ศาสนาอิสลามเริ่มประกาศโดยนบีมูฮำมัด บุตรอับดุลเลาะห์ ที่เมืองมักกะฮ์ ซึ่งอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบียปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ.๑๑๕๓ โดยนับจากปีที่นบีมูฮำมัดอพยพมาเมืองมักกะฮ์ ไปยังเมืองมะดินะห์ เป็นการเริ่มฮิจเราะห์ศักราช (ฮ.ศ.) ที่ ๑
เมืองมักกะฮ์ในครั้งนั้นมีผู้นับถือศาสนาต่าง ๆ อยู่ ได้แก่
๑. ศาสนายิว (ยะฮู้ด)
๒. ศาสนาคริสต์ (นัศรอนีย์)
๓. ศาสนาบูชาเจว็ด (มุซรีกีน)
ความเป็นอยู่ของชาวเมืองมักกะฮ์ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการค้าขายและการเกษตร ในด้านการค้าจะมีกองคาราวานนำสินค้าจากเมืองมักกะฮ์ไปขายที่เมืองอื่น ๆ เช่น เมืองซาม(ซีเรีย) เป็นต้น สำหรับการเกษตรมีการทำสวนอินทผลัม สวนองุ่นและเลี้ยงปศุสัตว์ เป็นต้น
สภาพทางสังคมของชาวอาหรับเป็นสังคมที่ไร้อารยธรรม เรียกว่า ยาอิลียะห์ ระเบียบวินัยทางสังคมในด้านต่าง ๆ ไม่มีการกำหนดขึ้นมา และไม่มีวัฒนธรรมที่ตอเนื่องพอเป็นเกียรติประวัติแก่ชนชาติเลย เป็นการดำรงชีวิตของคนล้าหลัง อำนาจรัฐก็ไม่มีเอกภาพ ต่างกลุ่มต่างพวกต่างตระกูลอยู่กันเป็นเอกเทศ ไม่มีการรวมกันเป็นแว่นแคว้นเดียวกัน ไม่มีการประกาศเขตแดนที่แน่ชัด ไม่มีธรรมนูญใช้ปกครอง ดังนั้นปัญหาทางการเมืองจึงเกิดขึ้นเสมอ มีการรบพุ่งกันเป็นประจำ
ทางด้านเศรษฐกิจก็เป็นเพียงรักษาความอยู่รอดของตนเอง และป้องกันการฉกชิงของคนอื่น ไม่มีการจัดเศรษฐกิจาทางสังคมแต่ประการใด
จากสภาพการณ์ดังกล่าวซึ่งไม่มีการจัดระบบ ปัญหาต่าง ๆ ก็เกิดตามมาคือปัญหาสังคมอันสืบเนื่องมาจากคนไร้ศีลธรรม ไร้วัฒนธรรม และไร้หลักยึดถือที่มั่นคง ชาวเมืองมักกะฮ์จึงมีความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมถึงที่สุด มีการกดขี่ทางชนชั้น และทางเพศอย่างรุนแรง สิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนถูกจำกัดโดยผู้มีอำนาจในสังคม มีระบบทาสซึ่งได้รับการสืบทอดกันมาโดยตลอด การปล้นสะดม การฉกชิงทรัพย์สมบัติ การฉุดคร่าอนาจาร การประทุษร้ายฆ่าฟันกัน การสำมะเลเทเมา เป็นกิจกรรมและปรากฏการณ์ทางสังคม ที่ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ที่เข้มแข็งมีกำลังแรงกว่า มีอำนาจสูงกว่า ส่วนผู้ที่อ่อนแอกว่าก็ต้องอยู่แบบหวาดกลัว และไม่สามารถมีสิทธิหน้าที่ทางสังคม
นบีมูฮำมัด
ในปี พ.ศ.๑๑๑๓ เดือนรอบิอุลเอาวัล ตกอยู่ประมาณเดือนสิงหาคมในปีนั้น มีกองทัพช้างยกมาเพื่อทำลายเมืองมักกะฮ์ แต่ไม่สำเร็จ จึงเรียกปีนั้นว่าปีช้าง นบีมูฮำมัดได้ถือกำเนิดขึ้นมา มีมารดาชื่ออามีนะฮ์ ส่วนบิดาได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านนบียังอยู่ในครรภ์มารดาเพียงสองเดือน
เมื่อนบีมูฮำมัดอายุได้หกขวบ มารดาของท่านก็ถึงแก่กรรม ท่านจึงตกเป็นเด็กกำพร้าผู้ยากไร้ ปู่ของท่านคือ อับดุลมุตตอลิบ ได้เป็นผู้อุปการะท่านจนท่านอายุได้แปดขวบ ปู่ของท่านก็ถึงแก่กรรมไปอีกคนหนึ่ง หลังจากนั้นลุงของท่านคือ อะบูตอลิบก็ได้อุปการะท่านต่อมา ลุงของท่านไม่ใช่คนร่ำรวย เป็นเพียงคนดีคนหนึ่งของสังคม มีอาชีพทำการค้าซึ่งมีทุนรอนไม่มากนัก
นบีมูฮำมัดในยามเยาว์วัยมีความเป็นอยู่และการดำรงชีพไม่เหมือนกับเด็กในวัยเดียวกัน ท่านช่วยตัวเองโดยตลอด ด้วยการรับจ้างชาวเมืองมักกะฮ์เลี้ยงแพะ เพื่อหารายได้และนำรายได้นั้นให้ลุงของท่านทั้งหมด ท่านจึงเป็นที่รักใคร่ของอะบูตอลิบซึ่งแม้จะมีลูกหลายคน แต่ก็รักหลานคนนี้มากกว่าลูกคนใดทั้งสิ้น
เมื่อนบีมูฮำมัดอายุได้ประมาณเก้าขวบ ลุงของท่านก็นำท่านเดินทางไปยังเมืองซามเพื่อทำการค้า การเดินทางในครั้งนั้น เป็นการเดินทางไปต่างเมืองครั้งแรกของท่าน และวันหนึ่งขณะที่ลุงของท่านกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ ได้มีนักบวชของชาวยิวคนหนึ่งชื่อบุฮัยรอ ได้สังเกตเห็นบุคลิกลักษณะของท่านนบี จึงได้เข้ามาสอบถามลุงของท่านด้วยความสนใจ หลังจากได้สนทนากันแล้วนักบวชผู้นั้นก็บอกกับลุงของท่านว่า เด็กคนนี้มีบุญ ต่อไปจะได้เป็นนบีสุดท้ายของโลก ซึ่งมีปรากฏเรื่องนี้อยู่ในคัมภีร์เก่า ๆ ลักษณะของเด็กผู้นี้ตรงกับที่ระบุไว้ในคัมภีร์ดังกล่าวทุกประการ พร้อมกันนั้นก็ได้ขอร้องให้ลุงของท่าน นำตัวท่านเดินทางกลับเมืองมักกะฮ์เสีย เพราะอาจถูกประทุษร้ายจากศัตรูได้ และกำชับให้ดูแลท่านนบีให้ดี
อุปนิสัยของท่านนบี
ตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นบีมูฮำมัดมีอุปนิสัยดีในสังคมอาหรับในยุคนั้น เป็นผู้หลีกพ้นจากความเสื่อมโทรมทางสังคมได้ จึงเป็นที่นับถือของคนทั่วไป ท่านไม่เคยพูดเท็จ มีความจริงใจต่อทุกคนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ มีจิตใจเสียสละเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นเสมอ จนถูกขนานนามว่า อัลละมีน แปลว่า ผู้ซื่อสัตย์
เมื่อผู้อื่นจะกล่าวถึงท่าน หากไม่ระบุชื่อของท่าน ก็จะเรียกด้วยนามที่ถูกขนานให้นี้จนเป็นที่รู้กันแพร่หลาย คนอาหรับจึงรัก และนับถือท่านเป็นพิเศษ ซึ่งไม่มีผู้ใดในหมู่ชนอาหรับจะได้รับเกียรติอย่างสูงจากสังคมเท่ากับท่าน
ท่านเป็นนักต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และคุณธรรมของสังคมมาโดยตลอด เมื่ออายุได้ประมาณ ๓๐ ปีเศษ ท่านกับญาติในตระกูลกุรอยซ์ ได้ร่วมกันก่อตั้งขบวนการพิทักษ์สิทธิมนุษยชนขึ้นในสังคมอาหรับ โดยสมาชิกที่เข้าร่วมขบวนการนี้จะต้องสัญญาที่จะผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม ต้องช่วยเหลือผู้ถูกอธรรม และบำเพ็ญประโยชน์โดยมีกิจกรรมคือ คอยห้ามการวิวาทของสังคมอาหรับคอยประนีประนอมไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทที่เกิดขึ้น ขบวนการนี้ภาคอาหรับเรียกว่า ฮัลฟีลฟุดูล แปลว่า สนธิสัญญาพิทักษ์สิทธิมนุษยชนสมาชิกของขบวนการได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด และกล้าหาญจนเป็นที่เกรงใจของคนอาหรับโดยทั่วไป และเป็นกลุ่มพลังที่เป็นที่หวังของสังคมที่จะเข้ามากอบกู้ภัยสังคมที่มีอยู่อย่างกว้างขวาง แต่ขบวนการนี้ก็เป็นเพียงขอบข่ายที่คับแคบเฉพาะในสังคมย่อย ๆ เท่านั้น
นอกจากจะตั้งขบวนการดังกล่าวแล้ว ท่านยังเคยทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการตัดสินกรณีพิพาทคือ กรณีขัดแย้งอันสืบเนื่องมาจากการซ่อมแซมกะบะฮ์ ซึ่งชาวอาหรับถือเป็นมหาปูชนียวัตถุ ซึ่งทุกคนจะต้องมาสักการะบูชาเป็นประจำทุกปี และบริเวณรอบกะบะฮ์เต็มไปด้วยเจว็ดเป็นจำนวนมาก เมื่อการซ่อมแซมแล้วเสร็จ ปัญหาที่พวกอาหรับตกลงกันไม่ได้คือการยกหินดำขึ้นไปวางไว้ที่เดิม ซึ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของกาบะฮ์นั้น เพราะทุกคนก็ต้องการจะยกหินดังกล่าว เกิดการแก่งแย่งจนเกือบจะมีการรบราฆ่าฟันกัน ท่านนบีได้เดินเข้ามาในช่วงนั้นพอดี พวกอาหรับจึงมอบให้ท่านเป็นผู้ชี้ขาด ท่านจึงใช้ผ้าวางบนพื้น แล้วนำหินก้อนนั้นมาวางไว้บนผ้า จากนั้นก็เรียกให้หัวหน้าเผ่าต่าง ๆ มารวมกันจับผ้าคนละมุมจนนำหินดำมาวางไว้ ณ ที่เดิมได้ ด้วยความพอใจของทุก ๆ ฝ่าย
การประกาศหลักธรรม
เมื่อท่านนบีอายุประมาณ ๔๐ ปี ได้รับวิวรณ์จากพระเจ้าเป็นบทบัญญัติต่าง ๆ โดยที่ท่านเป็นผู้ไม่รู้หนังสือมาก่อน ไม่เคยยอ่าน หรือทราบคัมภีร์เก่า ๆ ที่เคยมีมาแต่ยุคก่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์เตารอตหรืออินยีน
ก่อนที่ท่านจะได้รับวิวรณ์ ท่านได้เข้าไปบำเพ็ญภาวนาอยู่ถ้ำภูเขาลูกหนึ่งในเมืองมักกะฮ์ ตามแบบที่ตระกูลของท่านได้สอนสืบทอดกันมาจากนบีอิบรอฮิม อันเป็นต้นตระกูลของท่าน และของพวกยะฮู๊ด (ยิว ท่านใช้เวลาติดต่อกันครั้งละ ๑๕ วัน หรือหนึ่งเดือน โดยเตรียมเสบียงอาหารเข้าไปด้วย เมื่อเสบียงหมดก็จะออกจากถ้ำไปหาเสบียงใหม่แล้วกลับเข้าถ้ำต่อไป)
เมื่อท่านได้รับวิวรณ์เป็นข้อบัญญัติจากพระเจ้าให้ท่านได้รู้ต่อการประกาศหลักธรรมแล้ว ท่านได้ใช้เวลา ๑๓ ปี ที่เมืองมักกะฮ์ เพื่อประกาศบทบัญญัติ โดยเน้นปัญหาทางความเชื่อให้มนุษย์ทั้งหลายได้เลิกการกราบไหว้บูชาวัตถุเคารพทั้งปวง ให้มีใจศรัทธาต่อพระเจ้าคือ อัลเลาะห์ ผู้มีเดชานุภาพและมีนิรันดรภาพ แต่การประกาศดังกล่าว ได้รับการต่อต้านจากชาวอาหรับ จนสุดท้ายท่านถูกวางแผนที่จะประหารชีวิตของท่านในคืนวันหนึ่ง โดยมีมือดาบสิบคน จากสิบตระกูลมาล้อมบ้านท่านไว้ แต่ท่านนบีได้หลบออกจากบ้านไปได้ด้วยความปลอดภัย โดยไม่มีการปะทะกัน จากนั้นท่านก็ได้มาพบกับอาบูมะภีร์ เพื่อนรักของท่าน ณ ถ้ำอีกแห่งหนึ่ง พวกมือดาบทั้งสิบได้ออกติดตามท่านจนมาถึงหน้าถ้ำ ที่ท่านกับอาบูมะภีร์หลบช่อนตัวอยู่ แต่ไม่พบร่องรอยใด ๆ ว่ามีคนเข้าไปในถ้ำนั้นจึงพากันกลับไป
หลังจากนั้นท่านนบีกับอาบูมะภีร์ ก็ได้ออกเดินทางไปยังเมืองมะดีนะฮ์ และก็ได้อยู่ที่เมืองนั้นประมาณ ๑๐ ปี โดยได้รับข้อบัญญัติจากพระเจ้าเป็นระยะ ๆ เช่นในด้านเศรษฐกิจ การปกครอง วัฒนธรรม และด้านสังคม เป็นต้น ในห้วงเวลาดังกล่าว ท่านได้ทำให้ประชาชาติอาหรับรวมตัวกันเป็นประชากรเดียวกัน มีอธิปไตยเป็นของตนเอง มีคัมภีร์กุรอานเป็นธรรมนูญ มีอาณาเขตและมีคณะรัฐบาลบริหารประเทศ โดยท่านเป็นผู้นำทั้งด้านอาณาจักร และศานจักรพร้อมกัน
การบริหารรัฐอิสลาม ซึ่งเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ท่านมิได้บริหารในฐานะพระราชาธิบดีแต่บริหารในฐานะทาสพระเจ้า โดยให้ทุกคนตระหนักว่า ทุกคนเป็นของพระเจ้า ประเทศเป็นของพระเจ้า และการงานทั้งมวลเป็นของพระเจ้า ท่านและทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบร่วมกัน และทุกคนมีสภาพเป็นพี่น้องไม่มีใครมีศักดิ์ศรีเหนือกว่า เกียรติเหนือกว่า โดยชาติตระกูลหรือตำแหน่ง แต่เกียรติของบุคคลขึ้นอยู่กับสำนึกนบน้อมต่อพระเจ้าเป็นสำคัญ ตลอดชีวิตการบริหารบ้านเมืองท่านเสียสละเพื่อประชาชน ไม่ได้สร้างฐานะของตนเองให้มั่งคั่งร่ำรวยแต่ประการใด ดำรงชีวิตโดยสมถะ
สถานที่บริหารบ้านเมืองของท่านใช้มัสยิดเป็นแหล่งอเนกประสงค์ เป็นที่ทำการรัฐบาล สภาสถานศึกษา ศาล และเป็นสถานที่นมัสการพร้อมกันไป โดยตัวท่านจะใช้มุมหนึ่งของมัสยิด ทำเป็นที่อยู่อาศัย
การแพร่หลายของศาสนาอิสลาม
ดินแดนตะวันออกกลาง เป็นแหล่งเกิดอารยธรรมโบราณ ซึ่งประกอบด้วยศาสนาต่าง ๆ เช่นศาสนาบูชาธรรมชาติ ศาสนาบูชาเทวรูป ศาสนายูดาย ศาสนาโซโรอาสเตอร์ และศาสนาคริสต์ ต่อมาเมื่อศาสนาอิสลามได้แพร่หลายจากแหล่งเกิดไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ก็ได้ลบล้างอารยธรรมดั้งเดิมเหล่านั้น และทดแทนด้วยอารยธรรมอิสลาม ภาษาอาหรับก็แพร่หลายครอบคลุมไปจนทั่วดินแดนดังกล่าว
ศาสนาอิสลามได้เปลี่ยนแปลงลักษณะภูมิศาสตร์การเมืองของหลายจักรวรรดิ์เช่น กรีก โรมัน และเปอร์เซีย ซึ่งสลายตัว มีวัฒนธรรมใหม่ และระบบการปกครองแบบใหม่
ผู้ที่รับหน้าที่สืบการปกครองต่อจากท่านนบีเรียกว่า คอลิฟะฮ์ (คนไทยเรียกว่า กาหลิบ) ได้ปกครองต่อมาเป็นระยะเวลาประมาณ ๓๐ ปี มีคอลิฟะฮ์สี่คน
เมื่อศาสนาอิสลามแพร่หลายในตะวันออกกลางจนทั่วถึง การแก่งแย่งอำนาจการปกครอง ความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้รูปแบบของวัฒนธรรมอิสลามในด้านการปกครองเปลี่ยนแปลงไป การปกครองระบบคอลิฟะฮ์ อันได้มาจากการเลือกตั้งเปลี่ยนมาเป็นราชวงศ์ ขึ้นมาสืบทอดอำนาจ
จีน อิสลามได้แพร่เข้าสู่เมืองจีน เนื่องจากคนอาหรับมีการติดต่อค้าขายกับจีนมาช้านานแล้ว จนท่านนบีได้กล่าวถึงการแสวงหาความรู้ว่าแม้ว่าจะไกลถึงเมืองจีนก็ตาม คนจีนรู้เรื่องของอิสลามอย่างดี ปรากฎในบันทึกพงศาวดารในราชวงศ์วถัง (พ.ศ.๑๑๔๑ - ๑๔๕๐)
มาเลเซีย พ่อค้าชาวอาหรับได้เดินทางมาค้าขาย และตั้งหลักแหล่งในแหลมมลายู หลังจากที่ได้มาตั้งหลักแหล่งทางตะวันตกของอินเดีย ในสมัยราชวงศ์อับบาซียะห์ พวกพ่อค้าได้นำสินค้าโดยทางเรือไปขายทางตะวันออกไกล ยุโรป และอัฟริกา มีการขุดพบเหรียญตราต่าง ๆ ของอาหรับ รัสเซีย ฟินแลนด์ สวีเดน และเยอรมันนี
ไทย มีหลักฐานว่าคนไทยในสมัยน่านเจ้า ก่อนที่คนไทยจะเสียอาณาจักรน่านเจ้าแก่จักรวรรดิ์มองโกล ในสมัยกุบไลข่าน เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๗๙๗ นั้น อิสลามได้แพร่หลายเข้าไปในอาณาจักรนี้ เราเรียกคนจีนยูนานที่เป็นมุสลิมว่า ฮ่อ
สมัยสุโขทัย พ่อขุนรามยคำแหง ฯ ได้ทรงแผ่อาณาเขตของกรุงสุโขทัยจนตอนใต้จดแหลมมลายูตลอดไปจนสุดปลายแหลม
สมัยอยุธยา มีมุสลิมตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นปึกแผ่น แต่เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเป็นครั้งที่สอง หลักฐานต่าง ๆ ถูกเผาทำลายไปมากเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยคือภาพรดน้ำบนบานประตูบานหนึ่งในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เข้าใจว่าเขียนไว้ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ
ที่คลองบางกอกใหญ่ได้มีมุสลิมตั้งภูมิลำเนาค้าขายอยู่บนบกก็มี อยู่แพก็มี สมัยนั้นเรียกมัสยิดว่า กุฎี กล่าวกันว่ามีมาก่อนสมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.๒๑๕๓ - ๒๑๗๑) กระดานจารึกอักษรอาหรับซึ่งถูกไฟไหม้บางส่วนครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองลอยน้ำมา ชาวคลองบางกอกใหญ่ได้เก็บรักษาไว้ที่มัสยิดต้นสนจนถึงปัจจุบัน
เมืองมักกะฮ์ในครั้งนั้นมีผู้นับถือศาสนาต่าง ๆ อยู่ ได้แก่
๑. ศาสนายิว (ยะฮู้ด)
๒. ศาสนาคริสต์ (นัศรอนีย์)
๓. ศาสนาบูชาเจว็ด (มุซรีกีน)
ความเป็นอยู่ของชาวเมืองมักกะฮ์ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการค้าขายและการเกษตร ในด้านการค้าจะมีกองคาราวานนำสินค้าจากเมืองมักกะฮ์ไปขายที่เมืองอื่น ๆ เช่น เมืองซาม(ซีเรีย) เป็นต้น สำหรับการเกษตรมีการทำสวนอินทผลัม สวนองุ่นและเลี้ยงปศุสัตว์ เป็นต้น
สภาพทางสังคมของชาวอาหรับเป็นสังคมที่ไร้อารยธรรม เรียกว่า ยาอิลียะห์ ระเบียบวินัยทางสังคมในด้านต่าง ๆ ไม่มีการกำหนดขึ้นมา และไม่มีวัฒนธรรมที่ตอเนื่องพอเป็นเกียรติประวัติแก่ชนชาติเลย เป็นการดำรงชีวิตของคนล้าหลัง อำนาจรัฐก็ไม่มีเอกภาพ ต่างกลุ่มต่างพวกต่างตระกูลอยู่กันเป็นเอกเทศ ไม่มีการรวมกันเป็นแว่นแคว้นเดียวกัน ไม่มีการประกาศเขตแดนที่แน่ชัด ไม่มีธรรมนูญใช้ปกครอง ดังนั้นปัญหาทางการเมืองจึงเกิดขึ้นเสมอ มีการรบพุ่งกันเป็นประจำ
ทางด้านเศรษฐกิจก็เป็นเพียงรักษาความอยู่รอดของตนเอง และป้องกันการฉกชิงของคนอื่น ไม่มีการจัดเศรษฐกิจาทางสังคมแต่ประการใด
จากสภาพการณ์ดังกล่าวซึ่งไม่มีการจัดระบบ ปัญหาต่าง ๆ ก็เกิดตามมาคือปัญหาสังคมอันสืบเนื่องมาจากคนไร้ศีลธรรม ไร้วัฒนธรรม และไร้หลักยึดถือที่มั่นคง ชาวเมืองมักกะฮ์จึงมีความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมถึงที่สุด มีการกดขี่ทางชนชั้น และทางเพศอย่างรุนแรง สิทธิเสรีภาพของปัจเจกชนถูกจำกัดโดยผู้มีอำนาจในสังคม มีระบบทาสซึ่งได้รับการสืบทอดกันมาโดยตลอด การปล้นสะดม การฉกชิงทรัพย์สมบัติ การฉุดคร่าอนาจาร การประทุษร้ายฆ่าฟันกัน การสำมะเลเทเมา เป็นกิจกรรมและปรากฏการณ์ทางสังคม ที่ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ที่เข้มแข็งมีกำลังแรงกว่า มีอำนาจสูงกว่า ส่วนผู้ที่อ่อนแอกว่าก็ต้องอยู่แบบหวาดกลัว และไม่สามารถมีสิทธิหน้าที่ทางสังคม
นบีมูฮำมัด
ในปี พ.ศ.๑๑๑๓ เดือนรอบิอุลเอาวัล ตกอยู่ประมาณเดือนสิงหาคมในปีนั้น มีกองทัพช้างยกมาเพื่อทำลายเมืองมักกะฮ์ แต่ไม่สำเร็จ จึงเรียกปีนั้นว่าปีช้าง นบีมูฮำมัดได้ถือกำเนิดขึ้นมา มีมารดาชื่ออามีนะฮ์ ส่วนบิดาได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านนบียังอยู่ในครรภ์มารดาเพียงสองเดือน
เมื่อนบีมูฮำมัดอายุได้หกขวบ มารดาของท่านก็ถึงแก่กรรม ท่านจึงตกเป็นเด็กกำพร้าผู้ยากไร้ ปู่ของท่านคือ อับดุลมุตตอลิบ ได้เป็นผู้อุปการะท่านจนท่านอายุได้แปดขวบ ปู่ของท่านก็ถึงแก่กรรมไปอีกคนหนึ่ง หลังจากนั้นลุงของท่านคือ อะบูตอลิบก็ได้อุปการะท่านต่อมา ลุงของท่านไม่ใช่คนร่ำรวย เป็นเพียงคนดีคนหนึ่งของสังคม มีอาชีพทำการค้าซึ่งมีทุนรอนไม่มากนัก
นบีมูฮำมัดในยามเยาว์วัยมีความเป็นอยู่และการดำรงชีพไม่เหมือนกับเด็กในวัยเดียวกัน ท่านช่วยตัวเองโดยตลอด ด้วยการรับจ้างชาวเมืองมักกะฮ์เลี้ยงแพะ เพื่อหารายได้และนำรายได้นั้นให้ลุงของท่านทั้งหมด ท่านจึงเป็นที่รักใคร่ของอะบูตอลิบซึ่งแม้จะมีลูกหลายคน แต่ก็รักหลานคนนี้มากกว่าลูกคนใดทั้งสิ้น
เมื่อนบีมูฮำมัดอายุได้ประมาณเก้าขวบ ลุงของท่านก็นำท่านเดินทางไปยังเมืองซามเพื่อทำการค้า การเดินทางในครั้งนั้น เป็นการเดินทางไปต่างเมืองครั้งแรกของท่าน และวันหนึ่งขณะที่ลุงของท่านกำลังนั่งพักผ่อนอยู่ ได้มีนักบวชของชาวยิวคนหนึ่งชื่อบุฮัยรอ ได้สังเกตเห็นบุคลิกลักษณะของท่านนบี จึงได้เข้ามาสอบถามลุงของท่านด้วยความสนใจ หลังจากได้สนทนากันแล้วนักบวชผู้นั้นก็บอกกับลุงของท่านว่า เด็กคนนี้มีบุญ ต่อไปจะได้เป็นนบีสุดท้ายของโลก ซึ่งมีปรากฏเรื่องนี้อยู่ในคัมภีร์เก่า ๆ ลักษณะของเด็กผู้นี้ตรงกับที่ระบุไว้ในคัมภีร์ดังกล่าวทุกประการ พร้อมกันนั้นก็ได้ขอร้องให้ลุงของท่าน นำตัวท่านเดินทางกลับเมืองมักกะฮ์เสีย เพราะอาจถูกประทุษร้ายจากศัตรูได้ และกำชับให้ดูแลท่านนบีให้ดี
อุปนิสัยของท่านนบี
ตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นบีมูฮำมัดมีอุปนิสัยดีในสังคมอาหรับในยุคนั้น เป็นผู้หลีกพ้นจากความเสื่อมโทรมทางสังคมได้ จึงเป็นที่นับถือของคนทั่วไป ท่านไม่เคยพูดเท็จ มีความจริงใจต่อทุกคนโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ มีจิตใจเสียสละเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่นเสมอ จนถูกขนานนามว่า อัลละมีน แปลว่า ผู้ซื่อสัตย์
เมื่อผู้อื่นจะกล่าวถึงท่าน หากไม่ระบุชื่อของท่าน ก็จะเรียกด้วยนามที่ถูกขนานให้นี้จนเป็นที่รู้กันแพร่หลาย คนอาหรับจึงรัก และนับถือท่านเป็นพิเศษ ซึ่งไม่มีผู้ใดในหมู่ชนอาหรับจะได้รับเกียรติอย่างสูงจากสังคมเท่ากับท่าน
ท่านเป็นนักต่อสู้เพื่อความยุติธรรม และคุณธรรมของสังคมมาโดยตลอด เมื่ออายุได้ประมาณ ๓๐ ปีเศษ ท่านกับญาติในตระกูลกุรอยซ์ ได้ร่วมกันก่อตั้งขบวนการพิทักษ์สิทธิมนุษยชนขึ้นในสังคมอาหรับ โดยสมาชิกที่เข้าร่วมขบวนการนี้จะต้องสัญญาที่จะผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม ต้องช่วยเหลือผู้ถูกอธรรม และบำเพ็ญประโยชน์โดยมีกิจกรรมคือ คอยห้ามการวิวาทของสังคมอาหรับคอยประนีประนอมไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทที่เกิดขึ้น ขบวนการนี้ภาคอาหรับเรียกว่า ฮัลฟีลฟุดูล แปลว่า สนธิสัญญาพิทักษ์สิทธิมนุษยชนสมาชิกของขบวนการได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเคร่งครัด และกล้าหาญจนเป็นที่เกรงใจของคนอาหรับโดยทั่วไป และเป็นกลุ่มพลังที่เป็นที่หวังของสังคมที่จะเข้ามากอบกู้ภัยสังคมที่มีอยู่อย่างกว้างขวาง แต่ขบวนการนี้ก็เป็นเพียงขอบข่ายที่คับแคบเฉพาะในสังคมย่อย ๆ เท่านั้น
นอกจากจะตั้งขบวนการดังกล่าวแล้ว ท่านยังเคยทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการตัดสินกรณีพิพาทคือ กรณีขัดแย้งอันสืบเนื่องมาจากการซ่อมแซมกะบะฮ์ ซึ่งชาวอาหรับถือเป็นมหาปูชนียวัตถุ ซึ่งทุกคนจะต้องมาสักการะบูชาเป็นประจำทุกปี และบริเวณรอบกะบะฮ์เต็มไปด้วยเจว็ดเป็นจำนวนมาก เมื่อการซ่อมแซมแล้วเสร็จ ปัญหาที่พวกอาหรับตกลงกันไม่ได้คือการยกหินดำขึ้นไปวางไว้ที่เดิม ซึ่งอยู่ที่มุมหนึ่งของกาบะฮ์นั้น เพราะทุกคนก็ต้องการจะยกหินดังกล่าว เกิดการแก่งแย่งจนเกือบจะมีการรบราฆ่าฟันกัน ท่านนบีได้เดินเข้ามาในช่วงนั้นพอดี พวกอาหรับจึงมอบให้ท่านเป็นผู้ชี้ขาด ท่านจึงใช้ผ้าวางบนพื้น แล้วนำหินก้อนนั้นมาวางไว้บนผ้า จากนั้นก็เรียกให้หัวหน้าเผ่าต่าง ๆ มารวมกันจับผ้าคนละมุมจนนำหินดำมาวางไว้ ณ ที่เดิมได้ ด้วยความพอใจของทุก ๆ ฝ่าย
การประกาศหลักธรรม
เมื่อท่านนบีอายุประมาณ ๔๐ ปี ได้รับวิวรณ์จากพระเจ้าเป็นบทบัญญัติต่าง ๆ โดยที่ท่านเป็นผู้ไม่รู้หนังสือมาก่อน ไม่เคยยอ่าน หรือทราบคัมภีร์เก่า ๆ ที่เคยมีมาแต่ยุคก่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์เตารอตหรืออินยีน
ก่อนที่ท่านจะได้รับวิวรณ์ ท่านได้เข้าไปบำเพ็ญภาวนาอยู่ถ้ำภูเขาลูกหนึ่งในเมืองมักกะฮ์ ตามแบบที่ตระกูลของท่านได้สอนสืบทอดกันมาจากนบีอิบรอฮิม อันเป็นต้นตระกูลของท่าน และของพวกยะฮู๊ด (ยิว ท่านใช้เวลาติดต่อกันครั้งละ ๑๕ วัน หรือหนึ่งเดือน โดยเตรียมเสบียงอาหารเข้าไปด้วย เมื่อเสบียงหมดก็จะออกจากถ้ำไปหาเสบียงใหม่แล้วกลับเข้าถ้ำต่อไป)
เมื่อท่านได้รับวิวรณ์เป็นข้อบัญญัติจากพระเจ้าให้ท่านได้รู้ต่อการประกาศหลักธรรมแล้ว ท่านได้ใช้เวลา ๑๓ ปี ที่เมืองมักกะฮ์ เพื่อประกาศบทบัญญัติ โดยเน้นปัญหาทางความเชื่อให้มนุษย์ทั้งหลายได้เลิกการกราบไหว้บูชาวัตถุเคารพทั้งปวง ให้มีใจศรัทธาต่อพระเจ้าคือ อัลเลาะห์ ผู้มีเดชานุภาพและมีนิรันดรภาพ แต่การประกาศดังกล่าว ได้รับการต่อต้านจากชาวอาหรับ จนสุดท้ายท่านถูกวางแผนที่จะประหารชีวิตของท่านในคืนวันหนึ่ง โดยมีมือดาบสิบคน จากสิบตระกูลมาล้อมบ้านท่านไว้ แต่ท่านนบีได้หลบออกจากบ้านไปได้ด้วยความปลอดภัย โดยไม่มีการปะทะกัน จากนั้นท่านก็ได้มาพบกับอาบูมะภีร์ เพื่อนรักของท่าน ณ ถ้ำอีกแห่งหนึ่ง พวกมือดาบทั้งสิบได้ออกติดตามท่านจนมาถึงหน้าถ้ำ ที่ท่านกับอาบูมะภีร์หลบช่อนตัวอยู่ แต่ไม่พบร่องรอยใด ๆ ว่ามีคนเข้าไปในถ้ำนั้นจึงพากันกลับไป
หลังจากนั้นท่านนบีกับอาบูมะภีร์ ก็ได้ออกเดินทางไปยังเมืองมะดีนะฮ์ และก็ได้อยู่ที่เมืองนั้นประมาณ ๑๐ ปี โดยได้รับข้อบัญญัติจากพระเจ้าเป็นระยะ ๆ เช่นในด้านเศรษฐกิจ การปกครอง วัฒนธรรม และด้านสังคม เป็นต้น ในห้วงเวลาดังกล่าว ท่านได้ทำให้ประชาชาติอาหรับรวมตัวกันเป็นประชากรเดียวกัน มีอธิปไตยเป็นของตนเอง มีคัมภีร์กุรอานเป็นธรรมนูญ มีอาณาเขตและมีคณะรัฐบาลบริหารประเทศ โดยท่านเป็นผู้นำทั้งด้านอาณาจักร และศานจักรพร้อมกัน
การบริหารรัฐอิสลาม ซึ่งเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ท่านมิได้บริหารในฐานะพระราชาธิบดีแต่บริหารในฐานะทาสพระเจ้า โดยให้ทุกคนตระหนักว่า ทุกคนเป็นของพระเจ้า ประเทศเป็นของพระเจ้า และการงานทั้งมวลเป็นของพระเจ้า ท่านและทุกคนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบร่วมกัน และทุกคนมีสภาพเป็นพี่น้องไม่มีใครมีศักดิ์ศรีเหนือกว่า เกียรติเหนือกว่า โดยชาติตระกูลหรือตำแหน่ง แต่เกียรติของบุคคลขึ้นอยู่กับสำนึกนบน้อมต่อพระเจ้าเป็นสำคัญ ตลอดชีวิตการบริหารบ้านเมืองท่านเสียสละเพื่อประชาชน ไม่ได้สร้างฐานะของตนเองให้มั่งคั่งร่ำรวยแต่ประการใด ดำรงชีวิตโดยสมถะ
สถานที่บริหารบ้านเมืองของท่านใช้มัสยิดเป็นแหล่งอเนกประสงค์ เป็นที่ทำการรัฐบาล สภาสถานศึกษา ศาล และเป็นสถานที่นมัสการพร้อมกันไป โดยตัวท่านจะใช้มุมหนึ่งของมัสยิด ทำเป็นที่อยู่อาศัย
การแพร่หลายของศาสนาอิสลาม
ดินแดนตะวันออกกลาง เป็นแหล่งเกิดอารยธรรมโบราณ ซึ่งประกอบด้วยศาสนาต่าง ๆ เช่นศาสนาบูชาธรรมชาติ ศาสนาบูชาเทวรูป ศาสนายูดาย ศาสนาโซโรอาสเตอร์ และศาสนาคริสต์ ต่อมาเมื่อศาสนาอิสลามได้แพร่หลายจากแหล่งเกิดไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ก็ได้ลบล้างอารยธรรมดั้งเดิมเหล่านั้น และทดแทนด้วยอารยธรรมอิสลาม ภาษาอาหรับก็แพร่หลายครอบคลุมไปจนทั่วดินแดนดังกล่าว
ศาสนาอิสลามได้เปลี่ยนแปลงลักษณะภูมิศาสตร์การเมืองของหลายจักรวรรดิ์เช่น กรีก โรมัน และเปอร์เซีย ซึ่งสลายตัว มีวัฒนธรรมใหม่ และระบบการปกครองแบบใหม่
ผู้ที่รับหน้าที่สืบการปกครองต่อจากท่านนบีเรียกว่า คอลิฟะฮ์ (คนไทยเรียกว่า กาหลิบ) ได้ปกครองต่อมาเป็นระยะเวลาประมาณ ๓๐ ปี มีคอลิฟะฮ์สี่คน
เมื่อศาสนาอิสลามแพร่หลายในตะวันออกกลางจนทั่วถึง การแก่งแย่งอำนาจการปกครอง ความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้รูปแบบของวัฒนธรรมอิสลามในด้านการปกครองเปลี่ยนแปลงไป การปกครองระบบคอลิฟะฮ์ อันได้มาจากการเลือกตั้งเปลี่ยนมาเป็นราชวงศ์ ขึ้นมาสืบทอดอำนาจ
จีน อิสลามได้แพร่เข้าสู่เมืองจีน เนื่องจากคนอาหรับมีการติดต่อค้าขายกับจีนมาช้านานแล้ว จนท่านนบีได้กล่าวถึงการแสวงหาความรู้ว่าแม้ว่าจะไกลถึงเมืองจีนก็ตาม คนจีนรู้เรื่องของอิสลามอย่างดี ปรากฎในบันทึกพงศาวดารในราชวงศ์วถัง (พ.ศ.๑๑๔๑ - ๑๔๕๐)
มาเลเซีย พ่อค้าชาวอาหรับได้เดินทางมาค้าขาย และตั้งหลักแหล่งในแหลมมลายู หลังจากที่ได้มาตั้งหลักแหล่งทางตะวันตกของอินเดีย ในสมัยราชวงศ์อับบาซียะห์ พวกพ่อค้าได้นำสินค้าโดยทางเรือไปขายทางตะวันออกไกล ยุโรป และอัฟริกา มีการขุดพบเหรียญตราต่าง ๆ ของอาหรับ รัสเซีย ฟินแลนด์ สวีเดน และเยอรมันนี
ไทย มีหลักฐานว่าคนไทยในสมัยน่านเจ้า ก่อนที่คนไทยจะเสียอาณาจักรน่านเจ้าแก่จักรวรรดิ์มองโกล ในสมัยกุบไลข่าน เมื่อประมาณปี พ.ศ.๑๗๙๗ นั้น อิสลามได้แพร่หลายเข้าไปในอาณาจักรนี้ เราเรียกคนจีนยูนานที่เป็นมุสลิมว่า ฮ่อ
สมัยสุโขทัย พ่อขุนรามยคำแหง ฯ ได้ทรงแผ่อาณาเขตของกรุงสุโขทัยจนตอนใต้จดแหลมมลายูตลอดไปจนสุดปลายแหลม
สมัยอยุธยา มีมุสลิมตั้งถิ่นฐานอยู่เป็นปึกแผ่น แต่เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเป็นครั้งที่สอง หลักฐานต่าง ๆ ถูกเผาทำลายไปมากเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยคือภาพรดน้ำบนบานประตูบานหนึ่งในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เข้าใจว่าเขียนไว้ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ
ที่คลองบางกอกใหญ่ได้มีมุสลิมตั้งภูมิลำเนาค้าขายอยู่บนบกก็มี อยู่แพก็มี สมัยนั้นเรียกมัสยิดว่า กุฎี กล่าวกันว่ามีมาก่อนสมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.๒๑๕๓ - ๒๑๗๑) กระดานจารึกอักษรอาหรับซึ่งถูกไฟไหม้บางส่วนครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองลอยน้ำมา ชาวคลองบางกอกใหญ่ได้เก็บรักษาไว้ที่มัสยิดต้นสนจนถึงปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น