แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อันกูลเบื่อ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อันกูลเบื่อ แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การบิดเบือนความจริงโดยพวกฟาตอนีในโลกออนไลน์ !!!




            หลายวันมานี้มีเหตุการณ์มากมาย ทั้งยิงผู้บริสุทธิ์ ลอบวางระเบิดคาร์บอม จนมีผู้เสียชีวิตมากมาย สิ่งหนึ่งที่แอดมินเห็นชัดเจนมาก ๆ คือ การบิดเบือนข้อมูล การเบี่ยงเบนประเด็น และการไม่ยอมรับว่าพวกตัวเองทำผิด ซึ่งหลายวันมานี้ชัดเจนมาก ๆ แทบทุกเหตุการณ์จะมีพวกฟาตอนีมาบิดเบือน อาทิเช่น


  • 1. เหตุการณ์ยิงผู้หญิง 2 คนที่ตากใบ ตอนแรกแอดมินนั้งอ่านคอมเม้นตามเพจต่าง ๆ พวกบิดเบือนมาทันที พวกมันโยนไปเรื่องอื่นทันที บอกว่าระวังนะเค้าเป็นลูกตำรวจ EOD อาจเป็นเรื่องอื่นอย่าให้เค้าเสียชีอเสียง พอแอดอ่านคอมเม้นต่อมีคนว่ามันทันที เรื่องส่วนตัวอะไร ยิงแล้ววางระเบิดด้วย สุดท้ายคอมเม้นนั้นรีบลอบออกทันทีเมื่อความจริงปรากฏ
  • 2. เหตุการณ์ต่อมาเหตุคาร์บอมอันนี้ชัดเจนมาก มีพวกบิดเบือนเยอะมาก อย่างแรกที่แอดมินเจอ คือ วาทะกรรมเดิม ๆ ของคนพวกนี้นั้น คือ " เหตุสงบงบไม่มา " แถมพูดว่าใกล้จะถึงปีงบประมาณใหม่ต้องรีบสร้างสถานะการณ์ คนพวกนี้พยามโย่งเป็นอย่างมาก ที่แอดมินเห็น คือ มันบอกว่าเจ้าหน้าที่ในด่านมันรู้กัน

          เพราะไม่มีใครตาย ซึ่งตรงนี้เรายังไม่ทราบว่ามีตำรวจเสียชีวิต แต่พอเห็นภาพความเสียหาย ร่วมทั้งมีตำรวจพลีชีพ ร่วมทั้งพฤติกรรมโจรฟาตอนีด้วย ทำให้เรารู้เลยว่าฝีมือโจรฟาตอนีทำแน่นอน 100 % เมื่อความจริงปรากฏคนกลุ่มนี้จะรีบลบคอมเม้นทิ้งทันที

         ความคิดแอดมินคนพวกนี้ถูกปลูกฝังให้เกียดชังคนพุทธ และเจ้าหน้าที่รัฐเป็นอย่างมาก และพวกมันพยามโพสย่ำ ๆ ไปให้คนเห็นและเชื่อตามกัน ซึ่งมีคนไม่น้อยทีเดียวทีเชื่อเนื่องด้วยไม่มีการคิดวิเคราะห์นั้นเอง

          เรื่องการปล่อยข่าวลือ และการบิดเบือนข้อเท็จจริง มันคู่กับสังคม 3 จชตบ้านเรา และแก้ยากหากรัฐไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหา หน่วยงานไซเบอร์ที่ตั้งขึ้นก็มั่วแต่ไปเล่นกลุ่มการเมือง แต่ไม่จัดการพวกบิดเบือนใน 3 จชต

         ทางเราก็ไม่ทราบว่าจะปล่อยให้มันบิดเบือนทำไม กลับกลายเป็นพวกเรากันเองที่ต้องออกมาจัดการพวกบิดเบือนพวกนี้ในการเปิดเผยความจริง ถ้าท่านไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาก็จงออกไปทำอย่างอืนซะ ที่แห่งนี้เป็นสถานที่สำหรับคนเสียสละจริง ๆ ทั้งเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย ผู้ใหญ่ และทุกคนในพื้นที่ฝาก ๆ ให้คิดกันครับ

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ครูเผยสาเหตุที่เด็กนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดอัมพวนาราม ต้องกินหมู

1389620871


ครูเผยสาเหตุที่เด็กนักเรียนโรงเรียนชุมชนวัดอัมพวนาราม ต้องกินหมู
กรณีที่เด็กนักเรียนเด็กและผู้ปกครองเด็กนักเรียนมุสลิมโรงเรียนชุมชนวัดอัมพวนาราม ต้องกินข้าวกล่องหมู ในสถานที่พักสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติฯ ตำบลคลองหก อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี เมื่อวันที่ 13 พ.ย.2558 ที่ผ่านมานั้น
นายสุนทร แดงวิไล อาจารย์และรักษาการผู้อำนวยการ โรงเรียนชุมชนวัดอัมพวนาราม ม.5 บ้านเกาะบาตอ ตำบลเมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวมุสลิมไทยโพสต์ว่า… “ทางคณะครูและนักเรียนได้เดินทางไปทัศนศึกษาที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดอยุธยา ด้วยเครื่องบิน ซี 130 ของทหารอากาศโดยได้เดินทางไปขึ้นเครื่องที่ท่าอากาศยานนราธิวาส หรือสนามบินบ้านทอน ต.โคกเคียน จ.นราธิวาส – ดอนเมือง กรุเทพฯ  ระหว่างวันที่ 11-13 พ.ย.58 ตามโครงการทัศนศึกษาแหล่งเรียนรู้ โรงเรียนชุมชนวัดอัมพวนารามจำนวนทั้งสิ้น 103 คน ประกอบด้วย เด็กนักเรียน จำนวน 49 คน ครู 12 คน และผู้ปกครอง 49 คน และได้เข้าพักที่บ้านพัก สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ คลองหก ธัญบุรี โดยวันแรกก็ไปเยี่ยมพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ จากนั้นก็ไปสวนสัตว์ดุสิต แล้วก็กลับมานอนที่สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ คลองหก ธัญบุรี
silpachib
วันที่สองก็ไปที่ศูนย์ศิลปะชีพบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากนั้นก็ออกไปที่ตลาดน้ำอโยธยา แล้วเข้าไปเที่ยวที่เมืองเก่าอยุธยา แล้วไปทานอาหารที่เมืองเก่าอยุธยามีร้านอาหารหลายร้านแต่เขาไม่เปิดในวันนั้น โดยคุณครูได้ให้ผู้ปกครองไปหาอาหารรับประทานตามอัธยาศัย ก็มีร้านอาหารมุสลิมอยู่ร้านหนึ่งข้างโรงพยาบาล โดยให้ผู้ปกครองสั่งอาหารมื้อเย็นมาเพื่อนำมารับประทานในที่พัก
20130626_6_1372213764_661620
โดยปกติอาหารที่สั่งที่ร้านอาหารในที่พักที่สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ คลองหก ธัญบุรี เขาจะแยกมื้อแรกก็เหมือนกันหมด คือไข่ต้ม กล่องของเด็กกับผู้ปกครองจะแตกต่างกัน โดยของผู้ใหญ่จะเป็นกล่องโฟมใหญ่ ของเด็กก็จะเป็นกล่องโฟมขนาดเล็กแตกต่างลงมา แล้วก็เขียนที่กล่องโฟมว่าเป็นของนักเรียนของผู้ปกครอง
Dusit Zoo - Thailand
ส่วนในวันที่เกิดเหตุนั้นทางร้านเขาไม่ได้เขียนที่กล่องโฟมว่าเป็นของใคร ส่วนอาหารที่สั่งในมื้อสุดท้ายเป็นมื้อเช้าก่อนกลับบ้าน ก็คือ เมนูผัดเผ็ดไก่ แต่ไม่ได้เขียนระบุว่าของเด็กหรือของผู้ใหญ่ แต่ลักษณะของโฟมนั้นแตกต่างกัน
bkk_att20032019
ในช่วงเช้าเขาได้มาส่งอาหารที่รถ แต่ไม่ได้เขียนไว้ที่กล่องโฟมว่าเป็นของผู้ปกครองหรือเด็ก พอปล่อยให้ทุกคนมารับกล่องอาหาร ผู้ปกครองก็รู้ๆ กันว่ากล่องใหญ่เป็นของผู้ปกครอง กล่องเล็กเป็นของเด็ก จากนั้นผู้ปกครองและเด็กก็มารับอาหารที่รถจนเกือบหมด แต่เมื่อผู้ปกครองของเด็กเอาอาหารออกมารับประทาน เขาก็เห็นมาลักษณะของเนื้อที่มีลักษณะที่แปลกๆ(เนื้อหมู) ซึ่งอาหารอาหารที่สั่งไว้มันไม่ใช่แบบนี้ จากนั้นผู้ปกครองคนหนึ่งก็มาบอกครู พอครูรู้ครูตกใจมาก แต่เมื่อหันไปดูกล่องอาหารส่วนใหญ่เขาก็รับไปเกือบหมดแล้ว
S2
ครูก็บอกว่าไม่ได้แล้ว เราผิดแล้ว จากนั้นคุณครูคนที่รับผิดชอบในเรื่องการสั่งอาหารดังกล่าวก็รีบไปที่ร้านเลย จึงได้ไปถามที่ร้านอาหารว่าเป็นยังไงทำกันแบบนี้ได้ยังไง
ทางร้านอาหารได้บอกว่า… อาหารที่มาสั่งนั้น มาสั่งในช่วงกลางคืน และวัตถุดิบที่เป็นเนื้อไก่มันหมด จึงไม่สามารถทำให้ครบตามจำนวนได้ เพราะครูเขาไปสั่งไว้รู้สึกว่าจะ 105 กล่อง ถ้าจำไม่ผิด และเขาก็รู้ว่านักเรียนและผู้ปกครองที่มานี่เป็นมุสลิม มีครูที่เป็นพี่น้องชาวไทยพุทธและผู้ปกครองที่เป็นพี่น้องไทยพุทธจำนวนหนึ่งด้วย
d16
เขาบอกว่า ข้าวกล่องที่ทำให้นั้น เนื่องจากวัตถุดิบในส่วนที่เป็นไก่หมด เขาจึงได้นำเนื้อหมูมาทำให้กับพี่น้องที่เป็นชาวไทยพุทธ แต่เขาไม่ได้เขียนกำกับมาที่กล่องไหนเป็นของพี่น้องชาวไทยพุทธ(หมู) กล่องไหนเป็นของพี่น้องชาวไทยมุสลิม(ไก่) และคนที่มาส่งกล่องอาหารเขาก็ไม่บอก เพราะตอนที่มาส่งอาหารครูเขาก็อยู่ตรงนั้น เพราะครูกำลังมีกิจกรรมนำนักเรียนมาออกกำลังกายซึ่งอยู่ใกล้ๆ รถบัสทั้ง 2 คันดังกล่าว
1389620871
หลังจากนั้นคุณครูเขาก็ไปบอกผู้ปกครองว่า ยอมรับรับความผิดพลาด คือยอมรับผิด คือมันผิดพลาดไปแล้วไม่รู้จะทำยังไงนะคะ แล้วได้อธิบายสาเหตุว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไง แต่ก็มีผู้ปกครองและเด็กบางคนยังไม่ได้ทาน เพราะผู้ปกครองบางคนบอกว่าเขาคนอยู่กับคนจีน เขาบอกว่าเขาเห็นเนื้อเขาก็รู้เขาจึงไม่รับประทานข้างในกล่องที่ไปรับมา นี่คือสิ่งที่เป็นสัตย์จริงตามที่เห็นเพราะเป็นคนที่ร่วมคณะและได้อยู่ในเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วยตัวเอง
watermarketayothaya
ครูทั้งหมดจึงได้ขอโทษขอโพย ยอมรับผิด เพราะเหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้ว ต้องขอโทษอย่างแรง(ภาษาปักษ์ใต้หมายถึงขอโทษอย่างมากๆ) บางคนผู้ปกครองเขาก็เข้าใจ เขารู้ว่าคุณครูก็ไม่ได้ตั้งใจ
ก็มีผู้ปกครองบางคนเขาโทรศัพท์กลับมาที่บ้าน  เราก็ได้พูดคุยกันในรถ เพราะเราได้เหมารถบัสเพื่อใช้โดยสารในกรุงเทพฯ จำนวน 2 คัน เมื่อมาถึงสนามบินเราก็คุยกันมาตลอดว่า ยอมรับผิด
เพราะเราอยู่ในพื้นที่นี้เราก็รู้ แต่นี่เป็นเหตุการณ์ที่เราไม่รู้และไม่คาดคิด และทางร้านก็ไม่ได้บอกว่า อาหารในกล่องดังกล่าวมีหมู เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องที่ทางครูเองก็ไม่ได้คาดคิด มันเป็นเหตุ
สุดวิสัยจริงๆ เป็นสิ่งที่เราคณะครูทุกคนยอมรับผิดและมีความรู้สึกเสียใจ เป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่มันก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ทางผอ.เอง ก็รีบเอารถมารับที่สนามบินบ้านทอน แล้วนำนักเรียนและผู้ปกครอง
กลับไปทานอาหารที่เตรียมไว้ที่โรงเรียน เพราะทราบข่าวว่านักเรียนและผู้ปกครองบางคนยังไม่ได้ทานอาหาร ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดฝัน ไม่มีใครเจตนาหรือตั้งใจให้มันเกิด นี่คือความสัตย์จริง”
ayuttaya
นส่วนที่มีการตั้งข้อสงสัยว่า ไม่มีครูมุสลิมร่วมเดินทางไปกับคณะครูและนักเรียนในกิจกรรมครั้งนี้นั้น บังเอิญในวันดังกล่าวครูมุสลิมมีภารกิจส่วนตัวกับทางบ้าน ส่วนครูมุสลิมคนหนึ่งที่ทางโรงเรียนได้ประชุมกันแล้วว่าจะให้ร่วมคณะในการทัศนศึกษาครั้งนี้ก็ติดภารกิจการแข่งเรือของชุมชน จึงไม่มีครูมุสลิมคนไหนสามารถร่วมเดินทางไปด้วย และเนื่องจากในการเดินทางครั้งนี้ ทางโรงเรียนมีงบประมาณอันจำกัด ทางโรงเรียนได้เรียกเก็บค่ามีส่วนร่วมในการเดินทางครั้งนี้กับคณะครูคนล่ะ 700 บาท เพื่อร่วมสมทบทุนในการเดินทาง” …รักษาการรองผู้อำนวยการ โรงเรียนชุมชนวัดอัมพวนารามกล่าวทิ้งท้ายไว้ให้คิด.
ที่มา:สำนักข่าวมุสลิมไทยโพสต์
ภาพ:แฟ้มไฟล์จากอินเตอร์เน็ต

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เหตุผลใด? เจ้าหน้าที่ถึงเข้าโรงเรียนปอเนาะ ตาดีกา...



             เว็บเพจ: Suara Patani เป็น 1 ในหลายๆ เพจที่มีการโพสต์ภาพและข้อความที่สร้างความแตกแยกในสังคม พยายามยั่วยุแบ่งเค้าแบ่งเรานำความต่างทางศาสนามาแบ่งกั้น ไม่เฉพาะแค่ประเด็นศาสนายังนำเรื่องเชื้อชาติ มาตุภูมิใช้คำว่าคนปาตานี คนสยาม ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่มีประเทศไหนในโลกใบนี้ที่คนในชาตินับถือศาสนาแค่ศาสนาเดียว และมีเชื้อชาติเดียว

          ทุกวันเว็บเพจ: Suara Patani จะทำการโพสต์ในลักษณะยั่วยุ บิดเบือนข้อเท็จจริง โยนผิดให้เจ้าหน้าที่ ตั้งแง่ ตั้งข้อรังเกียจเจ้าหน้าที่ ลามปามไปยังเรื่องประวัติศาสตร์ ความไม่เท่าเทียมในสังคม ในเรื่องกระบวนการยุติธรรม

         แต่มีอยู่ประเด็นหนึ่งที่แอดมินอยากจะทำความเข้าใจต่อการเผยแพร่ภาพและข้อความของเว็บเพจเจ้าปัญหาคือเรื่องเจ้าหน้าที่เข้าไปในสถาบันปอเนาะ โรงเรียนสอนศาสนาเอกชน และตาดีกา ซึ่งเจตนาต้องการปลุกเร้าให้นักเรียนเกิดความเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐและไม่ให้ความร่วมมือ ลองอ่านข้อความดังกล่าวกันค่ะ มาถาม ถามว่าเป็นไงบ้าง…มากวน กวนฉันเวลาเรียน…มาชวน ชวนฉันทำโน่นนี่…มาถ่าย ถ่ายรูปแล้วก็กลับ…เคยถาม ถามบ้างไหมว่าเราคิดอย่างไร…เคยถาม ถามบ้างไหมว่าเราชอบท่านไหม…เคยถาม ถามตัวเองบ้างไหม ที่ทำไป ได้อะไร?...โรงเรียนของฉันไม่น่าอยู่
ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีเหตุและผล สถาบันปอเนาะ โรงเรียนสอนศาสนาเอกชน และตาดีกา เจ้าหน้าที่มีความจำเป็นต้องเข้าไปเพื่ออะไร?...

          ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เมื่อ 19 พฤษภาคม 2549 มีการปิดโรงเรียนญิฮาดวิทยา หรือปอเนาะญิฮาด ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี และเมื่อ 5 กรกฎาคม 2550 ปิด “ปอเนาะสะปอม” หรือ “โรงเรียนอิสลามบูรพา” หมู่ที่ 5 ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส จากการตรวจค้นโรงเรียนทั้งสองเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังและแหล่งกบดานของกลุ่ม ผกร.

           ถัดมาอีกโรงเรียนเป็นข่าวโด่งดัง โรงเรียนยุวอิสลาม บ้านน้ำใส ต.ลุโบะยิไร อ.มายอ จ.ปัตตานี ผู้ก่อเหตุรุนแรงใช้เป็นแหล่งหลบซ่อนตัว เหตุการณ์ครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการปิดล้อมประกาศให้มีการยอมมอบตัวแต่มีการต่อสู้เกิดปะทะ มีผู้เสียชีวิต 3 ราย หลบหนีรอดไปได้ 2 ราย จับกุมผู้ต้องสงสัย 3 ราย
นั่นคือเหตุผลที่เจ้าหน้าที่จะต้องเข้าไปเพื่อดูแลไม่ให้กลุ่มขบวนการโจรใต้ฟาตอนีใช้โรงเรียนเหล่านี้เป็นแหล่งเก็บรวบรวมอาวุธ วัตถุระเบิด หลบซ่อนตัว และที่สำคัญไม่ให้มาทำการปลุกระดมชักนำเยาวชนให้เข้าร่วมขบวนการ

           เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาตัวแทนจุฬาราชมนตรี ได้เข้ายื่นหนังสือเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบสื่อออนไลน์ที่เผยแพร่ข้อมูลทำให้เกิดความแตกแยกทางศาสนา แต่เมื่อมีการตรวจสอบสื่อออนไลน์ที่ทำการเคลื่อนไหวไม่เฉพาะการสร้างความแตกแยกทางศาสนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สื่อแนวร่วมโจรใต้ฟอตานี ยังปลุกระดม ปลุกปั่นคิดการณ์ไกลทำการแบ่งแยกดินแดนเลยล่ะ....
       แอดมินขอยกตัวอย่างสัก 10 เว็บเพจ แค่นี้ก็หนาวแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลองเข้าไปตรวจสอบเนื้อหาดูกันดีกว่าว่าจริงมั๊ย ซึ่งได้แก่

สื่อแนวร่วมได้ทีผสมโรงขยายผลครูให้นักเรียนมุสลิมกินหมู


สื่อแนวร่วมได้ทีผสมโรงขยายผลครูให้นักเรียนมุสลิมกินหมู

       เป็นไปตามคาด ความเคลื่อนไหวของสื่อแนวร่วมที่คอยจังหวะผสมโรงดำเนินการปลุกกระแสสร้างความแตกแยก

       สำนักสื่อ Wartani ระบุผู้ปกครองนักเรียนและชาวบ้านในพื้นที่ ต.เมาะมาวี อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เรียกร้องความเป็นธรรม กรณีครู โรงเรียนชุมชนวัดอัมพวนาราม ให้นักเรียนมุสลิมรับประทานเนื้อหมูระหว่างเดินทางไปทัศนศึกษาที่ กทม. ซึ่งชาวบ้านรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเตรียมการที่จะดำเนินการต่อไปให้ถึงที่สุด แม้ผู้อำนวยการโรงเรียน จะถูกสั่งย้ายแล้วก็ตาม

        “ชาวบ้านรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเตรียมการที่จะดำเนินการต่อไปให้ถึงที่สุด แม้ผู้อำนวยการโรงเรียน จะถูกสั่งย้ายแล้วก็ตาม”นี่หมายความว่าอย่างไร?

          ประเด็นเรื่องศาสนาเป็นสิ่งละเอียดอ่อนเจ้าหน้าที่รัฐทราบดีว่ามีผลกระทบด้านจิตใจของศาสนิกชนไม่ว่าศาสนาไหนก็ตามแต่ ที่แล้วมาพยายามระมัดระวังหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
อย่าใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือในการสร้างความแตกแยก อย่าใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือในการแสวงประโยชน์โดยใช้ประเด็นในเรื่องศาสนาเพื่อหาแนวร่วม สร้างความเกลียดชังต่อเจ้าหน้าที่จะเห็นได้ว่ามีการนำเสนอเรื่องราวดังกล่าวไปขยายผลในสื่อสังคมออนไลน์ อย่างกว้างขวาง โดยสื่อในด้านสร้างความแตกแยกระหว่างไทยพุทธ และมุสลิมในพื้นที่ โดยเฉพาะมีการนำเสนอให้ครูไทยพุทธย้ายออกไปจากโรงเรียนชุมชนวัดอัมพวนาราม ทั้งหมด

        ความคืบหน้าในการแก้ปัญหา นายลือชัย เจริญทรัพย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ได้เรียกประชุมปรึกษาหารือแนวทางการแก้ปัญหา โดยมีนายอรรถสิทธิ์ รัตนแคล้ว ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานีเขต 2 ผู้นำศาสนา ทหาร ตำรวจ และผู้ปกครอง เพื่อหาทางออกร่วมกันในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ให้บานปลายออกไป พร้อมทั้งได้ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานีเขต 2 ตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อตรวจสอบภายใน 15 วัน ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการจงใจ ตั้งใจ หรือเป็นการประมาทเลินเล่อ ของครูกันแน่ พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย

           ผู้ที่เสพข้อมูลข่าวสารในเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่ไม่หวังดี ของเหตุการณ์ครั้งนี้ และถือว่าเป็นบทเรียนที่ผู้เกี่ยวข้องจะต้องใส่ใจในการจัดกิจกรรมในครั้งต่อๆ ไป อย่าผิดพลาดเป็นอันขาดมิฉะนั้นแล้วท่านอาจจะเป็นรายต่อไปที่จะต้องสังเวย และมีชื่อติดปากชาวบ้านกับการเล่าต่อไปอีกนาน...และที่สำคัญจะตกเป็นเหงื่ออันโอชะให้กับกลุ่มที่จ้องทำลาย สร้างความแตกแยกในคราบสื่อจอมปลอม

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ฝรั่งเศสส่งทหาร 1,500 นายคุ้มกัน “ปารีส” หลังเหตุโจมตีคร่าอย่างน้อย 120 ศพ-พยานชี้คนร้ายกล่าวโทษ "ออลลองด์" ถล่มซีเรีย



14 พฤศจิกายน 2558 09:55 น.


เอเอฟพี - ทางการฝรั่งเศสส่งทหารคุ้มกันเมืองหลวงเพิ่มอีก 1,500 นายหลังเกิดเหตุโจมตีพร้อมกันหลายจุดในกรุงปารีส ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 120 รายเมื่อวานนี้ (13 พ.ย.) ขณะที่รัฐบาลเบลเยียมประกาศคุมเข้มพรมแดน ส่วน “เฟซบุ๊ก” เปิดฟีเจอร์ใหม่ให้ผู้ใช้ในปารีสสามารถเข้าไปรายงานตัวเพื่อแจ้งข่าวให้เพื่อนๆ ทราบว่าพวกเขาไม่ได้รับอันตรายจากการก่อการร้ายครั้งนี้

          ทำเนียบประธานาธิบดีเอลีเซ แถลงว่า “สภากลาโหมได้เรียกประชุมด่วนในเวลา 9.00 น. (15.00 น. วันนี้ตามเวลาในไทย) แต่ขณะนี้ได้มีการส่งทหารอีก 1,500 นายเข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อยในปารีสแล้ว” ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า หนึ่งในคนร้ายที่ก่อเหตุโจมตีได้เอ่ยถึงปฏิบัติการทางทหารของฝรั่งเศสในซีเรีย

          “ผมได้ยินชัดเจน พวกเขาพูดว่า มันเป็นความผิดของ (ประธานาธิบดี ฟรองซัวส์) ออลลองด์ ประธานาธิบดีพวกคุณทำผิดเอง เขาไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายเรื่องซีเรีย และพวกนั้นยังเอ่ยถึงอิรักด้วย” ปิแอร์ จานาซาก นักจัดรายการวิทยุคนหนึ่ง ให้สัมภาษณ์

อัยการฝรั่งเศสเตือนว่า อาจจะยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดลอยนวลอยู่อีกหลายคน

         ล่าสุดรัฐบาลเบลเยียมประกาศเพิ่มมาตรการคุมเข้มจุดผ่านแดนต่างๆ วันนี้ (14) โดยเฉพาะส่วนที่ติดกับฝรั่งเศส  “เราได้เพิ่มมาตรการคุ้มกันและตรวจสอบผู้ที่จะผ่านเข้า-ออกจากด่านพรมแดนต่างๆ โดยประสานงานกับทางการฝรั่งเศสอย่างใกล้ชิด” ศูนย์ประเมินความเสี่ยงแห่งชาติเบลเยียม (OCAM) ระบุในคำแถลง

         ด้านสื่อสังคมออนไลน์ยอดนิยมอย่าง “เฟซบุ๊ก” ก็ได้ออกบริการใหม่ล่าสุดเพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่า เพื่อนที่อาศัยหรือพักอยู่ในกรุงปารีสยังปลอดภัยดีหรือไม่ โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กในปารีสสามารถเข้าไปรายงานตัวผ่านฟีเจอร์ “Paris Terror Attacks” จากนั้นระบบก็จะแจ้งไปยังเครือข่ายเพื่อนๆ ทุกคน  ฟีเจอร์ที่ว่านี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กสามารถตรวจสอบได้ว่า เพื่อนคนใดบ้างในปารีสที่ยังไม่ถูกระบุสถานะ “ปลอดภัย”




         “เราทุกคนช็อกและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปารีส... การสื่อสารคือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ ทั้งต่อประชาชนที่นั่นและญาติสนิทมิตรสหายที่ต้องการทราบข่าวคราวของพวกเขา” โฆษกเฟซบุ๊กคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพี

         ตำรวจฝรั่งเศสพบผู้เสียชีวิตนับร้อยศพ หลังหน่วยคอมมานโดฝรั่งเศสบุกจู่โจมห้องจัดคอนเสิร์ต “บาตาคล็อง” (Bataclan) ทางตะวันออกของกรุงปารีส ซึ่งคนร้ายได้เปิดฉากยิงและจับตัวประกันไว้ในวันศุกร์(13.พ.ย.) ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งเล่าว่า หนึ่งในคนร้ายได้ตะโกนคำว่า “อัลลอฮุอักบัร” (พระเจ้าทรงอานุภาพยิ่งใหญ่)  แหล่งข่าวหลายคนเผยว่า นักรบญิฮาดที่โจมตีห้องคอนเสิร์ตบาตาคล็องเสียชีวิตรวม 4 รายหลังจากที่ตำรวจบุกเข้าไปช่วยเหลือตัวประกัน  “คนร้าย 3 คนกดระเบิดฆ่าตัวตายที่ติดมากับเข็มขัด ส่วนคนสุดท้ายซึ่งสวมเข็มขัดระเบิดเช่นกันถูกตำรวจยิงล้มลง จนระเบิดทำงานขึ้น” แหล่งข่าวคนหนึ่ง ระบุ

         นอกจากที่คอนเสิร์ตบาตาคล็องแล้ว ยังมีรายงานเหตุโจมตีอีกหลายจุด ในนั้นรวมถึงด้านนอกสนาม สตาด เดอ ฟรองซ์ ทางตอนเหนือของเมืองหลวง ในขณะที่เกมฟุตบอลนัดกระชับมิตรระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมนีกำลังฟาดแข้งกันอยู่ โดยการแข่งขันนัดนี้มีประธานาบดี ฟรองซัวส์ ออลลองด์ เข้าร่วมรับชมด้วย และบาร์แห่งหนึ่งในเขต 11 ของปารีสที่พยานได้ยินเสียงปืนดังรัวและเสียงระเบิด ทำให้ตำรวจต้องกันประชาชนออกจากบาร์และร้านอาหารทั้งหมดที่อยู่ในเขต 10 และ 11 โดยตามจุดต่างๆ เหล่านี้มีรายงานผู้เสียชีวิตอีกหลายคน ขณะที่แหล่งข่าวใกล้ชิดทีมสืบสวนบอกว่า รวมทุกแห่งแล้วมีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 120 คน

          ประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ ออลลองด์ ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินและสั่งปิดชายแดน ส่วนมหาวิทยาลัยและโรงเรียนทุกแห่งในเมืองหลวงต้องหยุดการเรียนการสอนหลังเกิดเหตุโจมตีหลายจุด ซึ่งกระตุ้นให้ทั่วโลกรุดออกมาประณามการก่อการร้ายอันเลวทรามครั้งนี้








วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ทุกคนที่อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินไทย คือคนไทย...



ตอบโจทย์ เว็บเพจ Suara Patani
https://www.facebook.com/%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89-BRN-1555177384706108/

การอำนวยความยุติธรรมไม่ได้แยกแยะหรือแบ่งแยกว่าคนใดคนหนึ่งจะมีเชื้อชาติ และนับถือศาสนาไหน รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับกระบวนการยุติธรรมให้มีความเท่าเทียม ไม่มีการเลือกปฏิบัติ


กรณีคนร้ายไม่ทราบจำนวนได้ใช้ รถยนต์มิตซูบิชิ สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เป็นยานพาหนะ ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดยิง นายสะมาแอ ฮีแล อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47 ม.3 ต.กระโด อ.ยะรัง จ.ปัตตานี โดนยิงบริเวณ ศีรษะและคาง คนเจ็บนำส่ง รพ.ยะรัง และได้เสียชีวิตที่ รพ.ปัตตานี เมื่อ 1 พ.ย.58 เหตุเกิด บริเวณร้านขายของชำ หมู่ 3 ต.กระโด อ.ยะรัง จ.ปัตตานี
สื่อแนวร่วมขบวนการอย่าง เว็บเพจ Suara Patani มีความพยายามชี้นำทางความคิดให้ประชาชนมีความเข้าใจผิดคิดว่า การเสียชีวิตของ นายสะมาแอ ฮีแล อดีตครูตาดีกา เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ มีการตั้งคำถาม ตั้งข้อสังเกตว่าสถานที่เกิดเหตุอยู่ใกล้ฐานเจ้าหน้าที่ทหาร แยกเค้า แยกเราใช้คำหมู่บ้านของคนปาตานี ทั้งในความเป็นจริงทุกคนคือคนไทย ไม่มีปาตานี มีแต่จังหวัดปัตตานี

ที่น่าสังเกตหากผู้ที่เสียชีวิตเป็นครูสอนศาสนา/ผู้นำศาสนา หรือผู้ที่คิดต่างจากรัฐเคยถูกจับกุมได้รับการปล่อยตัว จะมีการออกมากล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กระทำ ดั่งเช่นกรณีนี้
การอำนวยความยุติธรรมจะต้องดำเนินไปตามขั้นตอน กระบวนการ จะต้องทำการสืบสวน สอบสวน เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้นิ่งนอนใจพยายามเร่งหาวัตถุพยานหลักฐานนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษดำเนินคดีตามกฎหมาย

เว็บเพจ Suara Patani และสื่อแนวร่วมได้ทำการปล่อยข่าวควบคู่กับการปล่อยข่าวลือในพื้นที่เพียงเพื่อต้องการสร้างความแตกแยกในสังคม ในหมู่บ้าน ให้ประชาชนเกิดความหวาดระแวงต่อกัน โดยไม่แยแสต่อความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการอยู่อย่างสงบสุข ต้องการสันติสุข การอยู่อาศัยร่วมกันอย่างพหุวัฒนธรรม
จากการตรวจสอบกระสุนของ ศพฐ.10 พบว่าอาวุธปืนที่ใช้เป็นอาวุธปืนสั้นขนาด .38 มม. และไม่พบความเชื่อมโยงของคดีในประวัติสารบบ คาดว่าเป็นอาวุธปืนใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ก่อเหตุที่ใดมาก่อน ซึ่งจะต้องมีการสอบสวนหาพยานหลักฐานในการก่อเหตุของคนร้ายมาดำเนินเอาผิดลงโทษต่อไป

ส่วนข้อมูลเชิงลึกจากแหล่งข่าวในพื้นที่ได้เปิดเผยว่า สาเหตุการเสียชีวิตของ นายสะมาแอ ฮีแล อดีตครูตาดีกาในครั้งนี้ น่าจะมาจากเรื่องความขัดแย้งส่วนตัว มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติดในพื้นที่ แหล่งข่าวได้ระบุว่าก่อนหน้านี้ นายสะมาแอฯ ผู้เสียชีวิต ได้มีการนัดพูดคุยกับบุคคลกลุ่มหนึ่งเข้ามาพูดคุยเคลียร์ปัญหาบางอย่าง แต่อาจตกลงกันไม่ได้อาจจะขัดแย้งผลประโยชน์ สุดท้ายลงเอยด้วยการถูกหมายปองเอาชีวิตดังกล่าว

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เทคนิคบิดเบือนข้อมูลสื่อแนวร่วมโจรใต้ ตัดข้อความเชื่อมโยงให้ผู้คนหลงเข้าใจผิด



ขบวนการโจรใต้ฟาตอนียังคงเดินหน้า นโยบาย “รัฐบาลไทยล้มเหลว (fail state)” โดยโจมตีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ลดทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่ออำนาจรัฐ ให้เกิดช่องว่างระหว่างประชาชนกับรัฐบาล และชี้นำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ใส่ใจว่าประชาชนจะคิดเช่นไร และมีสภาพชีวิตเป็นอยู่อย่างไร?

ล่าสุด เว็บเพจ ข่าวฟาตอนี ได้มีโพสต์ภาพและข้อความสั้นๆ ของอาจารย์ท่านหนึ่ง “ถ้าไม่ใช่ของเรา ก็คืนเขาไป” คำพูดนี้เป็นคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ 3 จังหวัด แต่ทางโจรใต้ฟาตอนีได้ตัดข้อความพยายามให้มันเชื่อมโยงกัน เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของการบิดเบือนข้อมูล เพื่อต้องการให้ประชาชนเข้าใจผิดคิดว่าอาจารย์ท่านนี้คิดเข้าข้างกลุ่มขบวนการโจรใต้ฟาตอนี


เหตุรุนแรงในขณะนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นชะตากรรมของประชาชนมลายูที่อยู่ในพื้นที่ปาตานี ที่ต้องประสบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และยังไม่รู้ว่าจะประสบชะตากรรมเช่นนี้ต่อไปอีกนานเท่าใด ไฟใต้ถึงจะดับมอด จะมีอีกกี่ชีวิต กี่ดวงวิญญาณผู้บริสุทธิ์จะต้องเซ่นสังเวยให้กับความป่าเถื่อน อหังกาโจรไร้ศาสนาที่มีความคิดสุดโต่ง
ในขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป การใช้ชีวิตประจำวันย่อมมีอุปสรรคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ยุทธการแย่งชิงมวลชนเริ่มมีความเอนเอียง ประชาชนในพื้นที่เริ่มเลือกข้างความถูกต้องเข้าข้างฝ่ายธรรมะ เนื่องจากปัจจุบันประชาชนในพื้นที่เริ่มรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของกลุ่มขบวนการ หูตาที่มืดบอดเนื่องจากถูกปิดหูปิดตา ได้รับการเปิดให้สว่างขึ้น มีความเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร รู้ซึ้งถึงก้นลึกพฤติกรรมอันอันชั่วร้ายของโจรใต้ฟาตอนี เพราะทุกวันนี้การต่อสู้ของโจรใต้ มุ่งเป้าหมายหลักไปที่ประชาชน

แต่...บอกว่าต่อสู้ (ญิฮาด) ตามแนวทางอิสลาม แอบอ้างทำการต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชน ทุกเหตุการณ์ที่ผ่านมาประชาชนคือเหยื่อของขบวนการโจรใต้ ต้องได้รับผลกระทบบาดเจ็บ ล้มตาย หรือกลุ่มขบวนการใช้ชีวิตคนบริสุทธิ์เป็นเดิมพัน เป็นบันไดเหยียบย่ำ เพื่อไปให้ถึง “เอกราชปาตานี” ที่แกนนำโหยหา สนองตัณหา ราคะของคนที่คิดการใหญ่เพียงไม่กี่คน

ท่านอะบูบักร ผู้นำท่านแรกที่สืบทอดการปกครองต่อจาก ท่านนบีมุฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้วางกฎเกณฑ์ในช่วงการทำสงครามไว้ว่า “จงอย่าทรยศหรือเบี่ยงเบนไปจากหนทางที่ถูกต้อง จงอย่าทำร้ายศพที่ตายไปแล้ว จงอย่าฆ่าเด็ก ผู้หญิง คนชรา หรือผู้ป่วย จงอย่าสร้างความเสียหายหรือเผาต่อต้นไม้ (จงอย่าฆ่าศัตรูคนใดที่อยู่ในศาสนสถาน จงสำรองอาหาร

ท่านจะผ่านพบผู้คนที่อุทิศตนให้กับการบำเพ็ญธรรม (นักบวชในศาสนาอื่น) จงอย่าฆ่าคนเหล่านั้น”
สรุปได้ว่าการริเริ่มสู่การสร้างสันติภาพในอิสลาม จึงต้องสร้างและพัฒนาเงื่อนไขที่จะปกป้องชีวิตเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และสนับสนุนความเท่าเทียมกันของทุกคนไม่ว่าเขาจะมีเชื้อชาติ หรือนับถือศาสนาใดก็ตาม ไม่ใช่ต่อสู้แบ่งแยกดินแดน โดยที่ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเลย....

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เมื่อสายแข็งอย่างรัสเซีย ประเคนอาวุธ!! ไม่ยั้ง.. แบบที่ ISIS ต้องขอลาไปอยู่โลกหน้า งานนี้ประตูนรก เปิดรอแล้วไปเถอะเหล่านักรบ!!


จบข่าวแล้วสำหรับกลุ่มISIS ที่เจอหมีขาว ถล่มจนเละ!! และราบเป็นหน้ากลอง ถึงขั้นทิ้งฐานทิ้งอาวุธกันแล้ว




5 ตุลาคม 2558 มีรายงานจากกลาโหมรัสเซียว่า เมื่อวันจันทร์ที่่ผ่านมา เครื่องบินรบของกองทัพอากาศรัสเซีย ได้ทำการบินเหนือน่านฟ้าซีเรีย เพื่อปฏิบัติการจูโจ่ม ฐานที่มั่นของ ISIS จำนวน 10 จุด สามารถทำลายรถถังได้จำนวน 20 คัน และ ฐานยิงจรวดอีก 3 จุด ที่จังหวัดฮอมส์

โฆษกกลาโหมของรัสเซียรายงานว่า วันนี้เครื่องบินรบ Sukhoi-34, Sukhoi-24M และ Sukhoi-25 รวม 15 ลำ ขึ้นบินจากฐานทัพอากาศ Khmeimim การโจมตีทางอากาศมีเป้าหมายทำลายฐานที่มั่นของ ISIS ในซีเรีย 10 จุด

นอกจากนี้ ฝูงบิน Su-25Ms (นาโต้เรียกว่า Frogfoot) และ Su-24 (นาโต้เรียกว่า Fencer) ทำการบินเข้าโจมตีฐานที่มั่นของ ISIS สองแห่งทางตะวันออกของจังหวัดฮอมส์




คลิปวีดีโอของทางกลาโหมรัสเซีย แสดงภาพการโจมตีในจังหวัดฮอมส์ ทำให้เห็นภาพการยิงจรวดจากเครื่องบินรบ และการทิ้งระเบิด


(เมืองตาดเมอร์ ซึ่งเป็นโอเอซิสกลางทะเลทรายของซีเรีย และอยู่ห่างจากเมืองโบราณที่ยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลก แต่ถูก ISIS ทำลายไปแล้ว ประมาณครึ่งกิโลเมตร)



คลิปนี้เป็นภาพการโจมตี โดยเครื่องบิน Su-34 ทิ้งระเบิดโจมตีฐานใหญ่ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการหลักของ ไอเอส ในจังหวัดอาเลปโป ส่งผลให้ รถทหารจำนวน 30 คันในจำนวนนี้มีรถถังด้วย ถูกทำลายใกล้กับเมืองอิดลิปทางตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย


คลิปภาพจากกล้องติดเครื่องบิน แสดงภาพการบินทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศรัสเซีย

ทั้งนี้รัสเซียได้เริ่มปฏิบัติการจู่โจมไอเอสในซีเรียเมื่อวันที่ 30 กันยายน ที่ผ่านมา หลังจากได้รับการร้องขอจากประธานาธิบดีบาชา อัสซัส ของซีเรีย

สามวันหลังเริ่มเข้าสู่ภารกิจ รัฐมนตีกลาโหมของรัสเซียรายงานว่า กองกำลังทหารของรัสเซียมั่นใจว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมด

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เมื่อ ผกร.ก่อเหตุเดือนรอมฎอน สวนทางกระแสตอบรับสันติสุขของประชาชน



โดย ‘แบดิง โกตาบารู’
http://pulony.blogspot.com/2015/07/blog-post_40.html


          เนื่องจากประชาชนให้ความร่วมมือ ไม่เอาความรุนแรง ประกอบศาสนกิจมุ่งกระทำแต่ความดี กระแส“รอมฎอนสันติสุข”ในปีนี้จากการรณรงค์ของหน่วยงานภาครัฐเพื่อลดการก่อเหตุรุนแรงของกลุ่ม ผกร. ทั้งก่อนเข้าสู่เดือนรอมฎอน ในห้วงการถือศีลอด และเข้าสู่ 10 วันสุดท้ายของเดือน สถิติการก่อเหตุได้ลดลงเมื่อเปรียบเทียบห้วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ๆ

         แต่กลับมีกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงบางกลุ่มที่ไม่ยอมตอบรับกระแส“แนวทางสันติวิธี” ของรัฐบาล ยังคงเดินหน้าก่อเหตุทำความเปรอะเปื้อนให้กับเดือนรอมฎอนด้วยเสียงระเบิดและกลิ่นควันปืน
เลือด และหยาดน้ำตาของผู้ที่สูญเสียยังคงหลั่งนองละเลงปลายด้ามขวานแห่งนี้มิได้เหือดหาย
สร้างความทุกข์ ความระทมให้กับผู้คนซ้ำแล้วซ้ำเล่า การกระทำของกลุ่ม ผกร.ไร้ศาสนาที่ทำการก่อเหตุกลับสวนทาง สวนกระแสความต้องการของพี่น้องประชาชนชาวปาตานีที่ต้องการสันติสุขอย่างสิ้นเชิง
เดือนรอมฎอน เดือนแห่งการทำความดี เดือนแห่งสันติทุกคนมีความสุขในการอยู่ร่วมกันภายใต้พหุวัฒนธรรม แต่กลับมีกลุ่ม ผกร. ลงมือก่อเหตุบั่นทอนความรู้สึกและทำลายบรรยากาศของการเปิดพื้นที่การพูดคุย แต่ถึงกระนั้นข่าวดีได้กลบกระแสข่าวร้ายได้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นในเดือนรอมฎอน เป็นการจุดประกายความหวังให้กับพี่น้องประชาชนวาดฝันสันติสุข สันติภาพที่กำลังจะเกิดตามมา

          การนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนเกือบทุกแขนง ได้มีการปล่อยตัว“นายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ” อดีตแกนนำขบวนการพูโล ซึ่งถูกตัดสินจำคุกด้วยข้อหาด้านความมั่นคง ได้รับการปล่อยตัวให้เป็นอิสระหลังถูกคุมขังมาเป็นเวลา 18 ปี โดยมีครอบครัวมารอรับอย่างอบอุ่นพร้อมขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้อิสระเป็นของขวัญรับวันฮารีรายอ เมื่อ 17ก.ค.58 เวลา 11.30 น.ที่ผ่านมา

         นับเป็น “ข่าวดี” อีกข่าวหนึ่งของสถานการณ์ไฟใต้ นอกเหนือจากการเปิด “พื้นที่พูดคุย”ให้กับสหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียน และเยาวชนปาตานี (PerMAS) ได้พบปะพูดคุยกับหน่วยงานของรัฐ ทั้ง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง รวมถึงสื่อมวลชน เพื่อให้ทุกฝ่ายทำความเข้าใจระหว่างกัน ลดปัญหาความหวาดระแวงที่มีต่อกันมาอย่างยาวนาน

          ต่อจากนี้ไปคอยจับตากระแส “สันติสุข” ใน จชต. ที่กำลังเกิดขึ้น จากการขับเคลื่อนของรัฐบาลชุดนี้ซึ่งได้ให้ทุกระดับเปิดพื้นที่ “การพูดคุย”สร้างความเข้าใจกับผู้เห็นต่าง และยังส่งเสริมปัจจัยเกื้อหนุน สร้างบรรยากาศที่เป็นทิศทางบวกมากมายเกิดขึ้นในพื้นที่

          ตัวชี้วัดจากการปฏิบัติเกิดขึ้นทันที ส่งผลให้สถิติการก่อเหตุในห้วงเดือนรอมฎอนลดลงจากปีก่อนๆ เนื่องจากมีการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างสันติสุขอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ก่อนเดือนรอมฎอน มีการร่วมพิธีละหมาดฮายัตของผู้นำศาสนาในพื้นที่ จชต. ณ มัสยิดกลางปัตตานี ถัดมามีการจัดโครงการ “พาสู่อ้อมกอด รอมฎอนการีม” ณ ค่ายกัลยาณิวัฒนา โดยมีราษฎรไทยมุสลิมกว่า 500 คน ที่อาศัยอยู่ในมาเลเซียเดินทางเข้าร่วม นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรม “โครงการพาคนกลับบ้าน” มีผู้เข้าร่วมโครงการจำนวนมาก จนเกิดกระแส “รอมฎอนแห่งสันติสุข” ขึ้นอย่างกว้างขวาง จุดเปลี่ยนจุดนี้เอง หาก ผกร. ยังเดินหน้าก่อเหตุรุนแรงอาจทำให้เสียงานมวลชน

         “ข่าวดี” ต้อนรับวันฮารีรายอของพี่น้องมุสลิม คงจะเป็นกระแสตอบรับการปล่อยตัว “นายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ” ท่ามกลางความยินดีของครอบครัว เครือญาติ และผู้นำท้องถิ่นที่รอต้อนรับ เจ้าตัวเผยจะรับใช้ชาติด้วยการประสานกลุ่มผู้เห็นต่างให้ร่วมวงพูดคุยสันติสุข พร้อมช่วยดูแลนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลที่กำลังเกิดขึ้นในบ้านเกิดของตน

         นายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ กล่าวขอบคุณ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คณะรัฐบาล รวมถึงแม่ทัพภาคที่ 4 เลขาธิการ ศอ.บต. และเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ ที่ให้ความช่วยเหลือจนกระทั่งตนเองได้รับการพักโทษ และปล่อยตัวในที่สุด หลังจากนี้ไป ตนเองจะมุ่งมั่นทำงานเพื่อช่วยแก้ปัญหา และพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้

        “ส่วนหนึ่งผมจะรับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานการพูดคุยสันติสุขระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับกลุ่มผู้เห็นต่าง เพื่อให้เกิดความเข้าใจในข้อเท็จจริงต่างๆ จนนำไปสู่การร่วมกันสร้างความสงบให้เกิดขึ้นให้ได้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำหรับงานส่วนตัวจะทำด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เช่น งานพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมฮาลาลให้เกิดเป็นรูปธรรมที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี”

        อดีตแกนนำขบวนการพูโลที่เพิ่งพ้นโทษ กล่าวว่า ตนจะขอดูแลศูนย์นิคมอุตสาหกรรมฮาลาลที่ ต.น้ำบ่อ อ.ปานาแระ จ.ปัตตานี ซึ่งนายภานุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต.ได้มอบหมายให้ตนทำหน้าที่นี้ ซึ่งก็จะทำให้ดีที่สุด จะมีการนำผู้ประกอบการจากประเทศมาเลเซียมาร่วมลงทุน เพื่อสร้างรายได้ และสร้างอาชีพให้แก่คนในพื้นที่

        “เศรษฐกิจในพื้นที่จะดีขึ้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปมาระหว่างไทยกับมาเลเซีย เพื่อติดต่อประสานงานกับนักธุรกิจที่จะมาร่วมลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมฮาลาล รวมทั้งเพื่อไปคุยกับกลุ่มเพื่อนๆ เพื่อร่วมสร้างสันติสุขในพื้นที่”

        ตามที่ นายหะยีสะมะแอ ท่าน้ำ อดีตแกนนำพูโล เผยจะรับใช้ชาติด้วยการประสานกลุ่มผู้เห็นต่างมาร่วมวงพูดคุยสันติสุข ใน จชต. ต่อจากนี้เป็นต้นไปคงได้เห็นความคืบหน้าเป็นรูปธรรม ผู้เขียนเชื่อในศักยภาพของนายหะยีสะมะแอฯ ในการประสานกับกลุ่มต่างๆ แต่ขออย่างเดียวทุกฝ่ายจะต้องมีความจริงใจต่อกัน อีกทั้งกลุ่ม ผกร. ที่ได้มีการผลิตเหมือน “ถั่วงอก” ที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ตอนนี้ อย่าพยายามปั่นป่วนทำลายบรรยากาศการสร้างสันติสุขอีกเลย เพราะไม่เป็นผลดีมีแต่เสียกับเสียต่อองค์กร เพราะประชาชนส่วนใหญ่ตอบรับกระแส “แนวทางสันติวิธี” ของรัฐบาล สนับสนุนการพูดคุยแทนการใช้ความรุนแรงที่กลุ่ม ผกร.บางกลุ่มใช้อยู่...

------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558

ท่านอธิการว่างัยครับ เด็กมันรับสารภาพแล้ว



แม่ทัพภาค 4 เยี่ยมศูนย์ซักถาม พบมี 2 นักศึกษาสารภาพเอี่ยวเหตุบึ้มถนน ณ นคร

        พล.ท.ปราการ ชลยุทธ์ แม่ทัพภาคที่ 4 เยี่ยมศูนย์ซักถาม เผย 2 นักศึกษา ม.นราฯ รับเอี่ยวเหตุคาร์บอมบ์ถนน ณ นคร เตรียมเชิญผู้ปกครองมีชี้แจงทำความเข้าใจ


     
       วันนี้ (4 เม.ย.) เมื่อเวลา 15.30 น พล.ท ปราการ ชลยุทธ์ แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมคณะ เดินทางมายังหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 46 เพื่อเยี่ยมศูนย์ซักถาม และตรวจเยี่ยมการดำเนินการซักถามกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งถูกเชิญตัวมาซักถามพร้อมบันทึกประวัติและตรวจสอบดีเอ็นเอ เพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุความไม่สงบหรือไม่ อย่างไรก็ตามทางหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 46 ไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปบันทึกภาพภายในหน่วยแต่อย่างใด

        พล.ท.ปราการ ชลยุทธ์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมว่าการดำเนินการซักถามเป็นไปตามขั้นตอน ซึ่งกลุ่มที่ถูกเชิญตัวมาได้รับการดูแลอย่างดี โดยการซักถามครั้งนี้มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับเจ้าหน้าที่มาก โดยเฉพาะการก่อเหตุป่วนในพื้นที่ ส่วนเหตุลอบวางระเบิดคาร์บอมส์บนถนน ณ นคร เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส เมื่อวันที่ 20 ก.พ. ที่ผ่านมานั้นจากการสอบสวนกลุ่มนักศึกษากลุ่มนี้ล่าสุดได้สารภาพแล้ว 2 รายว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องสอบสวนเพื่อขยายผลเพิ่มเติม


     
       สำหรับการชี้แจงทำความเข้าใจกับกลุ่ม นศ. และชาวบ้านที่กดดันให้มีการปล่อยตัวนั้น แม่ทัพภาค 4 กล่าวว่าในวันอังคารหน้าจะเชิญผู้ปกครอง และเพื่อนนักศึกษามาชี้แจงสร้างความเข้าใจโดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส และผู้บังคับการตำรวจภูธรนราธิวาส เป็นผู้ชี้แจง ส่วนการดำเนินการซักถามหลังจากนี้ได้ขอให้ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่มาร่วมสังเกตการณ์ และมานอนเป็นเพื่อนนักศึกษาด้วย 

วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2558

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2558

คดีเก่าอีกเพียบ ....... ไอ้โจรลูกหมาฟาตอนี อันกูละเบื่อ

จับผู้ต้องหาคดีค้าอาวุธสงครามและยาเสพติด 1 รายที่นราธิวาส

          ทหารพรานสนธิกำลังกับตำรวจ สภ.สุไหงปาดี จับกุมผู้ต้องหาหลบหนีคดีค้าอาวุธสงครามและยาเสพติด พร้อมยึดของกลางได้อาวุธปืน 1 กระบอก

           วันนี้ (18 ม.ค.) พ.ต.อ.สุวโรจน์ ลุนหวิทยานนท์ ผกก.สภ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้เบิกตัวนายนาวี อาแวจิ อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 231/3 ม.6 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหนีหมายจับคดีค้าอาวุธปืนสงครามและยาเสพติด เหตุเกิดเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 55 ที่ผ่านมา มาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ กรณีใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ ขณะเข้าจับกุมที่บ้านพักเลขที่ 3 บ้านต้นไม้สูง ม.2 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เหตุเกิดในช่วงเวลา 03.00 น.ของวันที่ 18 ม.ค. 58

            ซึ่งการจับกุมนายนาวี ในครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อเวลา 03.00 น.ของวันเดียวกันนี้ โดย พ.ท.อิศรา จันทะกระยอม รอง ผบ.กรมทหารพรานที่ 48 ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน พบเห็นนายนาวี ได้แอบกลับมาซ่อนตัวที่บ้านของภรรยาในพื้นที่บ้านต้นไม้สูง ม.2 ต.ปะลุรู อ.สุไหงปาดี จึงได้ร่วมกับ ร.ต.สมจิตต์ สุวรรณชาตรี ผบ.ร้อย ทพ.4802 และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.สุไหงปาดี เข้าตรวจสอบที่บ้านพักของภรรยา นายนาวีไหวตัวทัน ได้ใช้อาวุธปืนพก ขนาด .38 ยิงใส่เจ้าหน้าที่ก่อนที่จะวิ่งหลบหนีออกจากบ้านของภรรยา ไปซ่อนตัวที่บ้านเลขที่ 3 ที่กำลังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ และนายนาวีได้ใช้อาวุธปืนยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่ประมาณ 2 นาที เจ้าหน้าที่จึงได้ประกาศให้วางอาวุธและเข้ามอบตัวแต่โดยดี แต่นายนาวีไม่ยินยอม

            ต่อมา พ.ท.อิศรา รอง ผบ.กรมทหารพรานที่ 48 จึงได้ประสานไปยังผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน รวมทั้งภรรยาของนายนาวี ได้ร่วมเดินทางมาเกลี่ยกล่อม โดยใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมง นายนาวี ได้ยอมจำนนเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่แต่โดยดี จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายนาวี ส่งพนักงานสอบสวน สภ.สุไหงปาดี เพื่อดำเนินคดีค้างเก่าในข้อหาค้าอาวุธปืนสงครามและค้ายาเสพติด รวมทั้งคดีขัดขืนและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะเข้าจับกุมเมื่อคืน ก่อนที่จะเบิกตัวมาทำแผนประกอบคำรับสารภาพ

        หลังจากนั้น พ.ท.อิศรา จันทะกระยอม รอง ผบ.กรมทหารพรานที่ 48 ได้ร่วมกับผู้ใหญ่บ้านและสารวัตรกำนัน ทำความเข้าใจกับชาวบ้านถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อป้องกันกลุ่มผู้ไม่หวังดี หยิบยกประเด็นไปเคลื่อนไหว เพื่อต่อต้านการทำงานของเจ้าหน้าที่กองกำลังต่อไปแล้ว

โจรใต้หนีหมาย ป.วิอาญา หลบมาบ้านภรรยา ยิงสู้เจ้าหน้าที่ สุดท้าย ทิ้งปืนมอบตัว ก่อนจะกลายเป็นปุ๋ยให้ไส้เดือนเฝ้ากุโบแทะ

 

            เมื่อวันที่ 17 ม.ค.58 เวลา 23.30 น. ได้รับแจ้งจากประชาชนในพื้นที่ ว่ามีบุคคลเป้าหมาย ป.วิอาญา ชื่อ นาย นาวี อาแวจิ อายุ 26 ปี มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 231/3 หมู่ 6 ตำบลปะลุรู อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส เป็นผู้หลบหนีหมาย ป.วิอาญา เข้ามามาหลบซ่อนที่บ้านของภรรยา ในพื้นที่บ้านต้นไม้สูง หมู่ 2 ตำบลปะลุรู อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 48 นำโดยกองร้อยทหารพรานที่ 4802 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สอบสวนสถานีตำรวจภูธรสุไหงปาดี ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว

             ในระหว่างการเข้าตรวจสอบ พบบุคคลเป้าหมาย นาย นาวี อาแวจิ วิ่งหลบหนีเข้าไปหลบซ่อนในบ้านประชาชนที่กำลังก่อสร้าง (บ้้านไม่มีเลขที่) เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามเพื่อปิดล้อม ในระหว่างการติดตาม คนร้ายได้ใช้อาวุธ ยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่จนเกิดการปะทะกัน นานประมาณ 2 นาที ผลการปะทะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่จึงได้จัดกำลังกองหนุนเข้าปิดล้อมและกั้นพื้นที่ไว้

            หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เชิญผู้ใหญ่บ้านต้นไม้สูง หมุ่ 2 ตำบลปะลุรู และสารวัตรกำนันตำปะลุรู พร้อมทั้งภรรยา ของนาย นาวี อาแวจิ เข้ามาเกลี่ยกล่อมให้วางอาวุธ เข้ามอบตัว ใช้เวลาเจรจาประมาณ 1 ชม. คนร้ายจึงยอมทิ้งอาวุธและเข้ามอบตัว 







           จากการตรวจสอบ ที่เกิดเหตุ พบอาวุธปืนพกแบบลูกโม่ขนาด .38 มม. และกระสุนปืนจำนวน 6 นัด และปลอกกระสุนปืน จำนวน 4 ปลอก เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัว นาย นาวี อาแวจิ บุคคลเป้าหมาย ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธอสุไหงปาดี เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

          ต่อมาเจ้าหน้าที่ร่วมกับ ผู้ใหญ่บ้านและสารวัตรกำนัน ตำบลปะลุรู เข้าชี้แจงทำความเข้าใจกับชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผลการปฏิบัติ ทุกคนเข้าใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี และการดำเนินการตามขั้นตอนของกฏหมายของเจ้าหน้าที่ เราพยายามใช้มาตรการ จากเบาไปหาหนัก แม้คนร้ายจะใช้อาวุธยิงใส่เจ้าหน้าที่ก็ตาม โดยใช้ให้ผู้ใหญ่บ้านและภรรยาของคนร้ายเข้ามาทำการเกลี่ยกล่อมให้ยอมทิ้งอาวุธและเข้ามอบตัว




วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2558

มึงเป็นใคร มึงมีสิทธิื์อะไรจะมาลงโทษกู


         
          อัลลอฮ์จะลงโทษผู้ที่ละทิ้งการละหมาด สิบห้าประการ หกประการในโลกดุนยานี้ สามประการขณะจะเสียชีวิต สามประการเมื่อถูกนำเข้าหลุมศพ และอีกสามประการขณะเมื่อได้พบกับอัลลฮ์
ในวันกียามะห์

‪โทษหกประการที่จะได้รับในดุนยาคือ‬ : -
  • 1. ความเพิ่นพูน (บารอกัต) จะถูกถอดออกจากอายุขัยของเขา 
              ผมไม่เข้าใจ ว่าอันลลฮ์ มันจะทำยังงัยให้อายุขัยของผม ไม่เพิ่มพูนได้งัย แล้วอัลลฮ์ ทำแบบนั้นไม่บาปเหรอ ไปทำให้คนน้ั้นเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ 
  • 2. สัญลักษณ์ความเป็นคน (ซอและห์) ที่มีคุณธรรมจะถูกลบออก จากใบหน้าของเขา
               อะไรกันละ สัญลักษณ์ความเป็นคนที่มีคุณ หมายถึงราศรีหรืองัย หรืออะไร ผูกร้อยถ้อยคำมั่วไป มั่วมา อัลลฮ์จะลบราศรีออกจากหน้าคน ที่ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น ไม่เกี่ยวกับอัลลฮ์ได้งัย มีสิทธิ์อะไร ลบเสร็จแล้ว อัลลอฮ์ จะได้อะไรจากการทำแบบนั้น
  • 3. ความดีต่าง ๆ ที่เขาทำอัลลอฮ์จะไม่ให้ผล บุญ
              อะไรที่ผมทำ อัลลอฮ์จะไม่ให้ผลบุญ ได้จริงเหรอ ผมหุงข้าว ผมจะไม่ได้กินข้าวของผมเหรอ แล้วอัลลอฮ์จะเอาผลบุญของผมไปเก็บไว้ไหน เก็บเอาไว้ใช้เองเหรอ หรือเอาไปให้คนอื่น อัลลอฮ์จะยักยอกความดีของผมเหรอ
  • 4. ดุอาอ์ของเขา จะไม่ถูกนำไปพิจารณา
              ผมไม่รู้จักดุอาอ์ ผมไม่มีดุอาอ์ ผมไม่เคยคิจะมี ไม่มีอะไรจะให้อัลลอฮ์พิจารณาอยู่แล้ว 
  • 5. เขาจะไม่มีส่วนได้รับจากคำวอนขอ (ดุอา) ของคนที่ดี ๆ
              ผมไม่เคยถูกสั่งสอนให้อ้อนวอนใคร ผมต้องลงมือทำของผมเอง และไม่เคยคิดอยากได้คำวอนขอดุอา อะไรพันนั้น นิ..... และก็ไม่รู้ด้วย ว่าไอ้คนดี ๆ ของอัลลอฮ์ นี่ ดีแบบไหน ดีแบบกู้ชาติ ดีแบบพันธมิตร ดีแบบรักพ่อรักแม่ อะไรพวกนั้นเหรอ 
  • 6. วิญญานจะออกจากร่างอย่างไร้ศรัทธา (อีหม่าน)
          ก็ผมไม่เคยมีศัรทธา บ้าบออะไรกับอัลลอฮ์อยู่แล้ว ไม่ต้องมาขี้ตู่เลย

ส่วนโทษที่จะได้รับขณะจะตายคือ‬ .

1. เขาจะตายอย่างตกต่ำไร้เกียรติ 
    อันนี้ก็มั่ว ไม่มีใครรู้หลอกครับว่าใครจะตายอย่างไหร แต่เห็นไอ้พวกฟายตอนี สมุนอัลลอฮ์ ที่ทำความระยำที่ชายแดนใต้ ก็เห็นตายอย่างหมาข้างถนน ไม่เห็นเป็นอย่างว่าเลย มั่วหรือปล่าวครับ

2. จะตายอย่าหิวโหย
    แล้วใครในโลกนี้ที่ตายอย่างอิ่มหน่ำละ กินข้าวพุงแตกตายหรืองัย กินข้าวอิ่มแล้วตาย มั่วมากจริง ๆ ไอ้ตรรกะแบบนี้ เอามาหลอกคนไม่ได้หรอกครับ เว้นแต่ว่า จะบังคับว่า จงอย่าสังสัยในตัวกู อย่างงั้นก็ปั่นหัวกันไป ล้างสมองกันไปละกัน 

3. จะตายอย่างกระหายน้ำ แม้จะเอาน้ำทะเลทั้งหมด มาให้เขาดื่มก็จะไม่อิ่ม
    คนบ้าประเทศไหนละ ดื่มน้ำทะเล โอ้ย กูละเซ็งคำสอนมึงจริง ๆ เลย

‎โทษที่จะได้รับขณะที่อยู่ในหลุมศพคือ‬    
เอ้า ไอ้ลัทธิบ้านี่รังแกแม้กระทั่งศพอีก


  • 1. หลุมศพของเขาจะบีบรัด จนกระดูกซี่โครงประสานกัน
    เอาอะไรมาบีบวะ มีแต้ใส้เดือนตัวอ้วน ๆ มาแดกศพไอ้พวกงมงายขี้โม้พวกนี้ บีบแล้วมันจะเจ็บไหม มันจะหายใจออกมั้ย คนมันตายแล้วนะเว้ยเฮ้ย โคตรมั่วเลย แล้วบีบแล้ว อัลลอฮ์ จะได้อะไรจะการทำแบบนั้นวะ
  • 2. ไฟจะถูกจุดขึ้นในหลุมศพของเขา และเขาจะพลิกไปมาอยู่บนหินร้อน ทั้งกลางวันและกลางคืน
    ใครไปจุดแม่งก็บ้าแล้ว ใต้ดินเนี่ยนะ ไอ้หินร้อนที่ว่านั่นมันอยู่ที่ไหน ไม่ได้ศพไปฝังในภูเขาไฟซะหน่อย เห็นฝั่งกันแถว หนองจอก น้ำท่วมกุโบ ผีสำลักน้ำ ทั้ง ๆ ที่ตายเป็นแถว 
  • 3. จะมีงูตัวหนึ่งคอยขบกัดเขาในฐานะ ที่ละทิ้งละหมาดและการลง โทษนี้จะใช้เวลาเท่ากับจำนวนเวลาละหมาด
    งูอะไรมันจะบ้านกัดผีใต้ดิน ถ้่ามันกัดได้มันจะกัดตลอดเวลาเหรอ ผมไม่เคยละหมาดมาทั้งชีวิต นี่ก็ปาเข้าไป หกสิบกว่าแล้ว งูบ้าอะไร มันจะมากัดผมได้ตลอดเวลา หกสิบปีเนี่ยนะ แล้วงูมันมีพิษมั้ยละ ถ้ามีพิษแล้วผีมันจะตายไหม ต้องเอาผีไปฉีดวัคซีนละป่าว เอานิทานอะไรมาหลอกเด็กวะเนี่ย

‎ส่วนโทษที่จะได้รับขณะเมื่อได้พบกับ องค์อภิบาล ของเขาคือ‬
  • 1. เมื่อฟ้าทลายจะมีมะลาอีกห์ ท่านหนึ่งมาหาเขา ในมือมาลาอีกะห์มีโซ่เส้นหนึ่ง ยาวเจ็ดสิบศอก   มะลาอีกะห์จะเอาโซ่เส้นนั้นแขวนที่คอเขา แล้วร้อยปลายข้างหนึ่งเข้าไปในปากของเขาไปออกทางทวารพร้อมกับประกาศว่า : นี่คือ ผลตอบแทนผู้ที่ทิ้งฟัรดูของอัลลอฮ์
          จะแต่ศาสนาอิสลามบังเกิดขึ้น มีวันไหนละยังที่ว่าวันฟ้าทลาย  บ้าแล้วครับ ทั้งไอ้มะลาอีกห์ ทั้งไอ้คนสอน โซ่ยาวเจ็ดสิบศอก มันจะหนักซักกี่ตันกัน คนที่ไม่เคยละหมาดในโลกนี้ เป็นร้อยล้านพันล้านคน ไม่อยากนึกภาพ มันจะมโนอะไรกันขนาดนั้น 
  

  • 2. อัลลอฮ์จะไม่มองดูเขาอย่างเมตตา
          ถ้าอัลลอฮ์มันจะม่ีจริง ผมก็ไม่เคยคิดอยากจะให้มันมามองหน้าผมอยู่แล้ว ไม่เคยยุ่งกะมันอยู่แล้ว อย่ามะโน ไอ้บ้า  ถ้าจะมองดูเขาอย่างเมตตา ก็จงมองดูเขาที่อยู่บนหัวสาวกของอัลลอฮ์ ไปเถิด ไม่ต้องไปยุ่งกับคนอื่น ที่เขาไม่เชื่ออัลลอฮ์เลย จำไว้


  • 3. อัลลอฮ์จะไม่จะไม่ชำระเขาให้สะอาด และเขาจะได้รับโทษอย่างเจ็บปวด
         ก็บอกแล้ว อย่ายุ่งกับผม อัลลอฮ์ ไม่ใช่กระดาษทิชชู่ ไม่ต้องมาชำระผม อย่ามายุ่งกับผม ไปหลอกควาย สมุนของคุณเถิด อย่าได้ไปกล่าวตู่คนในศาสนาอื่น ที่เขาไม่เคยละหมาด ไม่ได้ละหมาด ....

จำใส่กะโหลกไว้...........
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม