การเสื่อมของพระพุทธศาสนาจากอินเดีย
ในอินเดียพระพุทธศาสนาในสายของราชวงศ์ปาละได้ได้ถูกทำลายลงไปในปี พ.ศ. 1638 โดยพวกเสนะซึ่งเป็นพวกต่อต้านพระพุทธศาสนาที่มาจากภาคใต้ พวกเสนะนี้เป็นพวกบูชาพระวิษณุ ได้ทำการรื้อฟื้นลัทธิบูชาพระวิษณุและให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยของฝ่ายตันตระให้เป็นสถาบันแห่งการเรียนรู้และละวัฒนธรรม อาณาจักรเสนะแห่งเบงกอลมีอายุอยู่ในช่วงสั้นๆ
ในปี พ.ศ. 1742 อาณาจักรแห่งนี้ได้ถูกพิชิตโดยพวกเติร์กและพวกอัฟกันมุสลิม ผู้รุกรานไม่เพียงแต่จะทำลายศัตรูทางการเมืองและศัตรูทางการทหารเท่านั้นแต่ได้ทำลายทั้งประชาชนและสถาบันทุกสถาบันของศาสนาอื่น พระภิกษุในพระพุทธศาสนาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพวกบูชารูปเคารพและถูกสังหารอย่างโหดร้ายทารุณ ปูชนียสถาน วัดวาอาราม มหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่างถูกเผาและทำลายอย่างย่อยยับ ที่มหาวิทยาลัยนาลันทาการเผาห้องสมุดกว่าจะเผาหนังสือได้หมดต้องใช้เวลาต่อเนื่องอยู่หลายเดือน ต่อไปนี้คือข้อความที่เก็บมาจากหนังสือชื่อ ตวากตะ(Tavakata) ซึ่งเขียนโดยนักประวัติศาสตร์มุสลิมชื่อมินฮาซัด:
“ที่ตรงกลางเมืองมีวัดแห่งหนึ่งมีขนาดใหญ่และแข็งแรงกว่าวัดอื่นๆ ซึ่งไม่สามารถขีดเขียนหรือทาสีใดๆได้ ศุลต่านได้เขียนถึงวัดแห่งนี้เอาไว้ว่า “หากผู้ใดต้องการจะสร้างอาคารใดๆให้เท่าเทียมกับวัดแห่งนี้ เขาก็จะไม่สามารถกระทำได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นแสนดินาร์แดง และจะต้องใช้เวลาก่อสร้างเป็นเวลาสองร้อยปี ถึงแม้ว่าจะใช้คนงานที่มีประสบการณ์และมีความสามารถทั้งหมดมาสร้างให้ก็ตาม” สุลต่านได้ออกคำสั่งให้เผาทุกวัดด้วยน้ำมันและไฟ เสร็จแล้วให้เกลี่ยจนเรียบเสมอกับพื้นดิน”
“ผู้พำนักอาศัยในสถานที่นั้นเป็นจำนวนมากได้หลบหนีกระจัดกระจายไปอยู่ในต่างประเทศ มีจำนวนไม่น้อยหลบหนีได้สำเร็จ และพวกที่ไม่หลบหนีก็จะถูกฆ่าหมด อิสลามหรือความตายคือทางเลือกที่มาห์มุดวางเป็นเงื่อนไขสำหรับประชาชน”
“ผู้พำนักอาศัยในที่นั้นเกือบทั้งหมดเป็นพวกพราหมณ์ที่โกนศีรษะ(หมายถึงพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา) พราหมณ์เหล่านี้ถูกสังหารทั้งหมด หนังสือเป็นจำนวนมากหลายถูกค้นพบอยู่ที่นั่น และเมื่อพวกนับถือศาสนาอิสลามเห็นมันเข้า พวกเขาก็จะเรียกคนบางคนให้มาบอกถึงสาระของหนังสือเหล่านั้น แต่พวกคนเหล่านั้นก็ถูกสังหารหมด”
“หากพวกเขายอมรับศาสนาของพวกเรา ข้อนั้นก็จะเป็นเรื่องดี แต่หากไม่ยอมรับ พวกเราก็จะสังหารพวกเขาด้วยดาบ กองทัพของผู้นับถือศาสนาอิสลามเริ่มสังหารเข่นฆ่าผู้คนทั้งขวามือและซ้ายมืออย่างไร้ความเมตตา ทั่วดินแดนอันไม่บริสุทธิ์ เพื่อประโยชน์ของศาสนาอิสลามและเลือดก็ไหลเป็นสายธาร พวกเขาปล้นสะดมทองและเงินมาได้มากมายก่ายกองจนรับไม่หวาดไม่ไหว ตลอดจนอัญมณีที่มีค่าอีกจำนวนมหาศาล พวกเขาจับเชลยหญิงที่มีหน้าตาสะสวยสง่างามมาได้เป็นจำนวนมากมีจำนวนนับได้ถึง 20,000 คน รวมทั้งเด็กทารกทั้งสองเพศ ก็มีจำนวนมากมายจนเกินกว่าที่จะใช้ปากกาเขียนบรรยาย”
“เขาล้มทับพวกผู้ก่อการร้ายโดยไม่ทันระวังตัว และได้จับทุกคนเอาไว้มีจำนวนหนึ่งหมื่นสองพันคน ทั้งเพศชาย เพศหญิงและเด็กทารก ซึ่งเขาได้สังหารทุกคนด้วยดาบ ในหุบเขาทุกแห่งและในที่พำนักอาศัยทุกที่ได้ถูกค้นเสียทั้งหมดและยึดสิ่งของทุกอย่าง ก็เพราะพระเจ้าชัยชนะนี้จึงเป็นของอิสลาม”
“หลังจากที่ได้ทำร้ายและสังหารโดยใช้ทุกมาตรการแล้ว มือของเขาและมือของเพื่อนๆของเขาก็เย็นเฉียบกับการนับมูลค่าของทรัพย์สินที่ถูกปล้นสะดมได้มา เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจของการพิชิตครั้งนี้แล้ว เขาก็ได้กลับไปโฆษณาเรื่องของชัยชนะที่ได้มาสำหรับอิสลาม และทุกคนทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยต่างแสดงความยินดีปรีดากับผลสำเร็จครั้งนี้และทำการชอบคุณพระเจ้า”
ด้วยเหตุนี้พระสงฆ์ซึ่งหลบหนีความตายก็ได้หนีไปที่เนปาลบ้างที่ทิเบตบ้าง พร้อมๆกับการทำลายพระสงฆ์ชาวพุทธที่เป็นฆราวาสก็ถูกทอดทิ้งให้อยู่โดยปราศจากการแนะนำ ด้วยเหตุที่มีข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อยระหว่างทฤษฎีและภาคปฏิบัติของชาวพุทธและของชาวศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ชาวพุทธ ชาวพุทธก็จึงค่อยๆถูกกลืนเข้าไปอยู่ในประชาคมของศาสนาอื่นที่ไม่ใช่ชาวพุทธ โดยผ่านทางความกดดันของระบบวรรณะของอินดูบ้าง และผ่านทางมาตรการถูกบีบบังคับให้ต้องหันไปนับถือศาสนาอิสลามบ้าง บรรดาศาสนสถานของชาวพุทธที่รอดพ้นจากการถูกทำลายก็ได้ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นวัดของศาสนาฮินดู ก็ด้วยเหตุนี้นี่เองที่พุทธศาสนาได้เสื่อมสูญไปจากอินเดีย
ทุกวันนี้มีชาวกลุ่มเพียงไม่กี่กลุ่มกระจัดกระจายกันอยู่ในเบงกอลบ้าง อัสสัมบ้าง โอริสสาบ้าง และตามส่วนต่างๆของอินเดียตอนใต้บ้าง พระพุทธศาสนาจึงเกือบจะเป็นศาสนาต่างประเทศในดินแดนที่เป็นแหล่งกำเนิดของตนเองด้วยประการฉะนี้
ความเสื่อมสูญของพระพุทธศาสนาจากอินเดียในช่วงของการรุกรานของพวกเติร์กนี้ ได้นำไปสู่บทสรุปว่า การเข่นฆ่าทำลายล้างของมุสลิมเป็นสาเหตุหลักของการสูญหายไปของศาสนาพุทธจากถิ่นกำเนิด มีหลายคนได้ให้การสนับสนุนข้อสรุปนี้โดยด้างถึงแนวปฏิบัติดั้งเดิมที่ว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งดาบ ที่เผยแผ่ศาสนาด้วยดาบ และได้รับการส่งเสริมด้วยดาบ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันในข้อนี้ พวกเขาได้อ้างข้อความจากคัมภีร์กุรอ่านดังนี้:
“ที่ถูกกำหนดไว้สำหรับสูเจ้าคือการต่อสู้ แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับเจ้าก็ตาม”(2:212)
“ข้าแต่ท่านศาสดา! ท่านจงพยายามต่อต้านผู้ที่ไม่เชื่อและพวกที่ปากกับใจไม่ตรงกัน จงใช้ความรุนแรงกับพวกเขา ที่อยู่ครั้งสุดท้ายของพวกเขาคือนรก อันเป็นจุดหมายของการเดินทางที่สิ้นหวัง”(9.73)
“ข้าแต่ท่านศาสดา จงพยายามชี้แนะให้ผู้มีความเชื่อทำการต่อสู้ หากว่าท่านมีความมุ่งมั่นยี่สิบครั้ง ความมุ่งมั่นเหล่านั้นก็จะเอาชนะผู้ไม่มีความเชื่อได้สองร้อยคน และหากท่านมีความมุ่งมั่นหนึ่งร้อยครั้ง ความมุ่งมั่นหนึ่งร้อยครั้งนั้นก็จะเอาชนะผู้ไม่มีความเชื่อหนึ่งพันคนได้ เพราะว่าพวกเขาเป็นคนที่ขาดปัญญา”(8.65)
“ในความเป็นจริงนั้น พวกที่ไม่มีความเชื่อถ้อยคำของพวกเรานั้น พวกเราจะนำพวกเขาไปเผาลงในไฟ(4.56)
“จงสู้รบกับพวกเขาแล้วจะไม่มีข้อหากบฏ และศาสนาอาจเป็นของพระเจ้าทั้งหมด”(8.40)
“ดูก่อนท่านผู้มีศรัทธา ผู้ที่บูชารูปเคารพเท่านั้นที่เป็นพวกไม่สะอาด พวกเขาจะไม่เข้าใกล้สุเหร่าอันศักดิ์หลังปีนี้”(9:28)
“จงสู้รบกับผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่เชื่อในวันสุดท้าย และผู้ไม่ห้ามในสิ่งที่พระเจ้าและคำสอนของพระองค์ได้ห้ามเอาไว้ และพวกที่ไม่ปฏิบัติศาสนาแห่งความจริงตามที่มีสอนอยู่ในพระคัมภีร์ที่ถูกนำมาให้อ่าน จนกว่าพวกเขาจะยอมสยบโดยมือทั้งสองข้างของพวกเขาและทำตัวให้เป็นคนเล็กๆไม่อหังการ”(9:29)
“ดูก่อนท่านผู้มีความเชื่อ อย่าได้เป็นมิตรกับบิดาของท่านหรือพี่น้องของท่านหากพวกเขารักความความไม่เชื่อเหนือศรัทธา:และบุคคลผู้ใดก็ตามของท่านทำคนเหล่านั้นให้มาเป็นมิตร พวกเขาก็จะเป็นผู้กระทำผิดด้วย”(9.23)
”ผู้ใดก็ตามที่ต่อสู้เพื่อแนวทางของอัลเลาะห์และถูกฆ่าตายหรือได้รับชัยชนะ เขาจะได้รับรางวัลอันโอฬาร”(4:74)
อย่างไรก็ดี เหล่านักปราชญ์ของมุสลิมต่างไม่ยอมรับข้ออ้างทางคัมภีร์ดังกล่าวข้างต้น พวกเขากล่าวว่าข้อกล่าวอ้างข้างต้นไม่สามารถนำมาสนับสนุนข้อกล่าวหานี้ได้ เกี่ยวกับประเด็นนี้พวกเขาได้ชี้แจงอย่างน้อยด้วยสองเหตุผลคือ
ข้อที่ 1 ข้อกล่าวอ้างข้างต้นระบุถึงเหตุการณ์ในช่วงต้นในระหว่างช่วงชีวิตของท่านมุฮัมมัดเมื่อตอนที่ท่านทำการต่อสู้เพื่อก่อตั้งศาสนาเท่านั้น และไม่สามารถนำมาใช้กับกรณีอื่นๆได้
ข้อที่ 2 ในข้อกล่าวอ้างที่ยกมาอย่างอื่นๆ คำว่า การต่อสู้ หรือ สงคราม นั้นหาได้ถูกตีความว่าหมายถึงการต่อสู้ทางกายภาพไม่ เป็นแต่หมายถึงการต่อสู้ของชีวิตทางจิตวิญญาณเท่านั้นเอง
นักปราชญ์ของฝ่ายมุสลิมได้ให้ข้ออรรถาธิบายเพิ่มเติมต่อไปว่า คำว่า อิสลาม หมายถึง สันติ หรือ การมอบตัวต่อเจตจำนงของพระเจ้า และคำว่า มุสลิม กล่าวคือผู้นับถือศาสนาอิสลามนั้น มีความหมายว่าผู้อุทิศตนต่อสันติ อิสลามสอนให้มีใจกว้างทางศาสนา และประณามการเข่นฆ่าทำลายลายล้างกัน พวกเขายังได้อ้างข้อความจากคัมภีร์อัลกุรอ่านมาสนับสนุนดังนี้:
“ไม่มีการบีบบังคับกันในทางศาสนา”(2:256)
“จงป้องกันตนเองจากศัตรูของท่าน แต่อย่าโจมตีพวกเขาก่อน อัลเลาะห์รักคนที่ไม่รุกราน”(2:190)
“ศาสนาของท่านก็เป็นเรื่องของศาสนาของท่าน ศาสนาของฉันก็เป็นเรื่องของศาสนาของฉัน”(109:6)
“ดังนั้น หากพวกเขาปลีกหนีจากท่านไป และไม่ทำสงครามกับท่าน และเสนอสันติภาพกับท่าน อัลเลาะห์ไม่ยอมให้ท่านรบกับพวกเขา”(4:90)
“ดูก่อนท่านผู้มีความเชื่อ เมื่อท่านทำการสู้รบตามแนวทางของอัลเลาะห์ ก็ต้องทำการสืบสวนให้ดี และให้ตอบปฏิเสธกับคนที่เสนอสันติภาพแก่ท่าน.: ว่า”พวกเจ้ามิใช่พวกที่มีความเชื่อ”(4:96)
พวกเติร์กซึ่งเข้ามารุกรานอินเดียและทำการเข่นฆ่าชาวพุทธเป็นพวกที่กระทำเช่นนั้นเพราะต้องการอำนาจและขยายดินแดน พวกเขาใช้ศาสนามาเป็นข้ออ้างเพื่อปิดบังอาชญากรรมของพวกเขา พวกมุสลิมแท้หรือพวกที่รู้หลักคำสอนของอิสลามจะไม่ทำเช่นนั้น
นักปราชญ์ฝ่ายมุสลิมกล่าว่าชาวคริสต์มีประวัติในเรื่องความไม่ใจกว้างทางศาสนายิ่งกว่าพวกเขามาก ชาวคริสต์ต่างหากที่สอนเรื่องครูเสดและใช้หลักศรัทธาของครูเสดเป็นเครื่องมือสำหรับการแผ่ขยายลัทธิอาณานิคม นอกจากนั้นชาวคริสต์อีกเช่นกันที่ทะเลาะเบาะแว้งระหว่างกันในเรื่องศาสนาจนถึงกับทำสงครามศาสนาและเข่นฆ่าทำลายล้างกันจนนับครั้งไม่ถ้วน
ตรงกันข้ามอย่างเช่นในประเทศไทยชาวมุสลิมทั้งปวงอยู่อย่างสันติกับมิตรชาวพุทธตลอดประวัติศาสตร์ของชาติไทย แต่นั่นเป็นเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบันได้เกิดเหตุการณ์การเข่นฆ่าชาวพุทธรวมทั้งพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาในทางภาคใต้ของไทยมีให้เห็นหนาหูหนาตาเป็นที่ปรากฏทางสื่อมูลชน
คำอธิบายข้างต้นของนักปราชญ์ฝ่ายมุสลิมสามารถสร้างความเบาใจให้แก่โลกได้ไม่น้อย พวกเติร์กซึ่งทำลายพระพุทธศาสนาในขณะที่รุกรานอินเดียหาใช่มุสลิมที่แท้จริงไม่ มุสลิมที่แท้นั้นรู้จักหลักคำสอนที่จริงแท้ของอิสลามและอุทิศตนต่อแนวทางแห่งสันติ
บัดนี้เรามีความหวังว่ามุสลิมในอนาคตจะเป็นมุสลิมที่แท้จริงและเราก็หวังด้วยว่าประวัติศาสตร์อันโหดร้ายทารุณเช่นนั้นจะไม่เกิดซ้ำรอยขึ้นมาอีก และเราก็หวังด้วยว่าเหตุการณ์ในทางภาคใต้ของไทยจะสงบสันติปราศจากความใช้ความรุนแรงของชาวมุสลิมในการเข่นฆ่าทำลายล้างชาวพุทธ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น