วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555
อัตลักษณ์มาลายู ไม่ใช่อัตลักษณ์อิสลาม
อัตลักษณ์มาลายู ไม่ใช่อัตลักษณ์อิสลาม
มีผู้จุดประกายเริ่มต้นจากนักวิชาการของตะวันตก อย่าง แซมมวล ฮันติงตัน ซึ่งเป็นผู้พยากรณ์อนาคต ความขัดแย้งรอบใหม่ของมนุษยชาติในทศวรรษนี้ว่า มันจะเป็นการขัดแย้งหรือปะทะกันของอารยธรรม และเป็นอารยธรรมตะวันตกกับอิสลามหรือขงจื้อ
ในบรรดาเรื่องราวเหล่านี้ ทำให้ก่อเกิดคำเรียกขาน อิสลาม หรือมุสลิมแบบแยกแยะเป็นประเภทได้อีกหลายคำหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็น
มุสลิมหัวรุนแรง มุสลิมสายกลาง หรือมุสลิมสุดโต่ง
และที่ยิ่งไปกว่านั้น ความพยายามจะอธิบาย การเคร่งครัดในศาสนาของมุสลิม กลายเป็นความเคร่งตึงทางศาสนา และพลอยจะทำให้ชนต่างศาสนิกรู้สึกอึดอัดที่จะคบหาสมาคมด้วย ทั้งนี้ เป็นเพราะอิสลามในยุคปัจจุบัน ถูกอธิบายด้วยสองคุณลักษณะ
ประการหนึ่ง
คือความพยายามรื้อฟื้นประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิสลามในอดีต ในฐานะของมหาอำนาจที่เคยครอบครองดินแดนเกือบครึ่งโลกใบนี้
ประการที่สอง
คือความพยายามอธิบายอิสลามในฐานะของลัทธิความเชื่อที่สมบูรณ์ และเหมาะสมสำหรับมนุษยชาติ
ในประการแรกนั้น เมื่อมุสลิมมองตนเองในฐานะเคยเป็นเสมือนหนึ่งมหาอำนาจ จึงเกิดคำถามต่อคนรุ่นใหม่ว่า
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ตกต่ำ
ซึ่งการอธิบายประเด็นเหล่านี้ก็มีทัศนะหลัก ๆ อยู่ 2 ทัศนะ คือ เกิดจากการทำลายของโลกตะวันตก หรือมหาอำนาจในยุคปัจจุบัน นับเนื่องกันตั้งแต่สงครามครูเสดก็ว่าได้
ส่วนอีกทัศนะนั้น มองเห็นว่าเป็นเพราะความอ่อนแอของมวลมุสลิมเอง และในความอ่อนแอตรงนี้ก็คือ ความหย่อนยานในทางศาสนานั่นเอง และในความอ่อนแอนี้ ยังถูกอธิบายให้เชื่อมโยงกับความแปลกปลอมของความคิดอิสลามหรือศาสนา คือมีการบิดเบือน มีการปลอมปนของทัศนะอื่นๆ ที่ไม่ใช่อิสลามเข้ามาในหมู่ประชาชาติอิสลามอีกด้วย
ทัศนะเช่นนี้ยังถูกอธิบายให้มองเห็นภาพ ของขบวนการมุสลิม อีกแนวที่มักเรียกว่า
กลุ่มที่ต้องการนำอิสลามไปสู่คุณค่าดั้งเดิมที่บริสุทธิ์เหมือนเช่นสมัยศาสดา ที่มักได้ยินว่า 'อิสลามบริสุทธิ์'
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ใช่ว่าจะจำกัดทัศนะเช่นนี้ได้เพียงสองประการ ยังมี
กลุ่มที่สาม
ที่เชื่อว่า ความตกต่ำของมุสลิมนั้น มีสาเหตุมาจากเหตุผลทั้งสองประการนั้นแหละ คือมีสาเหตุหลักจากทั้งตนเองและศัตรู
และเมื่อเป็นเช่นนี้ การขับเคลื่อนสังคมเพื่อการฟื้นฟู จึงมีลักษณะที่แตกต่างกันด้วย ฝ่ายที่เห็นตัวเองเป็นปัญหาหลัก ก็เริ่มจากการแก้ไขตนเอง พยายามแสวงหาคุณค่าของตนเองเพื่อที่จะยืนเทียบเคียงกับผู้อื่นได้
ส่วนฝ่ายที่มองว่าปัญหาหลักมาจากผู้อื่นหรือศัตรู ก็พยายามแสวงหาแนวทางการต่อสู้ต่อกรกับผู้อื่นหรือศัตรูเป็นหลัก แต่ในเมื่อรู้สึกว่าศัตรู ใหญ่กว่า เข้มแข็งกว่า ก็ต้องอาศัยวิธีการสร้างความเสียหายต่อศัตรูด้วยการไม่เผชิญหน้า ที่เรียกว่า การก่อการร้ายนั่นเอง
นี่เป็นบทนำที่จะสะท้อนทัศนะการต่อสู้หรือมุมมองในมุมหนึ่งของปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้น
หมายถึงว่า การก่อเกิดขบวนการต่อสู้ ไม่ว่าจะเรียกว่าแบ่งแยกดินแดนหรือเรียกร้องความยุติธรรม หรือจะรวมถึงเรียกร้องสิทธิทวงคืนดินแดนที่เป็นของตนแต่เดิมโดยไม่ได้ขอแบ่งจากใคร และไม่ว่าสาเหตุมันจะมาจากอะไรเป็นหลักเป็นรอง
แต่ความสำคัญในวันนี้ คือกระบวนการต่อสู้ต่างหาก กระบวนการที่จะให้ได้มาซึ่งเป้าหมายที่ต้องการ หรือที่เรียกว่า
'ธงนำในการต่อสู้'
และที่สำคัญที่สุดที่ควรจะพูดถึง คือ
'วิธีการต่อสู้'
เพราะการอธิบายเหตุผลทุกอย่างของปัญหา ควรที่จะต้องถูกกำกับด้วยวิธีการด้วยเช่นกัน
หากจะกล่าวถึงที่สุดแล้ว อิสลามให้ความสำคัญใน
'วิธีการมากกว่าเป้าหมาย'
และนอกเหนือจากนี้สังคมไทยหรือฝ่ายความมั่นคง ควรที่จะให้ความสำคัญในการเข้าใจบริบทของสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในเชิงประวัติศาสตร์มากกว่าที่เป็นอยู่อย่างน้อยก็มี 2 ประเด็นหลัก คือ
ประเด็นแรก
การเมืองการปกครองในอดีตของสามจังหวัดเป็นอย่างไร
ประเด็นที่สอง
โลกเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ประชากรสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถูำกอะไรกดทับไว้ มิให้เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลก แต่ยังคงยึดโยงกับภาพในอดีต และเรียกร้องหาภาพในอดีตให้หวลคืนกลับมา
ประวัติศาสตร์ ปัตตานี ถูกเลือกหยิบยกมาเฉพาะในช่วงที่ปัตตานีเจริญรุ่งเรืองมาเป็นเครื่องมือ
มีความพยายามอธิบายประวัติศาสตร์ ในยุคสมัยนั้น การเกิดขบวนการของเจ้าเมืองปาตานีกับสยาม แต่ไม่เกิดกับรัฐมลายูอื่นกับอังกฤษ และในการบูรณาการดินแดน แต่ไม่บูรณาการชาติ ที่ว่านี้ ยังทำ
ให้เกิดข้อเรียกร้องของฮัจยีสุหลง
ซึ่งโดยเนื้อหาที่แท้จริงก็คือ การเรียกร้องการปกครองที่ตนเอง การแยกเป็นรัฐอิสระ หรือการแบ่งแยกดินแดน หรือการตั้งประเทศใหม่ ก็สุดแล้วแต่มุมมอง
ขบวนการต่อสู้ต่างๆ ก็เริ่มพรั่งพรูออกมา ประชาชนจับกลุ่มคุยกัน เสร็จสรรพจบลงจัดตั้งกันเป็นขบวนการ ถ้าหากลงลึกไปในประวัติศาสตร์ความจริงของสามจังหวัด ไม่ใช่มีเพียง 3 - 4 กลุ่มเท่านั้นที่ประกาศตัว แต่มีมากกว่า 20 กลุ่ม แต่ก็เป็นไปตามสภาพของผู้บริหารองค์กรที่จะนำพาไปได้ไกลแค่ไหน ? จนสุดท้ายหลงเหลือเป็นกลุ่มใหญ่ที่พอมีชื่อเสียงคุ้นหูเพียงไม่กี่กลุ่ม
ส่วนพัฒนาการของขบวนการต่อสู้ในสามจังหวัดนั้น มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว มันมีประเด็นกระบวนการฟื้นฟูอิสลาม เข้ามาแทรกเป็นกระแสหลักในยุคต่อมา และแทบกล่าวได้ว่า เป็นธงนำสำคัญในการต่อสู้ของวันนี้ก็ว่าได้
ถ้าประเด็นนี้เองสังคมไทยหรือฝ่ายความมั่นคงไทยยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ หรือยังไม่ประกอบชุดความรู้ในประเด็นนี้เพื่อนำมาศึกษาอย่างแท้จริง ก็พูดได้เลยว่า การแก้ปัญหาในสามจังหวัด ก็ยังอีกห่างไกลที่จะสงบสันติจริงๆ แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานทั่วไป หรือจะเรียกว่า หลักนิยมก็ได้ที่ว่า
สงครามคือการเมืองที่หลั่งเลือด
ใน
เมื่อไม่อยากให้มีการหลั่งเลือด นั่นคือวิธีทางการเมืองจะต้องเป็นธงนำในการแก้ปัญหา
การเมืองจริงๆ การเมืองการปกครองจริง ๆ คือ
การให้ข้อเสนอเพื่อหาข้อยุติในทางการเมือง เพื่อค้นคว้าหาคำตอบว่า
"ที่ทำกันมาทั้งหลาย สุดท้ายต้องการอะไร?"
ใครต้องการ พวกเองต้องการ หรือว่าประชาชนต้องการ
แม้ฟังดูแล้วจะตรงๆ ซื่อ ๆ แต่นัยสำคัญที่ฝ่ายรัฐเองจะได้ตระหนักซะทีว่า
"ที่ผ่านๆ มาบอกว่าแก้ปัญหานั้นน่ะ แก้ปัญหาของใคร?
เพราะถ้ายังไม่รู้ว่า 'เขา' ต้องการอะไร?"
แล้วทีนี้ที่ไปแก้ๆ กัน มันแก้อะไร?
และถ้าจะตอบว่า 'เขา' ต้องการเอกราช
ซึ่งให้ไม่ได้
แล้วเคยบอกหรือเปล่าว่า
แล้วให้อะไรได้บ้างล่ะ?
การเมืองในความหมายทีนี้ คือ
การรวมความเข้าใจว่าด้วยการเมืองการปกครองในอดีตปาตานี กับการเข้าใจว่า มีสังคมหนึ่งที่พยายามอ้างการกลับคืนสู่ภาพในอดีต โดยไม่ยอมรับรู้การเปลี่ยนแปลงของโลก
แต่ยังคงมองอยู่ในมุมของตนเอง เพราะเข้าได้ถูกปลูกฝังความเข้าใจว่านี่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการจัดการปัญหาสังคมของตนเอง ซึ่งบางทีอาจจะไม่อาจเป็นจริงดังที่คิดก็ได้
แต่ในเมื่อยังไม่เคยพบเจอความใฝ่ฝัน
ไหนเลยจะหยุดฝันได้
หากไม่นั่งจับเข่าเปิดอกคุยกันไหนเลย
จะรู้ว่าลูกเราฝันเห็นอะไรบ้าง?
และอยากทำตามความฝันนั้นเพียงใด?
แต่ถ้าหากนำวิถีมลายูเป็นแนวทาง ย่อมแตกต่างจากวิถีอิสลาม คุณค่าของมลายู แยกออกต่างหากจากอิสลาม และ มลายูอาจก่ออาชญากรรม (ฆ่าผู้บริสุทธ์) ได้ แต่อิสลามไม่อาจกระทำได้
ดังนั้น อิสลามจึงควรหันมาพิจารณาวิธีการ หรือเป้าหมาย และต้องตัดสินใจว่า จะยึดถือแนวไหนกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ
อัตลักษณ์มลายู ไม่ใช่อัตลักษณ์อิสลาม
อย่ามั่วครับ ไม่งั้นก็งุมมะงาหรากันไม่จบ
http://narater2010.blogspot.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น
บทความใหม่กว่า
บทความที่เก่ากว่า
หน้าแรก
ดูเวอร์ชันสำหรับมือถือ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
หน้าเว็บ
Nater200
ผู้ติดตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น