วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วางระเบิดพลาด โดนมุลิมด้วยกันตาย จะได้ไปสวรรค์ไหมครับ




ฆ่าคนแล้วได้ไปสวรรค์ ฆ่าคนนอกศาสนาจะได้บุญ ฟังนาทีที่ 5 ขึ้นไป
ถ้าโจรใต้มันวางระเบิด แล้วไปถูกมุสลิมด้วยกันตายละ จะได้ขึ้นสวรรค์มั้ยครับ

โจรใต้พาทัวร์! นำเจ้าหน้าที่ชมหลุมระเบิดที่ขุดไว้....




           เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (20 ธ.ค.57) เจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.ทพ.44 ร่วมกับ จนท.ตร.สภ.สายบุรี, หน่วยซักถาม ขกท.สน.จชต. และ จนท.ฝ่ายปกครอง อ.สายบุรี เข้าตรวจสอบพื้นที่แหล่งซุกซ่อนวัตถุระเบิดและจุดที่กลุ่มโจรใต้ขุดเจาะหลุ่มระเบิด






          จากการซักถาม นายอาลือซู นาแว สมาชิกโจรใต้ที่ถูกจับกุม เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.57 นำไปสู่การขยายผลแหล่งซุกอาวุธสงคราม และ หลุมระเบิดรวม 4 จุด

          จุดที่ 1, 2 ทำการตรวจสอบแหล่งซุกซ่อนอาวุธปืน บริเวณโพรงหญ้าภายในสวนยาง บ.บาโงยือริง ม3 ต.บือเระ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี พบเพียงถุงปุ๋ย และร่องรอยการนำอาวุธออกจากพื้นที่ก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่จะเข้าทำการตรวจสอบ

         จุดที่ 3 หลุมระเบิด บริเวณถนนระหว่าง บ.จ่ากอง-บ.บาเลาะ ม.5 ต.ปะเสยะวอ อ.สายบุรี พบเป็นหลุมกว้าง 30 ซม. ลึก 2 เมตร

        จุดที่ 4 รอยขุดเจาะจากท่อลอด กว้างประมาน 30 ซม. บริเวนถนนหมายเลข 4074 บ.สือดัง ม.3 ต.เตราะบอน อ.สายบุรี

เพจแนวร่วมชี้ขัดแย้งกระบวนการสร้างสันติสุข....



           เว็บเพจ Patani Darussalam News เผยแพร่ข้อความอ้างว่าเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวคนมุสลิมปาตานี ในพื้นที่ จ.ยะลา และ เป็นการกระทำภายใต้นโยบายความหวาดระแวงของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของกระบวนการพูดคุยเพื่อสร้างสันติสุข

          เป็นที่น่าเอือมระอาสำหรับเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่สนับสนุนกลุ่มแนวร่วมขบวนการ มักชอบอ้างเหตุผลแบบข้างๆ คูๆ อย่างไร้เหตุและผล

           บุคคลที่กระทำความผิดก็ต้องว่าไปตามกระบวนการขั้นตอนของกฎหมาย การจับกุมตัวมิได้หมายความว่าไปขัดแย้งกับกระบวนการพูดคุยสันติสุขแต่ประการใด

          กระบวนการพูดคุยสันติสุขยังคงเดินหน้านำกลุ่มคนที่คิดต่างมาพูดคุยกันจะเอากันอย่างไร หากเพจเหล่านี้ หรือแกนนำกลุ่มขบวนการมีความจริงใจต้องทำความเข้าใจสมาชิกแนวร่วมให้หยุดการก่อเหตุร้ายสิ...

        ปัญหาอยู่ที่ทุกวันนี้ยังมีการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ เจ้าหน้าที่ต้องใช้กฎหมายในการจับกุมตัวมาดำเนินคดี หากไม่มีการก่อเหตุ ทุกอย่างก็สงบ เกิดสันติสุข ไม่ต้องมาขัดแย้งกัน...

ขอถามไอ้โจรลูกหมาฟาตอนี ไหนมึงบอกว่ามุสลิมทุกคนเป็นพี่น้องกัน คราวนี้ มึงจะแถ.....ว่างัย


             สำนักข่าว IMM :กลุ่มหัวรุนแรงจีฮัด "ไอเอสไอเอส" ที่ควบคุมเมืองโมสุลของอิรักตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว ได้ทำลายสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา รวมทั้งมัสยิด และสุเหร่าของชาวมุสลิม และโบสถ์ของชาวคริสต์เตียนรอบเมืองโมสุลซึ่งถือเป็นเมืองประวัติศาสตร์ของอิรักแล้ว มีสุเหร่าของชาวสุหนี่ 4 แห่งถูกทำลาย และ 6 แห่งของชาวชีอะห์ถูกทำลาย

           สำนักข่าวมติชนออนไลน์ รายงานว่า กลุ่มหัวรุนแรงจีฮัด "ไอเอสไอเอส" ที่ควบคุมเมืองโมสุลของอิรักตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว ได้ทำลายสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา รวมทั้งมัสยิด และสุเหร่าของชาวมุสลิม และโบสถ์ของชาวคริสต์เตียนรอบเมืองโมสุลซึ่งถือเป็นเมืองประวัติศาสตร์ของอิรักแล้ว โดยมีรายงานว่า มีสุเหร่าของชาวสุหนี่ 4 แห่งถูกทำลาย และ 6 แห่งของชาวชีอะห์ถูกทำลาย ในหลายส่วนของจังหวัดไนน์เวห์ ซึ่งมีเมืองโมสุลเป็นเมืองเอก โดยสถานที่สักการะทางศาสนาเหล่านี้ต่างถูกทำลายด้วยรถตักดิน รวมทั้งถูกถล่มด้วยระเบิด

            นอกจากนี้ โบสถ์บางแห่งในเมืองนี้ยังถูกยึด มีการนำไม้กางเขนออกไป และนำธงของกลุ่มไอเอสไอเอสมาติดแทน ขณะที่ชาวบ้านเมืองโมสุลต่างบอกว่ารู้สึกเศร้าใจกับการทำลายล้างสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาเหล่านี้ ที่สืบทอดมาตั้งแต่ชนรุ่นปู่รุ่นพ่อ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นจุดเด่นและเป็นสัญลักษณ์ของเมือง



            ขณะที่หน่วยงานความมั่นคงอิรักพยายามตรวจสอบว่า นายอัล แบกดาดี ผู้นำของกลุ่มไอเอสไอเอส ได้เดินทางไปเทศนายังมัสยิดใหญ่ในเมืองโมสุลหรือไม่ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็จะนับเป็นการปรากฎตัวครั้งแรกของนายแบกดาดี ที่ถือเป็นบุคคลสำคัญของวงการจีฮัดนานาชาติ และเป็นบุคคลที่ถูกรัฐบาลสหรัฐตั้งรางวัลค่าหัวเป็นมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์

             โดยนายอัล แบกดาลี ได้ก่อตั้งกลุ่มไอเอสไอเอสที่แยกตัวมาจากกลุ่มอัล กออิดะห์ ที่มุ่งเน้นให้อิรักเป็นกองกำลังผสมอิสระ และกลุ่มได้ครอบครองพื้นที่ยาวตลอดแถบพรมแดนซีเรียและอิรักอยู่ในขณะนี้ โดยกลุ่มสามารถเข้าควบคุมเมืองโมสุลได้เมือเดือนที่แล้ว และสามารถเข้าควบคุมพื้นที่ที่เหลือของเมืองไนน์เวห์ รวมทั้งบางส่วนของ 4 จังหวัดทางตอนเหนือและตะวันตกของกรุงแบกแดด ในปฏิบัติการเข้ายึดครองพื้นที่ที่ทำให้ชาวอิรักหลายแสนคนต้องพลัดถิ่นฐาน และสร้างความวิตกให้แก่ประชาคมโลกถึงความอันตรายของกลุ่ม

- See more at: http://www.immjournal.com/news-world/841-isis040.html#sthash.AfAOZWSD.dpuf

อัลเลาะห์ ทรงตรัสว่า  
แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน  (ซูเราะห์ อัลหุญุร๊อต : 10)


รายงานจาก อบีมูซา กล่าวว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า :   ผู้ศรัทธาต่อผู้ศรัทธานั้น (ต้องช่วยเหลือกัน) เหมือนกับอาคาร ซึ่งบางส่วนของมันยึดเหนี่ยวกับอีกบางส่วน   แล้วท่านรอซูลประสานมือเข้าด้วยกัน

บันทึกโดยบุคอรีย์ และมุสลิม
(ดูในบุคอรีย์ เล่ม 5 หน้า 72 และดูในมุสลิม หะดีษเลขที่ 2585)



            แล้วตกลงว่างัยแน่  ตกลงมันจะเป็นพี่น้องกัน หรือมัน คราวนี้จะมาแถอีกว่า ไอ้นี้มันไม่ใช่อิสลาม

จับตอแหลกลางอากาศ ขบวนการไอซิส



           อินดิเพนเด้นท์ - กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวหากลุ่มนักรบไอซิซว่าพยายาม “ตบตา” ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ด้วย ภาพที่อ้างว่าเป็นการล่วงละเมิดมุสลิมซุนนี ซึ่งความจริงแล้วเป็นภาพที่นำมาจากภาพยนตร์ลามกอนาจารของฮังการี

      ภาพดังกล่าวที่เป็นส่วนหนึ่งของโปสเตอร์โฆษณาทางสื่อออนไลน์ ประกาศว่า ไอซิซ ซึ่งเรียกตัวเองว่า “รัฐอิสลาม” เป็นผู้ช่วยเหลือเพียงผู้เดียวที่จะช่วยชาวมุสลิมซุนนีหลายล้านคนให้รอดพ้นจากกองทัพนักสังหารของอิรักและซีเรีย

        มันแสดงภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังถูกข่มขืนโดยกลุ่มชายในหน่วยงานของกองทัพ พร้อมกับข้อความว่า “ไม่มีการเฝ้ามองพี่น้องผู้ชายตายอีกต่อไป ไม่มีการเฝ้ามองพี่น้องผู้หญิง(เสียใจแทบ)บ้าอีกต่อไป”

        โปสเตอร์นี้เผยแพร่โดยผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่แสดงตัวว่าเกี่ยวพันกับไอซิซ หนึ่งในนั้นใช้ชื่อว่า “State of Islam” (รัฐอิสลาม) โดยเน้นคำว่า “นักสังหาร” ในกองทัพของอิรักและซีเรีย
         แต่จากข้อมูลของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ภาพนิ่งของผู้หญิงและทหารนั้น ที่แท้ “ถูกนำมาจากภาพลามกอนาจารของฮังการี”  การยักยอกภาพมาใช้ในครั้งนี้ถูกเปิดเผยโดยผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ Think Again Turn Away ที่ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ซึ่งในอดีตได้เผยแพร่วีดีโอตอบโต้การโฆษณาชวนเชื่อที่แสดงภาพนักรบของไอซิซกำลังตรึงกางเขนและโยนมุสลิมลงหน้าผา

        ผู้ใช้บัญชีชื่อ Think Again Turn Away ได้ทวีตไปยังบัญชีชื่อ State of Islam ว่า “หยุดใช้ภาพปลอมเพื่อ “ตบตา” ประชาชนให้หันมาสนับสนุนเป้าหมายที่สูญเปล่าของพวกคุณได้แล้ว”

        ผู้ใช้ทวีตเตอร์คนอื่นๆ คาดการว่ากระทรวงต่างประเทศน่าจะรู้ความเป็นจริงของภาพนี้ บางคนคิดว่าเจ้าหน้าที่อาจสามารถเข้าถึง “ซอฟท์แวร์ความจำภาพของรัฐบาล” มันเป็นเหมือนตอนล่าสุดในสงครามโฆษณาชวนเชื่อที่กำลังดำเนินอยู่ในโลกออนไลน์ ระหว่างสหรัฐฯ และไอซิซ

- See more at: http://www.immjournal.com/news-world/863-2014-11-29-14-14-29.html#sthash.mUbywQ8A.dpuf

ขอไว้อาลัย จ.ส.อ.ชาญณรงค์ มะลิชื่น วีรบุรุษผู้เสียสละ




            จ.ส.อ.ชาญณรงค์ มะลิชื่น สังกัด หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 36 ถูกกระแสน้ำพัดหายไปเมื่อช่วงกลางดึกของวันที่17ธ.ค.57 ขณะกำลังนำเรือเข้าช่วยอพยพราษฎรในพื้นที่ประสบอุทกภัยริมฝั่งแม่น้ำสุไหงโก-ลก ที่ระดับน้ำท่วมสูงกว่า 2 เมตร แล้วเกิดอุบัติเหตุชนเรือชนคอสะพานจนล่มแล้วพัดร่างจมหายไป ซึ่งหลังเกิดเหตุพันโทพงศ์พัฒน์ ห้องสินหลาก ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 36 ได้ขอกำลังเสริมและเรือท้องแบบขนาดใหญ่จากหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน ค่ายจุฬาภรณ์ มาช่วยในภาระกิจค้นหาร่วมกับทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส36 และพลเมืองดีที่มาร่วมค้นหาผู้สูญหายอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 20 ธ.ค.57 ได้พบศพของ จ.ส.อ.ชาญณรงค์ มะลิชื่น บริเวณท่าน้ำตลาดมูโน๊ะ จึงได้เรียกเจ้าหน้าที่มูลนิธิเซิ่งหมู่ธารน้ำใจสุไหงโก-ลกนำศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลสุไหงโก-ลก ก่อนที่จะประกอบพิธีอาบน้ำศพในที่ 21 ธ.ค.57 เวลา15.00น.ณ วัดชลเฉลิมเขต อ.สุไหงโก-ลก จากนั้นเวลา16.00น.จะประกอบพิธีสวดอภิธรรมศพ ก่อนจะเคลื่อนศพไปประกอบพิธียังภูิมลำเนา อ.ท่าเเซะ จ.ชุมพร

          ประชาชนยกย่อง "จ.ส.อ.ชาญณรงค์" ทหารวีรบุรุษของชาวสุไหงโก-ลก ช่วยน้ำท่วม จนตัวตาย

          นางสุชาดา พันธ์นรา นายกเทศมนตรีเมืองสุไหงโก-ลก และราษฎรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ต่างรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกล่าวขอบคุณความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของ จ.ส.อ.ชาญณรงค์ที่แม้จะเข้ามาปฎิบัติหน้าที่ในพื้นที่ในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็มุ่งมั่นและทุ่มเทกับการปฎิบัติงานดูแลทุกข์สุขของประชาชนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการเสี่ยงชีวิตนั่งเรือท่ามกลางกระแสน้ำที่ท่วมสูงและเชี่ยวมากตลอดทั้งวัน เพื่อเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั้งที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ตลอดเวลา

“ญิฮาดุนนิกะห์” การต่อสู้ในหนทางของพระเจ้าหรือ “นางบำเรอ” ตอน 1




            สำนักข่าว IMM :เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมานักวิชาการวะฮาบีย์สลาฟีย์ตักฟีรีย์ ได้มีคำฟัตวา (คำสั่งทางศาสนา) ประกาศให้หญิงสาวชาวอาหรับเดินทางยังแผ่นดินซีเรีย เพื่อสนองอามรณ์ใคร่ให้กับกลุ่มกบฏซีเรีย และกลุ่มก่อการร้ายโค่นล้มรัฐบาลซีเรียในนาม “ญิฮาดุนกะห์” หรือ “การต่อสู้ในหนทางของพระเจ้าด้วยการตอบสนองความใคร่แก่บรรดานักรบฝ่ายกบฏซีเรีย”

          และหลังจากนั้น บรรดานักวิชาการวะฮาบีย์สลาฟีย์ตักฟีรีย์จากประเทศต่างๆ ของโลกอาหรับ โดยเฉพาะซาอุดิอาระเบีย ก็ได้ออกมาตอบรับในคำประกาศดังกล่าว ด้วยการออกมาสนับสนุนคำฟัตวา โดยประกาศให้บรรดาสตรี หญิงม่าย มุ่งหน้าเข้าสู่แผ่นดินซีเรียเพื่อทำการ “ญิฮาดุนนิกะห์”

เชค มุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ หนึ่งในบรรดานักวิชาการของวะฮาบีย์สลาฟีย์ตักฟีรีย์ชื่อดังชาวซาอุดิอาระเบีย ก็ได้ออกมาประกาศคำฟัตวาเพิ่มเติมอีกว่า “แม้แต่หญิงสาวที่สามีแล้ว ก็สามารถเข้าร่วมในการ “ญิฮาดุนนิกะห์” ครั้งนี้ได้


           ล่าสุดนักวิชาการวะฮาบีย์สลาฟีย์ตักฟีย์รีย์ นามว่าเชค นาศีร อัลอัมร์ ก็ได้ประกาศคำฟัตวาใหม่อีกว่า “การญิฮาดุนนิกะห์” กับมะฮฺรอม (ผู้ที่ไม่สามารถแต่งงานกันได้ เช่น แม่ พี่สาว น้องสาว เป็นต้น) ก็เป็นสิ่งที่อนุมัติให้มีเพศสัมพันธ์ได้ ในกรณีถ้าหากนักรบกลุ่มกบฏซีเรียไม่สามารถหาหญิงสาวเพื่อสนองอารมณ์ใคร่ได้”

          เมื่อวันพฤหัสบดี (19 ก.ย.) ที่ผ่านมาสักนักข่าวอัลอาราบีย่าได้นำเสนอข่าว รัฐมนตรีมหาดไทยของตูนิเซีย นายลุตฟี บินเจดโด ทนไม่ไหวเผย บรรดาหญิงสาวตูนิเซียที่เดินทางไปยังประเทศซีเรียเพื่อทำการ "ญิฮาดุนนิกะห์" กลับประเทศมาพร้อมกับการตั้งครรภ์ และติดเชื้อเอดส์

         ทางด้านนักวิชาการศาสนาชาวตูนิเซียชี้ว่า "ญิฮาดุนนิกะห์" ที่แท้คือการ “ขายตัว” “ หญิงสาวชาวตูนิเซียเหล่านี้ ไปมีเพศสัมพันธ์หมุนเวียนกับทหารของฝ่ายกบฏซีเรียจำนวน 20-100 คน แล้วก็กลับประเทศมาพร้อมด้วยลูกนอกสมรสอันเกิดจากการร่วมประเวณีในนาม “ญิฮาดดุนนิกะห์” แล้วเราก็นิ่งเงียบ ไม่ทำอะไรกัน และเพิกเฉยต่อเรื่องที่เกิดขึ้นนี้”

           รัฐมนตรีมหาดไทยของตูนิเซีย กล่าวอีกว่า “ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2556 ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยตูนิเซียได้ห้ามชาวตูนิเซีย 6,000 คน มิให้เดินทางไปยังประเทศซีเรีย และในจำนวนนั้นมี 86 คนที่ถูกจับกุมสงสัยว่าจะเป็น "เครือข่าย" ที่ส่งเยาวชนตูนิเซียไป "ญิฮาด" ในซีเรีย”

          รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตูนิเซีย ยังได้ตอกกลับกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่วิจารณ์การตัดสินใจของรัฐบาลที่ห้าม "มุญาฮิดีน" เหล่านี้เดินทางไปซีเรีย ว่า ส่วนใหญ่ของผู้ที่จะเดินทางไปซีเรียมีอายุน้อยกว่า 35 ปี เยาวชนของเราถูกส่งไปอยู่ในตำแหน่งแนวหน้า ทั้งถูกสอนให้ขโมย และโจมตีหมู่บ้านชาวซีเรีย”

         อดีตผู้พิพากษาศาลศาสนาของตูนิเซีย เชคออตมาน บัตตีค (Sheikh Othman Battikh) ได้กล่าวในเดือนเมษายน ว่า “มีผู้หญิงชาวตูนิเซีย 13 คน ที่ "หลงกล" เดินทางไปยังประเทศซีเรียเพื่อที่จะปรนเปรออารมณ์ใคร่ทางเพศให้แก่นักรบฝ่ายกบฏที่ต่อสู้เพื่อโค่นล้มระบอบการปกครองของประธานาธิบดี บาชาร์ อัลอัสซาด”

         "ญิฮาดุนนิกะห์" คือก็รูปแบบหนึ่งของการเป็น "โสเภณี" พวกเขากำลังผลักดันหญิงสาวไปที่นั่น และมีหญิงสาว 13 คนแล้วที่ถูกส่งไปเพื่อการ “ญิฮาดุนนิกะห์" นี่คืออะไรกัน? นี่เรียกว่า “การขายตัว” มันคือความเสื่อมทรามด้านศีลธรรม” เขาได้กล่าวกับผู้สื่อข่าว

         หลังจากที่หนังสือพิมพ์ภาษาอาหรับชื่อดัง อัชชุรูก ได้ตีพิมพ์ข่าวนี้ดังไปทั่วโลก กรณีมีหญิงสาวตูนิเซียคนหนึ่งที่เดินทางกลับมาจากซีเรียเพื่อไปร่วมใน “ญิฮาดุนนิกะห์” เป็นภรรยาชั่วคราวให้เหล่านักรบกบฏซีเรียนับร้อยคน ปรากฏว่าติดเชื้อเอดส์ และตั้งครรภ์ ทำให้ประชาชนชาวตูนิเซียเริ่มเห็นภัยอันตรายของกลุ่มลัทธิวะฮาบีย์ และช่องทีวีดาวเทียมที่เป็นของวะฮาบีย์ในตูนิเซียมากขึ้น

           และวานนี้ 24/9/56 หนังสือพิมพ์อัชชุรูกของตูนิเซียได้ตีพิมพ์รายงานหนึ่งเกี่ยวกับเด็กสาวอายุ 19 ปี ที่เพิ่งกลับจากประเทศซีเรีย หลังจากไปเป็น “นางบำเรอ” ให้กับนักรบกบฏซีเรียนานหนึ่งปี พร้อมกับตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนและติดเชื้อเอดส์ เธอได้เล่าถึงขั้นตอนต่างๆ กว่าจะถูกส่งตัวเข้าไปในประเทศซีเรีย และยังได้เล่าถึงสภาพของหญิงสาวคนอื่นๆ ที่ยังคงอยู่ในซีเรียขณะนี้ หนังสือพิมพ์อัชชุรูกได้ชี้ชัดว่า เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากหญิงสาวคนนี้ทำให้มั่นใจได้ว่า ณ เวลานี้มีหญิงสาวชาวตูนิเซียอีกจำนวนมากที่กลายเป็นนางบำเรอของนักรบกบฏซีเรีย และติดเชื้อเอชไอวีแล้ว ที่น่าเป็นห่วงคือ การกลับมายังตูนิเซียของพวกเธอเหล่านั้น คือภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงของสังคมในตูนิเซียทีเดียว

           หนังสือพิมพ์อัชชุรูกได้รายงานต่อไปว่า หญิงสาวคนนี้ได้เล่าต่อไปอีกว่า หลังจากเธอได้ฟังข่าวเหตุการณ์ต่างๆ ในซีเรียถึงความป่าเถื่อนของรัฐบาลซีเรีย และความลำบากของนักรบที่ต่อสู้กับรัฐบาลซีเรีย เธอตัดสินใจจากบ้านแผ่นดินเกิดตูนิเซียเข้าร่วมภารกิจ “ญิฮาดุนนิกะห์” ผ่านประเทศลิเบีย และเข้าสู่ตุรกี และเดินทางไปยังเมืองอเลปโปซีเรีย

         เธอได้เล่าต่อไปอีกว่า ขบวนการ “ญับฮะตุลนุศเราะฮฺ” “ ขบวนการ “ปลดปล่อยเมืองชาม” และอีกหลายๆ ขบวนการที่เป็นเครือข่ายของอัลกออิดะห์ หรือพวกวะฮาบีย์ พวกเขาทุกคนไม่มีมารยาทของมุสลิมเลยสักคน พวกเขาไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติการแต่งงานชั่วคราวที่ต้องปฏิบัติเลย เธอได้เล่าต่อไปอีกว่า เธอและหญิงสาวอีกจำนวนหนึ่งถูกนำตัวไปยังตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้น่าจะเป็นโรงพยาบาล เมื่อเข้าไปข้างในได้มีชายคนหนึ่งออกมาต้อนรับพวกเธอ และได้แนะนำตัวว่าเป็นชาวตูนิเซียนามว่า อะบูอัยยูบ เขาได้กล่าวต่อเธอว่า “หัวหน้าของสถานที่นี้เป็นชาวเยเมนเป็นหัวหน้าค่ายของนักรบมีชื่อว่านายพลอัมร์ และเขาคือชายคนแรกที่เธอได้ทำการ “ญิฮาดุนนิกะฆห์” ด้วยในคืนนั้น

        เธอได้เล่าอีกว่า หลังจากคืนนั้นผ่านไป เธอจำไม่ได้ว่านักรบจำนวนกี่คนที่ได้รุมกระทำกับเธอ ทว่าสิ่งที่เธอจำได้ดีในเวลานั้นคือ ความบริสุทธิ์แห่งการเป็นมนุษย์ที่อยู่ในตัวเธอกำลังถูกบรรดาสัตว์ร้ายเดรัจฉานเหล่านั้นรุมย่ำยี เป้าหมายของพวกเขาเพียงเพื่อย่ำยีสตรีเท่านั้น เธอได้เล่าเรื่องราวข้างต้นพร้อมกับอาการหวาดผวาว่า “บรรดานักรบเหล่านั้น หลังจากที่พวกเขาได้บุกโจมตีชาวซีเรีย พวกเขาก็จะกลับมาบุกโจมตีพวกเราอย่างบ้าคลั่งในตึกแห่งนั้น”

        เธอได้เล่าต่อไปอีกว่า “ไม่มีการทำพิธีแต่งงานตามหลักศาสนา ไม่มีโอกาสให้เลือกชายใด จนถึงตอนนี้หนูยังไม่ทราบเลยว่า พ่อของเด็กในท้องของหนู คือชาวปากีสถาน ชาวอัฟกานิสถาน ชาวลิเบีย ชาวตูนิเซีย ชาวอิรัก ชาวเชเชน ชาวซาอุดิอาระเบีย หรือชาวโซมาเลีย และก็ไม่ทราบเช่นกันว่าได้รับเชื้อเอชไอวีมาจากชายคนใด”  ( พระเจ้า ทรงสร้างทุกสิ่ง  ลูกอัลเลาหุ์ แหง ๆ )

- See more at: http://www.immjournal.com/analysis/751-yehadnekah.html#sthash.llMBKX9T.dpuf
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม