อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ในประเทศขายลิตรละ 49.44 บาท ส่วนน้ำมันเบนซิน 91 ขายลิตรละ 43.04 บาท น้ำมันดีเซลขายลิตรละ 29.99 บาท โดยค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ5.49 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลอยู่ที่ลิตรละ 1.31 บาท
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า น้ำมันเบนซินในดินแดนมาเลเซียขายที่ลิตรละ 20 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลขายลิตรละ 18 บาท แต่หากขับลึกเข้าไปเติมในประเทศสิงคโปร์จะขายน้ำมันเบนซินลิตรละ 16 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลลิตรละ 15 บาท
ห้ามลืมเป็นอันขาดว่า เมื่อน้ำราคาน้ำมันเบนซินที่ขายในมาเลเซียมาเทียบกับน้ำมันเบนซินที่ขายในประเทศไทย ราคาจะต่างกันลิตรละ 23 บาทสำหรับเบนซิน 91 ส่วนน้ำมันดีเซลจะต่างกันที่ลิตรละ 15 บาท
แต่ที่สิงคโปร์จะต่างกันมากไปกว่านั้น โดยน้ำมันเบนซิน 91 ต่างกันลิตรละ 27 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลต่างกันลิตรละ 15 บาท
วันนี้คนในดินแดนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีรายได้จากการขายน้ำมันเถื่อน
และนายทุนพรรคการเมืองและนักการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นมีรายได้อย่างมหาศาลจากการค้าน้ำมันเถื่อน
เส้นทางการลักลอบขนน้ำมันเถื่อนเข้ามาขายในประเทศไทยจะผ่านสองเส้นทางคือ เส้นทางบก เส้นทางเรือ
เส้นทางบกจะออกจากประเทศมาเลเซีย ผ่านเข้ามายังพื้นที่ชายแดนติดกับมาเลเซียอันเป็นพื้นที่ของจังหวัดยะลา นราธิวาส และปัตตานี
ส่วนเส้นทางเรือจะขนน้ำมันเถื่อนมาจากสิงคโปร์เข้ามาทางเส้นทางน้ำ เพื่อเข้ามาขายยังพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อกระจายไปยังเรือประมงในเขตพื้นที่เหล่านี้
ภายใต้ทุนการเมืองคุ้มครอง
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า การขนน้ำมันเถื่อนจะแบ่งออกเป็นรายเล็กและรายใหญ่
รายเล็กจะกระทำโดยใช้รถปิคอัพเข้าไปเติมน้ำมันในประเทศไทยมาเลเซีย ซึ่งรถปิคอัพหนึ่งคันจะเติมเต็มถังที่ 65 ลิตร และโดยมากแต่ละคันจะดูดน้ำมันออกให้เหลือแค่ 5 ลิตรต่อคัน จะเข้าไปในดินแดนมาเลเซียทุกวัน ตอนกลับเข้ามาในเขตแดนไทย น้ำมันรถทุกคันจะเต็ม และทุกคันจะถูกดูดออกมาคันละ 60 ลิตรต่อวัน แล้วแต่ว่าขีดความสามารถของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร
หากส่วนต่างของน้ำมันดีเซลลิตรละ 15 บาท แต่คนเหล่านี้จะมาปล่อยเพื่อหวังกำไรลิตรละ 10 บาทแต่ละวันจะมีรายได้คันละ 600 บาทสำหรับรายย่อยที่ถือว่า
เพียงพอต่อการครองชีพในแต่ละวัน
อย่าลืมเป็นอันขาดว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเข้าไปหนุนเนื่องกลุ่มก่อการร้ายเพื่อลอบสังหารเจ้าหน้าที่ ในแต่ละวันด้วยทุนจากกำไรในการค้าน้ำมันเถื่อน
ต้องยอมรับความจริงที่เป็นจริงที่สุดว่า วันนี้จังหวัดสงขลาแห่งเดียว มีน้ำมันเถื่อนลักลอบเข้ามาขายถึงวันละ3 ล้านลิตร อันเป็นน้ำมันดีเซลที่ขายให้กับเรือประมง และรถบรรทุกที่จะต้องวิ่งเข้ากรุงเทพฯ เพื่อขนถ่ายสินค้าทางการประมง หากวิเคราะห์จากราคาส่วนต่างที่กำไรลิตรละ 10 บาท
แต่ละวันกลุ่มทุนการเมืองจะมีรายได้จากการค้าน้ำมันเถื่อนวันละ 30 ล้านบาท
ใครคือทุนการเมืองที่หนุนหลังน้ำมันเถื่อน ?
คือคำถามที่ต้องให้กองทัพบกและกองทัพเรือรวมถึงตำรวจน้ำออกมาให้คำตอบ
อย่าลืมเป็นอันขาดว่าเพียงแค่น้ำมันดีเซลอย่างเดียวที่ขนทางเรือเข้ามายังสงขลายังขนเข้ามาขายถึงวันละ 3 ล้านลิตร แล้วจังหวัดอื่นขนเข้ามาเท่าไหร่ ?
มีการประเมินกันว่าแต่ละวันจะมีน้ำมันเถื่อนลักลอบขนเข้ามาทางบกผ่านถนนหลวงของแผ่นดิน วันละไม่น้อยกว่า 2 ล้านลิตร ไม่นับทางเรือที่จะมาขึ้นทางจังหวัดนครศรีธรรมราชและสุราษฏร์ธานีไม่นับรวมสตูลอีกเท่าไหร่
มีการประเมินตัวเลขกันว่า แต่ละวันจะมีน้ำมันดีเซลเถื่อนขนเข้าประเทศไทยไปจำหน่ายไม่น้อยกว่า 10 ล้านลิตร นั่นย่อมหมายถึงว่า จะมีคนได้เงินจากการค้าน้ำมันเถื่อนถึงวันละ 100 ล้านบาท
หากเศษเงินเพียงแค่วันละ 5 ล้านบาทกระเด็นเข้าไปหนุนหลังขบวนการแบ่งแยกดินแดนให้ซื้ออาวุธ ทำระเบิด ก่อวินาศกรรมและลอบสังหารเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและคณาจารย์รวมไปถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์
ย่อมหมายถึงจะมีเงินกระเด็นกระดอนเพื่อหนุนการก่อการร้ายไม่น้อยกว่าเดือนละ 150 ล้านบาท ถือว่าเป็นค่าจ้างที่จ้างวัยรุ่นคลั่งศาสนาเข้ามาก่อการร้ายในดินแดนของไทยได้อย่างสบายๆ
น้ำมันเถื่อนเหล่านี้ไหลลามผ่านเส้นทางถนนเพชรเกษมเข้าไปสู่ตัว
กรุงเทพมหานครและเข้าไปขายถึงใน ดินแดนภาคเหนือบางจังหวัดและบางพื้นที่รวมถึงพื้นที่ภาคอิสาน ไม่นับภาคใต้ที่มีพื้นที่ติดชายทะเลที่มีการขายน้ำมันเถื่อนให้กับเรือประมงที่เดือดร้อนจากการปรับค่าน้ำมันขึ้นพรวดพราด และบางส่วนไหลทะลักมาขึ้นที่แถวย่านสมุทรปราการและชลบุรี กลายเป็นทุนหนุนการเมืองให้หลายคนที่เกิดมาไม่เคยทำงานและไม่เคยมีอาชีพอะไรนอกจากการทำงานการเมืองแต่กลับร่ำรวยผิดปกติ ทั้งที่อดีตชาติยากจนแสนสาหัส
น่าแปลกใจอย่างมากว่า ไฉนจึงไม่มีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนและจับกุมให้ถึงต้นตอใหญ่ นั่นคือประเด็นที่คนทั่วไปกังขาและข้องใจ
แต่หากเราจะต้องหันมาพิจารณาและทบทวนแล้ว เราจะ พบว่า
วันนี้กฎหมายเปิดช่องให้คนค้าน้ำมันเถื่อนไม่ต้องติดคุก ไยจึงไม่ต้องติดคุก คือประเด็นที่คนข้องใจ
อดีตที่ผ่านมาหากมีการดำเนินการจับกุม จะต้องส่งให้กรมศุลกากรเพื่อส่งฟ้องศาลและหากได้ตัวผู้ก่อการๆจะต้องโดนศาลจำคุกและริบของกลางไว้เพื่อขายทอดตลาดในอนาคต
แต่วันนี้กระทรวงการคลังเปิดช่องโหว่เอาไว้ให้ นั่นคือ
กฎหมายสรรพสามิตเปิดช่องให้ว่า
หากโดนทหารจากกองทัพภาคที่ 4 จับได้ จะส่งให้สรรพสามิตเพื่อดำเนินการ และสรรพสามิตจะดำเนินการเปรียบเทียบปรับในอัตราสองเท่าของมูลค่าน้ำมัน เมื่อเปรียบเทียบปรับแล้ว ปล่อยน้ำมันเถื่อนคืนให้กับคนที่โดนปรับเพื่อนำไปขายต่อ จึงมีแต่คนเรียงคิวกันเข้ามาเพื่อจ่ายค่าปรับ เพราะไม่มีโทษจำคุก น่าแปลกรัฐบาลที่กำลังจะพ้นวาระทราบเป็นอย่างดีในเรื่องนี้ แต่ไม่ดำเนินการใด ทั้งในส่วนของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
น่าแปลกยิ่งนัก
ขบวนการลักลอบขนน้ำมันเถื่อนจากน่านน้ำสิงคโปร์เข้ามายังน่านน้ำไทย ไม่มีเรือตำรวจน้ำลำไหนสามารถจับกุมได้ ไม่มีเรือรบลำไหนสามารถจับกุมได้ และไม่มีเรือศุลกากรลำไหนจับกุมได้รวมไปถึงเรือตรวจการของสรรพสามิต
ยิ่งน่าแปลกใจอย่างมากเมื่อ
ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ขนน้ำมันใส่รถบรรทุกขนาด 60,000 ลิตรจากดินแดนมาเลเซียผ่านเข้ามาทางถนนเพชรเกษมเพื่อเข้าไปขายยังพื้นที่กรุงเทพและล่วงเลยเข้าไปถึงจังหวัดนครสวรรค์ ไม่มีตำรวจทางหลวงคันใดได้กลิ่นการขนส่งน้ำมันเถื่อน เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาหลบซุ่มตามสุมทุมพุ่มไม้เพื่อส่องกล้องหารถที่ขับเร็วเกินกว่า 120 กิโลเมตรโดยลืมคำนึงถึงหน้าที่คล้ายกับว่า มีอะไรมาบังตาและมีอะไรมาให้เป็นข้ออ้างเพื่อเลี่ยงการจับกุม ตั้งด่านเพียงเพื่อจ้องดูหมายเลขทะเบียนที่ได้รับแจ้งทางวิทยุของรถตำรวจทางหลวงที่ซ่อนใต้สุมทุมพุ่มเพื่อส่องกล้อง โดยไม่เคยขอตรวจสอบใบอนุญาตขนผ่านน้ำมันแต่อย่างใด
ต้องเข้าใจว่าอดีตที่ผ่านมากระบวนการตรวจยึดน้ำมันเถื่อนจะต้องผ่าน
ศาล ทุกครั้งที่มีการจับกุม จะต้องส่งเจ้าหน้าที่ศุลกากร และเจ้าหน้าที่ศุลกากรจะส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อส่งฟ้องศาล โดยคำพิพากษาในอดีตจะสั่งอายัดน้ำมันทั้งหมด และยึดรถไว้เป็นของกลางเพื่อขายทอดตลาดในโอกาสต่อไป คนถูกจับต้องจำคุก น้ำมันเถื่อนโดนยึด แถมรถบรรทุกยังต้องโดนยึดอีกต่างหาก
แต่วันนี้ ไม่มีใครโดนยึดเพียงแค่ปรับสองเท่าที่นายทุนพรรคการเมืองพร้อมใจและพร้อมจ่ายตลอดเวลา
เพื่อเอาน้ำมันเถื่อนไปขายตามใบสั่งของลูกค้าหลังจ่ายค่าปรับแล้ว น่าแปลกที่กองทัพบกภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกไม่ได้ใส่ใจที่จะหันมากวดขันและเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้
ยิ่งน่าแปลกใจอย่างมาก เมื่อจังหวัดสงขลามีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยอย่าง
นายถาวร เสนเนียมที่ว่ากันว่าผ่านชีวิตอัยการและเป็นคนมือสะอาดตงฉินกลับไม่ล่วงรู้ถึงขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนแต่อย่างใด
และยิ่งน่าแปลกใจมากไปกว่านั้น เจ้าพ่อประมงนักการเมืองใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์อย่างนายประพร เอกอุรุ รวมถึง นายนิพนธ์ บุญญามณี มือการเมืองในพื้นที่สงขลากลับไม่มีใครออกมาโวยวายเพื่อเรียกร้องให้ดำเนินการปราบปรามอย่างเด็ดขาดกับขบวนการขนน้ำมันเถื่อน รายได้จากส่วนต่างน้ำมันเถื่อนกับน้ำมันรัฐในแต่ละวัน กลายเป็นรายได้ที่บางคนไม่เคยทำงานมีอาชีพเป็นหลักแหล่งแต่เมื่อมาค้าน้ำมันเถื่อนโดนเอาหลังพิงการเมืองกลับร่ำรวยมหาศาล
ยิ่งน่าตะลึงมากไปกว่านั้นก็คือ
บ่อนการพนันในพื้นที่จังหวัดสงขลาตามแนวอำเภอเศรษฐกิจผุดเป็นดอกเห็ด ไม่มีใครกล้าหาญชาญชัยลงมาดำเนินการจับกุมและกวาดล้าง เล่าขานกันว่าบางบ่อนมีรายได้ส่งส่วยเจ้าหน้าที่ถึงเดือนละหนึ่งล้านบาทต่อบ่อนการพนัน
โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือฝ่ายปกครองคนใดกล้าที่จะเข้ากวาดล้างและจับกุม
หาต่างไปจากวงการค้าปาล์มในพื้นที่ภาคใต้ที่สะอื้นและสะดุ้งเมื่อช่วงที่น้ำมันปาล์มหายไปจากท้องตลาดและขาดตลาดไป
มีคนได้เงินจากส่วนต่างของการกักตุนน้ำมันปาล์มถึง สามพันล้านบาท และเป็นสามพันล้านบาทที่เพิ่งจะเอามาฉีกเล่นการเมืองเมื่อไม่นานมานี้ คนภาคใต้จำนวนไม่น้อย ไปศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว จุดธูปร้องขอให้รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทย กวาดล้างขบวนการขนน้ำมันเถื่อน บ่อนการพนันในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นับจากตรัง ปัตตานี นราธิวาส ยะลา สงขลา
กระชากหน้ากากทุนการเมืองและทุนของเถื่อนที่หนุนหลัง พรรคการเมือง และตีแผ่ฐานะร่ำรวยผิดปกติของบางคนที่ไม่เคยทำงานแต่ร่ำรวยมหาศาล
**********************************************************
"เผือกร้อน"- รัฐบาล- ก่อนยุบสภา"
สภาพปัญหาน้ำมันปาล์มขาดตลาดและปรับราคาแพงขึ้นอย่างต่อเนื่องเ ริ่มส่อเค้ามาตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา สาเหตุด้วยสภาพภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง
ประจวบเหมาะกับการที่ชาวสวนปาล์มหันไปนิยมปลูกยางพาราแทน เพราะราคายางพารากำลังไปได้สวย ทำให้ผลผลิตจากต้นปาล์มออกมาสู่ตลาดน้อยและสวนทางกับความต้องการที่มีสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม
รวมถึงน้ำมันปาล์มถูกนำไปใช้ในการผลิตในภาคพลังงานทดแทนอย่างอิสระ ทั้งหมดนี้จึงร่วมกันส่งผลให้ราคาปาล์มดิบในท้องตลาดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลไปยังปากท้องของประชาชนคนบริโภคน้ำมันปาล์มกันถ้วนหน้า
และด้วยเหตุที่ราคาน้ำมันปาล์มแพงนี่เอง จึงมีขบวนการกักตุนน้ำมันปาล์ม ปั่นราคาน้ำมันปาล์มเพราะมีผู้ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนี้
เท่าที่คุ้ยแคะมาได้ กลุ่มผู้ที่ได้ประโยชน์อย่างจัง ก็คือพวกกิจการสวนปาล์ม โรงงานหีบน้ำมันปาล์มดิบ โรงงานกลั่นน้ำมันปาล์มขวดที่กักตุน และขบวนการขนน้ำมันปาล์มเถื่อนในภาคใต้
กระบวนการทั้งหมด ทำให้มองได้ว่า น้ำมันปาล์มมีการสร้างสถานการณ์บิดเบือนราคาและกลไกตลาด ทำให้เกิดความมั่งคั่งอย่างมหาศาล จากความเดือดร้อนของประชาชน
และตอนนี้ก็มีการปล่อยข่าวไปทั่วว่านักการเมือง อักษรย่อ พ.-ส.-อ. เข้าไปเกี่ยวข้อง ทำให้นักการเมืองที่มีชื่อพ้องอักษรย่อดังกล่าว ออกมาปฏิเสธพัลวัน
แน่นอนว่าเรื่องน้ำมันปาล์ม สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง "การเมือง" ไปได้ เพราะตอนนี้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างนักการเมือง 2 กลุ่ม ไปแล้ว คือ พรรคร่วมรัฐบาลที่คุมน้ำมันปาล์ม กับ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ชงเรื่องนี้ให้นายกฯอภิสิทธิ์ฯ ส่ง "ดีเอสไอ" เข้าไปลุยตรวจสอบโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มต่างๆ รวมทั้งสาวไปถึงขบวนการหากินกับน้ำมันปาล์มว่าใครได้ผลประโยชน์อย่างไรบ้าง
และด้วยเหตุที่ปัญหากักตุนน้ำมันปาล์มและทำให้น้ำมันปาล์มมีราคาแพง เกี่ยวข้องกับปากท้องและความเดือดร้อนของประชาชนทั่วไปโดยตรง รัฐบาลจึงต้องแก้ไขปัญหาให้การกักตุนน้ำมันปาล์ม ซึ่งทำให้น้ำมันปาล์มขาดตลาดหมดปัญหาไปให้ได้แม้ว่าสุดท้ายจะจับมือใครดมอย่างจริงจังไม่ได้ก็ตาม ... มิเช่นนั้นรัฐบาลเสียคะแนนจากประชาชนเจ้าของคะแนนเสียงแน่
ปัญหาน้ำมันปาล์ม จึงเป็น "เผือกร้อนในมือรัฐบาล" ที่ต้องชำระสะสางให้เสร็จสิ้น ก่อนที่จะตัดสินใจยุบสภา เข้าสู่โหมดเลือกตั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น