาคารไทยพานิช สาขาสงขลานครินทร์(ปัตตานี)ที่ร่วมศรัทธา 500 บาทในการเปิดบัญชี ขอบคุณคุณเจ๊ะมะฮูเซ็น ช่วย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ตำบลรูสะมิแล ที่ให้การประสานงานอย่างเต็มที่ ‪#‎หากท่านมีจิตศรัทธาอยากร่วมบุญในครั้งนี้‬ สามารถโอนเงินผ่านทาง ‪#‎เลขที่บัญชี‬ 704-265030-0 ชื่อบัญชี เด็กหญิงอภิชญา พรหมจรรย์ ธนาคารไทยพานิช สาขาสงขลานครินทร์(ปัตตานี) และศพตั้งบำเพ็ญกุศล วัดรัตนาราม หมู่ 2 อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช

เครดิตภาพ – ข่าว :ทีมภาพข่าวสมาคมกู้ชีพสันติปัตตานี

วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ใคร?..คือผู้พรากชีวิตผู้หญิงและเด็กชายแดนใต้

นักรัก ปัตตานี

                ความสูญเสียนับครั้งไม่ถ้วนที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ได้ก่อความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างประเมินค่ามิได้ ปีนี้เป็นหนึ่งในหลายๆ ปีของสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ถูกสังหารและตกเป็นเป้าโจมตีด้วยอาวุธเป็นจำนวนมาก
 
           ล่าสุดกับเหตุการณ์คาร์บอมบ์โค้งสุดท้ายเดือนรอมฎอน บริเวณบ่อนไก่ชน ม.1ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าผู้ก่อเหตุรุนแรงได้หันมาโจมตีเป้าหมายอ่อนแอ มีผู้เสียชีวิต 2 ราย เป็นสุภาพสตรี ผู้ได้รับบาดเจ็บ 8 ราย มี ด.ญ.เยาวดี ขวัญเพชร อายุ 12 ปี อาการสาหัสรวมอยู่ด้วย


         เดือนรอมฎอนเป็นเดือนอันประเสริฐ เป็นเดือนของการทำความดี แต่ผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ลงมือเข่นฆ่าผู้คนโดยไม่เกรงกลัวต่อบาป ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผู้นำศาสนาได้ออกมาแสดงจุดยืนและชี้ทางในการครองตน ทำความดี พร้อมทั้งให้ความเห็นว่าการฆ่าคนในเดือนแห่งบุญนี้เป็นสิ่งไม่ถูกต้องและผิดหลักศาสนาไม่ได้รับผลบุญเป็นทวีคูณใดๆ เลยตามที่มีการแอบอ้างบิดเบือนหลักคำสอนศาสนาของกลุ่มแนวร่วมที่มีการโฆษณาชวนเชื่อปลุกระดมให้สมาชิกลงมือปฏิบัติการก่อเหตุในเดือนนี้

        ย้อนกลับไปปี 56 ที่มีการริเริ่มกระบวนการพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐนำโดยขบวนการบีอาร์เอ็น ทำให้ความรุนแรงเบนเป้าไปยังเจ้าหน้าที่รัฐผู้ถืออาวุธมากขึ้น ขณะที่ผู้บริสุทธิ์และเป้าหมายอ่อนแอ อาทิ เด็ก ผู้หญิง คนชรา พระ ฯลฯ ตกเป็นเป้าน้อยลง ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าสถานการณ์ในภาพรวมเริ่มดีขึ้น

         ทว่าเมื่อการกระบวนการพูดคุยสันติภาพยุติลงอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 57 และผู้บริสุทธิ์ที่เป็นเป้าหมายอ่อนแอกลับมาเป็นเหยื่อความรุนแรงอีกครั้ง รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข จึงทำให้ความรู้สึกของผู้คนในสังคมมองว่าสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเป็นสองเท่า

     ตัวอย่างเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดได้ไม่นาน และสะท้อนภาพความรุนแรงอย่างไร้ขอบเขต ก็เช่น
  • 13 ก.ค. คนร้าย 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนพกขนาด 9มม.ประกบยิง นางแดง จันทร์คง อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33 หมู่ 5 ต.พร่อน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เสียชีวิตคาที่ ขณะกำลังขี่รถจักรยานยนต์กลับจากงานบวช มุ่งหน้ากลับบ้าน เหตุเกิดกลางวันแสกๆ
  • 9 ก.ค. คนร้ายจ่อยิง 2 นักศึกษาสาวจากวิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธรจังหวัดยะลา เสียชีวิตกลางตลาดนัดที่ ต.ยะหา อ.ยะหา จ.ยะลา เหตุเกิดกลางวันแสกๆ เช่นกัน
         ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีมีผู้หญิงและเด็กตกเป็นเหยื่อสังหารโหดแล้วจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นกรณีฆ่าเด็ก 3 ศพที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 3 ก.พ. สังหารหมู่ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหญิง พร้อมตัดศีรษะ เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา หรือแม้กระทั่งเหตุยิงนักวิชาการสาธารณสุขหญิงที่ อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส เสียชีวิต ทั้งๆ ที่เธอกำลังตั้งท้องได้ 2 เดือน


          มูลนิธิผสานวัฒนธรรม และกลุ่มด้วยใจ เปิดเผยตัวเลขผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงเฉพาะปี 57 ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.57 จนถึงปัจจุบันมีผู้หญิงต้องสังเวยชีวิตไปแล้วกว่า 30 คน และบาดเจ็บถึงกว่า 60 คน

           ด้วยเหตุนี้ สมาคมผู้หญิงเพื่อสันติภาพ พร้อมด้วยองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) ด้านสิทธิมนุษยชนอีกหลายองค์กร อาทิ มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ เครือข่ายยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง ได้ร่วมกันจัดโครงการ "หยุดพรากชีวิตผู้หญิงและเด็ก" หรือ Breaking the Wall of silence เพื่อส่งเสียงเล็กๆ จากในพื้นที่ให้กลายเป็นพลังต่อต้านคัดค้านความรุนแรงที่กระทำต่อผู้หญิง เด็ก และผู้บริสุทธิ์


           น.ส.ปาตีเมาะ เปาะอิแตดาโอะ นายกสมาคมผู้หญิงเพื่อสันติภาพ ระบุว่า ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ปี 47 จนถึงปัจจุบัน นับรวมได้ 10 ปีเศษแล้ว แต่ยังไม่มีแนวโน้มว่าความรุนแรงจะลดลง ซ้ำยังทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก มีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และพิการ ซึ่งในจำนวนนั้นมีผู้หญิงและเด็กรวมอยู่ไม่น้อย

            ยิ่งในระยะหลัง ความรุนแรงได้พุ่งเป้าไปที่ "ผู้หญิง" รวมทั้งบุคลากรทางสาธารณสุขเพิ่มขึ้น ทำให้ภาคประชาสังคม โดยเฉพาะองค์กรที่ทำงานด้านผู้หญิง รวมทั้่งประชาชนทั่วไปมีความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่ผู้หญิง เด็ก คนชรา และบุคลากรทางสาธารณสุข ล้วนได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และหลักสิทธิมนุษยชนในอิสลาม แม้ในพื้นที่สงครามก็ตาม

            ด้วยเหตุนี้ ทางสมาคมผู้หญิงเพื่อสันติภาพ จึงได้จัดโครงการ "หยุดพรากชีวิตผู้หญิงและเด็ก" เพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนที่มีความห่วงใยในสวัสดิภาพและความปลอดภัยของผู้หญิงได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์ พร้อมหาแนวปฏิบัติเพื่อยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กในพื้นที่สู้รบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนหาแนวทางป้องกันและจัดทำข้อเสนอแนะต่อผู้รับผิดชอบเพื่อยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก


           ทั้งนี้ กิจกรรมจะมีขึ้นในวันอังคารที่22 ก.ค.นี้ เวลา 09.30-12.30 น. ที่ห้องจะบังติกอ โรงแรมซี.เอส.ปัตตานี อ.เมือง จ.ปัตตานี โดยจะมีครอบครัวของผู้หญิงที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บร่วมเสวนากับผู้นำศาสนา ผู้แทนจากหน่วยงานความมั่นคง นายอนุศาสน์ สุวรรณมงคล อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) และตัวแทนจากองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆ ทั้งนี้ จะมีการอ่านแถลงการณ์ "Breaking the Wall of Silence : หยุดพรากชีวิตผู้หญิงและเด็ก" ร่วมกันด้วย

            อนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้หญิงเกือบทั้งหมดที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในปี 57เป็นผู้หญิงไทยพุทธ ทำให้ตัวแทนประชาชนชาวพุทธในพื้นที่ชายแดนใต้รวมตัวกันเป็น "เครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ" และเคยออกแถลงการณ์ต่อต้านความรุนแรงที่กระทำต่อคนพุทธและคนทุกศาสนิกมาแล้ว

           ครั้งนี้ก็เช่นกัน...สุภาพสตรีขอสงวนนาม ซึ่งเป็นตัวแทนประชาชนชาวพุทธในพื้นที่ชายแดนใต้ กล่าวว่า "ขอเรียกร้องให้หยุดฆ่าคนของเราและคนทุกศาสนิก เราทนไม่ไหวแล้วที่พี่น้องของเราถูกฆ่า ซึ่งไม่ใช่แค่คนพุทธ แต่รวมถึงเป้าหมายอ่อนแออื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะเด็ก ผู้หญิง คนแก่ พระ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพียงแต่คนพุทธเป็นชนกลุ่มน้อยของที่นี่ และไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ถืออาวุธ"

          "เราอยากสื่อสารแต่ไม่อยากออกตัว เพราะหลายคนยังมีภาระรับผิดชอบ เราไม่เห็นดัวยกับการกระทำกับเป้าหมายอ่อนแอทุกศาสนิก คนที่ทำไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษในสงครามเลย จึงทำให้ถูกประณามและถูกสาปแช่งจากคนทั่วประเทศ เชื่อว่าสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะการที่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนไม่สามารถควบคุมสมาชิกของตนเองในบางระดับได้"

            "คนเหล่านี้เขาอ้างว่าทำเพราะมีอุดมการณ์ ทำเพื่อประชาชนคนเล็กคนน้อยที่ถูกเอาเปรียบ หรือไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ทำไมถึงต้องฆ่าคนบริสุทธิ์ อย่างนี้เรียกว่าอุดมการณ์อะไรกันแน่ หรือคุณกำลังทำเพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มเดียวซึ่งเป็นพรรคพวกของคุณ"

           หากความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์ยังไม่หยุดลง เสียงเหล่านี้คงดังขึ้นเรื่อยๆ และทำลายความชอบธรรมของผู้ที่ใช้ความรุนแรงให้หมดไปในที่สุด! ทุกการกระทำ ทุกเหตุการณ์ที่สร้างผลกระทบทั้งทางร่างกาย และจิตใจประชาชนเหล่านี้จะตั้งคำถามกลับไปยังผู้ก่อเหตุ “ใคร? คือผู้พรากชีวิตผู้หญิงและเด็กชายแดนใต้” ใครคือผู้ก่อความเดือดร้อนให้กับสังคมตัวจริง..ไม่ใช่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่แฝงตัวเป็นอีแอบหลบซ่อนตัวอยู่กับชาวบ้านหรอกหรือ? แล้วพวกเราจะมัวมาปกปิดความชั่วให้แหล่งอาศัยพักพิงอยู่อีกทำไมกัน หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ศพต่อไปอาจจะเป็นตัวคุณเองหรือลูกหลานในครอบครัว!!

*********************

เหตุนาประดู่-เบตง-สายบุรี ผกร.มุ่งทำลายความเชื่อมั่นยกระดับสู่เวทีสากล

แบมะ ฟาตอนี

             สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนรอมฎอน หรือเดือนแห่งการถือศีลอดของพี่น้องมุสลิม ยังคงมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของหลายฝ่าย แต่ไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ เบื้องลึกผู้ทำการก่อเหตุได้รับใบสั่งจากแกนนำระดับสั่งการให้มุ่งทำการก่อเหตุเพื่อทำลายเป้าหมายอ่อนแอ เด็กและสตรีเพื่อยกระดับปัญหาสู่เวทีสากล
เหตุคาร์บอมบ์นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี



             เมื่อวันพุธที่ 23 ก.ค.57 เวลา 16.40 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนจุดชนวนระเบิดแสวงเครื่องที่ซุกไว้ในรถกระบะ (คาร์บอมบ์) ซึ่งจอดไว้ใกล้กับบ่อนไก่ชน ซึ่งเป็นของนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ ตั้งอยู่ในท้องที่บ้านห้วยเปรียะ หมู่ 3 ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี แรงระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน 2ราย คือ นางกฤษณา ขวัญเพชร อายุ 39 ปี และนางพินอม แซ่สิม อายุ74 ปี และได้รับบาดเจ็บ 8 ราย รวม ด.ญ.เยาวดี ขวัญเพชร อายุ 12 ปี

เหตุคาร์บอมบ์หน้าโรงแรมฮอลิเดย์ฮิลล์ อ.เบตง จ.ยะลา



          เย็นวันศุกร์ที่ 25 ก.ค.57 เกิดเหตุคาร์บอมบ์หน้าโรงแรมฮอลิเดย์ฮิลล์ กลางเมืองเบตง จ.ยะลา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย บาดเจ็บเกือบ 40 คน ได้สร้างความตื่นตระหนกของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เหตุการณ์ในครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย คือ 
  • น.ส.เพ็ญนภา ตุ่นห่อ อายุ 23 ปี 
  • นายเดโช ดารีเยาะ อายุ 29 ปี 
           ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายสิบคน มีทั้งเด็ก สตรี และคนชรา ในส่วนของเด็กที่บาดเจ็บ และได้รับผลกระทบด้านจิตใจนำไปสู่ฝันร้ายชั่วชีวิตที่โดนกระทำจากกลุ่มผู้ก่อเหตุในครั้งนี้ จำนวน 2 ราย คือ ด.ญ.อัสมะ ดูบี และ ด.ญ.บัสริส ดูบี



เหตุลอบวางระเบิด อ.สายบุรี จ.ปัตตานี



           เมื่อเวลา 21.15 น. วันที่ 27 ก.ค.57 กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ลอบวางระเบิดเพื่อสังหารเจ้าหน้าที่ทหารพรานในพื้นที่หมู่ 5ต.กะดุนง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานร้อย.ทพ.4413 ได้รับบาดเจ็บจำนวน 2 นาย ส่วนประชาชนได้รับบาดเจ็บ 4 คน รายชื่อดังนี้

เจ้าหน้าที่ที่ได้รับบาดเจ็บ
  • 1. ส.อ.พิทักษ์ บุญช่วย
  • 2. อส.ทพ.ไซ บุญทิสา
ส่วนชาวบ้านและเด็กที่เสียชีวิต
  • 1. ด.ญ.อิติมา สะเจะ อายุ 10 ขวบ (เสียชีวิต)
  • 2. นางรุสนารี กามา อายุ 34 ปี (บาดเจ็บ)
  • 3. ด.ญ.นูฟาราช์ มะแซ อายุ 7 ขวบ (บาดเจ็บ)
  • 4. ด.ญ.ไนฟา มะแซ อายุ 18 เดือน (บาดเจ็บ)
กลุ่มขบวนการยังคงมุ่งก่อเหตุร้ายเดือนรอมฎอน 

          จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 3 เหตุ ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันของวันที่ 23, 25 และ 27 ก.ค.57 พื้นที่เกิดเหตุนาประดู่-เบตง-สายบุรี ต่างแค่เวลาและผู้ได้รับผลกระทบ แต่ผู้ลงมือทำการก่อเหตุยังคงเป็นกลุ่มเดิมที่เดินสายสร้างสถานการณ์ โดยได้รับใบสั่งจากแกนนำระดับสั่งการ เพื่อมุ่งทำลายความเชื่อมั่น ทำลายระบบเศรษฐกิจของการค้าการลงทุน อีกทั้งทำลายความเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

            จะเห็นได้ว่าความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ผ่านมาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ที่เกิดในเดือนรอมฎอน กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมุ่งหมายหมายเอาชีวิตต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นหลัก โดยพุ่งเป้าไปยังเป้าหมายเด็กและผู้หญิงเป็นหลัก

           เป้าหมายผู้ก่อเหตุรุนแรงต้องการลดความน่าเชื่อถือ เพื่อนำปัญหาความขัดแย้งไปสู่เวทีสากล
ระดับแกนนำสั่งการต้องการอะไรจึงได้หันมาเล่นงานประชาชน ต้องการยกระดับปัญหาเพื่อนำไปสู่เวทีสากลใช่หรือไม่?..มุ่งทำลายล้างชีวิตเด็กและผู้หญิงให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวสาร พาดหัวข่าวใหญ่โตให้เป็นที่สนใจของผู้คนทั้งประเทศ และต้องการสื่อไปยังต่างประเทศ โดยไม่สนใจใยดีต่อการกระทำที่ขาดความยั้งคิด ไม่มีศีลธรรม รับผิดชอบชั่วดี ไม่เกรงกลัวต่อบาปที่ได้กระทำลงไปต่อพี่น้องปาตานีด้วยกัน เพียงมุ่งหวังให้เป็นที่สนใจขององค์กรระหว่างประเทศ

            การก่อเหตุของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง หากพิจารณาอย่างถ่องแท้แล้วมีการเตรียมการวางแผนอย่างรัดกุมหากไม่ได้เปรียบจะไม่ลงมือปฏิบัติการโดยเด็ดขาด กลุ่มผู้ก่อเหตุต้องการอะไรหรือ? นอกจากยกระดับปัญหาไปสู่เวทีสากลแล้ว ยังส่งผลลบต่อประชาชนในด้านสังคมจิตวิทยาที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากการแสดงศักยภาพในการใช้กำลังในการก่อเหตุ ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยหน่วยงานความมั่นคงไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยได้ ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่รัฐไม่กล้าให้ความร่วมมือ เป็นไปตามแผนที่ต้องการแย่งชิงมวลชน

ผู้ก่อเหตุรุนแรงมุ่งทำลายระบบเศรษฐกิจ


            การลงมือก่อเหตุที่ อำเภอเบตง ทุกคนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มีโอกาสเกิดขึ้นสภาพโดยทั่วไปของอำเภอเบตง มีประชากร 56,471 คน ประกอบด้วยคนไทยหลากหลายเชื้อชาติ อยู่ร่วมกันอย่างพหุวัฒนธรรม เป็นคนไทยมลายูมุสลิมเกือบร้อยละ 50 คนไทยเชื้อสายจีน (เช่น ฮกเกี้ยน แต้จิ๋ว จีนแคะ กวางไส) ร้อยละ 30 และคนไทยพุทธราวร้อยละ 20 อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข เกิดการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมที่หลากหลายได้อย่างลงตัว

            ความชะล่าใจที่ต่างคิดว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุไม่กล้าที่จะลงมือทำลายเมืองเศรษฐกิจ วันนี้เห็นได้แล้วว่าตราบใดที่ขบวนการโจรใต้เหล่านี้ยังเคลื่อนไหวอยู่มีแต่สร้างความเดือดร้อนมุ่งทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ทำลายระบบเศรษฐกิจ ทำลายวิถีชีวิตการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ก่อนหน้านี้ สุไหงโก-ลก ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจ ก็โดนเช่นเดียวกับอำเภอเบตงในวันนี้ แล้วเราจะให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีทีท่าจะสงบลงสักทีหรือ? อย่าให้วัวหายแล้วล้อมคอก ค่อยคิดแก้ปัญหา ถึงเวลาแล้วที่ประชาชน องค์กรทุกภาคส่วนหาวิธี หาทางออกของปัญหาร่วมกัน เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้ง ไม่เอาความรุนแรงทุกรูปแบบ หากเป็นเช่นนั้นจริงขบวนการโจรใต้เหล่านี้ขาดท่อน้ำเลี้ยง ขาดแรงสนับสนุนค่อยๆ เหี่ยวเฉาอ่อนแรงไปเอง เมื่อนั้นความผาสุกจะกลับคืนมา ณ ดินแดนด้ามขวานทองแห่งนี้

***********************

แฉโจรใต้รือเสาะ 3 ศพ พบประวัติเคยก่อเหตุอื้อ

แบมะ ฟาตอนี

            เมื่อวันที่ 28 ก.ค.57 กรณีกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง จำนวน 4 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ประกบยิง ส.ต.ต.อัสมิง ยูโซ๊ะ เจ้าหน้าที่ตำรวจโกตาบารู จ.ยะลา ได้รับบาดเจ็บเหตุเกิดในพื้นที่บ้านสโลว์ หมู่ที่ 7 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ทหาร กองร้อยทหาราบที่ 15133 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 30 เข้าช่วยเหลือและเกิดการปะทะส่งผลให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเสียชีวิต 3 ราย และเจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 1 นาย คือ จ.ส.อ.ชัยณรงค์ วงษารัตน์ ตามข่าวที่สื่อมวลชนได้นำเสนอไปแล้วนั้น

           ทันทีที่ข่าวสารได้แพร่สะพัดออกไปว่าเจ้าหน้าที่ปะทะโจรใต้ที่ประกบยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทำให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุจำนวน 3 ราย กระแสข่าวการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทั้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ และมีการเคลื่อนไหวในสื่อสังคมออนไลน์ กล่าวหาว่ามีการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ต่างถาโถมเข้าใส่เจ้าหน้าที่รัฐต่างๆ นาๆ ของกลุ่มขบวนการแนวร่วมที่มีการจัดตั้ง

           เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบประวัติของผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย อย่างละเอียดถึงกับอึ้งเนื่องจากประวัติของแต่ละคน มีพฤติกรรมกระทำชั่ว ก่อเหตุมาแล้วอย่างโชกโชน ที่สำคัญ 2 ใน 3 ที่เสียชีวิตเป็นสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ RKK สมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่เสียชีวิต 3 ราย

นายอับดุลรอพา สาและรู หรือ โต๊ะแซ




             นายอับดุลรอพา สาและรู หรือ โต๊ะแซ หมายเลขประจำตัวประชาชน 3-9506-00563-71-1 ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 111 บ้านบือแนบูเก๊ะ หมู่ที่ 4 ต.ตะโล๊ะหะลอ อ.รามัน จ.ยะลา

พฤติกรรม
  •  เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ RKK
  •  ร่วมกันทำการก่อเหตุยิงถล่มเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรรือเสาะ เสียชีวิต จำนวน 4 นาย เหตุเกิดหน้าโรงเรียนอนุบาลรือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เมื่อ 16 ส.ค.56 ซึ่งผู้เสียชีวิตทั้ง 4 นาย ประกอบด้วย ร.ต.ท.พิชัย ประทุมสุวรรณ รอง สวป.สภ.รือเสาะ ร.ต.ต.อนุวัฒน์ ขุนหลัด รอง สวป.สภ.รือเสาะ ส.ต.อ.พร้อม คงทอง ผบ.หมู่ ป. และ ส.ต.อ.ศุภชัย ศรีภักดี ผบ.หมู่ ป.


  • กรณีเหตุการณ์ เมื่อ 21 ส.ค.56 เจ้าหน้าที่ปะทะกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง และมีผู้เสียชีวิต จำนวน 1 ราย คือ นายมะอีซอ ดอเลาะ ซึ่งมีหมายจับคดีความมั่นคง 5 หมาย เป็นหมายที่ออกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา) พร้อมทั้งทำการตรวจยึดอาวุธปืนและสิ่งอุปกรณ์จำนวนหลายรายการ ที่สำคัญคือ เจ้าหน้าที่ตรวจพบบัตรประจำตัวประชาชนของ นายอับดุลรอพา สาและรู ตกอยู่ในที่เกิดเหตุบริเวณที่เกิดการปะทะ ซึ่งกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมี นายอับดุลรอพาฯ ร่วมอยู่ด้วย
  • นายอับดุลรอพา สาและรู มีความเกี่ยวพันและเชื่อมโยงกับบุคคลที่อยู่ในกลุ่มขบวนการ นายอับดุลรอพาฯ มีศักดิ์เป็นพี่เขยนายมูบาเราะ อาบู ผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ RKK รับผิดชอบพื้นที่ ต.ปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส อีกทั้งยังเป็นลูกเขยอดีตโต๊ะอิหม่ามยะผา กาเซ็ง ซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว
นายซัฟวาน สาแล๊ะ (วัง)



            นายซัฟวาน สาแล๊ะ หมายเลขประจำตัวประชาชน 1-9606-00011-34-8 ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 41/1 บ้านรือเสาะ หมู่ที่ 4 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส

พฤติกรรม
  • มีหมายจับ ป.วิ.อาญา ศาลจังหวัดนราธิวาสที่ 83/2554 ลง 7 มี.ค.54


  • เคยร่วมกันก่อเหตุเข้าโจมตีฐานพระองค์ดำ กองร้อยทหารราบที่ 15121 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 เมื่อ 19 ม.ค.54 ส่งผลให้ ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ หรือ "ผู้กองบอย" ผู้บังคับกองร้อยทหารราบที่ 15121 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 อ.ระแงะ จ.นราธิวาส (ผบ.ร้อย ร.15121 ฉก.นราธิวาส 38) ส.อ.เทวารัตน์ เทวา หัวหน้าชุดยิง ส.อ.ดุลเลาะ ดะหยี และพลฯประวิทย์ ชูกลิ่น เสียชีวิต และมีทหารบาดเจ็บอีก 6 นาย
  • เจ้าหน้าที่นำยึดอาวุธปืน M-16 ที่ปล้นมาจากกองพันพัฒนาที่ 4 หมายเลขอาวุธปืน 689414 และปืนพก .38 จำนวน 2 กระบอก ซึ่งนายซัฟวาน สาแล๊ะ ใช้ในวันก่อเหตุเข้าโจมตีกองร้อยทหารราบที่ 15121 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 โดยยึดได้บริเวณหลังบ้านนายซัฟวานฯ พื้นที่บ้านนิบง หมู่ที่ 3 ต.มะรือโบตก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
  • เคยทำการลอบยิง ส.ต.อ.ปรีชา สมัยใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 44 เสียชีวิต ในพื้นที่ บ้านยาแลเบาะ เมื่อ 21 ต.ค.55
  • เมื่อ 14 ก.ย.56 ใช้รถยนต์ขนย้ายอาวุธปืน เจ้าหน้าที่ตั้งจุดตรวจสกัดในพื้นที่ บ้านกูแบบาเด๊าะ ต.มะรือโบตก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส สามารถควบคุมตัว นายรุสดัน มะหะมะ พร้อมอาวุธปืน แต่นายซัฟวานฯ ได้หลบหนีการจับกุมไปได้
  • เคยถูกจับกุมตัวเมื่อ 25 ม.ค.54 ผลการซักถามให้การยอมรับเป็นแนวร่วมในการก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ดำเนินการส่งตัวดำเนินคดีตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม และมีการประกันตัวในเวลาต่อมา จนในที่สุดได้หลบหนีประกัน
นายมะยูนิง หะยีสะนิ (ดิง)


            นายมะยูนิง หะยีสะนิ หมายเลขประจำตัวประชาชน 1-9606-00031-62-4 ภูมิลำเนาบ้านเลขที่ 81/4 บ้านรีเย็ง หมู่ที่ 4 ต.ลาโล๊ะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส

พฤติกรรม

  • - เป็นสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ RKK เครือข่าย อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส
  • - เคยร่วมกันกับนายซัฟวาน สาแล๊ะ พร้อมพวก ก่อเหตุเข้าโจมตีฐานพระองค์ดำ กองร้อยทหารราบที่ 15121 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 เมื่อ 19 ม.ค.54 ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต จำนวน 3 นาย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 6 นาย


  • - ร่วมก่อเหตุวางระเบิดรถไฟขบวน 453 ในพื้นที่บ้านซาตอ หมู่ที่ 7 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เมื่อ 18 พ.ย.55 มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ได้รับบาดเจ็บสาหัส 16 ราย ผู้เสียชีวิตคือ อส.พนากร ชุ่นแก้ว สังกัดกองร้อยบังคับการ และบริการส่วนหน้าจังหวัดชายแดนภาคใต้
อาวุธปืนที่ตรวจยึดได้ในที่เกิดเหตุ

           หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการตรวจสอบพบอาวุธปืนของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง จำนวน 2 กระบอก โดยกระบอกแรกเป็นปืนกลมือ อูซี่ หมายเลขปืน IWI 36400640 ปืนกระบอกนี้ถูกแย่งชิงจากฐานพระองค์ดำ จากการเข้าโจมตีกองร้อยทหารราบที่ 15121 ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง เมื่อวันที่ 19 ม.ค.54
ในส่วนอาวุธปืนกระบอกที่ 2 ที่ตรวจเจอเป็นปืนพกสั้น 11 มม. หมายเลขอาวุธปืน K325030 เป็นอาวุธปืนพกของ ส.ต.อ.อนุวัฒน์ ขุนหลัด ถูกแย่งชิงไปจากรณี กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงยิงถล่มเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรรือเสาะ เสียชีวิต 4 นาย บริเวณหน้าโรงเรียนอนุบาลรือเสาะ เมื่อวันที่ 16 ส.ค.56

           นี่คือประวัติอันโชกโชนของโจรใต้ 3 ราย ที่เคยก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ อาจจะมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ไม่มีข้อมูลและเก็บรวบรวมหลักฐานไว้ การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย มีความชอบธรรมเนื่องจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงกระทำการประกบยิงเจ้าหน้าที่รัฐก่อน เจ้าหน้าที่ทหารที่เข้าช่วยเหลือต้องเสียชีวิต 1 นาย และที่สำคัญในระหว่างที่มีการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในครั้งนี้ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อประชาชนใดๆ เลย หากจะมีการบิดเบือนความจริงของแนวร่วมผู้ไม่หวังดี เหตุผลก็คงจะฟังไม่ขึ้นเจอหลักฐานชัดๆ ขนาดนี้แล้ว ขจัดคนเลวที่กระทำความชั่วให้ประชาชนเดือดร้อน คงไม่มีใครไม่เห็นด้วย แผ่นดินแห่งนี้คงจะสูงขึ้น เหตุการณ์จะได้สงบนำความสันติสุข ที่ทุกคนต้องการมาสู่พี่น้องชาวปาตานีในพื้นที่แห่งนี้เพื่อดำเนินชีวิตประจำวันอย่างปกติสุขต่อไป

***********************

รายอเศร้า...หลังคาร์บอมบ์เบตง


              เหตุ "คาร์บอมบ์" หน้าโรงแรมฮอลิเดย์ฮิลล์ ในเขตเทศบาลเมืองเบตง อ.เบตง จ.ยะลา เมื่อวันศุกร์ที่ 25 ก.ค.57 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บกว่า 40 รายนั้น หนึ่งในผู้เสียชีวิต คือ เดโช ดารีเย๊าะ อายุ 32 ปี พนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) ของโรงแรม ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ใกล้รถกระบะบรรทุกระเบิดที่คนร้ายขับมาจอดมากที่สุด




เขาเสียชีวิตทันทีหลังเสียงระเบิดกัมปนาท!

            การจากไปของเดโช ส่งผลกระทบกับอีก 4 ชีวิตซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัวของเขา คือ มะลิวัลย์ ผลสมบูรณ์ ภรรยาวัย 32 ปี และลูกน้อยอีก 3 คน คือ ด.ญ.ภควดี ดารีเย๊าะ อายุ 6 ขวบ ด.ญ.ภัทรวดี ดารีเย๊าะ อายุ 4 ขวบ และ ด.ช.ภูมิกร ดารีเย๊าะ อายุ 11 เดือน เป็นเหตุร้ายใกล้วันวันฮารีรายอ ซึ่งเป็นวันเฉลิมฉลองหลังสิ้นสุดเดือนรอมฎอน หรือเดือนแห่งบุญของพี่น้องมุสลิมที่ใครๆ ก็ต่างรอคอย...

          "เขาหวังจะได้รายอพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว และเป็นฮารีรายอแรกในชีวิตของลูกชายคนเล็กที่อายุยังไม่ถึงปีเลย แต่เขาก็ไม่มีโอกาส" มะลิวัลย์เอ่ยเสียงเศร้าถึงความตั้งใจของสามี  เธอเล่าว่า สามีเพิ่งถูกเรียกตัวกลับไปทำงานที่โรงแรมเมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมานี้เอง เท่ากับว่า

ทำงานได้ไม่ถึง 10 วันก็ต้องเจอเหตุร้ายถึงขั้นทำให้เสียชีวิต

          "วันที่ไปทำงานวันแรกก็เกิดลางไม่ดีกับเขา คือลูกคนที่ 2หยิบรูปถ่ายของเขาจากกระเป๋าสตางค์ออกมา แล้วใช้กรรไกรตัดเล่น ปกติลูกก็เล่นกระเป๋าสตางค์ หยิบโน่นหยิบนี่ออกมาเล่นอยู่แล้ว แต่ไม่เคยเล่นรูปถ่ายของพ่อ วันนั้นเขาเห็นเขาก็โกรธ จึงได้ดุและตีลูก พร้อมกันหันมาถามฉันด้วยความกังวลว่าเป็นลางไม่ดีหรือเปล่า จะเกิดเรื่องร้ายๆ กับตัวเขาหรือเปล่า ฉันก็ได้ปลอบเขาไปว่าคงไม่มีอะไรมั้ง อย่าคิดอะไรมาก แต่เขาก็ยังกังวลตลอด"

แล้วก็ถึงวันเกิดเหตุ ซึ่งมะลิวัลย์บอกว่าพฤติกรรมของสามีก็ผิดปกติ เหมือนเป็นลางบอกเหตุ...

          "วันนั้นเป็นวันศุกร์ เขาก็ไปทำงานตามปกติ ฉันกับลูกทั้ง 3 คนก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์ซื้อข้าวไปให้เขาที่หน้าโรงแรม เพื่อไว้กินหลังเปิดบวช (หลังพระอาทิตย์ตกดิน) ปกติทุกวันก็เอาข้าวไปให้ เขาจะคุยกับหนูและเล่นกับลูกสักพักหนึ่งจึงจะบอกให้ฉันกับลูกๆ กลับบ้าน แต่วันนั้นเมื่อรับข้าวไปแล้ว เขาก็บอกให้ฉันรีบพาลูกกลับบ้านทันที"

          "เชื่อไหมว่าเขาบอกกับฉันเองว่ารู้สึกผิดปกติกับรถกระบะที่จอดอยู่หน้าโรงแรม มีเสียงดังหน้ารถ และไฟหน้าหลุดออกมาก ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจเรื่องรถกระบะ แต่ก็ทำตามที่เขาบอก รีบขับรถพาลูกกลับบ้านทันที"


ฝันร้ายของมะลิวัลย์ก็คือ เธอออกรถไปได้เพียงไม่ถึง 2 นาทีก็ได้ยินเสียงระเบิด...

          "ฉันกับลูกขี่รถออกมาจากหน้าโรงแรมได้แค่ 2 นาทีมั้ง ไปจอดติดไฟแดงห่างโรงแรมประมาณ 700 เมตรก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น จึงรีบหันหน้าไปดู ก็เห็นว่าจุดที่เกิดระเบิดคือที่หน้าโรงแรมที่เขาทำงานอยู่ ตอนนั้นฉันตกใจมาก เห็นภาพไฟลุกและควันไฟดำหนาทึบ ฉันคิดอะไรไม่ออกเลยตอนนั้น ได้แต่รีบขับรถย้อนกลับไปทางหน้าโรงแรมโดยเร็วที่สุด พร้อมภาวนาในใจว่าอย่าให้เขาเป็นอะไรเลย หลังรับข้าวห่อจากฉันแล้ว เขาคงเดินเข้าไปในตัวอาคารโรงแรม และปลอดภัยจากแรงระเบิด"

แต่ความจริงที่เกิดกับเธอและครอบครัว ไม่เป็นไปอย่างที่เธอภาวนา...

            "พอย้อนกลับไปใกล้ๆ โรงแรม ก็ยังเข้าไปตรงจุดเกิดเหตุไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่กันเอาไว้ ฉันกับลูกจึงไปรอที่โรงพยาบาล แล้วก็ทราบภายหลังว่าสามีเสียชีวิตแล้ว ก็รู้สึกตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก พูดไม่ออก เหมือนโดนทุบเข้าที่หน้าอกอย่างแรง"

            มะลิวัลย์ บอกว่า หากวันนั้นเธอกับลูกยังอยู่คุยเล่นกับสามีเหมือนเช่นทุกวัน ครอบครัวของเธอคงต้องเสียชีวิตจากแรงระเบิดทั้งหมด สามีบอกให้เธอรีบกลับบ้าน เป็นการช่วยชีวิตเธอกับลูกเอาไว้ แต่เขาต้องมาเสียชีวิตไปแทน

มะลิวัลย์ พูดถึงสามีว่า เป็นคนรักครอบครัวมาก จะทำอะไรแต่ละอย่างจะคิดถึงลูกตลอด

          "แม้ครอบครัวของเราจะยากจน มีเงินมีทองน้อย แต่เราก็มีความอบอุ่น รถมอเตอร์ไซด์เพียงคันเดียว เราก็ไปไหนมาไหนพร้อมกันได้หมดทุกคน"

         เธอเอ่ยถึงความในใจว่า หลังจากสูญเสียสามีไปแล้ว ตอนนี้ยังคิดไม่ออกเลยว่าจะอยู่กันอย่างไร

         "เราเคยมีกันพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกวันนี้ลูกร้องคิดถึงพ่อตลอด สงสารลูก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อยากถามไปยังคนก่อเหตุวางระเบิดว่า พวกคุณไม่มีครอบครัว ไม่มีคนที่รักหรือ ทำไมต้องมาทำอย่างนี้ รู้ไหมว่าการกระทำของคุณทำให้สามีของฉันที่เป็นแค่คนหาเช้ากินค่ำต้องเสียชีวิต ทำให้ลูกๆ ต้องขาดพ่อ ทำให้ครอบครัวของฉันขาดหัวหน้าครอบครัว อยากให้เรื่องแบบนี้ไปเกิดกับครอบครัวของพวกคุณบ้าง จะได้รู้ว่าการสูญเสียคนที่รักมันเป็นอย่างไร" มะลิวัลย์ กล่าวอย่างอัดอั้น

         ด้าน วาฮับ ดารีเย๊าะ อิหม่ามประจำมัสยิดดารุลมะห์มูร บ้านฮางุส ต.เบตง อ.เบตง บิดาวัย65 ปีของเดโช กล่าวทั้งน้ำตาว่า เป็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นเร็วมากจนครอบครัวตั้งรับไม่ทัน

          "เสียใจมากจริงๆ ที่ครอบครัวของเราต้องขาดเขาไป ทั้งที่ฮารีรายอปีนี้สำคัญกับเขามาก เขาดูตื่นเต้นที่ลูกคนเล็กจะได้ฉลองฮารีรายอร่วมกับสมาชิกทุกคนในครอบครัวเป็นปีแรก เขาบอกกับผมว่าข้าวสารจ่ายซะกาตให้มัสยิดของครอบครัวเขา จะให้เพิ่มมากกว่าปีก่อนๆ จาก 4กันตังเป็น 5 กันตังตามจำนวนสมาชิกของครอบครัว ทั้งยังเบิกเงินที่ทำงานมาเพื่อซื้อเสื้อผ้าข้าวของให้ลูกและครอบครัว"

           วาฮับ บอกด้วยว่า เบตงไม่ค่อยมีเหตุร้าย เคยดูแต่ข่าวเวลาเกิดระเบิดหรือยิงกันในพื้นที่อื่น เห็นความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากข่าว ไม่เคยคาดคิดเลยว่าวันหนึ่งเหตุร้ายๆ จะมาเกิดขึ้นกับลูกชายของตัวเอง

วัฏจักรไฟใต้ กับการก่อเหตุซ้ำซาก จำเจ ไม่มีวันสิ้นสุด



นักรัก ปัตตานี

จากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ระลอกใหม่ที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน นับ 10 ปี จนสร้างความสูญเสียแก่ชีวิต และทรัพย์สินแก่ประชาชนพื้นที่อย่างไม่อาจประเมินค่าได้ เป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นแบบรายวันอย่างชนิดที่เรียกว่า “ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก - เกิดแล้ว เกิดอีก - สูญเสียแล้ว สูญเสียอีก”และ “ตายแล้ว ตายอีก” ไม่ว่าประกบยิงบ้าง ซุ่มโจมตีบ้าง วางระเบิดลอบสังหารเจ้าหน้าที่ ขณะลาดตระเวนบ้าง และความรุนแรงล่าสุด ซึ่งถือเป็นวิธีก่อเหตุของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่สร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง อย่างมากมายมหาศาล ทำลายเศรษฐกิจอย่างย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี สร้างความสูญเสียแก่ชีวิต และทรัพย์สินอย่างมหาศาลจนมิอาจประเมินค่าได้ วิธีการดังกล่าวคือ “คาร์บอมบ์”

ซึ่งเหตุการณ์คาร์บอมบ์ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในพื้นที่ใจกลางเมืองเบตง จ.ยะลา ที่บริเวณหน้าโรงแรมฮอลิเดย์ ฮิลล์ โดยคนร้ายใช้ระเบิดถังแก๊สหนัก 30 กก. ซุกมาในรถกระบะมาสด้านำมาจอดไว้ในที่เกิดเหตุ จุดชนวนระเบิดด้วยวิธีตั้งเวลา จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันที 2 ราย และมีผู้บาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 52 ราย

ก่อนหน้านี้ คาร์บอมบ์ เป็นวิธีการที่คนร้ายได้ใช้สร้างสถานการณ์ความรุนแรงมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ไม่เว้นแม้กระทั่งพื้นที่เขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้ อย่างเช่น เมืองหาดใหญ่ ยังเคยถูกกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบสร้างสถานการณ์ความรุนแรงด้วยวิธีคาร์บอมบ์มาแล้วถึง 2 ครั้งเช่นกัน

ครั้งแรกที่บริเวณลานจอดรถชั้นใต้ดินห้างสรรพสินค้าลีการ์เดนส์ พลาซ่า หาดใหญ่ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน มีผู้บาดเจ็บอีกกว่า 500 คน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้สร้างความสูญเสียแก่ชีวิตผู้คน และทำลายเศรษฐกิจของเมืองหาดใหญ่อย่างไม่อาจประเมินมูลค่าความเสียหายได้


จากเหตุการณ์คาร์บอมบ์สนั่นเมืองเบตงในครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ 2 ประการคือ ประการหนึ่ง เป็นผลกระทบด้านความปลอดภัย เนื่องจากพื้นที่ อ.เบตง ได้รับการขนานนามว่าเป็นเขตพื้นที่ที่มีจำนวนการเกิดความรุนแรงน้อยที่สุด หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นเมืองแห่งความสงบ ท่ามกลางพื้นที่ที่ลุกโชนด้วยความรุนแรงจากสถานการณ์ไฟใต้

แต่จากเหตุคาร์บอมบ์ใจกลางเมืองเบตงในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า นับจากนี้เป็นต้นไปพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในทุกตารางนิ้ว มีโอกาสเกิดสถานการณ์ความรุนแรงได้หมด และส่งผลให้เมืองที่ในอดีตเคยมีแต่ความสงบสุข มีธรรมชาติที่สวยงามท่ามกลางหุบเข้าล้อมรอบ จะต้องตกเป็นพื้นที่ที่จะต้องมีการดูแลความปลอดภัยอย่างเข้มงวด เพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัย เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร

ผลกระทบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้นั่นคือ นับต่อจากนี้เป็นต้นไปประชาชนชาวเบตงจะต้องใช้วิถีชีวิตเฉกเช่นประชาชนในพื้นที่อื่นๆ ของสามจังหวัดชายแดนใต้

ผลกระทบประการที่สอง เป็นผลกระทบที่สำคัญคือ ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากพื้นที่ อ.เบตง อยู่ติดกับด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย ทำให้ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นเมืองที่สงบ ปลอดภัย มีอัตราการเกิดสถานการณ์ความรุนแรงน้อย ประกอบกับเป็นเมืองที่ยังคงธรรมชาติที่สวยงาม ประชาชนท้องถิ่นใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย จึงทำให้ อ.เบตง ถือเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจทางด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่

แต่หลังจากเกิดสถานการณ์ความรุนแรงดังกล่าว จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงถึงผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ พ่อค้า-แม่ค้าในพื้นที่ต่างได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวไม่เฉพาะชาวต่างประเทศที่รู้สึกอ่อนไหวต่อเหตุการณ์ความรุนแรง แต่ยังรวมถึงนักท่องเที่ยวชาวไทยเช่นเดียวกัน อันนำมาซึ่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ปลายด้ามขวานอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และคงจะต้องใช้ยุทธวิธีประชาสัมพันธ์ฟื้นฟูการท่องเที่ยวกันอีกระลอกใหญ่

คาร์บอมบ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.เบตง นอกจากจะส่งผลในแง่ความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของประชาชน และผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจในท้องถิ่นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่หลายครั้งส่อให้เห็นถึงปรากฏการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างชนิดที่เรียกว่า “ซ้ำซาก” ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเหตุการณ์ความรุนแรงจนชินชา

ปรากฏการณ์ไฟใต้ที่ซ้ำซากในที่นี้หมายถึง ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งใหญ่ในพื้นที่ และเป็นเหตุการณ์ที่นำมาซึ่งความสูญเสียอย่างมากมายมหาศาล เช่น เหตุคาร์บอมบ์ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอ หรือเกิดขึ้นเป็นวัฏจักรอย่าง “ซ้ำซาก” และ “จำเจ”


วัฏจักรที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าของสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เราเห็นกันจนชินตา ฝ่ายกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบต่างพยายามหาช่องว่างและความผิดพลาดในการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ในการก่อเหตุ ฝ่ายความมั่นคงในยามที่เผอเรอ หย่อนยานในการรักษาพื้นที่ก็จะโดนโจมตีจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงดั่งเช่นกรณีเบตง จ.ยะลา และกรณีคาร์บอมบ์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

จากการปฏิบัติการของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในรอบหลายๆ ปี ที่ผ่านมาได้สะท้อนถึงแนวทางของการใช้กำลังทางทหารเพื่อสร้างผลกระทบที่เสียหายในวงกว้างทั้งทางเศรษฐกิจ ทางสังคม มุ่งก่อเกิดความแตกแยกทางความคิดความรู้สึกของผู้คนในชุมชนในพื้นที่ปลายด้ามขวานแห่งนี้ การเฝ้าติดตามสถานการณ์พอจะประมวลวงรอบการปฏิบัติที่ซ้ำซาก จำเจ “ความรุนแรงเกิด - หน่วยงานรัฐลงพื้นที่ - จับกุมคนร้ายได้ - เยียวยาผู้เสียหาย - เกิดเหตุรุนแรงรอบใหม่”

หากสถานการณ์ไฟใต้ได้กลายเป็นวัฏจักรแห่งความรุนแรง จนอาจกล่าวได้ว่าไม่แม้แต่คนในพื้นที่ปลายด้ามขวานเองที่รู้สึกชินชาต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จะรู้สึกชินชาด้วยความหมดหวังในสถานการณ์ หรือความชินชาต่อการก่อเหตุรุนแรงของกลุ่มขบวนการจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับความรุนแรงของคนในพื้นที่ไปแล้ว แล้วเราไม่คิดที่จะร่วมมือกันแก้ที่ต้นเหตุในการระงับ หรือยับยั้งไม่ให้กลุ่มขบวนการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงกันเลยหรือ?

ประชาชนในพื้นที่ปลายด้ามขวานคงได้แต่ทำใจยอมรับต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างปลงตกตามหลักทางพระพุทธศาสนาที่ว่า “มันก็เป็นของมันเช่นนั้นเอง” หรือปล่อยให้เกิดการสูญเสียรายวันแล้วมานั่งประณามการกระทำที่สุดโต่ง เสียงก่นด่าเหล่านี้โจรใต้ไร้ศาสนาจะสำนึกหรือปรับเปลี่ยนยุทธวิธีแนวทางในการปฏิบัติได้กระนั้นหรือ?


เมื่อเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่เกิดมานานนับ 10 ปี และในขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณบ่งชี้อันอาจส่อให้เห็นว่าเหตุการณ์ความรุนแรงมีแนวโน้มลดลง หรือจะยุติลงได้ในเร็ววัน จนกระทั่งกลายเป็นปรากฏการณ์วัฏจักรความรุนแรงที่ซ้ำซาก และจำเจดั่งที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น

ดังนั้นแนวทางในการพูดคุยสันติภาพที่ได้หยุดชะงักไปเนื่องจากพิษภัยทางการเมืองของประเทศไทยเองต่อจากนี้ไปอยากเห็นแนวทางที่ชัดเจน จับต้องได้ให้เป็นความหวังของผู้คนในพื้นที่ต้องการเห็นสันติสุข การร่วมมือของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อน หยุดเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว รู้รักสามัคคี หาทางออกของปัญหาร่วมกันไม่ใช่หมักหมมปัญหาเหมือนดินพอกหางหมู ซึ่งส่งผลให้สถานการณ์ไฟใต้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ “ไม่มีวันสิ้นสุด” จึงเป็นบทที่จะต้องพิสูจน์กันต่อไปถึงของฝ่ายความมั่นคงกับประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งผู้นำศาสนา ผู้นำสี่เสาหลัก ร่วมมือกันจัดการกับปรากฏการณ์ที่ถือว่าเป็น “วัฏจักรไฟใต้” หรือ เราจะปล่อยให้วัฏจักรความรุนแรงดังกล่าวยังคงอยู่คู่พื้นที่ปลายด้ามขวานต่อไป...เราเลือกเอง

******************************

ศาลอียิปต์ตัดสินยุบพรรคการเมืองกลุ่มภราดรภาพมุสลิม ไม่เปิดโอกาสยื่นอุทธรณ์




Picture From http://en.wikipedia.org/wiki/File:Freedom_and_Justice_Logo.png

ศาลในกรุงไคโรของอียิปต์ มีคำตัดสินในวันเสาร์ (9) สั่งยุบพรรคเสรีภาพและยุติธรรม (เอฟเจพี) ซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นแขนขาทางการเมืองของกลุ่ม “ภราดรภาพมุสลิม” นับตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์อาหรับสปริงส์ในปี 2011

ความเคลื่อนไหวล่าสุดมีขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้ทางการแดนไอยคุปต์ประกาศให้กลุ่มภราดรภาพมุสลิม มีสถานะเป็น “องค์กรก่อการร้าย” ไปแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคม หลังจากกองทัพอียิปต์โค่นอำนาจรัฐบาลอิสลามิสต์ภายใต้การนำของโมฮาเหม็ด มอร์ซีในเดือนกรกฎาคม

ด้านรายงานของสำนักข่าว “MENA” ที่อยู่ในความควบคุมของทางการอียิปต์ระบุว่า คำตัดสินของศาลสะท้อนให้เห็นว่า สมาชิกของพรรคเอฟเจพีและกลุ่มภราดรภาพมุสลิมล้วนเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน และคนกลุ่มนี้ต่างมีพฤติกรรมก่อความรุนแรงและสร้างความหวาดกลัวแก่ประเทศชาติ

ทั้งนี้ รายงานของสื่อหลายสำนักในอียิปต์ต่างระบุว่า คำตัดสินของศาลในครั้งนี้ถือเป็นที่สิ้นสุด และไม่เปิดโอกาสให้มีการอุทธรณ์แต่อย่างใด และถือเป็นการปิดตำนานการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมอย่างสมบูรณ์

โมฮาเหม็ด บาดี ผู้นำกลุ่ม


จนถึงขณะนี้ ศาลในอียิปต์ได้ตัดสินลงโทษประหารชีวิตผู้สนับสนุนกลุ่มภราดรภาพมุสลิมไปแล้วไม่น้อยกว่า 200 คนรวมทั้งนายโมฮาเหม็ด บาดี ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่ม ขณะที่อีกราว 16,000 คนถูกจับกุม นับจากที่รัฐบาลอิสลามิสต์ของโมฮาเหม็ด มอร์ซีที่มาจากการเลือกตั้งถูกกองทัพโค่นอำนาจหลังขึ้นครองอำนาจได้เพียงปีเดียว

อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของทางการอียิปต์ในการกวาดล้างปฏิปักษ์ทางการเมือง ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรงจากบรรดานักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนจากทั่วโลก รวมถึง องค์การสหประชาชาติ ที่ต่างตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือและความเป็นธรรมของกระบวนการยุติธรรมในแดนไอยคุปต์ โดยเฉพาะการเร่งตัดสินคดีความต่างๆต่อผู้ต้องโทษทางการเมือง

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

ถ้าชายแดนใต้สงบ จะเิกิดอะไรขึ้น

ถ้าชายแดนใต้สงบ จะเิกิดอะไรขึ้น


  • ถ้าชายแดนภาคใต้สงบ สินค้าพวกนี้ก็คงขายไม่ได้
  • คงไม่มีเรื่องเขียนหนังสือ ไม่มีแบบทำเสื้อ ไว้ขาย......
  • ของทุกอย่างที่ท่านเห็น ทุกชิ้นมีไว้ขาย มีกำไร สร้างรายได้ 
  • ใครสนใจหาซื้อได้ที่ร้านหนังสือบูคูปัตตานี south dark ช่วยโปรโมทให้ฟรี ไม่คิดตัง
  • แต่ของนั้นขาย คิดตัง ไม่ได้แจก แถมกำไรงาม
  • ช่วยกันอุดหนุน ....อุตสาหกรรมสันติภาพบนหลังคน....
  • ช่วงนี้กำลังกอบโกย.....ก่อนที่จะสงบซะก่อน


รูปภาพ : ถ้าชายแดนภาคใต้สงบ สินค้าพวกนี้ก็คงขายไม่ได้

คงไม่มีเรื่องเขียนหนังสือ ไม่มีแบบทำเสื้อ ไว้ขาย......

ของทุกอย่างที่ท่านเห็น ทุกชิ้นมีไว้ขาย มีกำไร สร้างรายได้ 

ใครสนใจหาซื้อได้ที่ร้านหนังสือบูคูปัตตานี south dark ช่วยโปรโมทให้ฟรี ไม่คิดตัง

แต่ของนั้นขาย คิดตัง ไม่ได้แจก แถมกำไรงาม

ช่วยกันอุดหนุน ....อุตสาหกรรมสันติภาพบนหลังคน....

ช่วงนี้กำลังกอบโกย.....ก่อนที่จะสงบซะก่อน

อย่าตกเป็นเครื่องมือของแผน "ชั่ว" พวกนี้

ไอ้พวกติดธงมาเล แขวนป้ายผ้า.........หลายๆจุด
วันที่ 31 ส.ค. นี้ วันชาติมาเลเซีย และ วันครบรอบ BERSATU มันแขวนอีกแน่....

....พวกเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ก็อย่าได้ถ่ายรูป แล้วเอาลงสื่อให้พวกมันอีก เจอก็เก็บ แล้วก็เอาไปเผาซะ.....

จะเอาไปขยายความให้มันทำไม........


น้ำมันเถื่อนอีกมหาศาล




http://narater2010.blogspot.com/

รายงานเสวนา: มลายูจีน-พุทธ-มุสลิม มุมมองต่อความขัดแย้งและสันติภาพในชายแดนใต้

รายงานเสวนา: มลายูจีน-พุทธ-มุสลิม มุมมองต่อความขัดแย้งและสันติภาพในชายแดนใต้

รายงานเสวนา: มลายูจีน-พุทธ-มุสลิม มุมมองต่อความขัดแย้งและสันติภาพในชายแดนใต้

เมื่อวันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม 2556 “วิทยาลัยประชาชน” ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดเสวนา “เรื่องเล่าความขัดแย้งจากมุมมองมลายูมุสลิมไทย พุทธ และจีน” ที่คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักสูตรผู้นำสร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ โดยมีนักศึกษาในหลักสูตรเข้าร่วมประมาณ 30 คน

มลายูจีน-ความขัดแย้งไม่ได้มาจากชาติพันธ์ที่แตกต่าง พื้นฐานความสัมพันธ์ยังแข็งแกร่ง
           นายชุมศักดิ์ นรารัตน์วงศ์ นักเขียนและช่างภาพ เป็นคน ต.ดุซงญอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส เติบโตมากับคนมลายูมุสลิม และมีต้นตระกูลเป็นคนเชื้อสายจีนที่อพยพมาจากประเทศจีน ปัจจุบันมีบทบาทด้านการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนในพื้นที่ โดยส่งเสริมเยาวชนผลิตหนังสั้นในพื้นที่ เป็นตัวแทนอภิปรายในมุมมองของคนมลายูจีนต่อปัญหาความขัดแย้ง
         “ผมมีรากเดิมเป็นคนจีน ความเป็นจริงคนจีนมีความผูกพันกับคาบสมุทรมลายู และไม่เคยมีความขัดแย้งกับคนในพื้นที่เลย”
        “ถ้าพูดถึงปัญหาความขัดแย้ง ผมเคยพูดและยืนยันบ่อยๆว่า ความขัดแย้งในพื้นที่นี้ไม่ใช่เรื่องความแตกต่างทางศาสนา ทุกคนอยู่ร่วมกันได้จนทุกวันนี้ แม้บางคนขณะมองตาอาจไม่รู้ใจ แต่ผมยังเชื่อว่ารากฐานความสัมพันธ์ของผู้คนยังแข็งแกร่งอยู่”
         ชุมศักดิ์ กล่าวถึงภาพถ่ายของตัวเองภาพหนึ่งที่ถูกบันทึกในจังหวัดปัตตานี สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันของคนในพื้นที่ ระหว่างคนไทยพุทธกับคนมลายูที่อยู่ด้วยกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
         ช่วงที่ตนทำหนังสือตนนำภาพนั้นเป็นภาพปก และตั้งชื่อว่า “พหุวิถีพุทธ มุสลิม จีน” ในช่วงเวลาเดียวกันมีประเพณีความผูกพันเกี่ยวกับ 3 ศาสนาพอดี ได้แก่ คนมุสลิมถือศีลอดเดือนรอมฎอน คนจีนมีงานศาลเจ้าลุยไฟ ส่วนคนพุทธก็มีงานวันอาสาฬหบูชา
         “ผมเป็นคนจีนก็จริง แต่ผมฟังเสียงอาซานทุกวันวันละ 5 เวลา ผมอยู่ที่บ้านพ่อก็จะเปิดเพลงจีนด้วยความเป็นคนจีน พอสายๆ มีพระมาบิณฑบาตผ่านทางหน้าบ้าน สวนทางกับคนมุสลิมที่เพิ่งละหมาดเสร็จ เป็นภาพที่สวยงามมากในตลาดดุซงญอ ผมจึงนำมาเขียนเป็นหนังสือว่า “ใต้ความทรงจำ” และเขียนเป็นเพลงด้วย”
        “ผมมาจากตระกูลคนจีนกลุ่มแรกที่มาอยู่ในดุซงญอ มาอยู่รักใคร่ดูแลกันดี จึงทำให้มีคนจีนตามมาอยู่ร่วมกันมากขึ้น ความคล้ายคลึงของคนจีนกับคนในพื้นที่ คือการเอื้อประโยชน์ต่อกัน ทำให้คนจีนไม่ขัดแย้งกับคนในพื้นที่ เนื่องจากคนจีนมุ่งแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าเสมือนเป็นที่อยู่ใหม่ที่ให้ชีวิต บ้างก็มาหลักแหล่งที่ประเทศมาเลเซีย ที่เกาะปีนัง ที่ประเทศสิงคโปร์ บางส่วนมาอยู่ตอนกลางของประเทศ กลุ่มสุดท้ายเป็นกุลีดีบุก”
         “ช่วงเกิดสงคราม “เปอร์แรดุซงญอ” (การต่อสู้ที่ดุซงญอ) พ่อผมออยู่ที่ดุซงญอ จึงเห็นความเอื้ออาทรและการต่อสู้”
        “พ่อเล่าให้ฟังว่า ก่อนเกิดการปะทะกัน ชาวบ้านพากันลี้ภัยไปอยู่ในห้องใต้ดินของบ้าน ผมก็เลยเชื่อว่า รากฐานของคนในพื้นที่มีลักษณะพิเศษ คือ คนจีนเป็นแค่คนอาศัย ไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่เราอยู่อาศัยด้วยความรักและผูกพัน”
 มลายูพุทธ- มลายูถูกปลูกฝังให้เกลียดซีแย ทางออกคือต้องยอมรับในความต่าง
h
          อาจารย์ประสิทธิ์ เมฆสุวรรณ ข้าราชการครูและประธานสภาประชาสังคมชายแดนใต้ ตัวแทนคนมลายูพุทธ สะท้อนมุมมองของคน “ซีแย” (สยาม) ว่า ตนเป็นคน 2 ประเทศ ดั้งเดิมเป็นชาวนา แต่อาศัยอยู่นอกหมู่บ้าน เนื่องจากมีปัญหา จนกระทั่งกลับบ้านไม่ได้ ไม่มีแม้ที่ซุกหัวนอน จึงต้องไปอยู่ที่ป่าสงวนที่บาโหย ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังเป็นป่าสงวน
        “ผมเห็นว่า ปัญหาที่ขัดแย้งในพื้นที่ไม่ใช่เรื่องศาสนา แม้ผมไม่ได้เป็นคนที่ศึกษาศาสนาอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ศึกษาคำนิยามของศาสนา จึงเห็นว่า ไม่มีเรื่องที่ศาสนาทำให้ความขัดแย้งหรือความรุนแรงแบบนี้”
        “คนมุสลิมสอนเรื่องความสันติสุข คนไทยพุทธสอนเรื่องการประนีประนอม ส่วนคริสต์ก็เอาความรักมาเป็นตัวตั้งให้แบ่งปันความรักให้ผู้อื่น ทำให้เห็นจุดร่วมที่ไม่มีเหตุผลที่ต้องฆ่าผู้อื่นแต่อย่างใด”
         “ฉะนั้นศาสนาไม่ใช่แก่นแท้ของความขัดแย้ง เป็นเพียงการดึงเอาศาสนามาเกี่ยวข้องกับยุทธวิธีบางส่วน ที่จะทำให้เกิดการรวบรวมพลังในการเคลื่อนไหวมากกว่า”
        อาจารย์ประสิทธิไม่เห็นด้วยว่า วัฒนธรรมก่อให้เกิดความขัดแย้ง เพราะตนทำงานในพื้นที่มา 40 ปี อยู่กับมุสลิมตลอดชีวิต แม้เรื่องอาหารการกินจะไม่เหมือนกัน จึงมีความเข้าใจในความแตกต่างแต่ไม่แตกแยก และเชื่อว่าถ้าทุกคนเข้าใจและยอมรับในจุดต่างนี้ได้ จะสามารถทำงานร่วมกันได้ โดยปราศจากความขัดแย้ง
           “ผมค่อนข้างมั่นใจว่า แก่นแท้ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง คือ อำนาจการเมืองการปกครองที่มีมาตั้งแต่ประวัติศาสตร์ และคนมลายูท้องถิ่นก็ไม่ยอมรับ เพราะวิถีตรงนี้ผนึกกับเรื่องศาสนา เรื่องอื่นเป็นแค่ส่วนประกอบ โดยที่คนมุสลิมในพื้นที่รู้สึกว่า การควบรวมหัวเมืองปัตตานีเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยไม่ถูกต้อง”
         “ยอมรับว่าประวัติศาสตร์เป็นเช่นนี้จริง เมื่อมีอำนาจเข้ามาบีบบังคับให้เป็นเช่นนั้น ความไม่ต้องการอยู่เป็นส่วนหนึ่งรัฐไทยก็เกิดขึ้นทันที แล้วคนกลุ่มนี้พยายามต่อสู้เพื่อให้หลุดออกจากบริบทของราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ตอนนั้น นี่คือแก่นของปัญหา แต่มักเป็นเรื่องที่ไม่มีใครพูดถึง”
        “ถ้าจะเอาวัฒนธรรมพุทธมาใช้กับคนมุสลิมคงเป็นไปได้ยาก เมื่อเป็นเช่นนี้คนพื้นที่นี้จึงต้องพยายามต่อสู้ โดยผ่านทางองค์กรต่างๆ เช่น ในนามกลุ่ม BRN Coordinate ที่เป็นกลุ่มที่มีการจัดตั้งเข้มแข็ง หนักแน่น”
        อาจารย์ประสิทธิ์เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาด้วยว่า สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ ถ้ารัฐบาลไทยมีแนวคิดอีกแบบหนึ่งว่า BRN คือ คนที่อยู่ในสังคมเดียวกัน โดยแก้ปัญหาจากความขัดแย้งในหมู่ประชาชนคนพวกเดียวกัน การกำหนดยุทธศาสตร์ไม่ใช่ด้วยวิธีการเอาชัยชนะ แต่ต้องหาวิธีแก้อีกชุดหนึ่งต่างหาก
        “BRN ต้องการความเป็นอิสระในการเมืองการปกครองเพื่อดูแลกันเอง ต้องการคงความเป็นอัตลักษณ์ความเป็นมลายูมุสลิมเอาไว้ให้โดดเด่นเหมือนประเทศเอกราชทั้งหลาย มีสิทธิเสรีภาพทางศาสนาทุกประการ เสมอกับเชื้อชาติอื่นๆหาก BRN มองเช่นนี้ รัฐบาลก็อาจจะคิดได้ว่าจะไม่ไปกดขี่ข่มเหง กระทำอย่างเสมอภาค ผมเชื่อว่าจุดลงตัวมี หากทุกคนต่างคิดอย่างมีเหตุผล ความขัดแย้งตรงนี้อาจคลี่คลายได้หมด”
 มลายูมุสลิม-ความขัดแย้งมาจากโครงสร้างอำนาจ ทางออกคือให้สิทธิเท่าเทียมกัน
         นายการิม มูซอ หรืออีชา จากกลุ่มผู้ขับเคลื่อนด้านการสร้างศักยภาพให้คนในพื้นที่ เป็นคนหนุ่มที่มีบทบาทในการประสานงานฝ่ายเยาวชนและนักศึกษาของสำนักปัตตานีรายอเพื่อสันติภาพและการพัฒนา สะท้อนมุมมองคนมลายูมุสลิมว่า ค่อนข้างกดดันที่ต้องอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง จากการถูกยัดเหยียดความเป็นตัวตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบการศึกษา
        ในมิติโครงสร้างทางการเมือง การิมเห็นด้วยที่ว่า ปมความขัดแย้งในพื้นที่เกิดจากการถูกปลูกฝังตั้งแต่สมัยเด็กให้เกลียดคน “ซีแย” จริงๆ แล้วความเป็นมลายูมุสลิมมีวิถีของศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง
         การิมกล่าวว่า ขณะนี้คนมลายูถูกกดดัน ทุกคนมีสิทธิในการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้กับตนเอง แต่วันนี้การถูกตราหน้าจากสังคมเพียงเพราะการคิดที่แตกต่างไปจากเดิม
         “ในทางกฎหมายเรายังต้องเชื่อในอำนาจรัฐ แต่โดยพฤตินัยแล้วคงไม่มีใครเชื่อ เพราะวันนี้ดูเหมือนเรากำลังเป็นกบฏของรัฐไทยโดยไม่รู้ตัว ถามว่าโรงเรียนตาดีกาจะมีไปทำไมถ้าระบบการศึกษาไทยดี ถ้าอำนาจทางการเมืองดีคณะกรรมการมัสยิดก็ไม่จำเป็นต้องมี”
        “วันนี้คนปัตตานีต้องกำหนดชะตากรรมตนเอง ต้องมาถกเถียงถึงความต้องการของตนเอง พูดคุยถึงเรื่องโครงสร้างทางอำนาจที่จะส่งผลต่ออนาคตให้รู้เรื่องก่อน ส่วนบุคคลภายนอกช่วยหยุดฟังและให้เกียรติคนใน”
        ปัจจุบันเมื่อ 2 ฝ่าย คือรัฐบาลกับ BRN ลุกขึ้นมานั่งคุยกัน BRN บอกว่าต้องการเอาพื้นที่ตรงนี้คืน นี่คือโจทย์ที่เกิดความขัดแย้งในเวลานี้
        ถามว่าทุกวันนี้ทั้งสองฝ่ายได้คุยอย่างตรงไปตรงมากับคนในพื้นที่บ้างหรือยังว่า มองปัญหาในพื้นที่อย่างไร ทั้งเรื่องการศึกษา วัฒนธรรม อัตลักษณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธ-มุสลิม และอีกเรื่องหนึ่งที่ทุกคนต้องยอมรับ คือ เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์
         “อยากเรียกร้องจากรัฐว่า เปิดโอกาสให้ทุกคนมาพูดคุยกัน จะได้เกิดการตื่นตัวทางการเมือง เพื่อทุกคนจะได้เข้าสู่ประตูซาตูปาตานีอย่างพร้อมเพรียง”
นั่นเป็นเสียงสะท้อนของคนมลายู ทั้งมุสลิม จีนและพุทธ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่พยายามขับเคลื่อนสันติภาพให้เกิดขึ้น ซึ่งต่างเห็นตรงกันว่า ความขัดแย้งไม่ได้เกิดจากเชื้อชาติ ศาสนาที่แตกต่างกัน แต่เกิดจากโครงสร้างอำนาจ บริบททางกฎหมายที่สวนทางกับชีวิตความเป็นอยู่ในพื้นที่
แม้วันนี้เหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นยังหาทางแก้ไขไม่ได้ แต่ถ้าทุกคนทำความเข้าใจ ยอมรับ และช่วยกันหาวิธีแก้ปัญหา เชื่อว่าความสงบสุขคงจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
http://narater2010.blogspot.com/

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หมู่บ้านกระสุนตก ที่ปัตตานี !!

หมู่บ้านกระสุนตก ที่ปัตตานี !!

.. หมู่บ้านกระสุนตก ที่ปัตตานี !! โน ลีโอนิคส์ ....



... ไม่มีฝนดาวตกที่นี่ มีแต่"กระสุนตก" บ้านตุปะ ปัตตานี โนลีโอนิคส์....


         .เหนื่อยครับ!!! แทบหมดแรง กว่าจะได้ออกจากสมรภูมิรบย่อยชายแดนใต้ บ้านตุปะ ต.ควนโนรี อ.
โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เมื่อวานนี้ ก็ปาเข้าไปเกือบ5โมงเย็น ต้องกลิ้งไป กลิ้งมา เหมือนลูกขนุน!!! ไหนจะเป็นห่วงอาวุธประจำกาย หมายถึงกล้องถ่ายรูปน่ะครับ ไม่ใช่ปืน และที่สำคัญไหนจะคอยหลบวิถีกระสุน "ลูกหลง" ที่เฉี่ยวไปเฉี่ยวมา มองไม่เห็น ได้ยินแต่เสียงดังลั่นสนั่นทุ่ง ประมาณครึ่งชั่วโมงได้กว่าสงบ กลัวพลาดน่ะครับเดี๊ยวจะถูกสมน้ำหน้า ก็พี่ทหาร พี่ตำรวจ เขาอุตส่าห์ ขอร้องแกมบังคับ ให้ไปหาที่กำบังไปอยู่ในที่ปลอดภัยก็แล้วยังแอบๆ ไปหลบซุ่มอยู่ริมขอบบ่อน้ำ ใต้ต้นไม้ขนาดสองคนโอบ โดยคาดว่าแม้ลูก M79 ก็คงไม่ทะลุผ่าน ...



... ก็จะให้ทำอย่างไรได้ ช่วงเวลานั้น วิญญานช่างภาพข่าว กำลังเข้าสิงพอดี !!! แต่ขอบอกตรงๆว่าไม่ได้ประมาท นะครับ สติ สัมปชัญญะ ยังอยู่ครบ...


... เมื่อวันที่ 17พย.เวลาประมาณ 11.00 น.จากการเข้าพิสูจน์ทราบของเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวน ภ.จว.ปัตตานี นำทีมโดย พ.ต.อ.จีระวัฒน์ อุดมสุต รอง.ผบก.ภ.จว.ปัตตานี ว่ามีแนวร่วมกลุ่มก่อนความไม่สงบเคลื่อนไหวในพื้นที่ และเข้าไปหลบซ่อนตัวเตรียมวางแผนก่อเหตุ อยู่ภายในบ้านเลขที่ 192/3 หมู่ที่ 5 บ้านตุปะ ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี กำลังเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวประมาณ 10 นาย จึงได้เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว  พร้อมตะโกนเรียกให้คนอยู่ภายในบ้านออกมามอบตัว ประกฎว่าเงียบไม่มีเสียงตอบรับ จึงผลักประตูบ้านเข้าไป ผลคือคนร้ายที่คาดว่าอยู่ภายในบ้านประมาณ 4-6คน ได้กราดกระสุนออกมา เฉี่ยวเสื้อเกราะตำรวจผู้เป็นหัวหน้าชุด โดนโทรศัพท์มือถือแตกกระจาย เจ้าหน้าที่จึงรีบถอยร่นเข้าหน้าที่กำบัง ปิดล้อมพร้อม วิทยุขอกำลังช่วยเหลือ เพิ่มเติม ...

... จากนั้นไม่นานกำลังเจ้าหน้าที่ ทหารจากหน่วยเฉพาะกิจปัตตานีที่ 24 ตำรวจ ภ.จว.ปัตตานี และหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง ได้เสริมกำลังเข้ามาปิดล้อมเพิ่มเติม และได้ประกาศทางเครื่องขยายเสียงภายในรถหุ้มเกราะ  ให้คนร้ายออกมามามอบตัว พร้อมรับรองความปลอดภัย แต่ไม่เป็นผล ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดแรกที่เข้าไปปิดล้อม และอยู่ใกล้กับบ้านหลังดังกล่าวมากที่สุดในขณะนั้น เล่าให้ฟังว่า คนร้ายทั้งหมดได้ประกอบพิธีละหมาด พร้อมประกาศสู้ตาย !! เสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณ ....


... แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ละความพยายาม ได้เชิญ ผู้นำศาสนา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มาเจรจา อีกแต่สุดท้ายยังได้รับคำตอบเดิมคือ ทุกคนพร้อมสุ้ตาย ไม่ยอมให้จับเป็นเด็ดขาด ขณะที่เสียงปืนของคนร้ายก็ยังดังออกมาจากบ้านหลังดังกล่าวเป็นระยะๆ เพื่อสกัดไม่ให้กำลังเจ้าหน้าที่คืบคลานเข้าไปถึง...


... จนกระทั่วเวลาประมาณ 15.00 น. เมื่อเห็นว่าการเจรจาไม่สามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้ เจ้าหน้าที่จึงได้ประชุมวางแผนประเมินท่าทีกันใหม่ สุดท้าย พ.ท.หาญพล เพชรม่วง ผบ.ฉก.ปัตตานี ที่ 24 ได้ขอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาระดับสูง และ ประสานกำลังไปทาง กองพันจู่โจม หน่วยรบพิเศษ  เตรียมเข้าชาร์ต เพราะหากมืดค่ำจะไม่เป็นผลดีต่อการปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งคนร้ายก็ได้ประกาศตัวเป็นนักรบประเจ้า !!! ชัดเจนแล้ว ไม่มีใครสามารถไปโน้มน้าวเปลี่ยนแปลง แนวความคิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ที่ได้รับการปลูกฝังมาของเขาได้ ...


... 16 นาฬิกาเศษ !!! ดีเดย์ ปฏิบัติการณ์จู่โจมแบบสายฟ้าแลบ ของทหารกองพันจู่โจม  จึงเริ่มขึ้น  และแล้ว !!! เสียงปืนยิงแก๊สน้ำตา นัดแรกถูกยิงเข้าไปภายในบ้านที่คนร้ายซุ่มอยู่ และนัดต่อๆไปก็ติดตามมา ขณะที่คนร้ายก็ยิงตอบโต้ใส่เจ้าหน้าที่ เสียงปืนดังลั่นเป็นประทัดแตก ไม่รู้ของฝ่ายไหนเพราะเสียงดังเหมือนกันหมด ขณะที่ ช่างภาพและนักข่าว รวมทั้ง"เณรรูน"ด้วย ต้องหัวซุกหัวซุนเข้าหาที่กำบัง กลัว"ลูกหลง" อย่างเดียวจากฝ่ายคนร้ายที่ยิงสวนออกมาจากภายในบ้าน แต่อีกใจหนึ่ง ก็อยากได้ภาพเด็ดๆ เพราะมาอยู่ท่ามกลางควันปืนแล้ว อย่างไรเสียต้องมีผลงานติดมือออกไป คิดอย่างนั้นจริงๆในช่วงเวลานั้น เพราะมันถือเป็น"หน้าที่" ของเรา ในฐานะ"สื่อ" ที่ต้องนำเสนอความจริง ...


... ซึ่งระหว่างการยิงปะทะ เจ้าหน้าที่ทหารถูกกระสุนปืนจากฝ่ายคนร้ายได้รับบาดเจ็บสองนายคือ ส.อ.ศรชัย บัวชมภู และ ส.อ.เฉลิมพล โพธิ์ศรี สังกัดกองพันจู่โจม หน่วยรบพิเศษ เพื่อนทหารต้องรีบนำทั้งสองขึ้นเปลสนามฝ่าดงกระสุน ไปขึ้นรถพยาบาลที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ ส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน ...



... ประมาณ 30 นาที เสียงปืนจึงสงบลง!! เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ชั้นผู้ใหญ่ และคณะได้เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุภายในบ้านหลังดังกล่าว ซึ่งเป็นบ้านไม้ยกพื้นหลังใหญ่ มีห้องครัวแยกออกมาจากตัวบ้าน พบคนร้ายถูกยิงระหว่างปะทะเสียชีวิตจำนวน 6 คน ทราบชื่อภายหลังคือ 1.นายมะดือราแม นะซิมะ ชื่อจัดตั้ง"ปะดอ" แกนนำฝ่ายปฏิบัติการณ์ หัวโจทย์ใหญ่  RKK ที่ก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่หลายคดี มีรายชื่อตามหมายจับ ป.วิอาญาฯจำนวนมาก 2.นายสะการียา บาแม 3.นายอับดุลเลาะ โต๊ะลาเล๊ะ 4.นายันติ มะแอ 5.นายอาซิอาลี อาเล็ง 6.นายนารูดิง ดอมะ ซึ่งทั้งหมดเป็นแนวร่วม ฯ ที่ผ่านการซุมเปาะ(สาบานตน)เป็น นักรบของพระเจ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...


... หลังเข้าเคลียร์ที่เกิดเหตุภายในบ้านหลังดังกล่าว เจ้าหน้าที่สามารถยึดอาวุธปืนของคนร้ายได้ ปืน M16 จำนวน 1 กระบอก ปืนอาก้า(ak47) จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุนเฒแม้กกาซีน ปืนพกสั้นขนาด 11มม. 1กระบอก พร้อมกระสุน 35 นัด และ ลูกระเบิด M79 จำนวน 1ลุก ขณะนี้กำลังกระจายกำลังค้นหาเครื่องยิงอยู่ ...

 ... ครับ เหตุการณ์ความสูญเสียทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านเลยมากว่าครึ่งค่อนทศวรรษได้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตแล้วชีวิตเล่า ที่ต้องมาสังเวยไฟใต้ มีทั้งพร้อม และไม่พร้อมที่จะตาย ต่างมุมมองความคิด พื้นฐานทางด้านจิตใจของแต่ละคน และสังคม ...

... บางคนตายไป คนกลุ่มหนึ่งเคียดแค้นชิงชัง สาปแช่งให้ตกนรกไม่ให้ผุดให้เกิด แต่คนอีกกลุ่ม ในมุมมองสถานการณ์เดียวกับ กลับยกย่องเขาผู้ตายเป็นดั่งวีรบุรุษ ต่างคน ต่างมอง ต่างความคิดและที่มา  ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม สุดท้าย"เลือดไทย"ทั้งนั้นที่ไหลนองกลบผืนแผ่นดินใต้ ...
...โอ้...ปลายด้ามขวานเมื่อไหร่จะยุติการนองเลือด ...


...จาก เหตุการณ์ดังกล่าว สุดท้ายขอส่งกำลังใจ ไปให้แก่น้องทหารทั้ง 2นาย ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุปะทะในครั้งนี้ ให้หายเป็นปกติในเร็ววัน และ ขอส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ที่"ตั้งใจจริง" ในการที่จะร่วมมือกันแก้ใขปัญหาความไม่สงบจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในขณะนี้ แม้จะยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ตาม...

... และนักรบพระเจ้าทั้ง 6 ที่ต้องจบชีวิต ไปพร้อมกัน ป่านนี้คงสัมฤทธิ์ผลทางด้านจิตใจที่ทุกคนตั้งไว้แต่เดิม ซึ่งหากมองในอีกแง่มุม พวกเขาก็ตายสมชายชาตินักรบเหมือนกัน "ขอคารวะด้วยใจจริง" ทั้งๆที่รู้่ว่าไม่มี ทางสู้ได้กับฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองในเวลานั้น ...

... ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง  นักสิทธิมนุษยชน หลายคนกำลังเพ่งมองมาที่นี่ และหลายๆคำถามต้องตามมาโดยเฉพาะประเด็น โลกแตก เป็นการกระทำ " กระทำเกินกว่าเหตุ " ไปหรือไม่ ซึ่งในฐานะเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ บอกได้คำเดียวว่า "เห็นใจ" ทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง และ กลุ่มก่อความไม่สงบ ในเมื่อไม่สามารถแสวงหาจุดร่วม ที่ลงตัว โดยที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง  สุดท้ายผลที่ออกมาก็เป็นอย่างที่เห็น ...

... และอีกครั้งกับนักฉวยโอกาส ไม่ว่าจะมาในรูปแบบ หรือ องค์กรใดก็ตาม ที่จะเข้ามาอาศัยสถานการณ์
เช่นนี้ มาสร้างผลงานหรือหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าคนไม่กี่คน ให้มองมุมกลับ ควรระวัง หันมาทบทวนบทบาทตนเองด้วยเพราะ หลายครั้งเขาเหล่านั้นก็เป็นตัวเร่งปฏิกริยา เพิ่มรอยร้าวสร้างความแตกแยกเพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว .. 

.... สวัสดีครับ.....
http://narater2010.blogspot.com/
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม