แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Thai-E-News แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Thai-E-News แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

6 ยุทธศาสตร์กองทัพไทยดับไฟใต้


6 ยุทธศาสตร์กองทัพไทยดับไฟใต้


http://www.internetfreedom.us/thread-15945.html
[Image: 83522846765d159016047cc3b55c9770e964eb2.jpg]

ด้วย เหตุผลดังกล่าว จึงเป็นที่มาของ “ 6 ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้” ที่กองทัพบก โดย พล.อ.ประยุทธ มั่นใจนักมั่นใจหนาว่า อาจจะมาถูกทางในการแก้ปัญหาไฟใต้ได้


โดย ปาแด งา มูกอ
5 มีนาคม 2554
ผบ.ทบ.วาง 6 ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ แฉ 90% มียาเสพติดเอี่ยวพวกก่อเหตุ...

พ.อ.ธนา ธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ในภาคใต้ ว่า กองทัพบก โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้วางกรอบยุทธศาสตร์ในการแก้ปัญหาไว้ 6 ยุทธศาสตร์

ทั้งงานด้าน มวลชน การสร้างความเข้าใจต่อประชาชน ดูแลงานมวลชนและผู้นำศาสนา ให้เข้าใจถึงกรอบการทำงานของเจ้าหน้าที่และนำไปขยายผลต่อยังชุมชนที่เป็นชาว มุสลิม และดูแลปัญหาแทรกซ้อนด้านยาเสพติด

โดยในชุมนุมเหล่านั้นมี ความต้องการให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้าไปช่วยอย่างไร เนื่องจากพบว่า 90 เปอร์เซ็นต์ในการก่อเหตุ มีปัญหาเรื่องยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง

รวม ถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยของครูในพื้นที่ภาคใต้ การสร้างความเข้าใจกับมวลชนโดยในปัจจุบันประชาชนในพื้นที่ได้ให้ความสำคัญ กับการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ทำงานในหลายมิติ

โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังได้มีการเพิ่มความเข้มงวดในการดูแลพื้นที่ฝั่งภูเขา รวมถึงพื้นที่ต้องสงสัยได้มีการปิดล้อมและตรวจค้น ที่ผ่านมา สามารถเข้าควบคุมพื้นที่และทำลายฐานที่มั่นกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้ และได้ยึดของกลาง ได้แก่ ปืนเล็กยาว เอ็ม 16 จำนวน 8 กระบอก ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 47 คน

พร้อมกับดำเนินการจัดตั้งจุดตรวจ จุดสกัดในเขตเมือง จำนวนกว่า 300 แห่ง ทำให้ขยายผลในการจับกุมและยึดยาเสพติดได้กว่า 2 แสนเม็ด ยึดน้ำมันเถื่อนได้กว่า 1 แสนลิตร รวมถึงยังเน้นให้การดูแลการก่อเหตุด้วยวิธีการวางระเบิด อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ด้านการข่าวเป็นสิ่งที่ต้องมีการปรับให้เกิดความทันสมัยอยู่ตลอด เวลา ซึ่งได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมกับฝั่งประเทศของมาเลเซีย


นี่คืออีกสาเหตุหนึ่ง ในอีกหลายสาเหตุที่ทำให้เกิด “ไฟใต้นอกระบบ” ที่ส่งผลให้รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐทุกภาคส่วนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ต่างคิดค้น “ยุทธศาสตร์ใหม่” ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ในเหตุการณ์รุนแรงประจำวันทุกวันนี้

แล้วอะไรคือ “ไฟใต้นอกระบบ”

[Image: 8352275512e4f0f8457708b6030c4dc75f00718.jpg]

อธิบายง่ายๆอย่างนี้ครับ “ไฟใต้นอกระบบ” หมายถึงเหตุการณ์รุนแรงประจำวัน ที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบว่า ใคร?กลุ่มใด? เป็นผู้กระทำหรือลงมือปฏิบัติการ ที่นึกอยากจะลงมือที่ไหน เมื่อใด กับใคร ก็ได้ขึ้นอยู่กับความสะดวก ความสบายใจของบรรดาสารพัดท่านผู้ก่อเหตุร้าย ในการลงมือ

ปัญหา “ไฟใต้นอกระบบ” พูดไปพูดมาก็ต้องโทษรัฐบาล และหน่วยงานความมั่นคงของรัฐล่ะครับ ที่มัวแต่เล่นของเล่นชิ้นเดียวเหมือนเด็กปัญญาอ่อน หรือหายใจเข้า หายใจออก ที่หมกหมุ่นอยู่แต่เรื่องกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบอย่างเดียว ไม่ว่า พูโลเอย บีอาร์เอ็นเอย อาร์เคเค เอย

จนถึงวันนี้ความปัญญาอ่อน เริ่มผ่อนคลายลง ดวงตาและสมองเริ่มมองเห็นความจริงปรากฏขึ้นเป็นลางๆว่า เอ.....!!!!!ไอ้ที่พวกเรามัวไปบ้ากับ “กลุ่มผี”น่าจะถูกผีหลอกเสียแล้วกระมัง เห็นทีต้องลองเปลี่ยน “ยุทศาสตร์” ใหม่ๆมาปรับใช้ซ่ะหน่อย เผื่อจะได้ผลและได้งบประมาณเพิ่มเป็นของแถม

ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงเป็นที่มาของ “ 6 ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้” ที่กองทัพบก โดย พล.อ.ประยุทธ มั่นใจนักมั่นใจหนาว่า อาจจะมาถูกทางในการแก้ปัญหาไฟใต้ได้

ก่อนที่จะไปถึง “6 ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้” ผมใคร่ขอคำชี้แนะจากท่านผู้อ่านที่มีความรู้เกี่ยวกับคำว่า “ 6 ยุทธศาสตร์ ” หน่อยครับว่า คำๆนี้มันมีที่มาที่ไปอย่างไร และทำไมจึงต้องกำหนดเพียง 6 ข้อเท่านั้น

มากกว่า 6 หรือน้อยกว่า 6 ได้ไหม ..? และก็ หมายเลข 6 มีเคล็ดหรือมีอาถรรพ์ อะไร??? เรื่องนี้ผมจนปัญญาจริงๆครับ ช่วยเป็นวิทยาทานให้ผมด้วยน่ะครับ

เพราะเท่าที่ผมลองค้นคว้าดูไอ้ คำว่า “6 ยุทธศาสตร์” ซึ่งมีมากพอสมควร อาทิ ทำ 6 ยุทธศาสตร์ แก้ปัญหาเด็กตั้งครรภ์ / กรมอนามัย ขับเคลื่อน 6 ยุทธศาสตร์ผลักดันนโยบาย เพิ่มไอโอดีน / 6 ยุทธศาสตร์ นโยบายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ปี 2554 / พาณิชย์ปรับ 6 ยุทธศาสตร์ค้าเสรีดึงประโยชน์จาก AEC-FTA / 6 ยุทธศาสตร์ในการอ่านใจคน แบบพุทธศาสตร์ / พม.ชง 6 ยุทธศาสตร์ แก้ปัญหาท้องไม่พร้อม

ผมไม่ทราบว่า “6 ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้” ของท่าน ผบ.ทบ.ที่ออกใหม่ กับ “6 ยุทธศาสตร์รอง” ของแม่ทัพภาค 4 ของผมทางภาคใต้ มันเป็นยุทธศาสตร์เดียวกันหรือไม่? แต่น่าจะไม่ใช่ เพราะมันมีคำว่า “รอง” พ่วงท้ายอยู่ ไม่ทราบว่า “รอง” จากใครหรือ “รอง” รับอะไร งงๆจริง

นี่รวมแล้วก็ปาเข้าไป “ 12 ยุทธศาสตร์” เข้าไปแล้ว ผมหนักใจแทนเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติตามยุทธศาสตร์จริงๆไม่รู้จะจำกันได้หรือเปล่า

นี่ ถ้าเกิด กระทรวงมหาดไทยคิดบ้าๆขึ้นมาเพิ่มอีก “6 ยุทธศาสตร์” ขึ้นมาอีก มันส์ล่ะครับทีนี้ หรือหาก ศอ,บต. , กองทัพเรือ , กองทัพอากาศ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยากจะมันส์กับเขาด้วย ต่างเพิ่ม “6 ยุทธศาสตร์” เข้าไปอีก มันก็ปาเข้าไปเป็น “ 42 ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้”

ทีนี้และ ครับ กรมสุขภาพจิต ก็จะได้มีโอกาสประกาศ “6 ยุทธศาสตร์พิชิตโรคจิต” ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐในจังหวัดชายแดนใต้ได้นำไปปฏิบัติใช้กันบ้าง

ทีนี้มาดู “6 ยุทธศาสตร์รอง” ของแม่ทัพภาค 4 ของผมทางภาคใต้ กันบ้างว่า มีดีอะไรบ้าง

(27 ต.ค.53 ) พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้แถลงนโยบายการปฏิบัติงาน “สานใจสู่สันติ” เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบนโยบายของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ต่อการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

โดย พล.ท.อุดมชัยกล่าวว่า นับตั้งแต่รับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 ตนเองได้ปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายกองทัพบก โดยผู้บัญชาการทหารบกได้มอบให้ในปี 2554 ซึ่งได้น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เป็นยุทธศาสตร์หลักในการปฏิบัติงาน และในยุทธศาสตร์รอง ได้มีการกำหนดเพิ่มอีก 6 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ คือ

1.อำนวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่าที่ได้รับผลกระทบจาก เหตุการณ์ความไม่สงบเดินทางกลับมาอยู่อาศัยในภูมิลำเนาเดิมอย่างปกติสุข
2.เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความเห็นต่างกับรัฐ ได้มีช่องทางสามารถแสดงความคิดเห็น และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา
3.ขจัดเงื่อนไขและสาเหตุที่ก่อให้เกิดการใช้ความรุนแรง อันส่งผลให้เกิดความไม่สงบในสังคม ให้เกิดประสิทธิผลอย่างเป็นรูปธรรม
4.ฟื้นฟู และส่งเสริมวิถีชีวิตตามหลักคุณธรรมที่ดีงามของสังคม อันหลากหลายบนพื้นฐานการเคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรมซึ่งกัน และกันให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
5.สนับสนุนประชาชน และภาคประชาสังคมอนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างทั่วด้าน
6.รณรงค์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง

เจ๋งไหมครับ “6 ยุทธศาสตร์รอง” ของแม่ทัพภาค 4 แต่เชื่อเถอะครับชาติหน้าบ่ายๆ อาจจะสำเร็จครับ

"ชวน"แนะทุกฝ่ายร่วมมือดับไฟใต้วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

ที่ พรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า ขอเอาใจช่วยเจ้าหน้าที่เพราะต้องเสี่ยงตลอดเวลา โดยก่อนหน้านี้ตนได้ขอร้องนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย ให้ไปอยู่ประจำในพื้นที่เป็นหลัก แต่ได้รับการชี้แจงว่าไม่มีอำนาจ ซึ่งตนคิดว่าอย่างน้อยหากมีคนประสานบ้างก็จะดี เพราะการเป็นหนึ่งเดียวกันในการทำงาน หรือการร่วมมือของแต่ละฝ่ายเป็นเรื่องที่จำเป็น เพราะว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะโยนความรับผิดชอบไปให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแต่ผู้เดียว เป็นเรื่องยาก ซึ่งมีทั้งเรื่องการป้องกัน การพัฒนา ผสมผสานกันไป เพราะเขามองยาวไปข้างหน้า ต้องพัฒนาพื้นที่ ต้องมีอาชีพ ขณะเดียวกันต้องปราบปรามป้องกันไปด้วย

นายชวนกล่าวอีกว่า ส่วนการปรับโครงสร้างศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ขณะนี้เพิ่งเริ่มต้นยังไม่เห็นเป็นรูปธรรม ต้องให้เวลา เรื่องนี้เพราะกฎหมายเพิ่งออกมา ส่วนจะใช้ได้หรือไม่ต้องดูกันต่อไป

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 3/05/2011 09:20:00 ก่อนเที่ยง Share on Facebook
http://thaienews.blogspot.com/2011/03/6.html

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แผนลับหรือแผนโง่


แผนลับ หรือ แผนโง่

แน่นอนว่า หลังจากนี้ ถ้ามีการออกมารายงานตัวจาก "แนวร่วม" ตาม พรก.ความมั่นคง มาตราที่ 21 ที่จะเริ่มดีเดย์ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2554 ตามคำปกาศิตของ มท.3 “แนวร่วม” ที่ออกมารายงานตัวอาจเป็นแค่ คนของขบวนการพูโล ที่ง่อยเปลี้ยเสียขา หมดสภาพของโจรก่อการร้ายไปแล้ว แต่ต้องการล้างมลทินตามกฎหมาย


โดย ปาแด งา มูกอ
27 กุมภาพันธ์ 2554

ข่าวความเคลื่อนไหวของ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( Southern Border Provinces Administration Centre) หรือเรียกโดยย่อว่า ศอ.บต. (อังกฤษ: SBPAC) ในการเจรจาเพื่อยุติปัญหากับตัวแทนพูโล ภาคพื้นยุโรป เริ่มมีกระแสความจริงมากขึ้น 

ท่ามกลางความสับสนของผู้ที่ติดตามข่าวสารในเรื่องนี้ รวมถึงหน่วยข่าวด้านความมั่นคงในพื้นที่ เพราะสิ่งที่หน่วยข่าวทั้งลึกทั้งตื้นรับรู้กันมานานก็คือ ผู้ที่สั่งการ หรืออยู่เบื้องหลังกองกำลังในสามจังหวัดชายแดนใต้ ในการปฏิบัติการสร้างความรุนแรง นั้น เป็นกลุ่มขบวนการที่มีชื่อว่า BRN Co – ordinate (บีอาร์เอ็น โคออดิเนท) ไม่ใช่กลุ่มขบวนการ PULO (พูโล)

แต่การที่ตัวแทนของ ศอ.บต.ไปการเจรจา กับตัวแทนของ"พูโล" อาจะมี "นัยยะ" ของผลประโยชน์บางอย่างแอบแฝงอยู่ ส่วน “นัยยะ” อะไรนั้น จะได้อธิบายให้ท่านผู้อ่านทราบตอนจบครับ

ศอ.บต. (SBPAC) เป็นองค์กรพิเศษที่รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2524 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง

เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยรัฐบาลในสมัยนั้นวิเคราะห์ว่า ในการแก้ปัญหาภัยคุกคามจะใช้การปราบปรามอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องใช้การพัฒนานำการปราบปราม และมีนโยบายการแก้ปัญหา เป็น 2 ด้านคือ การพัฒนา และ การปราบปราม

โดยตั้ง ศอ.บต. ขึ้นอยู่กับรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ดูแลเรื่องการพัฒนา และตั้ง พตท.43 หรือ กองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหารที่ 43 ขึ้นอยู่กับแม่ทัพภาคที่ 4 ดูแลเรื่องการปราบปราม

ในปี พ.ศ. 2539 นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการแก้ไขปัญหาความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเป็นองค์กรในระดับนโยบาย โดย ศอ.บต. อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของปลัดกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบงานภารกิจงานด้านฝ่ายพลเรือนและตำรวจ

การยุบ ศอ.บต.

ต่อมาเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2545 รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ปรับยุทธศาสตร์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ยุบ ศอ.บต. และ พตท.43 ตามคำเสนอแนะของพล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2545 และให้โอนอำนาจของคณะกรรมการการอำนวยการแก้ไขปัญหาความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปเป็นของสภาความมั่นคงแห่งชาติ อำนาจของ ศอ.บต. เป็นของกระทรวงมหาดไทย และอำนาจของ พตท.43 เป็นของกองทัพภาคที่ 4 / กอ.รมน.ภาค 4

การจัดตั้งหน่วยงานใหม่

ใน ปี พ.ศ. 2547 ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 69/2547 ลงวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2547 ลงนามโดย พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกรัฐมนตรี ผู้ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จัดตั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ส่วนหน้าใช้ชื่อว่า “กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้” เป็นศูนย์ควบคุมและแกนหลักในการประสาน การปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้

และต่อมาได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 200/2548 ลงวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 จัดตั้งคณะกรรมการนโยบายเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กสชต.) ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี

สืบเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดขึ้น และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และความรุนแรงของการก่อเหตุในช่วงแรกยังอยู่ในระดับต่ำ แต่สันนิษฐานว่า การปลูกฝังอุดมการณ์การปรับเปลี่ยน และการเตรียมจัดตั้งองค์กรใหม่ น่าจะอยู่ในช่วงแห่งการฝังตัว จนเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2547 ได้เกิดเหตุปล้นกองพันพัฒนาที่ 4 อำเภอเจาะไอร้อง และเกิดเหตุการณ์กรือเซะ เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2547 มีผู้เสียชีวิต 108 คน รวมทั้งเหตุการณ์ที่ตากใบ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2547 มีผู้เสียชีวิต 85 คน จึงได้มีการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นอีกครั้ง ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 207/2549 จัดตั้ง ศอ.บต. ขึ้น และได้แต่งตั้งให้ ผอ.ศอ.บต. เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549

เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้ ภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผอ.ศอ.บต.)

นี่ขนาดเป็นการจัดตั้งหน่วยงานน่ะครับ ยังปวดหัวและสับสนไปกับมันด้วย.....!!! นี่ก็ย่างก้าวมาเป็นปีที่ 25 แล้ว ปัญหาไฟใต้ ก็ยังไม่ยุติเสียที งบประมาณคร่าวๆปีละ 10,000 ล้าน ลองเอา 25 ปี X ดู โอ๊ยปวดหัวครับ

ทีนี้เรามาดูความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะจากฝ่ายที่ ศอ.บต. ไปเจรจายุติปัญหากันก่อนว่า เขาผู้นั้นเป็นแกนนำกลุ่มขบวนการระดับไหน มีอำนาจหน้าที่สั่งการจริงหรือไม่ (คิดกันเล่นๆน่ะครับ ถ้าเป็นผู้เขียนเป็นผู้เจรจายุติปัญหากับ “พูโล” ผมจะเริ่มต้นก่อนการเจรจากับแกนนำ “พูโล” ว่า ยูมึง ช่วยสั่งลูกน้องในสามจังหวัดชายแดนใต้ทุกพื้นที่ ให้หยุดยิง หยุดระเบิด ซัก 7 วันได้ไหม ถ้าภายใน 7 วันไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลย นั่น แหล่ะผมเจอคู่เจรจาตัวจริงแล้ว แต่ถ้ายังมีการยิง การวางระเบิดรายวันอยู่อีก ผมจะรีบลาออกแล้วกลับไปบ้านไปนอนดีดลูกปิงปองเล่นดีกว่า เป็นไงครับ ง่ายๆไม่ต้องใช้วิธีทางการทูตให้มันปวดหัวเหมือนอย่างท่านกษิต หังหลิม เลย

แล้วใคร...??? เล่าที่เป็นแกนนำ “พูโล” ตัวจริงเสียงจริง ที่ตัวแทน ศอ.บต.หรือฝ่ายปกครองกระทรวงมหาดไทยจะไปเจรจายุติปัญหา

ณ เวลานี้ บุคคลที่ถือว่ามีอำนาจในการเจรจาต่อรองของกลุ่มขบวนการ “พูโล” เท่าที่ข้อมูลข่าวสารในเวปไซต์ต่างๆ ก็มีแต่เพียง นายกัสตูรี มะกอตา (Kasturi Mahkota) ฝ่ายการต่างประเทศ PULO เท่านั้น ที่มีบทบาทในการเคลื่อนไหว ผลักดันปัญหาชายแดนใต้ไปสู่ยังเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นองค์การสหประชาชาติ กลุ่มประเทศ EU องค์กรสิทธิมนุษยชน รวมถึงสื่อระดับโลกของฝ่ายมุสลิม อัลเจเซรา หรือ ทีวีช่อง 3 ของมาเลย์เซีย เจ้าประจำ

กระผมยังมีข้อสงสัยตะหงิดๆอยู่ว่า หน่วยข่าวทั้งลึกทั้งตื้นในจังหวัดชายแดนใต้ ฟันธง ผู้ที่สั่งการหรืออยู่เบื้องหลังกองกำลังในสามจังหวัดชายแดนใต้ ในการปฏิบัติการสร้างความรุนแรง นั้น เป็นกลุ่มขบวนการที่มีชื่อว่า BRN Co – ordinate (บีอาร์เอ็น โคออดิเนท) ไม่ใช่กลุ่มขบวนการ PULO (พูโล)

แต่จากข้อมูลของเว็ป พูโล กลับมีแถลงการณ์ร่วมของ พูโลและบีอาร์เอ็น โคออดิเนท ฉบับหนึ่งปรากฏขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ แล้วทีนี้ผมจะเชื่อใครดี......!!!!!!!!

ทีนี้เรามาทราบข้อคิดเห็นของ พ่อเจ้าประคุณกัสตูรี กันหน่อยไหมครับ เผื่อได้ร่วมกันวิเคราะห์ดูว่า มีความเป็นไปได้ไหม มีทางสำเร็จหรือไม่ ที่ตัวแทนของ ศอ.บต.จะไปเจรจากับกลุ่มขบวนการ “พูโล” เพื่อยุติปัญหาชายแดนใต้ “รอบใหม่”

การเจรจากับกลุ่มผู้ก่อความรุนแรงชายแดนภาคใต้ เพื่อหาทางยุติสถานการณ์ แม้จะมิอาจกล่าวได้ว่า เป็นนโยบายของรัฐบาลไทย แต่แกนนำรัฐบาลทุกสมัยนับแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ต่างยอมรับว่า นี่คือ แนวทางหนึ่งในการคลี่คลายปัญหา

ขณะรัฐบาลไทยจะยังไม่มีความชัดเจนในแนวทางนี้ แต่ในด้านของขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชปัตตานี โดยเฉพาะ องค์กรปลดปล่อยรัฐปัตตานี หรือ ‘พูโล' กลับมีการประกาศตัวเป็นตัวแทนเจรจาอย่างชัดเจน ท่ามกลางข้อสงสัยว่า พูโลเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุตัวจริง หรือนักฉวยโอกาสทางการเมือง

ในยุครัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยอมรับว่า หากการเจรจาสามารถยุติปัญหาได้ ก็จำเป็นจะต้องทำ แนวคิดของร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งนายสมัครสุนทรเวช นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ดูแลปัญหาชายแดนภาคใต้ ไปไกลถึงการตั้งเขตปกครองพิเศษ รวมทั้งการพิจารณาขอพระราชทานอภัยโทษ ให้แก่สมาชิกพูโลกลุ่ม‘หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ' นักโทษคดีกบฏแบ่งแยกดินแดน เพื่อให้ออกมาช่วยแก้ปัญหา


ปลายเดือนมีนาคม 2551 กัสตูรี มะกอตอ (Kasturi Mahkota) ฝ่ายการต่างประเทศขององค์กรปล่อยรัฐปัตตานี หรือ ‘พูโล' ซึ่งปัจจุบันพำนักอยู่ในประเทศสวีเดน อ้างว่าได้นัดหารือกับตัวแทนของไทย ที่กรุงจากาตาร์ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งผู้สื่อข่าว ‘ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้' ถือโอกาสนี้นัดพบเขาเพื่อพูดคุย สอบถามในประเด็นปัญหาความไม่สงบชายแดนภาคใต้

โดยเขากล่าวให้สัมภาษณ์ตอนหนึ่งว่า ผมจะนำปัญหาปัตตานีไปสู่ EU (สหภาพยุโรป) แทนที่จะนำเข้า OIC (องค์กรที่ประชุมอิสลามโลก) เพราะทางการไทยก็พยายามที่จะต่อ OIC อยู่เสมอ และมีบางประเทศที่ถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนเรา ดังนั้นการที่จะเข้าไปหา OIC จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนต้องให้ความระมัดระวัง ซึ่งเราก็มั่นใจว่า OIC จะอยู่เคียงข้างเรา แต่ช่วงเวลานั้นยังมาไม่ถึงใน OIC 

***ข้อความนี้มีความหมาย ท่านผู้อ่านลองวิเคราะห์ดูว่า ทำไมรัฐบาลมาร์ค และขุนศึกผู้เก่งกล้า จึงออกมาพูดย้ำแล้วย้ำอีก เมื่อเห็นไมค์จ่อปาก ว่า เหตุการณ์รุนแรงรายวัน เกิดจากไกล้วันที่จะมีการประชุม OIC จึงพยายามสร้างเหตุการณ์รุนแรงให้เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่ระดับโลก ตุ๋ย.....

***ข้อความนี้นอกจากมีความหมายแล้ว ยังมีสิ่งบอกเหตุว่า ขบวนการ “พูโล” เขาก้าวล้ำรัฐบาลไทยไปแล้ว ในเรื่องสังคมโลก

ผมมีตัวอย่างให้ดู ไม่ว่า EU จะเข้ามาในสามจังหวัดชายแดนใต้ ด้วยความหวังดี หรือมีอะไรแอบแฝงอยู่ก็ตาม ก็ต้องถือว่า เข้าทางของกลุ่มขบวนการ “พูโล” ที่ กัสตูรี ได้ให้สัมภาษณ์ไปก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อไม่เป็นการรบกวนเนื้อที่ข่าวเชิญท่านติดตามในรายละเอียดจาก
http://www.south.isranews.org/interviews/728-2011-02-14-23-50-26.html


สำหรับ “นัยยะ” ที่เกริ่นไว้ข้างต้นว่า จะมาบอกเล่าให้ท่านผู้อ่านตอนจบ ก็คืออย่างนี้ครับ

แน่นอนว่า หลังจากนี้ ถ้ามีการออกมารายงานตัวจาก "แนวร่วม" ตาม พรก.ความมั่นคง มาตราที่ 21 ที่จะเริ่มดีเดย์ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2554 ตามคำปกาศิตของ มท.3 “แนวร่วม” ที่ออกมารายงานตัวอาจเป็นแค่ คนของขบวนการพูโล ที่ง่อยเปลี้ยเสียขา หมดสภาพของโจรก่อการร้ายไปแล้ว แต่ต้องการล้างมลทินตามกฎหมาย มาตรา 21 เท่านั้น ซึ่งมันดีกว่านอนอยู่กับบ้านเปล่าๆ มาอบรม 6 เดือน ได้เบี้ยเลี้ยงเอย เสื้อผ้าใหม่เอย กินอยู่หลับนอนสบาย เอย แบบนี้ไม่เข้ารายงานตัวก็บ้าแล้ว

แต่ที่สำคัญ “นัยยะ” หรือแผนการนี้ จะมีคนที่ได้ "ความชอบ" ทางการเมือง และคนที่ได้เลื่อนยศเลือนตำแหน่ง ผมจะไม่ขอฟันธง แต่ขอหักธงเลยครับว่า ความชอบทางการเมืองของพรรค ปชป.แกนนำรัฐบาลอุ้มสม จะประกาศกู่ร้องไปก้องโลกว่า “เรามาถูกทางแล้ว” “รัฐบาลชุดนี้สามารถดับขี้เถ้าทางใต้ได้แล้ว” “ไม่มีรัฐบาลชุดไหนที่สามารถเข้าถึงมวลชนจนสามารถยุติปัญหาทั้งหลายทั้งปวงได้”

คอยดูน่ะครับ ถ้ามีการเข้ามอบตัวจริงของกลุ่มก่อความไม่สงบ ไอ้มาร์ค ขากถุย ไอ้เทือกหัวทุย ไอ้เหล่ คอเอียง ไอ้เสนเนียมตัวดำ มันจะดาหน้าออกมาพูดประโยคที่ผมกล่าวนำให้พวกมันเหล่านั้นพูดตาม ไม่เชื่อคอยดู.....!!!!!!

ท้ายนี้ขอปิดรายการด้วยเรื่อง “เหลือเชื่อแต่ต้องเชื่อ”


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการเสวนากันของหมู่ข้าราชการทุกหน่วยงาน ไม่ว่า ทหาร,ตำรวจ,ฝ่ายปกครอง และตุลาการ ว่า เท่าที่สังเกต เหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้ ข้าราชการที่เสียชีวิตทำไมพบแต่ ทหาร ตำรวจ รวมถึงผู้พิพากษา ก็ไม่เว้น แต่ทำไม....???? เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ไม่ว่าปลัดอำเภอ ,จังหวัด ,รองผู้ว่า หรือตัวผู้ว่าเอง มันมีดีอะไรถึงไม่เคยตายเลย หลวงปู่ทวด ช่วยพวกเขาเหล่านั้นรึ

ก็ลองไปศึกษาข้อมูลสถิติผู้วายปราณ ปรากฏว่าจริงของเขาแฮะ ผมเคยสอบถามพรรคพวกที่เป็นปลัดขิกว่า ทำไมพวกมึงถึงไม่เคยถูกยิง ถูกระเบิดตายห่าบ้างว่ะ มันบอกว่าผมว่ายังใง ท่านทราบไหมครับ

มันบอกว่า หลักง่ายๆ คือ แจกเงิน,หาแนวร่วม,ใช้งานมัน,ให้การช่วยเหลือ แค่นี้ก็ปลอดภัยแล้ว โอ้พระเจ้า......!!!!

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

ไฟใต้ที่รัฐไม่กล้ามอง


http://thaienews.blogspot.com/2011/01/blog-post_6891.html

ไฟใต้่ที่รัฐไม่กล้ามอง ไม่กล้าแก้ และไม่กล้าพูด!

นโยบายที่จะให้ “ทำงานแข่งกัน” เพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี ยศ,ตำแหน่ง,เงินเดือน ที่สูงขึ้น เป็นเดิมพัน จึงกลายเป็น “ทำงานปัดแข้งปัดขากัน” ท้ายสุดกลายเป็น “การทำลายล้างกัน”ในที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะมีคำว่า “เกลือเป็นหนอน,หนอนบ่อนใส้ หรือ มีใส้ศึก ” เกิดขึ้นในเหตุการณ์บุกทะลวงฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ ในครั้งนี้


โดย ปาแด งา มูกอ
22 มกราคม 2554

สิ่งที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนของเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็คือ กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ (กลุ่มผี ? ) ยังคงสามารถก่อเหตุรุนแรงได้แทบทุกที่ ทุกเวลา เท่าที่ทางกลุ่มต้องการเหมือนเดิม! 

กองกำลังทหาร,ตำรวจ,ฝ่ายปกครอง ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้(จชต.) ปัจจุบัน ที่ประกอบด้วย (กำลังทหาร 30,000 นาย,กำลังตำรวจ 18,000 นาย,กำลังฝ่ายปกครอง (จ้างประชาชนให้มาตายแทน ทหาร,ตำรวจ ในนาม อาสาสมัครต่างๆ อาทิ ชรบ.อรบ.,อรม.,ทส.ปส.อส.รด.,อส.ตำรวจหมู่บ้าน ฯลฯ ) 18,000 นาย รวม 66,000 นาย

ซึ่งหลายคนบอกว่าเยอะ แต่เมื่อพิจารณาจากภารกิจแล้ว ยืนยันว่าไม่เยอะอย่างที่คิด

เพราะทุกวันนี้ทุกหน่วยงานของภาครัฐกำลังรบอยู่กับ(ผี?) ที่ไม่มีตัวตน และจะปรากฏตัวตนขึ้นมา ก็จากการให้สัมภาษณ์ของบรรดาหัวหลักหัวตอปัญญาอ่อนของบ้านเมือง ที่ใช้เป็นสูตรสำเร็จ ว่า

“ เหตุการณ์ครั้งนี้น่าเชื่อว่าเป็นการลงมือของนายอะไรต่อมิอะไร / สถานการณ์ปัจจุบันดีขึ้นแล้ว / สถิติการก่อการร้ายลดลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา / การลงมือก่อเหตุอย่างอุกอาจและเหี้ยมโหดในครั้งนี้ เป็นการฉลองวันครบรอบการเปลี่ยนชื่อของกลุ่มขบวนการ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2530 จากขบวนการแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติปัตตานี หรือ BNPP เป็นแนวร่วมอิสลามปลดปล่อยปัตตานี หรือ BIPP /


รวมถึงการให้สัมภาษณ์ของผู้นำประเทศระดับ นนายกรัฐมตรีที่กล่าวว่า
“โดยปกติพอใกล้การประชุมโอไอซี จะมีความพยายามก่อเหตุหรือยั่วยุให้เกิดการตอบโต้ด้วยความรุนแรง เพื่อนำไปใช้เป็นเงื่อนไข ซึ่งกำลังมีการสอบสวนอยู่เหมือนกันว่ามีข้อสังเกตต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบางเรื่อง แต่เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะต้องยึดกรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่ตกเป็นเหยื่อของการยั่วยุ และวงจรความรุนแรงเพื่อนำไปสร้างเป็นเงื่อนไข หรือขยายผลในเวทีต่างประเทศ”


หรือระดับ ผู้บัญชาการทหารบกแห่งประเทศไทย ที่ให้สัมภาษณ์ว่า
“ทำไมเหตุการณ์ในพื้นที่ยังไม่จบ อยากบอกว่าตราบใดคนเหล่านี้ ที่สมองถูกบ่มเพาะและถูกล้างสมอง ที่ทำทุกวันนี้เพื่อความถูกต้องหรือเพื่ออะไรต่างๆ ไม่ว่าชาติพันธุ์ทางประวัติศาสตร์ คนเหล่านี้ยังมีอยู่ ดังนั้นเมื่อเราไม่สามารถเปลี่ยนสมองคนพวกนี้ได้ หรือคนเหล่านี้ยังเกิดความคับแค้นใจและความเข้าใจในรัฐ ไม่เข้าใจด้านกฎหมาย เขาก็พร้อมปฏิบัติการ แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะสามารถแบ่งประเทศเราออกไปได้ ยังไงก็แบ่งไม่ได้ เพราะเขาไม่สามารถรวมกำลังขนาดใหญ่ไปยึดพื้นที่ได้ แต่ถ้าพื้นที่ไหนมีการยึดครองเมื่อไร เราต้องใช้กำลังเข้าปราบปรามเป็นลักษณะการสู้รบ ซึ่งเราไม่อยากปฏิบัติลักษณะนั้น เพราะจะทำให้สถานการณ์รุนแรงในสายตาชาวโลก
"

นี่คือสูตรสำเร็จในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในปัจจุบัน ครับ



เหตุการณ์ความรุนแรงรายวันใน จชต. ทุกวันนี้ จะไม่พูดถึงหรือวิเคราะห์ว่า เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เป็นการกระทำของ ใคร...? กลุ่มใด...? แต่จะพูดถึงข้อเท็จจริง ของตัวปัญหา ๓ ประเด็นหลัก ที่ทำให้รัฐแก้ปัญหาไฟใต้ไม่ได้

ประเด็นแรก : ความผิดพลาดในยุทธการของกองทัพ ( ปัญหาเรื่อง ผบ.ฉก.เลขตัวเดียว กับ ผบ.ฉก.เลขสองตัว)

ความผิดพลาดดังกล่าวก็คือ การจัดหน่วยกำลังในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา โดยการจัดวางกำลังในปัจจุบันอยู่ในรูปของ "หน่วยเฉพาะกิจ" หรือ ฉก. แยกเป็นจังหวัดและอำเภอไล่ลงไป โดยมีตัวเลขกำกับ กล่าวคือ

- หน่วยเฉพาะกิจยะลา (ฉก.1 เดิม) รับผิดชอบ จ.ยะลา ทั้งจังหวัด ประกอบด้วยกำลังของกองทัพบก 6 กองพัน และกำลังตำรวจ 1 กองกำกับการ (ตำรวจตระเวนชายแดน / ตชด.)

- หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี (ฉก.2 เดิม) รับผิดชอบ จ.ปัตตานี ทั้งจังหวัด ประกอบด้วยกำลังของกองทัพบก 5 กองพัน และกำลังนาวิกโยธิน (ทหารเรือ) 1 กองพัน

- หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส (ฉก.3 เดิม) รับผิดชอบ จ.นราธิวาส ทั้งจังหวัด ประกอบด้วยกำลังของกองทัพบก 7 กองพัน และกำลังนาวิกโยธิน 2 กองพัน

- หน่วยเฉพาะกิจสงขลา (ฉก.4 เดิม) รับผิดชอบ 4 อำเภอของ จ.สงขลา คือ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ประกอบด้วยกำลังของกองทัพบก 1 กองร้อยทหารราบ และกำลังตำรวจ 1 กองกำกับการ (ตชด.)

นอกจากนั้นยังมี "หน่วยเฉพาะกิจทหารพราน" หรือ ฉก.ทพ. กระจายอยู่ในพื้นที่ป่าเขาอีกหลายกองพัน รวมถึงหน่วยปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือไอโอ จากหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (หมวกแดง) และ "หน่วยเฉพาะกิจอโณทัย" รับผิดชอบภารกิจเก็บกู้ทำลายล้างวัตถุระเบิดด้วย

จุดที่น่าสนใจก็คือ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจระดับจังหวัด หรือที่เรียกกันติดปากว่า "ผบ.ฉก.เลขตัวเดียว" ปัจจุบันเป็นนายทหารยศ "พลตรี" มีภารกิจ คุมกำลังระดับจังหวัด ซึ่งกองกำลังที่ปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละจังหวัดมาจากต่างกองทัพภาคกัน

โดยหน่วยเฉพาะกิจยะลา เป็นทหารจาก (กองทัพภาคที่ 3)
หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี เป็นทหารจาก (กองทัพภาคที่ 2) และ(แค่เดินถนนในตัวเมืองก็หลงแล้ว)
หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เป็นทหารจาก (กองทัพภาคที่ 1)


ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจจังหวัด หรือ ผบ.ฉก.เลขตัวเดียว เป็นทหารระดับรองแม่ทัพหรือเสนาธิการจากแต่ละกองทัพภาค ผู้ที่คิดสูตรนี้คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) (เจ้าพ่อเรือเหาะที่ยังเหาะไม่ได้ในทุกวันนี้) และนำการจัดกำลังลักษณะนี้มาใช้ตั้งแต่เขาก้าวขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.

วัตถุประสงค์ที่ พล.อ.อนุพงษ์ ตั้งเอาไว้ก็คือ ผบ.ฉก.แต่ละคนจะได้แข่งกันทำงาน คือมีความพร้อมทั้งฝ่ายเสนาธิการและยุทธการ

แต่ปัญหาที่มักไม่ค่อยมีใครพูดถึงก็คือ ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจ หรือ ผบ.ฉก.ระดับจังหวัดเหล่านี้มาจากต่างกองทัพภาค และไม่ได้ขึ้นตรงกับแม่ทัพภาคที่ 4 เมื่อ ผบ.ทบ.มีนโยบายให้ทำงานแข่งกัน สายการบังคับบัญชาของพวกเขาจึงต้องวิ่งเข้าหาแม่ทัพภาคของตัวเอง และตัว ผบ.ทบ. 

เป้าหมายก็คือการขยับสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในการแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี อันเป็นตำแหน่งที่สูงขึ้นในกองทัพภาคของตัวเอง หาใช่กองทัพภาคที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่

โครงสร้างที่เป็นอยู่ทำให้เกิดปัญหาแม่ทัพภาคที่ 4 (เจ้าของพื้นที่) ไม่มีอำนาจบังคับบัญชาที่แท้จริง แต่ ผบ.ฉก.สามารถขับเคลื่อนงานยุทธการได้อย่างอิสระ ภายใต้การกำกับในระดับสูงสุดโดย ผบ.ทบ.

ยิ่งไปกว่านั้น ใน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังตั้ง "กองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร" หรือ พตท.ขึ้นมาเพื่อดูแลหน่วยกำลังทั้งหมด โดยมีผู้บัญชาการเป็นนายทหารยศ "พลโท" จากเดิม "พลตรี" ซึ่งการขยับเพิ่มยศก็เพื่อให้สามารถบังคับบัญชาบรรดา ผบ.ฉก.ระดับจังหวัดได้นั่นเอง

จากนโยบาย "แข่งกันทำงาน" ทำให้ ผบ.พตท. ไม่ได้มีสภาพต่างไปจาก แม่ทัพภาคที่ 4 เท่าใดนัก จะเห็นได้ว่าบทบาทของ ผบ.พตท. ส่วนใหญ่จะทำได้แค่เรียกประชุม “ ผบ.ฉก.เลขสองตัว” คือหน่วยเฉพาะกิจระดับอำเภอ ซึ่งผู้บังคับหน่วยจะมียศ "พันเอก"

ที่หนักที่สุดคือนโยบายด้านยุทธการทั้งหมดถูกกำหนดมาจาก ผบ.ทบ. จะเห็นได้ว่า พล.อ.อนุพงษ์ ในขณะนั้น(ปี             2551-2553      ) ลงพื้นที่ถี่ยิบ ราวกับว่าตัวเองเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 และทุกนโยบายในพื้นที่ล้วนสั่งตรงมาจากข้างบน

นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะ ถาวร เสนเนียมรมช.มหาดไทย ในฐานะแม่ทัพดับไฟใต้ของรัฐบาล เคยเสนอในที่ประชุมวงจรปิดจนเป็นที่ฮือฮามาแล้วว่า เขาต้องการให้ถอนทหารจากกองทัพภาคอื่นๆ ออกไปจากพื้นที่ทั้งหมด เพื่อเปิดทางให้กองทัพภาคที่ 4 ในฐานะเจ้าของพื้นที่ได้ทำงานร่วมกับกองกำลังประชาชนที่จัดตั้งขึ้น ทั้ง อส. (อาสารักษาดินแดน) ชรบ. (ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน) อรบ. (อาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน) และ อรม. (อาสาสมัครรักษาเมือง) เพราะทหารที่เกาะติดพื้นที่มานานย่อมเข้าใจพื้นที่มากกว่า และน่าจะสร้างปัญหาน้อยกว่าทหารจากนอกพื้นที่ที่ "มาแล้วก็ไป"

ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ออกมาขานรับแนวคิดนี้ แม้ท่าทีของฝ่ายการเมืองจะสอดรับกับแนวทางที่ ผบ.ทบ.วางเอาไว้ในท้ายที่สุด คือถอนทหารจากกองทัพภาคอื่นๆ ออกไปเมื่อสถานการณ์ความไม่สงบอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เพื่อเปิดทางให้ "กองพลทหารราบที่ 15" หรือ "กองพลพัฒนาและพิทักษ์ทรัพยากร" รับไม้ต่อ ซึ่งกรอบเวลาคร่าวๆ ที่วางเอาไว้คือปีที่ 8-10 ในแผนดับไฟใต้ 10 ปีของ ผบ.ทบ.

ทว่าความไร้เอกภาพและยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดดังที่เห็นและเป็นอยู่ ณ ปัจจุบัน ทำให้น่าคิดไม่น้อยว่ากว่าจะถึงวันนั้น สถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้นได้จริงหรือไม่

นโยบายที่จะให้ “ทำงานแข่งกัน” เพื่อแก้ไขปัญหา นับเป็นเรื่องที่ดี น่ายกย่องสรรเสริญ แต่สิ่งที่ติดตามมาจากการ “ทำงานแข่งกัน” โดยมีสิ่งตอบแทนคือ ยศ,ตำแหน่ง,เงินเดือน ที่สูงขึ้น เป็นเดิมพัน “การทำงานแข่งกัน” จึงกลายเป็น “ทำงานปัดแข้งปัดขากัน”

จนท้ายสุดกลายเป็น “การทำลายล้างกัน”ในที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะมีคำว่า “เกลือเป็นหนอน,หนอนบ่อนใส้ หรือ มีใส้ศึก ” เกิดขึ้นในเหตุการณ์บุกทะลวงฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ ในครั้งนี้


สิ่งที่น่าจับตามองในเหตุการณ์ครั้งนี้ก็คือ หลุมระเบิดจำนวน 20 หลุมจากอานุภาพของเครื่องยิงระเบิด M 79 ที่ถูกระดมยิงเข้าไปในฐานนั้น ตัวเครื่องยิงระเบิดพอจะทำใจได้ว่า กลุ่มผี อาจจะไปว่าจ้างโรงกลึงทำขึ้นมาแต่ที่ทำใจไม่ได้และยอมรับไม่ได้ก็คือ เจ้าตัวลูกระเบิดนี่แหล่ะ ที่กองทัพจะต้องตอบให้ประชาชนที่เสียภาษีให้กระจ่างหน่อยว่า มันมาจากไหน กลุ่มผี มันได้พัฒนาไปไกลถึงกับสั่งซื้อมาจากต่างประเทศเลยหรือ ข้องใจจริงๆ

ประเด็นที่สอง : ความผิดพลาดในนโยบาย

แนวคิดในการที่จะสลายมวลชนในแต่ละพื้นที่ที่มีปัญหา ไม่ว่าปัญหาที่พื้นที่นั้น เป็นแหล่งซ่องสุม แหล่งพักพิง หรือแหล่งหลบซ่อน อย่างที่บอกไว้

นี่คือนโยบายอันชาญฉลาดของนักการเมือง ที่จ้างให้ประชาชนในพื้นที่ที่ไม่มีงานทำอยู่แล้ว มาตายแทนเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเสียค่าจ้างน้อย ค่าเยียวยาช่วยเหลือก็น้อย ไม่ต้องมีพวงหรีดหรูหรา ไม่ต้องขอยศ,เงินเดือนเพิ่ม และไม่ต้องรับผิดชอบผูกพันไปถึงลูกๆของคนที่ตาย ที่ต้องหาโรงเรียนให้เรียนต่อ หรือหางานให้ทำ เหมือนเช่นเจ้าหน้าที่รัฐ จาก ร.อ.กระโดดเป็น พล.อ. ใครไม่อยากตายให้มันรู้ไป

ประเด็นสำคัญ นโยบายของรัฐ รวมถึงนโยบายห่วยๆที่เกิดจากก้อนสมองของ ผู้ว่าราชการจังหวัด ในการที่จะพยายาม แย่งมวลชนกลับคืนมา อาทิ นโยบายของจังหวัดยะลา “ นโยบาย สี่เสาหลัก (ฮูกุมปะก๊ะ) ” อันนี้แหละ ที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่ ในหมู่บ้าน/ตำบล เกิดความหวาดระแวงกันเอง

วันดีคืนดีเห็นเพื่อนบ้านที่เคยร่วมวง ดื่มน้ำชา นินทานาย (นายในที่นี้ทางใต้เขาหมายถึงเจ้าหน้าที่รัฐ) ทุกเช้า เกิดแต่งเครื่องแบบและพกอาวุธปืนทั้งสั้นและยาว เป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น และผลของการตกใจก็คือ ตายครับ ในห้วงระยะเวลาปลายปี 2553 ถึง ม.ค.2554 อาสาสมัครในสามจังหวัดชายแดนใต้ตายไปแล้วไม่ต่ำกว่า 20 คน พร้อมกับของแถมคืออาวุธปืน

ปัญหาดังกล่าวขอถามบรรดาแม่ทัพนายกอง ผู้ว่าทุกคน รวมไปถึงรัฐบาลว่า รู้เรื่องเกี่ยวกับคำว่า “เขตงาน” ดีพอหรือไม่ หรือว่ารู้อยู่เต็มอกแต่ไม่กล้าพูดหรือให้สัมภาษณ์.......????? 

จากข้อมูล “เขตงาน” ที่ระบุในรายละเอียด เกี่ยวกับการปฏิบัติการของกลุ่มที่รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐในปัจจุบันเรียกว่า “กลุ่มก่อความไม่สงบ” นั้น หากศึกษาในรายละเอียด และวิเคราะห์ถึงความเป็นจริงของเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ เป็นต้นมานั้น จะปรากฏเห็นชัดว่า การปฏิบัติการของกลุ่มลึกลับ (กลุ่มผี) จะพัฒนารุดหน้าไปมากในทุกๆด้าน ไม่ว่าทางด้านหฤโหด อำมหิต และความทันสมัยในยุคสงครามไซเบอร์ ที่หน่วยงานภาครัฐตามไม่ทัน

การพัฒนาดังกล่าว มิใช่พัฒนาในด้านกำลังรบหรือการมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย แต่เป็นการพัฒนาโดยไม่ใช้อำนาจทางทหาร แต่เน้นกลยุทธ์ที่ว่า "หากทำให้มวลชนเชื่อหรือศรัทธาไม่ได้..ให้ใช้วิธีทำให้กลัว" อันเป็นการปูทางเพื่อเตรียมการวางโครงสร้างการจัดตั้งองค์กรมวลชนขึ้น "ทับซ้อน" กับการปกครองของรัฐไทย

โดยเริ่มจากหมู่บ้าน,ตำบล ไปสู่อำเภอ,จังหวัด จนถึงภาค ประเด็นดังกล่าว มีความเป็นไปได้สูง โดยศึกษาจากเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆที่ผ่านมา ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๕๒

ประเด็นสำคัญ แล้ว ใคร? และ กลุ่มใด? ที่สามารถวางโครงสร้างการจัดตั้งองค์กรมวลชนขึ้นมา “ทับซ้อน” กับการบริหารงานของภาครัฐได้ นับเป็นปัญหาที่ท้าทายสำหรับหน่วยงานของภาครัฐ ที่เพียบพร้อมไปด้วยกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และงบประมาณอันมหาศาลเป็นอย่างยิ่ง


ประเด็นสุดท้าย : สงครามไซเบอร์เริ่มที่ชายแดนใต้

“ ปราชญ์ซุนวู” ท่านกล่าวว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” อย่าไปดูถูกฝ่ายตรงข้ามเป็นเด็ดขาด อย่าเห็นว่าเขานุ่งโสร่งซอมซ่อ ทำงกๆเงิ่นๆ นั่นแหล่ะ นักรบไซเบอร์รุ่นใหม่ล่ะครับ ปัจจุบันเขาใช้อินเตอร์เนทกันแล้ว ไม่เหมือนทหารไทยเรา ที่ยังสะพายปืนสงครามแต่งเครื่องแบบสนาม วิ่งซอกๆตามสวนยางอยู่นั่นแหล่ะ

ต้องยอมรับว่าในโลกยุคใหม่ เป็นโลกที่ไร้พรมแดน (แต่ก็ยังมีกลุ่มที่พยายามแบ่งแยกดินแดนอยู่ทุกวันนี้) อำนาจการสั่งการ,การโต้ตอบทางการเมือง รวมถึงการทำสงครามจิตวิทยา มันได้ก้าวไกลไปมากแล้ว รัฐบาลและกองทัพไทยอย่าได้หลงลำพองว่าเก่งกว่า ฉลาดกว่า มีคนหนุนหลังที่ดีกว่า เป็นอันขาด

มิฉะนั้นแล้วผมและท่านทั้งหลายอาจจะไม่มีที่สำหรับซุกหัวนอน
************

กลุ่มขบวนการพูโลเผยแพร่บทความ วันที่ 8 มกราคม 2554:ถาวรหรือจะเปลี่ยนใจอันแน่วแน่ของนักสู้ปตานี 

ต่อไปนี้เป็นเอกสารโฆษณาชวนเชื่อของPULO เผยแพร่ทางเวบไซต์ขององค์การPULOเมื่อ 8 มกราคมที่ผ่านมา การนำเสนอนี้เพื่อให้ได้รู้ท่าทีทัศนะของPULOต่อนโยบายของรัฐบาลไทย ไม่มีเจตนาอื่น


ตามที่นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการทำลายล้างชนชาวมลายูปตานี เปิดเผยกรณีคณะรัฐมนตรีจักรวรรดิ์นิยมไทยเมื่อ 4 ม.ค.2554 เห็นชอบการประกาศกำหนดบทลงโทษนักต่อสู้ปตานีที่กำลังบั่นทอนการคงอยู่ของจักรวรรดิ์นิยมไทย ณ เขตดินแดนยึดครอง(ปตานี) ในขณะนี้ ในนามของ มาตรา 21 แห่งพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในของจักรวรรดิ์นิยมไทย พ.ศ 2551


และตามที่กองอำนวยการรักษาผลประโยชน์ของจักรวรรดิ์นิยมไทย (กอ.รมน.) เสนอ เพื่อประกาศใช้ในพื้นที่นำร่อง 4 อำเภอของ จ.สงขลา เพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายการทำลายล้างอย่างละมุนละไมของรัฐบาล ซึ่งจะต้องรอคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณารายละเอียดว่า จะจัดการอย่างไรกับนักสู้ปตานีในฐานความผิดที่ขัดขืนต่อทางการจักรวรรดิ์นิยมไทยทุกรูปแบบภายใน 1 สัปดาห์นั้น


รมช.คลั่งชาติไทย (ที่กลายพันธุ์จากมลายูฮินดู/พุทธศรีวิชัยก่อนถูกสุโขทัยรุกราน นัคาราศรีดารมาราชาและบริเวณใกล้เคียง) คนนี้พยายามจะกล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาลจักรวรรดิ์นิยมไทยมีจุดประสงค์เพื่อกล่อมใจผู้ถูกกล่าวหาว่า กระทำทุกรูปแบบที่ทางการจักรวรรดิ์นิยมไทยถือว่ามีความผิดอันเนื่องมาจากมีผลกระทบต่อความมั่นคงโดยตรงนั้น ให้คิดใหม่และหลอกตัวเองว่า หลงผิดหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และย้ำอีกว่าจะมีคณะกรรการที่เกี่ยวข้องตามกระบวนการ 3 คณะ


คือ 1.คณะกรรมการรับการยอมจำนน (เพื่อยุติการต่อสู้ตามหนทางของอัลลอฮผู้ทรงยิ่งใหญ่เหนือพื้นพิภพ)


2.คณะกรรมการทรมานกายและใจในรูปของการกลั่นกรองกลั่นแกล้งและสอบสวนพิเศษในรูปของการข่มขู่ต่างๆนานา


3.คณะกรรมการสยบลบหลู่แล้วทำทีเยียวยา โดยเฉพาะการเยียวยาเพื่อกู้หน้าต่อผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายจักรวรรดิ์นิยมไทย โดยไม่ได้คำนึงถึงท่าทีความรู้สึกของผู้เสียหายแต่ประการใด ท้ายสุดจะถูกสั่งเข้ารับการอบรมล้างสมองในโรงเรียนที่ให้ชื่อสุดหรูว่า สันติสุข (จอมปลอม)


เพียงเท่านี้หรือที่นายถาวรทำได้ หลังกลับจากไปเที่ยวเตร่ที่ไอร์แลนด์เหนือ? ทำไมไม่เปิดโปงด้วยว่าคนไอร์แลนด์เขาอยู่เย็นเป็นสุขได้อย่างถาวร(ที่ไม่เสนเนียม)ได้ เนื่องจากพวกเขาสามารถปลดเปลื้องความคิดคลั่งชาติอย่างบ้าบิ่นหันหน้าไปสู่ความเป็นมนุษยธรรม?


ถ้าจะเริ่มแรกด้วยการเคารพในสิทธิอันชอบธรรมและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ อันดับแรกสุดจำเป็นต้องพิจารณาตนเองยุติการกระทำอันเป็นอันธพาลด้วยวาจาและการกระทำต่อชนชาวมลายูมุสลิมปตานีผู้รักสันติ ณ ดินแดนที่พวกเขาตั้งสมญานามว่า ดินแดนแห่งสันติภาพ




อ่านข่าวสารนี้แล้วนึกไปถึงงบประมาณทหารปีละนับหมื่นล้านเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ งบลับกองทัพที่ประชาชนตรวจสอบไม่ได้ การค้าอาวุธเถื่อนและตลาดมืด ซึ่งไม่รู้ใครหรือนักการเมืองหน้าไหนเกี่ยวข้องหรือได้ประโยชน์อยู่กับมันบ้าง ทำเอาสงสัยว่า ยุทธการทางการทหารที่ใช้กันแบบนี้ เป็นยุทธการดับไฟใต้


หรือเลี้ยงไฟใต้ (ไว้ให้นานๆ) กันแน่ !!!..


******************************************



ใครจุดไฟใต้ ? ปมที่รัฐคิดไม่ออก! บอกไม่ถูก!

“ตุรงแง” คือกลุ่มคนที่มีหน้าที่ในการปฏิบัติการ ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่ได้ถูกกำหนดหน้าที่ในการปฏิบัติการ ตามกรอบใหญ่ที่เรียกว่า “เขตงาน” ที่กลุ่มขบวนการ BRN-COORDINATE ได้กำหนดไว้ ตามแผนการ การสร้างมวลชนและบุคลากรเพื่อ “ทับซ้อน” กับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล






โดย ปาแด งา มูกอ
24 มกราคม 2554


ตุรงแง” คืออะไร? ใคร?คือ “ตุรงแง”


“ตุรงแง” เป็นภาษาถิ่นมลายู ที่มีความหมายว่า “ทหารบ้าน”


จากข้อมูล ที่ได้มีการระบุว่า “ตุรงแง” คือกลุ่มคนที่มีหน้าที่ในการปฏิบัติการ ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้


เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่ได้ถูกกำหนดหน้าที่ในการปฏิบัติการ ตามกรอบใหญ่ที่เรียกว่า “เขตงาน” ที่กลุ่มขบวนการ BRN-COORDINATE ได้กำหนดไว้ ตามแผนการ การสร้างมวลชนและบุคลากรเพื่อ “ทับซ้อน” กับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล


โดยเฉพาะการทำลายความเชื่อมั่นต่อประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ทุกภาคส่วน ต่อการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐ ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์และเหตุการณ์การก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (รายวัน) ที่เริ่มรุนแรงมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๔๗ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

โครงสร้าง “ตุรงแง”


ขบวนการ BRN-COORDINATE ได้กำหนดและจัดโครงสร้างเพื่อหลอมรวม งานมวลชนและงานด้านการทหารไว้ที่ตำแหน่ง “ตุรงแง” หรือ “ทหารบ้าน” ในการทำหน้าที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวในพื้นที่ทุกรูปแบบ


ส่วนใหญ่บุคลากรในกลุ่มนี้เป็นเด็กหนุ่มที่ร่างกายไม่แข็งแรง ไม่สามารถผ่านขั้นตอนไปเป็นนักรบหลักอย่างคอมมานโด หรือกองกำลังติดอาวุธประจำหมู่บ้านอย่าง RKK ได้


แต่ได้ทำพิธี ซูเปาะ (สาบานตน) มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงได้รับมอบหมายให้มาทำหน้าที่ในงานโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ ของขบวนการ จัดทำใบปลิว และนำพาตนเองไปอยู่ในร้านน้ำชาประจำหมู่บ้านเพื่อพูดชักจูงใจ และสร้างภาพอันเหี้ยมโหดอำมหิตของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้ชาวบ้านเกิดอาการหวาดกลัวและเกลียดชัง


ในที่สุดนำไปสู่ความร่วมมือกับขบวนการ


บางส่วนของ “ตุรงแง” ที่เข้ามาให้ความร่วมมือช่วยเหลือการปฏิบัติงานกับเจ้าหน้าที่รัฐจนได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ ได้สวมโอกาสดังกล่าว ในการปล่อย ข่าวลวง ชี้นำ บิดเบือน และเบี่ยงเบนข้อมูลที่เป็นจริง


เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐ เกิดความไขว้เขวหรือเข้าใจผิด อาทิ การใส่ร้ายป้ายสีกลุ่มบุคคล หรือสถาบันทางสังคม เช่น ปอเนาะ มัสยิด หรือกลุ่มประชาชนที่เป็นกลาง


เมื่อเจ้าหน้าที่ (หลงเชื่อ) ใช้กำลังปิดล้อมหรือตรวจค้น,จับกุม,ควบคุมตัวเพื่อซักถาม กลับจะเป็นการผลักกลุ่มบุคคลหรือสถาบันทางสังคมเหล่านี้ ไปสู่ความร่วมมือกับขบวนการและต่อต้านต่อสู้กับอำนาจรัฐในที่สุด


( ณ ปัจจุบันวันนี้ ยังไม่มีใครหรือหน่วยงานรัฐใดในพื้นที่ จะสามารถล่วงรู้ว่าบุคคลใดหรือบุคลากรใดรวมถึง สายข่าวหรือแหล่งข่าวคนใด คือ “ตุรงแง” ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่รู้ว่า “ตุรงแง” ได้เข้ามาแฝงตัวไว้จำนวนมากมายเท่าใด ?)


“ตุรงแง” ยังมีหน้าที่หลักอีก 3 ประการ ดังนี้


1.สืบข่าวความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่รัฐ และสมาชิกใน อาเยาะห์ทุกคนที่มีพฤติกรรมเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐ รวมทั้งพฤติกรรมของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำศาสนาในหมู่บ้านจัดตั้ง (อาเยาะห์)


2.ช่วยเหลือสนับสนุนการปฏิบัติการทางการทหารแก่กลุ่มนักรบ ด้วยการจัดหาอาวุธจากแหล่งซุกซ่อนใน อาเยาะห์ หรือจัดเก็บอาวุธที่ใช้ปฏิบัติการและอาวุธที่ยึดได้จากเจ้าหน้าที่ไปเก็บซุกซ่อนไว้ ณ แหล่งซุกซ่อนอาวุธในพื้นที่ อาเยาะห์


3.ปฏิบัติการขัดขวาง เจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้การปฏิบัติการของกลุ่มนักรบประสบความสำเร็จ เช่น การตัดต้นไม้ขวางถนน โปรยตะปูเรือใบ ขัดขวางการไล่ติดตามหรือส่งกำลังมาสนับสนุนของ เจ้าหน้าที่รัฐ


นี่คือบทบาทหน้าที่อันสำคัญของ “ตุรงแง” ที่สร้างปัญหาให้กับเจ้าหน้าที่รัฐมาโดยตลอด


จากข้อมูลของที่ได้มีการระบุว่า “ตุรงแง” คือกลุ่มคนที่มีหน้าที่ในการปฏิบัติการ ก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่ได้ถูกกำหนดหน้าที่ในการปฏิบัติการ ตามกรอบใหญ่ที่เรียกว่า “เขตงาน” ที่กลุ่มขบวนการ BRN-COORDINATE ได้กำหนดไว้ ตามแผนการ การสร้างมวลชนและบุคลากรเพื่อ “ทับซ้อน” กับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนั้น


รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่ปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ มีการดำเนินการหรือแก้ไขปัญหาที่สำคัญเช่นนี้อย่างไร จึงทำให้เกิดความสงสัยและคลางแคลงใจว่า ปัญหาการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐอเมริกา ก็มีความเป็นห่วงเป็นใยประเทศไทยอย่างสุดซึ้งเช่นเดียวกัน


โดยได้ประสานความร่วมมือมายังรัฐบาลไทย และได้กำหนดให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่ก่อการร้าย เพื่อร่วมมือในการปราบปราม กลุ่มก่อการร้าย ที่สหรัฐฯ กำหนดเป็นแผนนโยบายไว้ ซึ่งนอกจากจะใช้ในประเทศของตนเองแล้ว ยังเผื่อแผ่ไปยังประเทศพันธมิตรและประเทศในกลุ่มเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย




แต่รัฐบาลไทย ต้องการสงวนไว้เป็นเพียง กลุ่มก่อความไม่สงบ (กลัวคำว่า กลุ่มก่อการร้าย เพราะว่าคำนี้ เก็บไว้ใช้ใน กทม.และกลุ่มเสื้อแดงโดยเฉพาะ)ไว้เท่านั้น




แต่จากข้อมูลความเป็นจริงที่มีการระบุว่า การก่อการร้าย ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TERRORISM IN SOUTHEAST ASIA) เป็นปัญหาที่สำคัญอีกปัญหาหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(Southeast Asia) ซึ่งมีอยู่ 11 ประเทศ คือ บรูไน กัมพูชา ติมอร์ตะวันออก อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย พม่า ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม


โดยเฉพาะปัญหา การก่อการร้าย ในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย จะมีความรุนแรงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคแห่งนี้ ได้แก่ กลุ่มอาบูไซยาฟในฟิลิปปินส์ และกลุ่มเจไอของ ญะมาอะห์ อิสลามียะห์(Jama ah Islamiyah)ในอินโดนีเซีย ที่มีความชัดเจนมากที่สุด


สำหรับเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยนั้น ยังไม่มีผู้ชี้ชัดว่ามีการเชื่อมโยงโดยตรงกับกลุ่มก่อการร้ายทั้งสองกลุ่ม


เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงมีคำถามว่าแล้วทำไม สหรัฐอเมริกา จึงต้องให้รัฐบาลไทยร่วมมือในการปราบปราบกลุ่ม ก่อการร้าย ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งๆที่ไม่มีความชัดเจนของกลุ่ม ก่อการร้าย ไม่มีความชัดเจนของกลุ่มที่ต้องการ แบ่งแยกดินแดน


สรุปแล้ว ในเมื่อความไม่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็น กลุ่มก่อการร้ายหรือกลุ่มก่อความไม่สงบและกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ไม่เคยปรากฏตัวเหมือนดังเช่น กลุ่มก่อการร้าย,กลุ่มก่อความไม่สงบ,กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในประเทศอื่นๆ ที่เขาปฏิบัติกัน จนกลายเป็นระดับก่อการร้ายสากล


ตรงกันข้ามกลับมีแต่ความว่างเปล่า ไร้ตัวตน ไร้ร่องรอย แต่ศักยภาพในการก่อความไม่สงบกลับรุนแรงและอันตรายร้ายแรงอย่างยิ่ง หรือว่า ทหารตำรวจและหน่วยงานภาครัฐของเรา กำลังต่อสู้อยู่กับ “ผี”


แล้วหน่วยกำลัง “ผี” เหล่านี้ (ไม่ว่าจะมีชื่อเรียกว่าอย่างไรก็ตาม) ใคร? เป็นคนสร้างมันขึ้นมา และเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? ในการสร้างสถานการณ์,เหตุการณ์ความรุนแรง จนสร้างความเสียหายต่อชีวิตทรัพย์สินทั้ง จนท.รัฐและประชาชนไปเป็นจำนวนมาก


*******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:


-ไฟใต้่ที่รัฐไม่กล้ามอง ไม่กล้าแก้ และไม่กล้าพูด! ..นโยบายที่จะให้ “ทำงานแข่งกัน” เพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี ยศ,ตำแหน่ง,เงินเดือน ที่สูงขึ้น เป็นเดิมพัน จึงกลายเป็น “ทำงานปัดแข้งปัดขากัน” ท้ายสุดกลายเป็น “การทำลายล้างกัน”ในที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะมีคำว่า “เกลือเป็นหนอน,หนอนบ่อนใส้ หรือ มีใส้ศึก ” เกิดขึ้นในเหตุการณ์บุกทะลวงฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ ในครั้งนี้

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม