แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อาลี อาซีม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อาลี อาซีม แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ขอไว้อาลัย จ.ส.อ.ชาญณรงค์ มะลิชื่น วีรบุรุษผู้เสียสละ




            จ.ส.อ.ชาญณรงค์ มะลิชื่น สังกัด หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 36 ถูกกระแสน้ำพัดหายไปเมื่อช่วงกลางดึกของวันที่17ธ.ค.57 ขณะกำลังนำเรือเข้าช่วยอพยพราษฎรในพื้นที่ประสบอุทกภัยริมฝั่งแม่น้ำสุไหงโก-ลก ที่ระดับน้ำท่วมสูงกว่า 2 เมตร แล้วเกิดอุบัติเหตุชนเรือชนคอสะพานจนล่มแล้วพัดร่างจมหายไป ซึ่งหลังเกิดเหตุพันโทพงศ์พัฒน์ ห้องสินหลาก ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 36 ได้ขอกำลังเสริมและเรือท้องแบบขนาดใหญ่จากหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน ค่ายจุฬาภรณ์ มาช่วยในภาระกิจค้นหาร่วมกับทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส36 และพลเมืองดีที่มาร่วมค้นหาผู้สูญหายอย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 20 ธ.ค.57 ได้พบศพของ จ.ส.อ.ชาญณรงค์ มะลิชื่น บริเวณท่าน้ำตลาดมูโน๊ะ จึงได้เรียกเจ้าหน้าที่มูลนิธิเซิ่งหมู่ธารน้ำใจสุไหงโก-ลกนำศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลสุไหงโก-ลก ก่อนที่จะประกอบพิธีอาบน้ำศพในที่ 21 ธ.ค.57 เวลา15.00น.ณ วัดชลเฉลิมเขต อ.สุไหงโก-ลก จากนั้นเวลา16.00น.จะประกอบพิธีสวดอภิธรรมศพ ก่อนจะเคลื่อนศพไปประกอบพิธียังภูิมลำเนา อ.ท่าเเซะ จ.ชุมพร

          ประชาชนยกย่อง "จ.ส.อ.ชาญณรงค์" ทหารวีรบุรุษของชาวสุไหงโก-ลก ช่วยน้ำท่วม จนตัวตาย

          นางสุชาดา พันธ์นรา นายกเทศมนตรีเมืองสุไหงโก-ลก และราษฎรที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ต่างรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกล่าวขอบคุณความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของ จ.ส.อ.ชาญณรงค์ที่แม้จะเข้ามาปฎิบัติหน้าที่ในพื้นที่ในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็มุ่งมั่นและทุ่มเทกับการปฎิบัติงานดูแลทุกข์สุขของประชาชนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการเสี่ยงชีวิตนั่งเรือท่ามกลางกระแสน้ำที่ท่วมสูงและเชี่ยวมากตลอดทั้งวัน เพื่อเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั้งที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ตลอดเวลา

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ระเบิดลวงบ่อย ๆ ระวังระเบิดจริงจะตามมา



          วันที่ 22 พฤศจิกายน 2557 เวลา 07.00  เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธอเภอบันนังสตา ได้รับแจ้งจากประชาชนในพื้นที่ว่า พบวัตถุต้องสงสัยคล้ายวัตถุระเบิด ที่บริเวณ หมู่ 4 บ้านตาเนาะปูเต๊ะ ตำบลตาเนาะปูเต๊ะ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ที่บริเวณพิกัด QG 547998  หลังจากประสานงานกับเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบบริเวณที่เกิดเหตุ  พบว่า วัตถุต้องสงสัยเป็นวัตถุลวง (ของปลอม) ประกอบด้วยกล่องกระดาษ ภายในบรรจุเป็นแบตเตอรี่รถจักรยานยนต์เก่า ขนาด 6 โวลต์ มีโทรศัพท์มือถือเก่าผูกติดอยู่ เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดได้ยิงทำลายด้วยปืนเรียบร้อย

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เหนี่ยวไก่ ฟาตอนี ...เยดแหม่ ทุ้งลาเบิ๊ด นิ....



เหนี่ยวไก่ ฟาตอนี ...เยดแหม่  ทุ้งลาเบิ๊ด นิ....


วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ความต่างของนักศึกษาชายแดนใต้....




นักศึกษา PerMAS-เดินขบวนประท้วงปกป้องโจรใต้ และพวกพ้อง
----------------------------------------------------------------
นักศึกษาปกติทั่วๆ ไป-เดินขบวนเรียกร้องโจรใต้หยุดความรุนแรง
---------------------------------------------------------------

         นักศึกษา ม.นราธิวาส ออกมาเดินต่อต้านการกระทำของโจรใต้กว่า 5,000 คน พีมาสอยู่ไหนเคยออกมาประณามกันบ้างมั้ย ! 

         คำถามนี้ควรจะแทงไปโดยตรงถึง " แบมิง " ประธานพีมาสคนปัจจุบัน ! ที่ไม่ออกมาหรือว่าคอยแต่ปกป้องโจรใต้ BRN และคนกันเองของพีมาส

นักศึกษา ม.นราฯ นับพันเดินขบวนประณามโจรใต้ยิงเพื่อนเสียชีวิต

          นักศึกษา คณาจารย์ มหาวิทยาลัยนราฯ กว่า 5,000 คน ร่วมเดินขบวนทั่วเมือง พร้อมถือป้ายประณาม “โจรใต้” ก่อเหตุยิงนักศึกษาหญิง ปี 2 เสียชีวิตขณะขับ จยย. กลับหอกลับเพื่อน ชี้นักศึกษาไม่ใช่คู่ขัดแย้ง วอนคนร้ายหยุดการกระทำอันไร้มนุษยธรรม

           วันนี้ (11 พ.ย.) เมื่อเวลา 08.00 น. นายจงรัก พลาศัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ได้เป็นแกนนำนำคณาจารย์ และนักศึกษามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ จำนวนกว่า 5,000 คน รวมตัวกันที่สนามภายในวิทยาลัยเทคนิคนราธิวาส ถือป้ายข้อความ หยุดใช้ความรุนแรงทำร้ายเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ และป้ายข้อความ ขอวิงวอนต่อองค์อัลเลาะห์ จงประทานความสงบ และความปลอดภัยต่อมหาวิทยาลัยนราธิวาส

           โดยเดินไปตามถนนในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส เพื่อเป็นการประณามโจรใต้ที่ตามประกบยิง น.ส.สุธิดา ตั้งใจ อายุ 20 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ คณะวิทยาการจัดการ ชั้นปีที่ 2 เสียชีวิต เมื่อวันที่ 2 พ.ย.57 ที่ผ่านมา และเป็นการเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจับกุมคนร้ายมาลงโทษโดยเร็ว ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางเพื่อนนักศึกษาขอให้ น.ส.สุธิดา ถือว่าเป็นเหยื่อโจรใต้รายสุดท้าย เนื่องจากนักศึกษาไม่มีส่วนได้ส่วนเสียต่อเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง จึงวิงวอนให้คนร้ายหยุดพฤติกรรมลอบทำร้ายนักศึกษาเสียที

          โดยบรรยากาศการเดินประณามโจรใต้ของนักศึกษาในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากพี่น้องประชาชนที่ผ่านไปมา และยังให้การสนับสนุนทุกรูปแบบ เพื่อประเทศชาติจะได้มีความสงบสุขแบบยั่งยืน และไม่ควรเอาผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องมาเป็นประเด็นในการเคลื่อนไหว

          ส่วนความคืบหน้าทางคดีนั้น จากการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องในการคลี่คลายคดีดังกล่าว ทราบว่า เจ้าหน้าที่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ในการสืบสวนสอบสวนหาตัวคนร้ายมาลงโทษ มีเพียงหลักฐานว่าปืนกระบอกที่คนร้ายใช้ยิงนักศึกษาเสียชีวิต คนร้ายเคยนำมาก่อเหตุในพื้นที่ จ.นราธิวาส 2 คดี ซึ่งทั้งคดีเก่า และใหม่ยังไม่มีเบาะแสสาวถึงกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุแต่อย่างใด ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องขอเวลาในการทำงานสักระยะ

         ด้านนายนูรดีน อาหมะ อุปนายกองค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ เปิดเผยว่า การเดินรณรงค์ต้านความรุนแรงในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมครั้งแรกของนักศึกษา และอาจารย์ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบนับกว่า 10 ปี ส่วนหนึ่งคือเป็นเจตนารมณ์เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการก่อเหตุยิงนักศึกษา จากกลุ่มผู้ไม่หวังดี และเป็นการแสดงพลังบริสุทธิ์ของนักศึกษา

          เพื่อต้านความรุนแรงต่อทุกคนโดยเฉพาะผู้บริสทุธิ์ ที่ไม่ควรถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหตุความไม่สงบ ซึ่งทุกวันนี้ยังเห็นความรุนแรง ความสูญเสียในชีวิตทรัพย์สินยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง จึงอยากเห็นกระบวนการสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะพื้นที่จะได้สงบสุขเสียที

          ขณะที่ น.ส.สุรียยา อารง นักศึกษา มนร.กล่าวว่า สันติภาพคือสิ่งที่เราต้องการ อยากให้ทุกฝ่ายเข้าสู่การแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีประสิทธิภาพ และเป็นรูปธรรมมากกว่านี้ เพราะหากยืดเยื้อยาวนานคนตายคนเจ็บจะมากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่อยากเห็นการสูญเสียอีก เชื่อว่าถ้าทุกฝ่ายร่วมกันแก้ปัญหาสันติภาพก็จะเกิดขึ้น ความสงบก็จะกลับคืนมา ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันทุกศาสนิก ไม่ว่าจะเป็น พุทธ คริสต์ อิสลาม ทุกศาสนาอยู่ได้ อย่างที่เคยอยู่ร่วมกันมานับร้อยๆ ปี

เมื่อประชาชนเข้มแข็ง..




เมื่อประชาชนเข้มแข็ง..ดูแลปกป้องหมู่บ้านตนเองได้...
...เมื่อนั้น โจรใต้ก็ไม่กล้าคิดทำร้ายประชาชน....

          มทภ.4/ผอ.รมน.ภาค 4 เป็นประธานโครงการ พัฒนาประสิทธิภาพ กองกำลังประจำถิ่น อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส

          เมื่อ 11 พ.ย.57 แม่ทัพภาคที่ 4 /ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “พัฒนาประสิทธิภาพ กองกำลังประจำถิ่น” ณ สวนกาญจนาภิเษก เทศบาลตำบลรือเสาะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นการรวมพลังภาคประชาชน จำนวนทั้งสิ้น 1,950 คน

          การร่วมตัวของกองกำลังประชาชนในครั้งนี้เป็นแสดงออกถึงความร่วมมือ รู้รักสามัคคีที่จะปกป้องหมู่บ้านของตนเองให้มีแต่ความสงบสุขและสันติสุข อีกทั้งเป็นการบูรณาการกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน ในการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ให้กับประชาชน ดูแลครู ให้มีความปลอดภัย และช่วยเป็นหูเป็นตา สอดส่องบุคคลแปลกหน้า สิ่งไม่ชอบมาพากลภายในหมู่บ้านของตนเอง และชุมชน เพื่อนำพาสันติสุขกลับคืนมาให้กับพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ต่อไป

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เมื่อเขาบีบบังคับให้ผมเป็น RKK



แบมะ ฟาตอนี

          “ตั้งแต่เกิดเหตุคนร้ายปล้นปืนค่ายทหารที่ปิเหล็ง เมื่อต้นปี 47 จำได้ว่าหมู่บ้านของผมจากผู้คนที่เคยอยู่กันอย่างสงบ กลับได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากได้มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นภายในหมู่บ้าน การใช้ชีวิตได้ผิดแปลกแตกต่างไปจากเดิม จนบางครอบครัวจำใจต้องย้ายไปอาศัยอยู่ที่อื่น แต่ครอบครัวของผมไม่ได้ย้ายไปไหน ยังคงอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน บ้านที่อยู่อาศัยกันมาหลายช่วงอายุคน”

           เป็นบทเริ่มต้นในการสนทนาของผู้เขียนกับอดีตผู้หลงผิดท่านหนึ่งที่เคยเข้าร่วมทำการเคลื่อนไหวกับกลุ่มขบวนการ ได้เล่าถึงความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตชาวบ้าน หลังจากได้เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนค่ายทหาร ซึ่งหลังจากนั้นความรุนแรงได้ขยายเป็นวงกว้างได้สร้างผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปทุกหย่อมหญ้า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ทำลายสถาบันครอบครัว และชุมชนที่เคยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข จากน้ำมือการกระทำของนักรบRKK ซึ่งเป็นสมาชิกแนวร่วมขบวนการ BRN ซึ่งในขณะนั้นได้ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ เข่นฆ่า ลอบวางระเบิด อย่างไร้ความปราณี และไร้มนุษยธรรม อีกทั้งยังข่มขู่ประชาชนผู้ที่ไม่เห็นด้วย หรือไม่ให้การสนับสนุน จนต้องย้ายหนีละทิ้งถิ่นฐาน หรือแม้กระทั่งโดนลอบทำร้ายจนบาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ก็ยังมีอีกบางส่วนที่โดนบีบบังคับต้องจำยอมเข้าสู่ขบวนการ

จุดเริ่มต้นกับการเข้าร่วมสมาชิก RKK

         อดีตผู้หลงผิดได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นในการเข้าสู่วังวนของความชั่วร้ายด้วยการเข้าสู่ขบวนการ เป็นสมาชิก RKK ทั้งที่ในส่วนลึกแล้วไม่อยากจะเข้าร่วมจำใจ จำยอม เพื่อเหตุผลบางอย่าง

       “ผมย้ายไปอยู่ที่อื่นเหมือนหลายๆ ครอบครัวที่ได้ย้ายหนีจากการคุกคามของกลุ่มขบวนการไม่ได้ เนื่องจากลูกสาวทั้งสองของผมยังเล็กอยู่ โดยเฉพาะคนโตกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนของรัฐแห่งหนึ่ง ส่วนคนเล็กเพิ่งคลอดได้แค่ 10 กว่าวันเอง ครอบครัวผมอยู่อย่างมีความสุข แม้จะไม่ร่ำรวยอย่างใครเขา”

         “ผมจำเป็นต้องไปอยู่กับขบวนการ เป็นความคิดของผมที่โลดแล่นเข้ามา ณ ตอนนั้น ซึ่งคิดว่าเป็นหนทางเดียวเมื่อผมเป็นสมาชิกแนวร่วมแล้วจะสามารถคุ้มครองให้คนในครอบครัวของผมปลอดภัยไม่ถูกข่มขู่ คุกคาม และหมายเอาชีวิตจาก RKK”

         ปี พ.ศ.2548 อดีตผู้หลงผิดท่านนี้ได้เป็นสมาชิกแนวร่วมขบวนการอย่างเต็มตัว แต่หลังจากที่ได้เข้าร่วมขบวนการนานถึง 8 ปีเต็ม กลับพบว่าไม่มีสิ่งที่ดีใดๆ เลยที่เข้ามาสู่ชีวิต แถมความเป็นอยู่ประจำวันของครอบครัวก็ย่ำแย่ มิหนำซ้ำสิ่งที่ทุกคนไม่ปรารถนาจะได้มา นั่นคือหมายจับของศาล มีทั้งหมาย ป.วิ.อาญา และหมาย พ.ร.ก. ชีวิตถึงทางตันอนาคตดับมืดไร้แสงสว่างคลำหาทางออกไม่เจอ อีกทั้งปัญหาสุขภาพประดังเข้ามารุมเร้า พื้นที่รับผิดชอบที่ทำการเคลื่อนไหวอยู่ไม่มีแม้ยารักษา อยู่อย่างยถากรรม ขบวนการไม่ได้ให้การช่วยเหลือและได้รับการเหลียวแล อย่างเช่นที่เขาเคยพูดไว้อย่างสวยหรูในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อหลอกให้คนเข้าร่วมขบวนการ ซึ่งในตอนนั้นอยากกลับไปหาลูกเมียเพื่อทำการรักษาตัวที่บ้าน แต่ก็กลัวเจ้าหน้าที่จับกุม จะเข้ามอบตัวก็ไม่มีเงินทองในการต่อสู้คดีความในชั้นศาล

สมาชิกขบวนการคนแรกในหมู่บ้านกับงานมอบหมายในการเคลื่อนไหว

           “ผมเป็นคนแรกในหมู่บ้านที่เข้าเป็นสมาชิกของขบวนการ เริ่มต้นงานแรกด้วยการพ่นสี ทำลายป้ายจราจร ป้ายบอกทาง เผายางรถยนต์สร้างความปั่นป่วน ใช้รถจักรยานยนต์ในการลาดตระเวนเส้นทางในเขตรับผิดชอบที่แกนนำมอบหมาย เพื่อทำการหาเป้าหมายในการก่อเหตุ และเส้นทางในการหลบหนี หลังจากนั้นได้รับการสั่งการให้ก่อเหตุด้วยการลอบยิง โดยเลือกเป้าหมายที่อ่อนแอไร้ทางต่อสู้ เด็ก ผู้หญิง หรือคนชรา ไม่มีการแยกแยะชาวไทยพุทธ-มุสลิม”

           อดีตผู้หลงผิด ยังได้กล่าวถึงหน้าที่รับผิดชอบอีกอย่างหนึ่ง คือ การหาสมาชิกแนวร่วมที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงที่จะทำการก่อเหตุ ให้มาร่วมประชุม วางแผนเตรียมการกับแกนนำ โดยให้รับผิดชอบในการเตรียมการในการสนับสนุนเรื่องอาหารการกิน รวมทั้งที่ซ่อนตัวทั้งก่อนก่อเหตุ และหลังจากการก่อเหตุเสร็จสิ้นแล้ว

จุดพลิกผันเข้าสู่โครงการพาคนกลับบ้าน ศาลสั่งไม่ลงโทษกลับมาอยู่กับครอบครัวอย่างปกติสุข



         “ผมได้รับฟังข่าวสารว่าหน่วยงานภาครัฐ ได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความคิดต่างจากรัฐ สามารถเข้ามารายงานตัว แสดงตน เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมายกับโครงการพาคนกลับบ้าน”

          อดีตผู้หลงผิดได้กล่าวพร้อมกับสีหน้า แววตายิ้มแย้มอย่างเปี่ยมสุขเมื่อได้ทำการเล่าเรื่องราวของตนมาถึง ณ ตรงนี้ ซึ่งได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งสำคัญของตนเองและครอบครัว แสงสว่างรำไรรออยู่เบื้องหน้านำพาไปสู่ทางออกทั้งที่ก่อนหน้านี้มืดมิดเหมือนคนที่สิ้นอนาคต หลังจากนั้นได้หาโอกาสกลับมาบ้านพูดคุยกับครอบครัว และตัดสินใจเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นยังไม่มีความมั่นใจในวิธีการและกระบวนการขั้นตอนสักเท่าไหร่ แต่เมื่อได้รับการแนะนำ และช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างจริงใจ ในการอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ทุกขั้นตอนในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สุดท้ายศาลสั่งไม่ลงโทษปล่อยตัวให้เป็นอิสระ

           “ชีวิตของผมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริงๆ ผมไม่ต้องใช้จ่ายค่าดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ได้ใช้เงินสักบาท แต่ที่สำคัญที่สุดคือทุกวันนี้ผมมีความสุข อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อ- แม่-ลูก ดำเนินชีวิตตามปกติเหมือนกับคนทั่วๆ ไปในหมู่บ้าน ผมและเพื่อนๆ อีกหลายคนได้เล็งเห็นว่า โครงการพาคนกลับบ้าน ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เป็นโครงการที่ดี จึงอยากเชิญชวนไปยังผู้ที่หลงผิด มีความเกรงกลัวเจ้าหน้าที่รัฐ หนีหมายศาล หลบหนีการจับกุม และกลัวการถูกดำเนินคดีความ ได้มีโอกาสกลับเนื้อกลับตัวหันหลังให้กับขบวนการ แล้วกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุข ประตูสู่การกระทำความดีได้เปิดกว้างไว้สำหรับพวกเราทุกคน”

         ชีวิตที่ต้องตกเป็นทาสรับใช้ขบวนการ BRN ชีวิตที่ต้องให้ใครต่อใครตราหน้าว่าเป็นแนวร่วมโจรใต้ มีแต่สร้างรอยบาปให้กับตัวเอง การกระทำที่ผิดต่อหลักคำสอนศาสนา อีกทั้งในทางกฎหมายบ้านเมืองมีคดีความติดตัว ต้องหลบหนีการติดตามจับกุมใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ ไม่ได้อยู่กับครอบครัวเชื่อได้ว่ายังมีผู้ที่คิดต่างจากรัฐอีกหลายคนที่ต้องประสบกับชะตากรรมเช่นนี้ ตัวอย่างเรื่องราวของอดีตผู้ที่เคยหลงผิดที่ได้รับโอกาสจาก “โครงการพาคนกลับบ้าน” จนนำมาสู่การมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่า ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่กับครอบครัว สังคมไทย และภาครัฐยังเปิดโอกาสให้สำหรับคนที่กล้ากลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีเสมอ...รีบฉวยโอกาสนั้นซะก่อนที่พรุ่งนี้จะไม่มีโอกาส.....

-----------------------------------------

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยก่อความไม่สงบในพืันที่




           วันที่ 4 พฤศจิกายน 2557 เวลา 15.00 น. ชป 3 กก.สส.ภ จว. ปัตตานี ร่วมกับ ชป ข่าวพิเศษ กอ.รมน ภ.4 ฉก ทพ43 กก.ตชด 44 ร่วมกันติดตามจับกุมตัวและปฏิบัติตามกฎหมายจำนวน 1 ราย
รายละเอียดการตรวจค้นบ้านเลขที่ 70/3 หมู่ 4 ต.ปูโละปูโย อ.หนองจิก จ.ปัตตานี พบ นาย มะรอซีตี สะลี อายุ 34 ปี เลขประจำตัวประชาชน 3940300418261 เป็นผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ อาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก ควบคุมตัว พร้อมนำส่งหน่วยซักถามกรมทหารพราน 43 ค่ายอิงคยุทธทบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี

ตรวจจับยาบ้า อาวุธสงครามที่บันนังสตา


           สถานีตำรวจภูธรอำเภอบันนังสตา วันที่ 4 พฤศจิกายน 2557 เวลา 15.00 น.ภายใต้การอำนวยการสั่งการของ พ.ต.อ.ชาติชาย ชนะสิทธิ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอบันนังสตา พ.ต.ท.ทรงวุฒิ ศรีอาราม รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอบันนังสตา พ.ต.ท.ยม เวชสิทธิ์ สารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอบันนังสตา ร.ต.อ. ธนกฤต ศิริกุล สารวัตรสถานีตำรวจภูธรอำเภอบันนังสตา ได้สั่งการให้ ร.ต.ท.สมโภชน์ มาศเสม รองสารวัตรปราปราม สถานีตำรวจภูธรอำเภอบันนังสตา ร.ต.ท.ฐิติพล สิงห์ลอยลม รองสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอบันนังสตา พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สถานีตำรวจภูธรอำเภอบันนังสตา ออกสืบสวนหาข่าวในเขตพื้นที่รับผิดชอบต่อมาได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหาจำนวน 2 ราย ดังนี้



  • 1)นาย อารีฟีน ยุมอ อายุ 24 ปี เลขประจำตัวประชาชน 1950300065361 มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 81/1 หมู่ 4 ตำบลบันนังสตา อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา พร้อมด้วยของกลาง
  •       1) อาวุธปืนกลมือ ( อูซี่) จำนวน 1 กระบอก
  •       2) กระสุนปืนขนาด .45 จำนวน 17 นัด
             เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้แจ้งให้ผู้ต้องหา ทราบว่ามีความผิดฐานมีอาวุธปืนซึ่งนายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้และมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

  • 2) นาย มูฮัมมัด บาเฮง อายุ 29 ปี เลขประจำตัวประชาชน 1950300015127  มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่  179/1 หมู่ 4 ตำบลบันนังสตา อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา พร้อมด้วยของกลาง
  •       -  ยาบ้าเม็ดสีแดงจำนวน 123 เม็ด น้ำหนักรวม 13.25 กรัม
           เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้แจ้งให้ผู้ต้องหา ทราบว่ามีความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ( ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยผิดกฏหมายทั้งนี้ผู้ต้องหาทั้งสองราย ได้ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

           สถานที่จับกุม บ้านเลขที่ 83 หมู่ 4 บ้านบันนังกูแว ตำบลบันนังสตา อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้นำตัวผู้ต้องหา ทั้ง 2 ราย พร้อมด้วยของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรบันนังสตา เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ได้พิมพ์ลายนิ้วมือและตรวจ DNA เรียบร้อยแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ลูกหลาน ฟาตอนี จงฟัง


           ขอให้มุสลิมที่อ้างตัว หรือเรียกตัวเองว่า นักรบฟาตอนี คิดและไตร่ตรองให้ดี...ก่อนที่จะกระทำอะไรลงไป  เพราะว่า แท้ที่จริงแล้ว
  • ๑. อิสลาม แปลว่า"สันติ" ดังนั้น..การกระทำใดๆที่มิได้นำไปสู่"สันติ"นั้นไม่ใช่อิสลาม 
  • ๒. ศาสดามูฮำหมัด (ซล.) ถูกส่งมาเพื่อ"มอบความเมตตา ต่อมวลมนุษยชาติและมวลสากลจักรวาล มิได้ส่งมาเพื่อเข่นฆ่าและทำลาย 
  • ๓.ศาสดาถูกส่งมาเพื่อเป็นแบบอย่างของมนุษยชาติใน การสร้างคุณธรรม จริยธรรม และความยุติธรรม 
  • ๔. ทุกครั้งที่มุสลิมจะกระทำการใด ๆ ต้องเปล่งวาจาว่า "มิสมิลลาห์.." ซึ่งแปล่า ด้วยความ"เมตตา"และกรุณา ปราณี 
  • ๕. ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ภาษา เป็น"ความตั้งใจและเจตนารมของพระเจ้าที่จะให้มนุษย์ได้ทำความรู้จัก และสานไมตรีที่ดีต่อกัน (กุรอาน) ไม่มีชาติพันธุ์ใดจะเหนือกว่าชาติพันธุ์ใด (อัลหะดีษ) อาหรับไม่เหนือกว่าสยาม สยามก็ไม่เหนือกว่าอาหรับ มลายูไม่เหนือกว่าสยาม และสยามก็ไม่เหนือกว่ามลายู ชาติพันธุ์ที่เหนือกว่า คือชาติพันธุ์ที่ตักวา(ยำเกรง) ต่อพระองค์สูงสุด 
  • ๖. ประชาชาติของท่านศาสดาแตกเป็น ๗๓ พวก พวกเดียวเท่านั้นเป็นเป็นชาวสวรรค์ ที่เหลืออีก ๗๒ พวกเป็นชาวนรก (อัลหะดีษ) พวกเดียวนั้น คือ พวกที่เจริญรอยตามศาสดา มิใช่เจริญรอยตามผู้นำที่อยุติธรรม บืดเบือน หลอกลวง สร้างความหายนะต่อพี่น้องมวลมนุษย์ที่เป็นลูกหลานอาดัมด้วยกัน 
  • ๗. ศาสดาไม่เคยประกาศสงคราม ไม่เคยคิดล่าอาณานิคม ไม่เคยต่อสู้(ญีฮาด)เพื่อแผ่นดิน เพราะแผ่นดินทุกตารางนิ้วเป็นของพระเจ้าผู้ทรงสร้างมัน 
  • ๘. ดังนั้น..หน้าที่หลักของคนมุสลิม คือ เมตตา ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาใดๆก็ตาม ต้องช่วยเหลือ เมตตาแก่พวกเขาได้อยู่ในกรอบแห่งสัจธรรม จริงแท้ 
  • ๙. หยุดทำร้ายลูกหลานอาดัม มนุษย์ทุกคนไม่ใช่ศัตรู ศัตรูที่แท้จริง คือ"ไซตอน" ( ลา..ตะบูดูไซตอน) จึงอย่าจงรักภักดีต่อไซตอน (ผู้นำแห่งความชั่วช้า)

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เพียงหัวใจ ที่ต้องการให้ลูกศิษย์มีความรุ้

           เมื่อเวลา 19.00 น. วันนี้ (31 ต.ค.) พ.ต.อ.ปัญญา คารวนันท์ ผกก.สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งมีเหตุยิงกันบริเวณหน้าศูนย์เด็กเล็กเขตเทศบาลตำบลตะลุบัน นำกำลังไปที่เกิดเหตุ พบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าล้มข้างทาง และมีกองเลือดจำนวนมาก ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำส่ง รพ.สมเด็จพระยุพราชสายบุรี ทราบชื่อคือ ส.ต.ต.เจษฎายุทธ แก้วนะ อายุ 37 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 44 อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดเข้าศีรษะ 1 นัด แพทย์พยายามช่วยชีวิตอย่างเต็มที่ แต่ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา

             สอบสวนทราบว่า ผู้ตายเป็นครู ตชด.อยู่ในพื้นที่ อ.ศรีสาคร แต่ระหว่างพักจึงได้เดินทางกลับมาบ้านภรรยาที่ อ.สายบุรี โดยก่อนเกิดเหตุผู้ตายขับขี่รถจักรยานยนต์ไปเที่ยวที่หาดวาสุกรี โดยมีภรรยานั่งซ้อนท้าย แต่มาถึงที่เกิดเหตุถูกคนร้าย 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิงแล้วหลบหนีไป สาเหตุเจ้าหน้าที่เชื่อเป็นฝีมือกลุ่มก่อความไม่สงบสร้างสถานการณ์

รูปภาพ : โจรใต้ประกบยิงครู ตชด.ดับ ขณะขี่ จยย. ด้านภรรยาซ้อนท้ายปลอดภัย...

 เมื่อเวลา 19.00 น. วันนี้ (31 ต.ค.) พ.ต.อ.ปัญญา คารวนันท์ ผกก.สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี ได้รับแจ้งมีเหตุยิงกันบริเวณหน้าศูนย์เด็กเล็กเขตเทศบาลตำบลตะลุบัน นำกำลังไปที่เกิดเหตุ พบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าล้มข้างทาง และมีกองเลือดจำนวนมาก ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำส่ง รพ.สมเด็จพระยุพราชสายบุรี ทราบชื่อคือ ส.ต.ต.เจษฎายุทธ แก้วนะ อายุ 37 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 44 อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดเข้าศีรษะ 1 นัด แพทย์พยายามช่วยชีวิตอย่างเต็มที่ แต่ได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา
       
       สอบสวนทราบว่า ผู้ตายเป็นครู ตชด.อยู่ในพื้นที่ อ.ศรีสาคร แต่ระหว่างพักจึงได้เดินทางกลับมาบ้านภรรยาที่ อ.สายบุรี โดยก่อนเกิดเหตุผู้ตายขับขี่รถจักรยานยนต์ไปเที่ยวที่หาดวาสุกรี โดยมีภรรยานั่งซ้อนท้าย แต่มาถึงที่เกิดเหตุถูกคนร้าย 2 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิงแล้วหลบหนีไป สาเหตุเจ้าหน้าที่เชื่อเป็นฝีมือกลุ่มก่อความไม่สงบสร้างสถานการณ์

ที่มา: http://astv.mobi/AEKyYqy

  • ครูไม่ได้มีใบปริญญา
  • ครูมีเพียงหัวใจความเป็นครู อยากเพียงให้ลูกศิษย์มีวิชาความรู้
  • เพื่อออกไปสู้กับโลกอันกว้างใหญ่
  • แต่ครูมาส่งได้เพียงแค่นี้ .....


            ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของคุณครู ตชด. จ.ส.ต. เจษฎาวุธ แก้วนะ และขอประนามการกระทำอันชั่วร้ายต่อชีวิตครูและผู้บริสุทธิ์

      เผาโรงเรียน ฆ่าครู เพื่ออะไร หากมิใช่การกระทำเพื่อตัดโอกาสทางการศึกษาของเด็กๆ และทำลายอนาคตของพวกเขา

ฝ่ายมั่นคงนราฯ จัดแผน รปภ.ครู หวั่นตกเป็นเหยื่อโจรใต้ช่วงเปิดเทอม 3 พ.ย.นี้


รูปภาพ : ฝ่ายมั่นคงนราฯ จัดแผน รปภ.ครู หวั่นตกเป็นเหยื่อโจรใต้ช่วงเปิดเทอม 3 พ.ย.นี้

       นราธิวาส - ฝ่ายความมั่นคงนราฯ เดินทางพบผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนาในท้องถิ่น เพื่อพูดคุยถึงมาตรการ รปภ.ครูในพื้นที่ หวั่นโจรใต้ลอบก่อเหตุช่วงเปิดเทอม 3 พ.ย.นี้ กำหนดภารกิจหลักให้ทหารรับผิดชอบรับ-ส่งครูตลอดเส้นทาง วางกำลังตรวจบุคคล และรถต้องสงสัยอย่างเข้มงวด จัดชุด ชรบ.ประจำโรงเรียนเพื่อป้องกันเหตุร้าย

    วันนี้ (31 ต.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่โรงเรียนบ้านลาแล ม.1 ต.ปูโยะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส พ.อ.สมจิตร์ คำประพันธ์ รอง ผบ.ฉก.นราธิวาส และ พ.ท.พงศ์พัฒน์ ห้องสีหลาก ผบ.ฉก.นราธิวาส 36 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมเดินทางไปพบผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่นและผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อพูดคุยถึงมาตรการในการรักษาความปลอดภัยครู และโรงเรียน ซึ่งจะเริ่มทยอยเปิดเทอมพร้อมกันทั้งจังหวัดในวันที่ 3 พ.ย.57 ที่จะถึงนี้ ในการป้องกันเหตุคนร้ายจะสร้างสถานการณ์ขึ้นในช่วงเปิดเทอม เพื่อนำข้อมูลต่างๆ ไปประเมินให้กองกำลังทั้ง 4 ฝ่าย ซึ่งประกอบด้วย ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน ได้ปฏิบัติหน้าที่แบบบูรณาการ ในการสร้างความมั่นใจให้แก่คณะครู ตามนโยบายของ พล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาค 4

http://www.io-pr.org/index.php?name=news&file=readnews&id=507

            นราธิวาส - ฝ่ายความมั่นคงนราฯ เดินทางพบผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนาในท้องถิ่น เพื่อพูดคุยถึงมาตรการ รปภ.ครูในพื้นที่ หวั่นโจรใต้ลอบก่อเหตุช่วงเปิดเทอม 3 พ.ย.นี้ กำหนดภารกิจหลักให้ทหารรับผิดชอบรับ-ส่งครูตลอดเส้นทาง วางกำลังตรวจบุคคล และรถต้องสงสัยอย่างเข้มงวด จัดชุด ชรบ.ประจำโรงเรียนเพื่อป้องกันเหตุร้าย

           วันนี้ (31 ต.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่โรงเรียนบ้านลาแล ม.1 ต.ปูโยะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส พ.อ.สมจิตร์ คำประพันธ์ รอง ผบ.ฉก.นราธิวาส และ พ.ท.พงศ์พัฒน์ ห้องสีหลาก ผบ.ฉก.นราธิวาส 36 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมเดินทางไปพบผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่นและผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อพูดคุยถึงมาตรการในการรักษาความปลอดภัยครู และโรงเรียน ซึ่งจะเริ่มทยอยเปิดเทอมพร้อมกันทั้งจังหวัดในวันที่ 3 พ.ย.57 ที่จะถึงนี้ ในการป้องกันเหตุคนร้ายจะสร้างสถานการณ์ขึ้นในช่วงเปิดเทอม เพื่อนำข้อมูลต่างๆ ไปประเมินให้กองกำลังทั้ง 4 ฝ่าย ซึ่งประกอบด้วย ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และภาคประชาชน ได้ปฏิบัติหน้าที่แบบบูรณาการ ในการสร้างความมั่นใจให้แก่คณะครู ตามนโยบายของ 
พล.ท.ปราการ ชลยุทธ แม่ทัพภาค 4



            หลังจากพบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้วเสร็จ พ.อ.สมจิตร์ คำประพันธ์ รอง ผบ.ฉก.นราธิวาส ได้มอบนโยบายให้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการรักษาความปลอดภัยครู โดยกำหนดภารกิจหลักให้เจ้าหน้าที่ทหารรับผิดชอบในการเดินทางไปรับ และส่งครูจากที่พักถึงโรงเรียนทั้งขาไป และขากลับ โดยตามรายทางจะให้เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบวางกำลัง และคอยตรวจสอบบุคคลต้องสงสัย รวมถึงยานพาหนะที่ขับผ่านไปมาอย่างละเอียด ส่วนหน้าโรงเรียนแต่ละแห่ง จะให้ชุด ชรบ.รับผิดชอบในการตรวจสอบบุคคลต้องสงสัยที่อาจจะมีการแฝงตัวปะปนกับผู้ปกครอง เพื่อเข้าไปก่อเหตุร้ายวางระเบิด และทำร้ายครูภายในโรงเรียน

          ประการสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องไม่มองข้าม ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการรักษาความปลอดภัยครูครั้งนี้ คือ หากมีเหตุร้าย หรือปัญหาใดๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อครูที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียน เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบจะต้องมีการแจ้งเตือนไปให้โรงเรียนต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่โซนเดียวกันได้รับทราบ อย่างน้อยเจ้าหน้าที่จะได้ปรับแผนมาตรการในการรักษาความปลอดภัยครูให้เข้มข้นขึ้น

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ประกบยิงครู ตชด.44 เสีียชีวิต



                วันที่ 31 ตุลาคม 2557 เวลา 17.50 น. สถานีตำรวจภูธรสายบุรี จังหวัดปัตตานี ได้รับแจ้ง มีคนร้ายจำนวน 2 คนไม่ทราบชื่อใช้รถจักรยานยนต์ไม่ทราบสีและยี่ห้อเป็นยานพาหนะ ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิง จ.ส.ต.เจษฎายุทธ แก้วนะ สังกัด ตชด.44 เสียชีวิต เหตุเกิดบริเวณฝั่งตรงข้ามศูนย์เด็กเล็กปาตาติมอ เขตเทศบาล ต.ตะลุบัน อ.สายบุรี จว.ปัตตานี




วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

กษัตริย์ปัตตานี แต่เดิม ไม่ใช่มุสลิม

               สุลต่าน มันสุร์ชาฮ์ ผู้เคยยึดครองประเทศราชของไทย และทำให้ พญาอินทิรา รับ ศาสนา อิสลาม

        สุลต่าน มันสุร์ชาฮ์ (Sultan Mansur Shah) กษัตริย์อาณาจักรมะละกา ระหว่าง ปี ค.ศ.๑๔๔๙ - ๑๔๗๗ (พ.ศ.๒๐๐๒ - ๒๐๒๐) ลูกของ สุลต่าน มูซัฟฟาร์ ชาห์ (Sultan Muzaffar Shah) และเป็นหลาน เจ้าชาย ปรเมศวร Raja Iskandar Shah     (เชื้อสาย ราชวงศ์ ไศเลนทร์ เมืองปาเล็มบัง เมืองศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยแต่งงานกับเจ้าหญิงองค์หนึ่งและอพยพไปอยู่เกาะตูมาเซก (Temasek สิงค์โปร์ในปัจจุบัน) และต่อมาเป็นกษัตริย์องค์แรกของมะละกา นับถือ ศาสนา ฮินดู (ศิวพุทธ) และมารับศาสนาอิสลาม ด้วย อภิเษก สมรส กับ เจ้าหญิง รัฐปาไซ (บนเกาะ สุมาตรา) ที่เป็น มุสลิม))

         สุลต่าน มันสุร์ชาฮ์ ผู้รับช่วงต่อจาก สุลต่าน มูซัฟฟาร์ ชาห์ ที่ทรงใช้อาณาจักรมะละกาเป็นหัวหอกสำคัญในการเข้าไปเปลี่ยนศาสนาตามหมู่เกาะต่าง ๆ และในดินแดนมาเลเซียจนถึงทางตอนใต้ของไทย บุคคลที่มีบทบาทในการเข้าไปเผยแพร่ศาสนาตามที่ต่างๆก็คือ มุขมนตรีที่ชื่อ ตุน เปรัค ทำให้ภายในเวลาไม่ถึง 50 ปี รัฐต่าง ๆ ในคาบสมุทรมาเลย์เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม

          ในสมัย ของ สุลต่าน มันสุร์ชาฮ์ กองทัพ มะละกา ได้เข้ามา ยึดครอง เมืองปาหัง ตรังกานู กลันตัน และไทรบุรี ซึ่งเป็นเมืองประเทศราชของไทย เนื่องจาก สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ กำลังทำสงครามติดพันอยู่กับ พระเจ้าติโลกราช แห่งนคร เชียงใหม่ ไม่สามารถส่งกองทัพมาช่วยป้องกันเมืองเหล่านั้นไว้ได้ เป็นผลให้เจ้าผู้ครองนครต่างๆ และ พญาอินทิรา ผู้ครองเมืองปัตตานี ยอมรับศาสนาอิสลาม เพื่อโอนอ่อน ผ่อนตาม กษัตริย์ มะละกา

           กระทั่งมาถึงศตวรรษที่ ๑๖ มะละกาตกเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส ศตวรรษที่ ๑๗-๑๘ เป็นยุคที่ฮอลันดาเข้ามายึดครอง ศตวรรษที่ ๑๙ กลายเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ กระทั่งศตวรรษที่ ๒๐ ภายหลังการประกาศเอกราชของมาเลเซีย


เจ้าชาย ปรเมศวร 



            เพราะฉนั้น เลิกอ้างมั่ว ๆ ว่า ปัตตานี เป็นดินแอนอิสลามมานานนับร้อยปีพันปี เสียที ตัวศาสนาอิสลามเอง เริ่มขึ้นภายหลังปี ค.ศ. 632 นี่เอง แผ่นดินปัตตานี มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาก่อนศาสนาอิสลาม มากมายนัก ถ้าจะอ้างว่าใครมาก่อน ก็ยืนยันว่าไม่ใช่อิสลามแน่....

ปัตตานี มอบเงินทุนการศึกษาเด็กเรียนดี และเด็กยากจน 300 ราย


        รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เป็นประธานมอบเงินสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ มีครอบครัวฐานะยากจน กำพร้าบิดารดา แต่มีความขยันหมั่นเพียร มีความตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียน จำนวน 300 ราย

        เมื่อ วันที่ 29 กันยายน 2557 นายนฤพล แหละตี รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เป็นประธานมอบเงินสนับสนุนทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาที่ มีครอบครัวฐานะยากจน กำพร้าบิดารดา แต่มีความขยันหมั่นเพียร มีความตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียน จำนวน 300 ราย เพื่อให้ได้รับการสงเคราะห์ขั้นพื้นฐานเป็นทุนการศึกษา รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายในระหว่างปิดภาคเรียนได้ โดยจัดมอบ ณ โรงแรมเซาท์เทิร์นวิว ปัตตานี

          นายธานินทร์ สมบูรณ์ สาร พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดปัตตานี กล่าวว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มีบัญญัติเพื่อกำหนดมาตรการสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดขั้นตอนวิธีการปฏิบัติต่อ เด็กในด้านการอุปการะเลี้ยงดู การสงเคราะห์ การคุ้มครองสวัสดิภาพ และการส่งเสริมความประพฤติเด็ก เพื่อให้เด็กได้รับการอุปการะเลี้ยงดูอบรมสั่งสอน และมีพัฒนาการที่เหมาะสม เรียนรู้เท่านั้น ปัญหามีภูมิคุ้มกัน รวมถึงการป้องกันไม่ให้เด็กถูกทารุณกรรม ตกเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบหรือการถูกเลือกปฏิบัติโดย ไม่เป็นธรรม โดยอาศัยความร่วมมือในการคุ้มครองเด็กระหว่างหน่วยงานของรัฐและเอกชน และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้ามามีส่วนในการคุ้มครองเด็กทั้งในรูปแบบการแจ้ง รายการ หรือการช่วยเหลือเด็กเบื้องต้น ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติ

        สำหรับ จังหวัดปัตตานี โดยหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ปัตตานี ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมสนับสนุนวิชาการ 12 สงขลา สำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษาจังหวัดปัตตานี เขต 1, 2, 3 สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดปัตตานี และหน่วยงานภาคีเครือข่าย เล็ง เห็นความสำคัญเจตนารมณ์ของกฏหมายและ นโยบายดังกล่าว จึงได้คัดเลือกเด็กนักเรียนประถมที่อยู่ในครอบครัวยากจน กำพร้าบิดารดา แต่มีความขยันหมั่นเพียร มีความตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียนขึ้น เพื่อให้ได้รับการสงเคราะห์ขั้นพื้นฐานเป็นทุนการศึกษา รวมทั้งเป็นค่าใช้จ่ายในระหว่างปิดภาคเรียนได้

ขับรถแหกด่าน เจ็บ - ตาย สังเวย 10 ปี ตากใบ

พ่อเมืองนราฯ จ่ายเยียวยาเหยื่อถูกลอบโค่นต้นยาง พร้อมเยี่ยมครอบครัว “แตเมาะ”

           ที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดเยียวยาจังหวัดนราธิวาส เข้าเยี่ยมอาการบาดเจ็บของ นายรอมือซี แตเมาะ อายุ 34 ปี ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากเหตุถูกยิงในพื้นที่ บ.ฮูแตยือลอ หมู่ 6 ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ พร้อมกับภรรยา และลูกอีก 2 คนเมือคืนนี้ ซึ่งนางอัสซุลา แตเมาะ อายุ 30 ปี และ ด.ญ.อัซมี แตเมาะ บาดเจ็บเล็กน้อยแพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ ส่วน ด.ญ.ไฮซูลา แตเมาะ อายุ 10 ปี เสียชีวิตที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ 

          เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวแตเมาะ ได้เกิดขึ้นเมื่อช่วงกลางดึกวานนี้ (24 ต.ค.) ขณะที่ครอบครัวดังกล่าวขับผ่านเส้นทางในหมู่บ้านฮุแตยือลอ และจากนั้นมีเจ้าหน้าที่แสดงตนขอตรวจสอบ แต่นายรอมือซี ไม่ยอมหยุดรถให้ตรวจคน กลับขับรถแหกด่านหลบหนี ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องตัดสินใจยิงล้อรถด้านหลังทั้ง 2 ข้าง เพื่อสกัดการหลบหนี เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ พบว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บอยู่ในรถคันดังกล่าว จึงนำส่งโรงพยาบาลบาเจาะ และส่งต่อมายังโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์เพื่อรับการรักษาพยาบาล


         ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่ครอบครัวแตเมาะ จะขับผ่านเส้นทางดังกล่าวเจ้าหน้าที่ได้รับการแจ้งทางการข่าวว่าจ ะมีกลุ่มแนวร่วมเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ โดยมีพฤติกรรมขนอาวุธปืนมาด้วยรถยนต์เจ้าหน้าที่จึงจัดกำลังเฝ้าระวัง จนกระทั่งรถครอบครัวแตเมาะผ่านมา และขอทำการตรวจสอบแต่ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงจำเป็นที่จะต้องใช้อาวุธเกิดเพื่อสกัดกั้นเนื่องจากคิดว่าเป็นกลุ่มแนวร่วมที่หลบเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่

         ด้าน น.อ.นพดล ฐิตวัฒนสกุล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน ภาคใต้ ค่ายจุฬาภรณ์ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ว่า ทางหน่วยรู้สึกเสียใจต่อครอบครัวแตเมาะมาก และขอยอมรับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยหลังจากเกิดเหตุขึ้นได้มีการชี้แจงทำความเข้าใจต่อครอบครัวแตเมาะ รวมถึงกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำศาสนาในพื้นที่ฮุแตยือลอ อ.บาเจาะ ว่าเหตุที่เกิดขึ้นมีการลำดับที่มาที่ไป เนื่องจากการข่าวของเจ้าหน้าที่จึงทำให้เจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวตัดสินใจใช้อาวุธ ซึ่งทุกคนต่างเข้าใจถึงการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมกันนี้ ทางหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินได้มอบเงินช่วยเหลือเยียวยาให้แก่ครอบครัวด้วย

          ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน ภาคใต้ ค่ายจุฬาภรณ์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ได้เน้นย้ำกำลังพลในสังกัดให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรอบคอบ หากอีกฝ่ายไม่มีการใช้อาวุธ หรือไม่มีความจำเป็นห้ามใช้อาวุธโดยเด็ดขาด

ยาเสพติด อาวุธสำคัญของ BRN กำลังระบาดหนักในพื้นที่ !


              25 ต.ค.57 เวลา11.00น. เจ้าหน้าที่ตำรวย สภ.ท่าชี จว.สุราษฎร์ธานีตั้งจุดตรวจสกัดบนถนนสายเอเชีย 41 ขาล่อง ม.6 ต.ควนศรี อ.บ้านนาสาร จว.สุราษฎร์ธานี จับกุมตัวผู้ต้องหาจำนวน 2 คน
  1. นาย มาหะมะ ตาโล๊ อายุ 31 ปีอยู่บ้านเลขที่ 54/2 ม.5 ต.กะรูบี อ.กะพ้อ จว.ปัตตานี 
  2. นาย อาราซู ดีแม อายุ 29 ปีอยู่บ้านเลขที่ 55 ม.4 ต.ตะโละไกรทอง อ.ไม้แก่น จว.ปัตตานี
         พร้อมด้วยของกลางยาบ้าประมาณ 97,000เม็ด ชุกช่อนในตู้ลำโพงด้านในกระโปรงท้ายรถ,ประตูด้านฃ้าย,ใต้คอนโซลด้านหน้าฃ้ายและในคันชนด้านหลังรถยนต์เก๋งฮอนด้าแจ๊ดสีขาวทะเบียน 5434 สงขลา โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง

        ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้ไปรับยาบ้ามาจากหน้า รพ.ศรีวิชัย จว.สมุทรสาครเพื่อจะนำไปส่งในพื้นที่ อ.กะพ้อ จว.ปัตตานี


ผิดสั่งเกตุ กับข่าวนี้ไหม

ไปค้นข่าวเก่ามาดู เพราะหน้าคุ้นมากเลย ไอ้คนนี้

              วันนี้. 17/5/57 กำลังผสมร่วม ตร. อส. ทหาร ได้ร่วมตั้งด่านตรวจเพื่อป้องกันเหตุในเขตเทศบาลต.ตะลุบัน ฯ ขณะตั้งด่านตรวจได้มีรถยนต์ เก๋ง ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่น ซิตี้ หมายเลขทะเบียน กง-5297 ปน. ขับผ่านด่านตรวจจึงได้ทำ การตรวจค้น พบ 
  • นายซอบือรี เตะ (1950100082955) อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10/1 ม.1 ต.กะรุบี อ.กะพ้อ จว.ปัตตานี พร้อมของกลาง  
  •           อาวุธปืนพกสั้นแบบกึ่งอัต โนมัติยี่ห้อ LES BAER CUSTOM ขนาด .45 หมายเลขทะเบียนไม่สามารถอ่านได้ (มีรอยขูดลบ) เลขประจำปืน LB26506 จำนวน 1 กระบอก
  •           กระสุนปืนขนาด .45 จำนวน 10 นัด
  •            ผลตรวจปัสสาวะ ของแพทย์โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จำนวน 1 ชุด
          จึงแจ้งข้อหาว่า : มีอาวุธปืน ละเครื่องกระสุนปืนไว้ใน ครอบครองฯและพกพาอาวุธ ปืนและเครื่องกระสุนไปใน เมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควรและเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (แมทแอมเฟตามีน)

  • นายมาหะมะ ตะโละ (3950600429179) อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 45/2 ม.5 ต.กะรุบี อ.กะพ้อ จว.ปัตตานี พร้อมของกลาง  <<  มันเพิ่งโดนจับมาเมื่อเดือนกรกฏาคมนี่เอง
  •             ผลตรวจปัสสาวะ ของแพทย์โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบุรี จำนวน 1 ชุด 
             จึงแจ้งข้อหาว่า : เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (แมทแอมเฟตามีน) และได้จัดเก็บ DNA พร้อมพิมพ์ลายนิ้วมือ ฝ่ามือ สันมือ แล้วนำส่ง พงส.สภ.สายบุรี เรียบร้อยแล้วครับ




วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ชินทาโร ฮาร่่า หรือ บาดีอุซซามาน ภัยต่อความมั่นคง

             ชินทาโร ฮาร่่า หรือ บาดีอุซซามาน ภัยต่อความมั่นคง

          นายชินทาโร ฮาร่า/( อีกชื่อหนึ่งว่า “บาดีอุซซามาน” เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า “การเริ่มต้นของยุคสมัย” เป็นชื่อที่เขาได้รับหลังจากเข้ารับอิสลามเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ) อ.พิเศษ สอนภาษามลายู มอ.ปัตตานี หลังอาศัยอยู่ จ.ปัตตานี ประมาณ 15 ปี ได้แต่งงานกับ น.ส.นูรี มะรอแม อายุ 27 ปี ครูโรงเรียนบ้านพอเหมาะ ม.5 ต.ทุ่งคล้า อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อ 10 ก.พ.57 โดยมีนายแวหามะ แวกือจิก หน.สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกันสลาตัน เป็นตัวแทนฝ่ายชาย ซึ่งที่ผ่านมานายชินทาโร เคลื่อนไหวร่วมกับกลุ่ม PerMAS จัดเวที Bicara Patani และเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการพูดคุยระหว่างไทยกับ BRN รวมทั้ง มีท่าทีเห็นใจการต่อสู้ของกลุ่ม ผกร. ซึ่งการแต่งงานครั้งนี้อาจเอื้อให้นายชินทาโร เคลื่อนไหวได้สะดวกยิ่งขึ้น


               "ฮาร่า ชินทาโร่" ล้ำเส้นเหยียบธงชาติไทยเหยียบย่ำศักดิ์ศรีธงชาติไทย เหยียบย่ำคนไทย เหยียบย่ำธงชาติไทย เหยียบย่ำประเทศไทย เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของคนไทยของประเทศไทย อาศัยอยู่ประเทศไทยหากินอยู่ประเทศไทยแต่ไร้จิตสำนึก กินบนเรือนขี้บนหลังคา

            ...สงสัยประเทศของยุ่นฮาร่า ไม่มีธงชาติให้เคารพ หรือไม่ก็ตอนที่เป็นเด็กนักเรียนไม่เคยเคารพธงชาติเพราะถูกครูทำโทษให้ล้างห้องน้ำโรงเรียนตลอดเพราะมันเป็น "กบฏโรงเรียน" ไม่มีจิตสำนึกรักประเทศ มันไม่เคยเคารพธงชาติอันเป็นประเทศแม่...ปมด้อยของยุ่นฮาร่า เป็นบ่อเกิดแห่งการวิจารณ์นี้ เพราะภาพเก่า ๆ ของยุ่นฮาร่า คือ "ใช้เวลาเคารพธงชาติ ไปทำความสะอาดห้องน้ำ" คนไทยช่วยกันประณามการกระทำของไอยุ่นเหยียบย่ำธงชาติไทย เหยียบย่ำความเป็นไทย เหยียบย่ำประเทศไทย เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของธงชาติไทยของคนไทย เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของธงชาติไทยของคนไทย ติดตามที่
 https://www.facebook.com/photo.php?fbid=599621733425067&set=a.386867021367207.92591.386810491372860&type=1&theater

ลุงสั้น ช้างทอง... มองทุกอย่างด้วยความเข้าใจ



2014-10-21
โดย อัล-อัยย์ บินตักวา

           หกสิบกว่าปีแล้วที่ชายคนนี้ถือกำเนิดมา วารินทร์ สุคนธชาติ ลูกหลานชาวแหลมตะลุมพุก นครศรีธรรมราช หากมาเติบใหญ่ในยะลา จังหวัดใต้สุดแดนสยาม และยังคงอยู่ที่ยะลามาจวบจนปัจจุบัน

           ลุงสั้น หรือ วารินทร์ ผู้ชายอารมณ์ดี ชอบแต่งเพลง บทกลอน และมีคำคมให้กับคู่สนทนาอยู่เสมอ โต๊ะม้าหินหน้าช้างทองการพิมพ์ ถนนผังเมือง 4 หน้าซอย 6 คือที่ประจำที่ลุงสั้นใช้ทำงาน และพูดคุย พร้อมนอนพักผ่อนไม่ใส่เสื้ออย่างสบายอารมณ์ เป็นที่คุ้นตาคุ้นชินของชาวเมืองยะลากับอิริยาบถแบบถึงลูกถึงคนของลุงสั้น

           ในช่วงบ่ายของวันฝนตกหนัก ลุงสั้นย้อนความหลังให้ฟังว่า พ่อแม่ญาติพี่น้องเป็นชาวต.แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ลุงสั้นมีพี่น้อง 10 คน พ่อแม่ทำมาหากินด้วยอาชีพประมง เมื่อปี 2505 เกิดวาตภัยสร้างภัยพิบัติแก่ชาวแหลมตะลุมพุกทุกครัวเรือน จนมีการเกิดนิคมกือลอง(นิคมสร้างตนเองพัฒนาภาคใต้ จังหวัดยะลา) อ.บันนังสตา จ.ยะลา ที่ให้พี่น้องที่เดือดร้อนได้เข้ามาให้พื้นที่ทำมาหากินและสร้างบ้านเรือน ครอบครัวของลุงสั้นตัดสินใจมายังยะลาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ส่วนลุงสั้นได้ตามมาเมื่อปี 2509

         “คนนครบ้านเราทำมาหากินกับการออกเรือประมง ออกเช้ากลับมาก็ได้กินได้เงิน มาอยู่ที่นี่ต้องรอกว่าจะทำมาหากินได้เงินมา จึงกลับไปกันเยอะ ผมขึ้นรถไฟมาจากนครถึงสถานีรถไฟยะลาแล้วรถที่จะเข้านิคมหมดจึงต้องนอนที่สถานี มีเงินแค่ 10 บาท ต้องรอรถอีกวันครอบครัวผมยังอยู่ที่นี่ต่อเพื่อตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยความอดทน ขยัน สู้ชีวิต และนับถือนายทวีป ทวีพาณิชย์ ผู้ปกครองนิคมกือลองในสมัยนั้นเป็นพ่ออีกคนที่ให้ชีวิตใหม่แก่พวกเรา ท่านเป็นแบบอย่างในทุกด้านแก่ผม 11 ปีที่ท่านอยู่ที่นิคม ให้อาชีพและหลายอย่างกับผม ทุกคนในนิคมต่างมีความสุข มีคอบครัวและอาชีพที่ดี”


           “ตอนนั้นผมเป็นหัวหน้างานพัฒนานิคมซึ่งเป็นงานใหม่ที่ตั้งหลังจากจัดตั้งนิคมสำเร็จ ดูแลเรื่องศาสนา การพัฒนา การมีส่วนร่วม ดูว่าชาวบ้านอยากได้อะไร เรามีวัสดุ มาพบกันครึ่งทาง ดูศักยภาพของหมู่บ้านว่าหาทรัพยากรได้แค่ไหน หากไม่มีรัฐหาให้แต่เขาต้องออกแรงเอง เขาก็มีความภูมิใจว่าได้ลงแรง เสียสละ เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน อย่างชาวบ้านจะสร้างมัสยิดก็ใช้กระบวนการนี้เช่นกัน เป็นการร่วมคิดร่วมทำ มีความจริงใจต่อกัน ซึ่งต่างกับทุกวันนี้ที่รัฐคิดและปฏิบัติเองหมด ข้าราชการขาดความจริงใจในการแก้ปัญหาทั้งที่เมื่อชาวบ้านมีปัญหาคือมีพระคุณกับข้าราชการที่ได้ทำงาน ได้ช่วยเหลือและมีเงินเดือนประทังชีวิต”



           เมื่อสามปีที่แล้ว ลุงสั้นเกษียณงานในหน้าที่มาดูแลโรงพิมพ์ที่ทำมาตั้งแต่ปี 2546 จนถึงทุกวันนี้
“ตอนนั้นทำได้ปีกว่าแล้วหุ้นส่วนก็หนีไป แต่ขอบคุณที่เขาทำให้เราแกร่ง ได้เรียนรู้ บุญที่ทำมาได้ช่วยเป็นทุนแห่งคุณความดี ใช้ระบบเครดิตเป็นหลัก สร้างลูกน้องเป็นเถ้าแก่ไปหลายคน ลูกน้องที่มีอยู่ส่วนใหญ่เป็นมุสลิมที่ให้โอกาสได้แสดงฝีมือในการทำงาน”

        “ผมเป็นโรคหัวใจ ไขมันอุดตันแต่ยังไม่ผ่าตัด ไม่ไปทุกข์รอมัน ผมชอบแต่งเพลง แต่งกลอน กับเรื่องราวใกล้ๆ ตัว นั่งแต่งได้ทุกวัน เอามาประโยคเดียวก็แต่งได้แล้ว เอาสัจธรรมมาเขียนทำให้เขียนง่าย คำสอนของศาสนาก็นำมาใช้ได้หมด ทุกสิ่งเป็นสัจธรรมที่ต้องคิดตาม อารมณ์ดีแม้จะมีหนี้สิน”

            ลุงสั้นบอกว่าปัญหาของทุกวันนี้คือคิดไม่เป็น ทำอะไรไม่ได้ บางคนเอาปัญหามาตั้ง ปัญหาคือวัคซีนที่ป้องกัน ทุกอย่างอยู่ที่กระบวนการคิด ข้าราชการกลัวความล้มเหลว ไม่กล้าคิดนอกกรอบ ขอให้นายสั่งอย่างเดียว จึงช่วยชาวบ้านไม่ทัน บางครั้งตีนโยบายไม่แตกแต่เอามาทำแล้ว สิ่งที่ในหลวงพูดคือกรองมาแล้ว มีทุกเรื่องพระราชดำรัสของพระองค์มี 3-4 บรรทัดแต่คือการสรุปความเช่น “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์แห่งมหาชนชาวสยาม” ทุกอย่างก็ตามมา หรือความพอเพียงไม่ได้สอนให้เกียจคร้าน คือการทำให้เหลือ แล้วขายแล้วแจก มีน้ำใจต่อกันกับเพื่อนบ้านและชุมชน แต่กลับไม่กรองเอามาทำเลย การที่มีในหลวง มีพระพุทธเจ้า มีอัลลอฮฺ มีพระเยซู แต่ยังปฏิบัติกันแค่เปลือก ไม่เข้าถึงแก่นของศาสนาและทำได้ยาก

         “ปัญหาของครอบครัว สังคม ประเทศชาติและโลก เกิดจากคำสี่คำคือ ความไม่เข้าใจ ทุกคนมีหน้าที่ที่จะเป็นยางลบมาลบคำว่า “ไม่” ออก จะเหลือเพียง “ความเข้าใจ” ทุกอย่างจะมีความสุข ความเข้าใจกัน พ่อแม่เข้าใจลูก รัฐเข้าใจชาวบ้าน ชาวบ้านเข้าใจรัฐ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด”


           ลุงสั้นฝากถึงสิ่งที่ช่วยให้หลายอย่างผ่านไปด้วยดีคือ การทำงานทุกหน้าที่ต้องทำด้วย 3 ช.คือ การสร้างความเชื่อ สร้างความชอบและการช่วย ส่วนคนที่จะพึ่งพาได้ต้องดู 3 จ.คือ ยามจน ยามเจ็บ และยามจาก สำหรับ การยิ้มแย้ม ยกย่อง และเยือกเย็น เป็น 3 ย.ที่สำคัญ, ให้มองงานที่ทำตรงหน้าคืองานที่สำคัญที่สุด, คนสำคัญที่สุดคือคนที่อยู่ตรงหน้า,ปัญหาทำให้เกิดปัญญา และหน้าที่คือธรรมชาติ

           ความฝันและหวังของลุงสั้นในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่คือ จัดตั้งมูลนิธิช่วยคนให้พ้นทุกข์ ซึ่งลุงสั้นบอกว่า

“หากยังไม่ตายจะทำให้ได้”

พิธีลงเสาเอกสร้างสะพานเจาะบากงในโครงการ “ย้อนรอยพระราชกรณียกิจ



พิธีลงเสาเอกสร้างสะพานเจาะบากง เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ จ.นราธิวาส


            ครั้งหนึ่ง...ณ สะพานบ้านเจาะบากง" ต.ปูโยะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

            นายเจษฎา จิตรัตน์ นายอำเภอสุไหงโก-ลก พร้อมด้วยนายมูฮัมมัด สาแลแม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลปูโยะ พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ทหาร ตำรวจและกลุ่มพลังมวลชนในพื้นที่บ้านเจาะบากง ต.ปูโยะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ร่วมพิธีลงเสาเอก เพื่อสร้างสะพานไม้ตามโครงการ “ย้อนรอยพระราชกรณียกิจ ครั้งหนึ่ง...ณ สะพานบ้านเจาะบากง" ตำบลปูโยะ อำเภอสุไหงโก-ลก ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับสะพานไม้ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงงาน และได้ทรงตรัสกับลุงพร้อม ศรีสุข ราษฎรในพื้นที่บ้านเจาะบากง จนปรากฏเป็นภาพพระราชกรณียกิจที่เผยแพร่ออกไปทั่วประเทศ มากว่า 33 ปีแล้ว โดยในพิธีดังกล่าวได้มีพระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์ และผู้นำศาสนาร่วมละหมาดฮายัต เพื่อความเป็นสิริมงคลในการสร้างสะพานประวัติศาสตร์ในครั้งนี้


             นายเจษฎา จิตรัตน์ นายอำเภอสุไหงโก-ลก กล่าวว่า ภาพพระราชกรณียกิจที่ทรงพระทับนั่งบนสะพานไม้ และได้ตรัสกับราษฎรคนหนึ่ง ภาพนี้คนไทยได้เห็นและต่างชื่นชมในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อราษฎรในพื้นที่ แต่น้อยคนที่จะทราบว่าภาพนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2524 ที่บ้านเจาะบากง ต.ปูโยะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส

              ดังนั้น เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 87 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อำเภอสุไหงโก-ลก ส่วนราชการ องค์กรต่างๆ และชาวบ้านในพื้นที่จึงได้มีแนวคิดที่จะจัดสร้างสะพานไม้แห่งนั้นกลับคืนมาอีกครั้ง โดยใช้ช่างไม้คนเดิมที่เป็นผู้สร้างสะพานไม้ในสมัยนั้น ด้วยวิธีการแบบดั้งเดิม ใช้แรงงานของเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่เป็นหลักไม่มีการจ่ายค่าแรง เพราะทุกคนยินดีที่จะสละแรงกายเพื่อจัดสร้างสะพานไม้เจาะบากงเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว



              ทั้งนี้ งบประมาณทั้งหมดเกิดจากการร่วมบริจาคของทุกภาคส่วนโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับงบประมาณของส่วนราชการ พร้อมมอบหมายให้องค์การบริหารส่วนตำบลปูโยะ รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพหลักในการบริหารจัดการโครงการ

            ด้านนางเอี๊ย ศรีสุข ภรรยาของลุงพร้อม กล่าวว่า รู้สึกดีใจและซาบซึ้งใจที่ภาพแห่งความทรงจำที่เป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวในอดีต ทำให้เกิดการสร้างสะพานไม้เจาะบากงขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เพราะหากหวังเพียงประชาชนในพื้นที่บ้านเจาะบากงที่มีอยู่น้อยมากก็คงไม่เกิดโครงการนี้ขึ้น

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

กรณีตากใบ อีกครั้ง

กรณีตากใบ

               กรณีตากใบ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2547 เหตุการณ์เริ่มจากการชุมนุมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ประท้วงที่ก่อความไม่สงบที่ถูกจับกุม 6 คน และต่อมารัฐได้ใช้มาตรการในการสลายการชุมนุม จนนำไปสู่การจับกุมผู้ประท้วงและมีผู้เสียชีวิตระหว่างขนส่งผู้ต้องหา 84 ศพ และสูญหายอีกจำนวนมากกว่า 60 คน

คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 335/2547 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547

            แต่งตั้งคณะกรรมการอิสระสอบข้อเท็จจริงกรณีมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาสได้กำหนดให้คณะกรรมการอิสระมีอำนาจและหน้าที่ในการสอบข้อเท็จจริงถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้ความว่า การใช้อำนาจรัฐเข้าควบคุมสถานการณ์และความสงบเรียบร้อย การสลายการชุมนุม การต่อต้านขัดขืนการใช้อำนาจรัฐ การควบคุมตัวผู้ชุมนุมและการเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุม ตลอดจนเหตุแห่งการบาดเจ็บและเสียชีวิตมีสาเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร มีพฤติการณ์ประการใด กระทำไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ หลักวิชาหรือมาตรฐานในการควบคุมหรือเคลื่อนย้ายบุคคลในสถานการณ์เช่นนั้นหรือไม่ ประการใด หากไม่เป็นไปตามนั้น มีผู้สมควรต้องรับผิดชอบประการใดหรือไม่ และมีมาตรการป้องกันตลอดจนช่วยเหลือหรือแก้ไขเยียวยาเพื่อบรรเทาความเสียหายแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างไร

ประเด็นพิจารณาของคณะกรรมการอิสระฯ

            ในการดำเนินการตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว คณะกรรมการอิสระฯจึงมีมติกำหนดประเด็นเพื่อพิจารณาดังนี้ คือ

  • 1.การชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 มีการจัดตั้งหรือไม่
  • 2.ผู้ชุมนุมพกพาอาวุธมาด้วยหรือไม่
  • 3.มาตรการที่เจ้าหน้าที่ใช้ก่อนการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาสเป็นไปตามมาตรฐานและเหมาะสมหรือไม่
  • 4.เหตุผลในการสลายและวิธีการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาสเหมาะสมหรือไม่
  • 5.การควบคุมตัวผู้ชุมนุมทั้งหมดเหมาะสมและกระทำได้ตามกฎหมายหรือไม่
  • 6.การเลือกใช้ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เพื่อควบคุมตัวผู้ถูกควบคุมเหมาะสมหรือไม่
  • 7.การเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมจาก สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี มีมาตรฐานหรือไม่
  • 8.การใช้เวลาในการเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมจาก สภ.อ.ตากใบ จนกระทั่งนำผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุก ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เหมาะสมหรือไม่
  • 9.การดูแลผู้ถูกควบคุม ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เป็นไปอย่างเหมาะสมหรือไม่
  • 10. มีผู้สูญหายจากเหตุการณ์ในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 หรือไม่
  • 11.ผู้รับผิดชอบการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส การขนย้ายผู้ถูกควบคุมตัวจาก สภ.อ.ตากใบไปที่อิงคยุทธบริหาร และการดำเนินการที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี
รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 1

การชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 มีการจัดตั้งหรือไม่



           ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า การมาชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ในวันที่ 25 ตลุาคม 2547 มีด้วยกันหลายสาเหตุ แต่มีอยู่ 2 สาเหตุที่มีการแจ้งหรือนัดหมายกันล่วงหน้า คือ การชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัว ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ทั้ง 6 คน และการมาละหมาดฮายัด (การขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้า) ให้แก่ ชรบ. ทั้ง 6 คน ประกอบกับก่อนวันที่ 25 ตุลาคม 2547 มีเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงเจ้าหน้าที่สองครั้ง ครั้งที่หนึ่งที่อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ครั้งที่สอง ชาวบ้านอำเภอสุไหงปาดี ไม่พอใจทหาร โดยกล่าวหาว่าทหารยิงปืนถูกขาหญิงไทยมุสลิมคนหนึ่ง แต่เมื่อแพทย์ตรวจแล้วพบว่ามีรอยถลอกเล็กน้อยและไม่ใช่เกิดจากรอยกระสุนปืน แต่การชุมนุมประท้วงดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้มีการถอนทหารออกจากฐานปฏิบัติการดังกล่าว


         คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงข้างต้นแล้วเห็นว่า การชุมนุมประท้วงที่หน้า สภ.อ.ตากใบ ไม่ว่าจะเป็นพิจารณาข้อมูลเชิงพฤติกรรมของผู้ชุมนุมบางส่วนในขณะเกิดเหตุ หรือหลังเกิดเหตุ เป็นการกระทำที่มีการวางแผนมาก่อนโดยคนกลุ่มหนึ่ง มีการจัดตั้งคล้ายกับการชุมนุมคัดค้านเจ้าหน้าที่ก่อนหน้านั้นสองครั้ง ที่อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี และที่อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส โดยเคลื่อนไหวตามสถานการณ์ มีความมุ่งหมายที่กำหนดไว้แน่นนอน การเรียกร้องให้ปล่อยตัว ชรบ. 6 คนเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างเท่านั้น


           แกนนำผู้ชุมชนดูเสมือนจงใจให้การชุมนุมเกิดขึ้นช่วงเดือนถือศีลอดของชาวไทยมุสลิม จงใจให้เกิดการยืดเยื้อ น่าจะมีเบื้องหลังมากกว่าการชุมนุมเรียกร้องตามปกติ มีการวางแผนยั่วยุเจ้าหน้าที่

          ในขณะที่กลุ่มคนมาชุมนุมประท้วง เจ้าหน้าที่ระบุได้เฉพาะแกนนำกลุ่มหนึ่งประมาณ 30 คนที่อยู่ด้านหน้าเท่านั้น ผู้ชุมนุมที่เหลือไม่สามารถแยกแยะได้ว่าผู้ใดบ้างที่มาร่วมชุมนุมเพราะคำชักชวนหรือได้รับแจ้งให้มาละหมาดฮายัดให้ ชรบ.หรือมาให้กำลังใจ ชรบ.หรือเป็นประเภทที่มาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น มาทราบชัดเจนเมื่อมีการควบคุมตัวและมีการซักถามในภายหลัง ซึ่งส่วนใหญ่มาเพราะอยากรู้อยากเห็นหรือถูกชักชวนให้มาร่วมละหมาดฮายัด หรือมาให้กำลังใจ ชรบ.ทั้ง 6 คน



รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 2

ผู้ชุมนุมพกพาอาวุธมาด้วยหรือไม่


         ปรากฏข้อเท็จจริงจากภาครัฐและกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งได้สอบถามในภายหลังสรุปได้ดังนี้ ภาครัฐ ทั้งรายงานของ กอ.สสส.จชต. ที่กราบเรียนนายกรัฐมนตรีและคำชี้แจงของ มทภ.4 (พล.ท.พิศาล วัฒนวงศ์คีรี) สรุปได้ว่าในกลุ่มชุมนุมมีการพกพาอาวุธมาด้วย ภาคประชาชน สำหรับกรณีที่ทางการได้ตรวจพบอาวุธสงคราม ระเบิด มีดดาบในแม่น้ำหลังสลายการชุมนุมในวันรุ่งขึ้น (วันที่ 26 ตุลาคม 2547) นั้น ผู้ถูกควบคุมซึ่งให้ข้อมูลในภายหลังทุกคนยืนยันว่า ในที่ชุมนุมไม่ได้พบเห็นว่า มีผู้ใดพกพาอาวุธเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุ และในการเดินผ่านด่านหรือจุดสกัดต่างๆ จะถูกตรวจค้นจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารอย่างละเอียด ผู้ให้ข้อมูลบางคนให้ปากคำว่าระหว่างสลายการชุมนุม ถ้ามีอาวุธคงมีการใช้อาวุธตอบโต้เจ้าหน้าที่อย่างแน่นอนและการสูญเสียของฝ่ายเจ้าหน้าที่คงมีมากกว่านี้


         คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงข้างต้นแล้ว เห็นว่าการที่ภาครัฐรายงานว่าผู้เข้าชุมนุมบางส่วนซุกซ่อนอาวุธมาด้วยนั้น โดยเฉพาะอาวุธสงครามและกระสุนจำนวนมากที่เจ้าหน้าที่ยึดได้หลังจากสลายการชุมนุมในวันนั้น และจากการที่งมอาวุธได้จากแม่น้ำต้องมีหลักฐานมาอ้างมากกว่านี้จึงจะทำให้เชื่อได้ อย่างไรก็ดี รอยกระสุนปืนที่โรงพัก ต้นไม้หรือที่พักในสวนสาธารณะมีทิศทางมาจากกลุ่มผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากกระสุนที่มีทิศทางมาจากกลุ่มผู้ชุมนุม ก็แสดงว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีอาวุธ ซึ่งคงมีจำนวนไม่มากและไม่กี่คนเท่านั้น เพราะถ้าแกนนำผู้ชุมนุมมีอาวุธมากจริงและใช้อาวุธยิงเจ้าหน้าที่แบบต่อสู้กัน เจ้าหน้าที่คงตายและบาดเจ็บอีกหลายคน

รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 3

มาตรการที่เจ้าหน้าที่ใช้ก่อนการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส เหมาะสมหรือไม่

           ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ในช่วงเช้าของวันที่ 25 ตุลาคม 2547 เจ้าหน้าที่ได้ตั้งด่านสกัดผู้เดินทางไม่ให้ไปยัง สภ.อ.ตากใบ แต่ไม่สามารถสกัดกั้นได้ ข้อเท็จจริงปรากฏต่อไปด้วยว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงคือ รอง ผอ.สสส.จชต. (นายศิวะ แสงมณี) มทภ.4 ปลัดจังหวัดนราธิวาส และผู้นำศาสนาอิสลาม และบิดาของ ชรบ.ซึ่งต้องคดีคนหนึ่งและมารดาของ ชรบ.ซึ่งต้องคดีอีกคนหนึ่ง ได้พยายามเจรจาด้วยภาษาไทยและภาษามลายูท้องถิ่นหลายครั้งเพื่อขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมแยกย้ายกลับไป รวมทั้งได้พูดผ่านเครื่องขยายเสียงว่าให้ผู้ชุมนุมแยกย้ายกลับไป มิฉะนั้นเจ้าหน้าที่จำต้องสลายการชุมนุม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ


            คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงข้างต้นแล้วเห็นว่า มาตรการที่เจ้าหน้าที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นการสกัดกั้นผู้เดินทางไม่ให้เข้าไปยัง สภ.อ.ตากใบ หรือการเจรจา 5 ถึง 6 ครั้ง ซึ่งดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ ผู้นำทางศาสนา และบิดามารดาของ ชรบ. 6 คน ที่ถูกจับกุมนั้น เป็นไปอย่างเหมาะสมแล้ว อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการอิสระมีข้อสังเกตว่า หากการสกัดกั้นมิให้ผู้เดินทางเข้าไปยัง สภ.อ.ตากใบประสบความสำเร็จ ผู้ชุมนุมอาจจะมีจำนวนน้อยกว่านี้

นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงจากการสอบถามผู้ชุมนุมในภายหลัง ปรากฏว่า การพูดผ่านเครื่องขยายเสียง เพื่อให้ผู้ชุมนุมแยกย้ายกันกลับไปนั้น ผู้ชุมนุมบางส่วนไม่ได้ยิน เพราะมีแกนนำในการชุมนุมพยายามโห่ร้องส่งเสียงดังอยู่เสมอ คณะกรรมการอิสระจึงมีข้อสังเกตว่า ในการใช้เครื่องขยายเสียงเพื่อเจรจากับผู้ชุมนุมนั้น ควรคำนึงถึงกำลังของเครื่องขยายเสียงกับการโห่ร้องส่งเสียงดังของแกนนำในการชุมนุม เพื่อกลับเสียงจากเครื่องขยายเสียงและทิศทางที่ลมพัดพาด้วย

รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 4

เหตุผลในการสลายและวิธีการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส เหมาะสมหรือไม่

                   ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ในการวางแผนสลายการชุมนุม ที่ประชุมของผู้บริหารระดับสุงในพื้นที่ได้ข้อสรุปว่า จะเจรจาขอร้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมแยกย้ายกันกลับไปและหากเวลา 17.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมยังไม่แยกย้ายกันกลับไป และเกิดเหตุจลาจลขึ้น มทภ.4 ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจตามประกาศกฎอัยการศึก จะเป็นผู้ใช้อำนาจสั่งสลายการชุมนุม โดยให้ ผบ.พล.ร.5 (พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร) เป็นผู้ควบคุมตามหลักสากลในการใช้กำลัง ซึ่งถือว่ากองพลทหารราบ เป็นหน่วยทางยุทธวิธีสูงสุด และเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. การเจรจาเพื่อขอให้ผู้ชุมนุมแยกย้ายกันกลับไป ยังไม่ประสบความสำเร็จ สถานการณ์เริ่มตึงเครียด กลุ่มผู้ชุมนุมใช้สิ่งของต่างๆ ก้อนอิฐ เศษไม้ ขว้างปาใส่เจ้าหน้าที่และพยายามใช้กำภลังเข้ามาภายใน สภ.อ.ตากใบ ชุดปราบจลาจลจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.) กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส เข้าผลักดันฝูงชน แต่สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น ฝูงชนใช้กำลังโถมเข้าหาเจ้าหน้าที่ มทภ.4 จึงมีคำสั่งให้สลายการชุมนุม โดยการใช้น้ำจากรถดับเพลิงของเทศบาลตำบลตากใบฉีดน้ำเข้าใส่ฝูงชน ใช้แก๊สน้ำตา และขณะเดียวกันมีเสียงปืนดังขึ้นมาจากทางด้านผู้ชุมนุม ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บสาหัสหนึ่งนาย เจ้าหน้าที่จึงยิงปืนขึ้นฟ้าหลายชุด และใช้เวลาในการสลายการชุมนุมประมาณ 30 นาที จึงสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้


           การสลายการชุมนุมทำให้ฝ่ายผู้ชุมนุมเสียชีวิต 7 ศพ (5 ศพถูกกระสุนปืนที่บริเวณศีรษะ) เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 14 นาย (1 นายถูกกระสุนปืน) ผู้ชุมนุมถูกควบคุมตัว 1,370 คน คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงข้างต้นแล้วเห็นว่า เจ้าหน้าที่มีเหตุอันสมควรที่เชื่อได้ว่า หากปล่อยให้เหตุการณ์ยืดเยื้อออกไป ก็จะทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย จนมิอาจควบคุมได้ และอาจเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ต่อสถานที่ราชการ และเจ้าหน้าที่ เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนมาก และบางส่วนก็มีการวางแผนล่วงหน้า พร้อมทั้งมีไม้ ก้อนหินและอาจมีอาวุธอื่นๆ ซุกซ่อนอยู่ ประกอบกับภาวะความกดดันอย่างรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ ที่ต่อเนื่องมายาวนาน การตัดสินใจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม จึงถือได้ว่า เป็นไปตามเหตุผลและความจำเป็นของสถานการณ์

           อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงวิธีการสลายการชุมนุมที่ใช้กำลังติดอาวุธใช้กระสุนจริง โดยเฉพาะใช้กำลังทหารเกณฑ์และทหารพรานซึ่งมีวุฒิภาวะไม่สูงพอเข้าร่วมในการเข้าสลายการชุมนุมนั้นคณะกรรมการอิสระเห็นว่า เป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามแบบแผนและวิธีปฏิบัติที่ใช้กันตามหลักสากล อย่างไรก็ตาม การใช้กำลังทหารเข้าปฏิบัติการสลายการชุมนุมตลอดจนใช้อาวุธและกระสุนจริงเป็นความจำเป็นตามสถานการณ์ ดังนั้น เมื่อมีการเสียชีวิตและการบาดเจ็บเกิดขึ้นทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมและฝ่ายเจ้าหน้าที่ จึงควรเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม ที่จะต้องดำเนินการพิสูจน์เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายต่อไป

           สำหรับกรณีที่มีข่าวว่า มีการจ่อยิงศีรษะผู้เข้าร่วมชุมนุมนั้น ผลจากการชันสูตรพลิกศพไม่ปรากฏว่ามีการใช้อาวุธปืนจ่อยิงผู้ร่วมชุมนุมแต่อย่างใด

รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 5

การควบคุมตัวผู้ชุมนุมทั้งหมดเหมาะสมและกระทำได้ตามกฎหมายหรือไม่


           ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ก่อนการสลายการชุมนุม เจ้าหน้าที่ประสงค์จะควบคุมตัว เฉพาะบุคคลที่เป็นแกนนำ ในการชุมนุมเท่านั้น แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป จึงตัดสินใจควบคุมตัวผู้ชุมนุมทั้งหมด และเมื่อมีคำสั่งให้ผู้ถูกควบคุมทั้งหมดถอดเสื้อออก จึงทำให้เจ้าหน้าที่ไม่อาจทราบได้ว่า ผู้ถูกควบคุมคนใดเป็นแกนนำในการชุมนุม


           คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ต้องการควบคุมเฉพาะกลุ่มแกนนำประมาณ 30 ถึง 40 คน เท่านั้น จึงเตรียมใช้รถบรรทุกที่ขนส่งทหารพราน จำนวน 4 คัน เพื่อขนส่งผู้ถูกควบคุมตัว แต่เมื่อมีการควบคุมตัวผู้ร่วมชุมนุมจำนวนมากขึ้น เพราะไม่สามารถจำแนกแกนนำจากผู้ร่วมชุมนุมได้ จำเป็นต้องปรับแผนเอาตัวผู้ชุมนุมทั้งหมดไว้ก่อน แล้วค่อยคัดออกในภายหลัง เป็นเหตุให้เกิดความบกพร่อง ในการเตรียมการและการปฏิบัติหลายประการ

          สำหรับการกักตัวผู้ชุมนุมนั้น มทภ.4 มีอำนาจกักตัวผู้ชุมนุมไว้ได้ไม่เกิน 7 วัน ตามมาตร 15 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457

รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 6

การเลือกใช้ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เพื่อควบคุมตัวผู้ถูกควบคุมเหมาะสมหรือไม่


           คณะกรรมการอิสระพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า การเลือกใช้ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เพื่อควบคุมตัวผู้ถูกควบคุมเป็นการเลือกที่เหมาะสมแล้ว เพราะมีผู้ถูกควบคุมจำนวนมาก สถานที่ที่จะใช้ควบคุมตัวในจังหวัดนราธิวาส มีไม่เพียงพอ และไม่เหมาะสม จึงตัดสินใจใช้ค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เนื่องจากมีเรือนจำทหารที่จะใช้ควบคุมตัวผู้ชุมนุมได้ และมีโรงพยาบาลทหาร ที่จะรักษาพยาบาลผู้ถูกควบคุมตัวที่ป่วยและบาดเจ็บได้

รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 7

การเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมจาก สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหารจังหวัดปัตตานี มีมาตรฐานหรือไม่





            ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า จำนวนรถบรรทุกที่ใช้ขนส่งเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมจำนวน 1,370 คน มีไม่เพียงพอ จึงได้สั่งให้นำรถบรรทุกทั้งของทหารและตำรวจมาเพิ่ม

          คณะกรรมการอิสระพิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วเห็นว่า การเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมจากตากใบไปค่ายอิงคยุทธบริหาร ค่อนข้างจะเป็นไปด้วยความสับสนและฉุกละหุกภายใต้สถานการณ์ขณะนั้น เมื่อความเสียหายอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นเพราะมีคนตายมาก จึงต้องทบทวนหาข้อบกพร่องในทุกขั้นตอน

           การเตรียมรถในช่วงเวลาฉุกละหุก แม้จำนวนรถจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่ถ้าเชื่อตามเอกสารที่ทหารจัดส่งมาให้ คือมีรถของตำรวจ ทหาร และนาวิกโยธิน รวม 28 คัน และจำนวนผู้ถูกควบคุมซึ่งขณะนั้นยังไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน เพิ่งมาทราบทีหลังว่ากว่า 1,300 คน คิดเฉลี่ยคันละกว่า 50 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่บรรทุกได้ แต่เมื่อรถคันแรกๆ บรรทุกไม่ถึง 50 คน คันหลังต้องบรรทุกมากกว่า 50 คน โดยแน่แท้ เพราะเจ้าหน้าที่ต้องพยายามบรรทุกให้หมด อีกทั้งต้องมารับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกสกัดและควบคุมตัวไว้ที่สามแยกตากใบก็ต้องพยายามบรรทุกคนขึ้นไปให้หมด ผลจึงปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวนมากอยู่ในรถบรรทุกคันหลังๆ

การกระท่าของผู้ถูกควบคุมบนรถบรรทุก

           สำหรับวิธีการเคลื่อนย้ายนั้น ผู้ถูกควบคุมส่วนใหญ่อ้างว่าถูกบังคับให้นอนคว่ำหน้าทับซ้อนกันหลายชั้น บางคนพูดถึง 3-4 ชั้น ในขณะที่ทางเจ้าหน้าที่อ้างว่าให้นั่งไปและยืนไป มีรถคันหนึ่งในสี่คันแรกที่มีการนอนทับซ้อนกัน และต้องมาขนลงหลังจากที่ ผบช.ภ.9 และ มทภ.4 มาพบและสั่งให้เอาลง ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มติชนซึ่งถ่ายภาพรถบรรทุกผู้ควบคุมคันหนึ่ง ซึ่งนอนทับซ้อนกันหลายชั้นได้ชี้แจงว่าได้ยิน ผบช.ภ.9 และ มทภ.4 สั่งให้เจ้าหน้าที่เอาคนลงมา แต่ไม่ได้อยู่ดูว่ามีการปฏิบัติตามคำสั่งหรือไม่

          คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่า น่าจะฟังได้ว่ามีการเอาผู้ชุมนุมนอนทับซ้อนกันจริงในรถบรรทุกคันแรกของขบวนแรกจนผู้บังคับบัญชามาเห็น จึงสั่งให้เอาคนลงมาและจัดขึ้นไปใหม่ ซึ่งต่อมาไม่น่าจะมีการสั่งให้เอาคนนอนทับซ้อนกันหลายชั้นเช่นนั้นอีก

         อย่างไรก็ดี คงปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีการทับซ้อนในรถคันหลังๆ เพราะจากรายงานของคณะอนุกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานด้านการแพทย์และพยาบาล ซึ่งพิจารณาผลชันสูตรพลิกศพ และจากการสอบถามแพทย์ผู้รักษาผู้บาดเจ็บ และการเยี่ยมผู้บาดเจ็บล้วนสรุปได้ว่า การเสียชีวิตส่วนใหญ่ของผู้ถูกควบคุมอยู่ในสถาวะอ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้เต็มที ขาดอาหารและน้ำประกอบกับได้รับอากาศหายใจน้อย เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจอ่อนแรงลงและจากการกดทับ ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้ง “แนวนอน แนวดิ่ง และแนวเฉียง” เพราะการบรรทุกที่แน่นเกินไป หลายรายตายจากสาเหตุจากการถูกกดทับ ที่หน้าอก หลายรายมีภาวะเสียสมดุลของสารในเลือด มีภาวะการทำลายกล้ามเนื้อเกิดขึ้น (Rhabdomyolysis) และอาจมีอาการไตวายชนิดเฉียบพลัน(Acute renal fallure) ซึ่งเป็นสาเหตุของการตายทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การทับกันคงมีจริง แต่ทับแบบไหน แนวนอน แนวดิ่ง หรือแนวเฉียง ซึ่งทุกแนวทำให้เกิด Compression Syndromeทำให้กล้ามเนื้อขาดเลือดไปเลี้ยงได้ทั้งนั้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ถึงแก่ความตายได้หากเกิดขึ้นเป็นเวลานาน

            เหตุผลอีกประการหนึ่งคือรถบรรทุกคันหลังเสียเวลาการลำเลียงคนลงนานกว่าคันแรกๆ ประกอบกับการอัดทับ และความอ่อนเพลียจากการอดอาหารและน้ำ เสียแรงตลอดทั้งวัน ความต้านทานของร่างกายจึงน้อยลง

            นอกจากนี้ ผลการชันสูตรพลิกศพยืนยันว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 78 คน ไม่มีผู้ใดเสียชีวิตมาจากสาเหตุคอหัก และไม่มีร่องรอยของการรัดคอหรือการครอบถุงพลาสติค

            คณะกรรมการเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นต้องถือว่าผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องขาดการใช้วิจารณญาณเป็นอย่างมาก ละเลยไม่ดูแลการลำเลียงและเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมให้แล้วเสร็จ แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารระดับชั้นผู้น้อย ที่มีข้อจำกัดด้านประสบการณ์ และมุ่งแต่เพียงปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงไปเท่านั้นโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่นประกอบ เนื่องจากเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนจึงไม่อาจคาดได้ว่าจะเกิดการตายเช่นนี้

รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 8

การใช้เวลาในการเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมจาก สภ.อ.ตากใบ จนกระทั่งนำผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุก ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เหมาะสมหรือไม่


          ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า รถบรรทุกผู้ถูกควบคุมขบวนที่สอง(จำนวน 22 คัน หรือ 24 คัน) ซึ่งพบผู้เสียชีวิต 77 รายใช้เวลาเดินทางจาก สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี ประมาณ 5 ชั่วโมง โดยมีการหยุดระหว่างทางเนื่องจากมีการวางเรือใบหรือการเปลี่ยนเวรหรือรับผู้ถูกควบคุมเพิ่มขึ้น และใช้เวลาลำเลียงผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุกอีกนานจนแล้วเสร็จคันสุดท้ายเมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 26 ตุลาคม 2547 เนื่องจากสภาพถนนหน้าเรือนจำทหารบกในค่ายอิงคยุทธบริหารมีขนาดเล็ก รถบรรทุกไม่สามารถเข้าไปพร้อมๆ กันได้หลายคัน

          คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า เนื่องจากระยะเวลาการเดินทางจาก สภ.อ.ตากใบ ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหารซึ่งห่างประมาณ 150 กิโลเมตร มีการหยุดระหว่างทางและขบวนรถเป็นขบวนที่ยาว 22 คัน หรือ 24 คัน การเดินทางเป็นไปอย่างล่าช้า เพราะเป็นเวลากลางคืนมีฝนตกหนัก มีการวางสิ่งกีดขวาง ประกอบกับมีข่าวว่าจะมีการชิงตัวผู้ถูกควบคุมตัว ทำให้การเดินทางไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเท่าที่ควร ระยะเวลาที่ใช้มายังค่ายอิงคยุทธบริหาร 5 ชั่วโมง จึงเป็นระยะเวลาเหมาะสมภายใต้วิสัย และพฤติการณ์ในสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว

           สำหรับระยะเวลาที่ใช้ในการลำเลียงผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุก ณ เรือนจำทหารบกในค่ายอิงคยุทธบริหารนั้น คณะกรรมการอิสระเห็นว่า ด้วยสภาพถนนหน้าเรือนจำทหารบกแคบรถบรรทุกไม่สามารถเข้าไปพร้อมๆ กัน หรือสวนกันได้ทำให้การลำเลียงคนลงเป็นไปอย่างล่าช้าระยะเวลาที่ใช้ในการลำเลียงคนลงจากรถบรรทุก จึงเหมาะสมตามเหตุการณ์และสภาพของสถานที่แล้ว

          อย่างไรก็ตาม แม้การใช้เวลาในการลำเลียงผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุก ณ เรือนจำทหารบก จะเป็นไปอย่างเหมาะสม ตามสถานการณ์ก็ตาม คณะกรรมการอิสระเห็นว่า เมื่อมีการพบผู้เสียชีวิตในรถบรรทุกแล้ว เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแลการลำเลียง มิได้สั่งให้ดำเนินการใดกับรถบรรทุกที่จอดรออยู่หรือแจ้งให้ผู้ควบคุมรถของรถบรรทุกคันอื่นๆ ทราบ เพื่อดำเนินการใดๆ เช่น รีบนำผู้ถูกควบคุมลงพื้นด่วนเพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น การละเลยไม่คำนึงถึงการบรรเทาความเสียหายดังกล่าวนี้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น และเป็นการกระทำที่ไม่รับผิดชอบ



รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 9

การดูแลผู้ถูกควบคุม ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เป็นไปอย่างเหมาะสมหรือไม่


            ผู้ถูกควบคุมตัวและเจ้าหน้าที่ต่างให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่าการดูแลผู้ถูกควบคุมที่บริเวณเรือนจำจังหวัดทหารบก ที่โรงพยาบาล ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร เป็นไปอย่างดี ซึ่งยังรวมไปถึงการช่วยเหลือของแพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลแห่งอื่นๆ ทั้งของจังหวัดปัตตานี และจังหวัดข้างเคียง ซึ่งได้รับผู้ป่วยจากโรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหารไปรักษาพยาบาลต่อ คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่าผู้ถูกควบคุมและผู้เจ็บป่วยได้รับการดูแลอย่างดีมีประสิทธิภาพและเหมาะสมแล้ว



รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 10

มีผู้สูญหายจากเหตุการณ์ในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 หรือไม่


            ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ณ ขณะนี้มีบุคคลซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา ได้หายไปจำนวน 7 คน โดยมีการแจ้งเรื่องราวไว้ต่อคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสแล้ว

          คณะกรรมการอิสระเห็นว่าหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะหน่วยงานพื้นที่ ต้องเร่งสืบหาข้อเท็จจริงเป็นการด่วน และประสานไปยังทายาทของผู้สูญหาย พร้อมทั้งจัดการเยียวยา บำรุงขวัญในเบื้องต้น เพื่อให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่มิได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเจ้าหน้าที่มีความห่วงใยในความเป็นอยู่ และทุกข์สุขของประชาชนโดยทั่วถึงเป็นอย่างดียิ่งตลอดมา

รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 11

ผู้รับผิดชอบในการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส การขนย้ายผู้ถูกควบคุมตัวจาก สภ.อ.ตากใบ ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร และการดำเนินการที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี

            ในการพิจารณาว่าผู้ใดควรรับผิดชอบในเหตุการณ์นี้ คณะกรรมการอิสระ เห็นว่าเมื่อ มทภ.4 ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2547 เรื่อง การใช้กฎอัยการศึกในเขตอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส มทภ.4 จึงมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน ในสถานที่เกี่ยวกับยุทธ์ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน ต้องปฏิบัติตามความต้องการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร (มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457) ข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่าในการวางแผนการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ มทภ.4 ได้สั่งให้ ผบ.พล.ร.5 (พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร) เป็นผู้ควบคุมกำลังและเป็นหน่วยภาคยุทธวิธีในการดำเนินการ

              ผู้รับผิดชอบในการสลายการชุมนุมใน สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส และการเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี

            คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่า พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร ผบ.พล.ร.5 เป็นผู้รับผิดชอบในการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 คน และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งรับผิดชอบในการควบคุมตัวผู้ชุมนุม การลำเลียงผู้ชุมนุมขึ้นรถบรรทุก และการเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมซึ่งถูกควบคุมตัวบนรถบรรทุกไปยังเรือนจำจังหวัดทหารบก ค่ายอิงยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี และปรากฏข้อเท็จจริงว่า พล.ต.เฉลิมชัย วุรุฬห์เพชร ไม่ได้อยู่ควบคุมดูแลภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ลุล่วง แต่ได้ออกจากพื้นที่ไปพบนายกรัฐมนตรีที่อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส เมื่อเวลาประมาณ 19.30 น. โดยไม่มีเหตุผลและความจำเป็น คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่า พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไม่ครบถ้วนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา

ผู้รับผิดชอบที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี


            ปรากฏข้อเท็จจริงว่า พล.ต.สินชัย นุตสถิตย์ รอง มทภ.4 ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบงานการข่าวและสายงานยุทธการได้รับคำสั่งจาก มทภ.4 ให้จัดเตรียมทั้งน้ำ อาหาร และพื้นที่ เพื่อรองรับผู้ถูกควบคุมที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี ดังนั้น เมื่อการลำเลียงผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุกที่เรือนจำจังหวัดทหารบกปัตตานี ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร และพบว่าในรถบรรทุกมีคนตาย แต่กลับมิได้มีคำสั่งหรือดำเนินการใดๆ กับผู้ควบคุมรถบรรทุกหรือผู้ถูกควบคุมที่จอดรออยู่ เพื่อบรรเทาความเสียหายที่เห็นว่าน่าจะเกิดขึ้น จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไม่ครบถ้วนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา

ผู้รับผิดชอบในสถานการณ์โดยรวม


            โดยที่ พล.ท.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี มทภ.4 เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเมื่อประกาศกฎอัยการศึก แม้จะได้มอบหมายให้ พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร ผบ.พล.ร.5 และ พล.ต.สินชัย นุตสถิตย์ รอง มทภ.4 เป็นผู้รับผิดชอบตามที่กล่าว ใน 11.1 และ 11.2 แล้วก็ตาม มทภ.4 ก็ยังคงต้องรับผิดชอบในการติดตาม ควบคุม และสอดส่องดูแลว่าภารกิจที่ได้มอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ปฏิบัติประสบความสำเร็จ หรือมีปัญหาความยุ่งยากประการใด แม้จะมีข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อเวลาประมาณ 01.30 น. ของวันที่ 26 ตุลาคม 2547 มทภ.4 ก็ได้ทราบข่าวว่ามีคนตายที่ค่ายอิงคยุทธบริหารประมาณ 70 คน แล้ว แต่ก็มิได้ดำเนินการอะไร จนถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2547 มทภ.4 จึงเข้ามาที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร เพื่อมาตอบข้อสอบถามของคณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภา ซึ่งเดินทางมายังค่ายอิงคยุทธบริหาร เพื่อหาข้อมูลการตายของผู้ชุมนุม 78 คน คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่า พล.ท.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี มทภ.4 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ขาดความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีหน้าที่ติดตามดูแลภารกิจที่ได้มอบหมาย ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติอย่างใกล้ชิด

บทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

            จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้เริ่มก่อเหตุการณ์คือกลุ่มแกนนำบางคนที่ต้องการให้สถานการณ์ยืดเยื้อ เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นฝ่ายเข้าไปดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ละคนได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนภายใต้ข้อจำกัดหลายประการ ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อบกพร่องไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ไม่มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดการเสียชีวิต บาดเจ็บ อนึ่ง ในเหตุการณ์นี้มีข้อสังเกตว่าข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่หลายท่านได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียสละ กล้าหาญ จึงต้องนำเหตุการณ์นี้มาศึกษาเสนอแนะเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเช่นนี้ขึ้นอีก และการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมจำนวนมากระหว่างการเคลื่อนย้ายจาก สภ.อ.ตากใบมายังค่ายอิงคยุทธบริหารนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึงและไม่มีเจตนาที่จะให้เกิดเหตุการณ์ที่เศร้าสลดเช่นนี้ ภาคที่ 4

ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระฯ

1.ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการสลายการชุมนุม


            เพื่อป้องกันมิให้เกิดการเสียชีวิตในกรณีมีการชุมนุมประท้วงเช่นนี้อีก ให้ชุดปราบจลาจลของตำรวจที่ได้รับการฝึกอบรม และมีความพร้อมในเรื่องอุปกรณ์การปฏิบัติงานในพื้นที่เป็นหลัก สำหรับชุดปราบปรามจลาจลของฝ่ายทหาร จะใช้เป็นกองหนุนในกรณีที่กำลังตำรวจมีไม่พอเท่านั้น และห้ามติดอาวุธ

2.ข้อเสนอแนะในการควบคุมตัวและการเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุม

  • 2.1 ในการควบคุมตัวผู้ชุมนุม ควรควบคุมเฉพาะแกนนำในการชุมนุม หรือผู้ต้องสงสัยเท่านั้น และในกรณีที่มีความจำเป็นต้องควบคุมตัวผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก ควรจัดให้มีการสอบสวนเบื้องต้น เพื่อแยกประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ ควรต้องมีมาตรการเพื่อเปิดทางให้ประชาชนผู้มาร่วมชุมนุมถอนตัวออกจากที่ชุมนุมได้
  • 2.2 ยานพาหนะที่ใช้ต้องจัดให้มีจำนวนมากเพียงพอ และต้องมีเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรควบคุมขบวน
  • 2.3 หากระยะทางที่ไกล ควรจัดให้ผู้ถูกควบคุมตัวทุกคนได้นั่งไป
3.ข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

  • 3.1 การจัดตั้งองค์กรบริหารราชการ ควรจัดตั้งให้มีลักษณะพลเรือนมากขึ้น โดยให้องค์กรประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น
  • 3.2 ควรใช้นโยบายการเมืองนำการทหาร และน้อมนำแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า “เข้าถึง เข้าใจ และพัฒนา″
  • 3.3 ควรนำองค์กรเครือข่ายอาสาสมัครภาคประชาชนในระดับตำบล และหมู่บ้านทุกองค์กรมาสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่

สังคมต้องเรียนรู้ความจริงกรณีตากใบ

อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2547

             ในสังคมอารยะ การเรียนรู้ความผิดพลาดร้ายแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในรัฐ เป็นความจำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ กับประชาชน เพราะจะทำให้สังคมเข้าใจรากเหง้าของความผิดพลาด และสามารถที่จะมองเห็นแนวทางในการร่วมกันแก้ไขปัญหา หรือปรับปรุงกลไกต่างๆ เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความผิดพลาดครั้งต่อไปอีก

           หากถือกันตามที่คนในรัฐบาลกล่าวอ้างว่า เหตุโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นที่ตากใบ เป็นเพียงความผิดพลาดในการปฏิบัติราชการ ข้ออ้างที่ไม่ยอมให้เผยแพร่วีซีดีบันทึกเหตุการณ์รุนแรงที่ตากใบ ก็ไม่สมเหตุสมผล เพราะระบบราชการเป็นกลไกรับใช้ประชาชน และต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลใกล้ชิดของประชาชน สังคมจึงต้องรับรู้และเรียนรู้ความผิดพลาดในการปฏิบัติราชการ จึงจะสามารถช่วยกันหาทางไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีก

           การที่นายกรัฐมนตรีกล่าวอ้างความมั่นคงของรัฐในการปกปิดวีซีดีกรณีตากใบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การปกปิดกลับจะทำให้สังคม และรัฐสูญเสียความเชื่อมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่มั่นคงของรัฐมากยิ่งกว่าการเปิดเผยความจริงเสียอีก

           แท้จริงแล้ว การอ้างความมั่นคงของรัฐ เป็นเพียงเพื่อจะปกปิดความผิดพลาดของการสั่งการในระดับสูง และความผิดพลาดของกรอบความคิดในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเท่ากับการปกปิดเพื่อความมั่นคงทางการเมืองของรัฐบาล มิหนำซ้ำ การอ้างไม่สมเหตุสมผลยังเป็นการปิดกั้นการเรียนรู้ของสังคม และอาจจะส่งผลให้เกิดความรุนแรงในอนาคต

             การที่รัฐบาลไม่เห็นสมควรให้มีการเปิดเผยวีซีดีนั้นเป็นเพียงความเชื่อ ซึ่งไม่มีทางที่จะปกปิดได้ ในเมื่อการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารทุกวันนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องของอำนาจสั่งการจากรัฐบาลอันไม่ชอบด้วยเหตุผล จะสามารถควบคุมได้ ในที่สุดก็เชื่อได้ว่า ระยะอีกไม่นาน วีซีดีชุดนี้จะได้รับเผยแพร่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในวงกว้าง

           แม้ว่ารัฐบาลนี้อาจมั่นใจว่า นโยบายประชานิยมจะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่พึงพอใจ แต่เมื่อวีซีดีชุดนี้แพร่หลายออกไปกว้างขวางมากขึ้น ก็จะส่งผลให้คนไทยสูญเสียความไม่ไว้วางใจ ในการตัดสินใจใช้อำนาจของภาครัฐ เพราะไม่มีใครจะมั่นใจได้ว่า รัฐบาลอาจจะใช้ความรุนแรงดังเช่นกรณีที่ตากใบ

           สิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องทำในวันนี้ จึงไม่ใช่การปกปิดข้อมูลข่าวสารด้วยการใช้อำนาจรัฐ หากแต่ต้องเปิดเผยต่อสังคม เพื่อสังคมจะได้รับรู้ความจริงด้วยความเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

           ในวันนี้ ทางออกเพื่อความมั่นคงของสังคมและเสถียรภาพของภาครัฐในเรื่องวีซีดีตากใบนี้ อาจเหลือทางเลือกที่ทำให้รัฐบาลต้องนำมาเปิดเผยและถ่ายทอดวีซีดีบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านทางโทรทัศน์ โดยมีคนกลางสรุปให้เห็นความผิดพลาดและนำเสนอทางแก้ปัญหาที่เป็นสมานฉันท์ และร่วมกันคลี่คลายความตึงเครียดที่ดำรงอยู่ในสังคมวันนี้ให้มากที่สุด

           หากทำได้ รัฐบาลนี้คงได้เป็นรัฐบาลอีกครั้งจากการเลือกตั้งที่จะมาถึง แต่หากไม่กล้าจะเปิดเผยความจริงในกรณีตากใบ การปกปิดครั้งนี้นอกจากจะเป็นข้อวิพากษ์ติดหลังรัฐบาลไปตลอด ซึ่งไม่เป็นผลดีทั้งต่อภาครัฐและสังคม

           มีการตั้งคำถามว่า เหตุการณ์ตากใบที่เกิดขึ้น หากยังมีความจริงอะไรที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สังคมต้องใส่ใจกับเสรีภาพในการรับรู้ และนำไปซึ่งการตรวจสอบของสังคมที่เกี่ยวกับชีวิตของแต่ละผู้คน เพื่อให้มีความรู้สึกถึงความปลอดภัย โดยไม่ตกอยู่ในความไม่แน่นอน หรืออยู่ในความเสี่ยงต่อการถูกละเมิดที่ปราศจากขอบเขตของภาครัฐ

            ส่วนกรณีที่ยังมีการตายเกิดขึ้นรายวันในสามจังหวัดชายแดนใต้นั้น เป็นเรื่องที่สังคมยอมรับไม่ได้ และเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการจัดการให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากอ่านข้อเสนอของนักสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย ก็จะไม่พบเลยว่ามีใครเห็นด้วยกับเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นรายวันเลย

          การเรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนท่าทีแก้ปัญหาภาคใต้ จึงไม่ใช่เพราะต้องการจะปล่อยให้มีการฆ่ากันรายวันได้อย่างสะดวก หากแต่เล็งเห็นแล้วว่า การปล่อยให้รัฐบาลใช้วิธีอย่างเช่นที่ทำมาหนึ่งปีนั้น รังแต่จะก่อปัญหาให้รุนแรง ซับซ้อนจนยากแก่การแก้ไขมากขึ้นเรื่อยๆ และยังบ่งบอกอีกว่า หนึ่งปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์สิ่งที่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “มาถูกทางแล้ว” นั้นเป็นจริงหรือ?

         ข้อเสนอให้เปิดเผยความจริงกรณีตากใบ เป็นส่วนหนึ่งที่จะนำไปสู่การร่วมมือกันของทุกฝ่าย เพื่อคิดหาแนวทางในการแก้ปัญหาที่เหมาะสมนั่นเอง

            หากความตึงเครียดในสังคมไทยที่ทวีมากขึ้นนี้ รังแต่จะก่อความไร้เสถียรภาพมากขึ้น และหากผลกระทบนั้นมีต่อเราทุกคนแล้ว การเผยแพร่ความเป็นจริงอาจจะช่วยลดทอนปัญหาความตึงเครียดเหล่านี้ลง และยังอาจช่วยกันบอกต่อเพื่อเป็นพลังให้รัฐบาลได้ดำเนินการในสิ่ง “คิดถูก-ทำถูก” ต่อไป

ปากคำของผู้ได้รับบาดเจ็บ กรณีตากใบ

             หลังเกิดเหตุการณ์ตายหมู่ จากการสลายการชุมนุมที่หน้าโรงพักตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 สถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เวลานี้ ก็เป็นไปตามความคาดหมายของผู้คนที่ติดตามเหตุการณ์ในพื้นที่นี้มาตลอด อันปรากฏให้เห็นจากปรากฏการณ์ฆ่ารายวัน ที่เพิ่มความถี่ยิบและรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกที


              ในขณะที่ความลับดำมืดเกี่ยวกับการชุมนุมและการตายหมู่เกือบ 100 ศพ ยังคงค้างคาอยู่ในความรู้สึกของผู้คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้โดยตรง คำถามที่ว่า ขนคนกันอย่างไร ถึงได้ตายกันมากมายอย่างนี้ ไปจนถึงคำถามเกี่ยวกับจำนวนคนสูญหาย จึงยังปรากฏอยู่ทั่วไป ในสังคมชาวมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

            ถึงแม้ตลอดเวลาที่ผ่านมา จะมีผู้คนพยายามเข้ามาช่วยกันคลี่คลายปมต่างๆ มากมายหลายคณะ และวันเวลาผ่านไปกว่า 21 สัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่ยังคงมีคำถามเช่นนี้ ปากคำของ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 108/1 หมู่ 9 ตำบลไพรวัลย์ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการขนย้ายผู้ชุมนุม จากหน้าที่ว่าการอำเภอตากใบ ไปยังกองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้าค่ายอิงคยุทธบริหาร ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี จึงยังคงมีคุณค่ามากพอที่ควรจะบันทึกไว้

          ขณะนี้ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ตึกอายุรกรรมชาย 1 เตียง 31 ชั้น 9 โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (โรงพยาบาล มอ.) อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในสภาพมีผ้าพันแผลที่แขนซ้ายและบั้นท้าย ตั้งแต่ต้นแขนทั้งสองข้างถึงปลายมือ และปลายเท้าบวม มีรอยเจาะที่ลำคอข้างขวา มีสายยางสอดอยู่ตามลำตัว ใบหน้า และขาเต็มไปด้วยรอยถลอก


            ถึงวันที่ “ประชาไท” มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมถามไถ่อาการ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ถูกนำฟอกไตมาแล้ว 3 ครั้ง ภายใต้การดูแลของ “นายแพทย์ณปกรณ์ แสงฉาย” คำบอกเล่าของ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ที่น่าสนใจอย่างยิ่งอยู่ตรงที่เขาถูกคลุม “ถุงดำ″ หลังจากถูกมัดแขน มัดขา นำขึ้นรถมายังค่ายอิงคยุทธบริหาร

          บ้านของ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” อยู่ห่างจากโรงพักตากใบ ซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุม 6 กิโลเมตรโดยประมาณ หลังจากได้ยินเพื่อนบ้านหลายคนบอกว่า มีคนชุมนุมกันที่โรงพักตากใบ เวลาประมาณ 11.00 น. “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ก็ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้าน มาดูว่ามีคนชุมนุมกันกี่คน ชุมนุมกันเรื่องอะไร ถึงที่เกิดเหตุก็นำรถไปจอดแถวหัวสะพานเกาะยาว เยื้องกับโรงพักตากใบ เข้าไปดูใกล้ๆ ที่ชุมนุม แล้วก็ติดอยู่ในนั้น จนกระทั่ง เวลาประมาณ 15.00 น. ทหารก็ฉีดน้ำ


           “ตอนนั้น ผมอยู่ตรงหน้าโรงพัก พอได้ยินเสียงปืน ผมเลยวิ่งหนีไปที่สะพาน จะเอารถมอเตอร์ไซด์ออก แต่ไม่ทัน ก่อนจะถึงสะพานมีบ้านไม้ร้าง ผมจึงวิ่งหนีเข้าไปหลบในนั้น ทั้งที่หายใจไม่ออกและแสบตา ผมอยู่ในนั้นไม่ถึง 10 นาที พื้นบ้านหักขา ผมโผล่ลงใต้ถุน ทหารที่อยู่ใกล้ๆ ก็เลยมาจับขาผมดึงลงใต้ถุน พอทหารจับได้ตัว เขาก็เตะๆๆ ที่เจ็บที่สุด คือ เตะเข้าข้างหลังผม ทหารเตะจนผมทรุด เขาก็จับถอดเสื้อ แล้วเอาเชือกมามัดมือไขว้หลัง และมัดขา




          เชือกที่ใช้มัดเส้นเล็กมาก ขนาดเล็กกว่าปากกาอีก ตรงนี้มีรถทหารจอดอยู่ใกล้กัน คันหนึ่ง มีรั้วสูงแต่ไม่มีผ้าใบคลุม ตอนนั้น มีคนกูกจับแล้วหลายคน พอทหารมัดผมเสร็จ เขาเอาถุงดำมาสวม ขนาดพอดีกับหัว แต่ไม่ได้มัดปากถุง ผมยังหายใจได้อยู่ จากนั้น ก็จับผมยกแล้วก็ดันขึ้นรถ ผมมองอะไรไม่เห็นแล้ว ไม่รู้ว่า บนรถมีใครอยู่บ้าง แต่พอขึ้นไปข้างบน ผมยังยืนอยู่ได้

             ต่อมา มีคนมาผลักแล้วสั่งให้นอนคว่ำหน้า ผมพยามแข็งขืนไม่ยอมนอนคว่ำ จึงถูกเตะเข้าสีข้างอีก จนต้องยอม ผมนอนคว่ำหน้าอยู่ติดฝากระบะรถด้านในสุด นอนขวางทางยาวของรถ ผมอยู่ล่างสุด ตอนนั้นมองอะไรไม่เห็น ได้ยินแต่เสียง บางคนร้องโอดโอย ขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกเตะ ผมได้ยินเสียงคนแก่คนหนึ่ง กล่าวปฏิญาณตน เพื่อระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า ก็ถูกเตะด้วย

          พอมีคนมาทับข้างหลังหลายๆ คน ผมก็ถามว่า ถูกคลุมถุงดำด้วยหรือเปล่า มีคนบอกว่า ถูกคลุมด้วย คนที่บอกว่าไม่ถูกคลุมก็มี พอขึ้นไปบนรถไม่นาน ผมรู้สึกกระหายน้ำมาก เลยตะโกนบอกทหารว่า ขอน้ำหน่อย ก็มีเสียงตอบมาว่า “จะเอาน้ำหรือ, เอาตีนไปดีกว่า″ พูดจบ ก็เอาเท้าย่ำไปที่กลางหลัง ผมต้องเงียบ คนอื่นที่ขอน้ำ ก็จะโดนแบบเดียวกัน หรือไม่ก็โดนตีด้วยด้ามปืน


           รถเริ่มออกจากตรงนั้น ประมาณ 6 โมงเย็นน่าจะได้ ผมร้อนมาก เหงื่อเต็มหัว อึดอัดมาก หายใจไม่ออก เหนื่อยมาก แต่ยังไม่ถึงกับสลบ ขยับตัวไม่ได้เลย ไม่มีแรง ผมไม่รู้ตัวเลยว่า คนที่นอนอยู่ข้างๆ กับคนที่อยู่ข้างบนผม ตายตั้งแต่ตอนไหน เพราะไม่มีเสียงอะไรเลย มารู้ตอนที่ผมเรียกเขาว่า พี่ๆ ขยับหัวนิดหนึ่งได้มั้ย แต่ไม่มีเสียงตอบรับ

            ระหว่างทาง รถจอดหลายครั้ง บางครั้งจอดนานมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่รถจอด ผมรู้สึกตัวขึ้นมา ก็มีคนที่ถูกจับมาด้วยกัน เชือกที่มัดมือเขาหลุด เลยช่วยถอดถุงดำที่คลุมหน้าออกให้ แล้วช่วยแก้เชือกที่มัดมือไขว้หลัง และเชือกที่มัดเท้า ทิ้งข้างทาง

            พอถอดถุงออก ผมมองอะไรไม่ชัด ตาพร่าไปหมด ผมถามว่า เราอยู่ที่ไหน เขาบอกว่า ปาลัส (เทศบาลตำบลปาลัส อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี) ผมถามคนที่ถูกจับมาด้วยกันว่า พวกเขาทำอะไรอยู่ มีคนบอกว่า ทหารกินข้าวกันอยู่ ผมบอกว่า หายใจไม่ออก เขาก็ช่วยกดหน้าอก ช่วยบีบท้องให้ เพื่อนๆ ที่ถูกจับมาด้วยกัน พยายามยกผมลุกขึ้นนั่ง เป็นคนสุดท้าย แต่ผมนั่งไม่ได้ เพราะเจ็บหลัง เพื่อนๆ เลย ต้องจับเอาไว้

          พวกที่ถูกจับมาด้วยกัน ขอทหารลุกขึ้นนั่งยองๆ เพราะคนแน่นมาก เขาไม่ว่าอะไร แต่ไม่ยอมให้ยืน

           ส่วนคนที่ตายในรถ เพื่อนๆ ช่วยกันจัดศพให้เรียบร้อย มีคนบอกผมว่า มีคนตาย 8 คน เพื่อนๆ เอาไปตั้งซ้อนๆ กันตรงกลาง 3 – 4 ชั้น คนที่ยังไม่ตายก็นั่งลงข้างๆ บางคนนั่งบนศพ จนถึงค่ายอิงคยุทธบริหาร

             ตอนรถจอดที่ปาลัส มีทหารคุมอยู่ 3 คน แต่มองเห็นไม่ชัดว่า เขาใส่ชุดอะไร รถหยุดที่นี่ประมาณ 40 นาที หรือเกือบ 1 ชั่วโมง มีคนถามว่าอีกนานมั้ย จะได้ไป ทหารที่อยู่บนรถบอกว่า “ตามใจกู กูจะไปตอนไหนก็ได้ พวกมึงอยู่นิ่งๆ แล้วกัน ไม่ต้องมาสนใจ”

           พอรถออก ก็มีทหารขึ้นมาอีก 3 – 4 คน ขึ้นไปอยู่บนหลังคาตรงห้องคนขับรถ 1 คน อยู่ที่ฝากระบะหลัง 2 – 3 คน ที่เหลือเกาะอยู่ข้างรถ รถออกจากปาลัสมาก็ไม่จอดอีกเลย มาถึงค่ายอิงคยุทธบริหาร น่าจะประมาณตี 1 ตี 2 เพราะตอนที่อยู่ที่ปาลัส ผมถามกี่โมงแล้ว คนที่ถูกจับมาด้วยกัน บอกว่าเที่ยงคืนแล้ว

             พอมาถึงค่ายอิงคยุทธบริหาร ขณะที่คนอื่นทยอยลงไปได้ ผมต้องให้คนที่ถูกจับมาด้วยกัน ช่วยประคองลงจากรถ ตอนนั้นผมเห็นทหารให้คนที่ถูกจับมาด้วยกันนั่งเป็นแถว บนพื้นปูนในเต้นท์ แถวละ 5 คน เพื่อนๆ นำผมไปวางไว้บนพื้นหญ้า เพราะต้องนอน นั่งไม่ได้ ทั้งเจ็บหลัง ทั้งหมดแรง

             จากนั้น ก็มีหมอคนหนึ่ง ใส่ชุดขาว แล้วก็มีอีก 2 – 3 คน มายกผมไปไว้ที่ห้อง ใกล้กับเต้นท์ที่กางไว้ เขาให้ดื่มน้ำ แต่ไม่ได้รักษาพยาบาลอะไรเลย ไม่ได้ให้ยา ต่อมา เขาเอาผมไปโรงพยาบาลปัตตานี มีทหารมาคุมอยู่หลายคน ผมบอกว่าขอยาด้วย ผมเจ็บ ทหารคนหนึ่ง บอกว่า “จะเอาเอานี่มั้ย” เขายกด้ามปืนยาวขึ้นมาให้ดู… อยู่ที่โรงพยาบาลปัตตานีหนึ่งวัน ผมก็ถูกนำมารักษาตัวที่โรงพยาบาบาลสงขลานครินทร์”

          กว่า “นางแมะดะห์ มีนา″ อายุ 47 ปี มารดาของ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” จะทราบว่า มีการสลายการชุมนุมกันที่ตากใบ ก็ตกเย็นของวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ตกกลางดึกวันเดียวกัน เพื่อนบ้านก็มาบอกว่า คนที่ถูกจับยังไม่มีใครกลับมาบ้าน

           รุ่งเช้าวันที่ 26 ตุลาคม 2547 เพื่อนบ้านที่ไปตามหาญาติที่ถูกจับ กลับมาบอก “นางแมะดะห์ มีนา″ ว่า มีชื่อลูกชายของนางถูกจับ นำไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลปัตตานี วันที่ 27 ตุลาคม 2547 ญาติๆ ชวนกันไปเยี่ยม แต่แพทย์บอกว่า ส่งตัวไปโรงพยาบาลสงขลานครินทร์

            วันที่ 28 ตุลาคม 2547 พ่อของ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ไปหาที่โรงพยาาบาลสงขลานครินทร์ แต่ไม่เจอ จนวันที่ 29 ตุลาคม 2547 ผู้เป็นพ่อ กลับไปหาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์อีกครั้ง จึงได้พบ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ผู้เป็นลูกนอนรักษาตัวอยู่ในสภาพบอบช้ำหนัก

           “ตอนนี้ยังมีใครมาบอกว่า จะช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล หรือจะให้ความช่วยเหลืออะไรบ้าง ฉันยังไม่รู้เลยว่า จะทำอย่างไร รายได้ของครอบครัวก็น้อย” เป็นคำพูดที่หล่นออกจากปากผู้เป็นแม่ “นางแมะดะห์ มีนา″

ประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง สำหรับกรณีของ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ก็คือ …

  • ถ้ามีการนำถุงดำมาคลุมศีรษะผู้ถูกจับกุมจริง ผู้กระทำมีเจตนาแอบแฝงอะไรหรือไม่,
  • ทำไม “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ถึงถูกคลุมถุงดำ, ทำไม ถึงคลุมถุงดำเฉพาะบางคน,
  • ทำไม ถึงคลุมถุงดำ เฉพาะผู้ถูกจับกุมในรถบางคัน, 
           อันนำมาสู่ คำถามที่ว่า… เป็นไปได้หรือไม่ ที่ผู้เสียชีวิตระหว่างขนย้ายบางคน ขาดอากาศหายใจ ด้วยสาเหตุถูกคลุมถุงดำ ถึงแม้จะไม่มัดปากถุงก็ตาม
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม