แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หัวหน้าสายฟ้า ๐๖ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หัวหน้าสายฟ้า ๐๖ แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

อัตลักษณ์มาลายู ไม่ใช่อัตลักษณ์อิสลาม


อัตลักษณ์มาลายู ไม่ใช่อัตลักษณ์อิสลาม


          มีผู้จุดประกายเริ่มต้นจากนักวิชาการของตะวันตก อย่าง แซมมวล ฮันติงตัน ซึ่งเป็นผู้พยากรณ์อนาคต ความขัดแย้งรอบใหม่ของมนุษยชาติในทศวรรษนี้ว่า มันจะเป็นการขัดแย้งหรือปะทะกันของอารยธรรม และเป็นอารยธรรมตะวันตกกับอิสลามหรือขงจื้อ

         ในบรรดาเรื่องราวเหล่านี้ ทำให้ก่อเกิดคำเรียกขาน อิสลาม หรือมุสลิมแบบแยกแยะเป็นประเภทได้อีกหลายคำหลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็น มุสลิมหัวรุนแรง มุสลิมสายกลาง หรือมุสลิมสุดโต่ง และที่ยิ่งไปกว่านั้น ความพยายามจะอธิบาย การเคร่งครัดในศาสนาของมุสลิม กลายเป็นความเคร่งตึงทางศาสนา และพลอยจะทำให้ชนต่างศาสนิกรู้สึกอึดอัดที่จะคบหาสมาคมด้วย ทั้งนี้ เป็นเพราะอิสลามในยุคปัจจุบัน ถูกอธิบายด้วยสองคุณลักษณะ

 ประการหนึ่ง คือความพยายามรื้อฟื้นประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของประชาชาติอิสลามในอดีต ในฐานะของมหาอำนาจที่เคยครอบครองดินแดนเกือบครึ่งโลกใบนี้


 ประการที่สอง คือความพยายามอธิบายอิสลามในฐานะของลัทธิความเชื่อที่สมบูรณ์ และเหมาะสมสำหรับมนุษยชาติ

          ในประการแรกนั้น เมื่อมุสลิมมองตนเองในฐานะเคยเป็นเสมือนหนึ่งมหาอำนาจ จึงเกิดคำถามต่อคนรุ่นใหม่ว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ตกต่ำ ซึ่งการอธิบายประเด็นเหล่านี้ก็มีทัศนะหลัก ๆ อยู่ 2 ทัศนะ คือ เกิดจากการทำลายของโลกตะวันตก หรือมหาอำนาจในยุคปัจจุบัน นับเนื่องกันตั้งแต่สงครามครูเสดก็ว่าได้

         ส่วนอีกทัศนะนั้น มองเห็นว่าเป็นเพราะความอ่อนแอของมวลมุสลิมเอง และในความอ่อนแอตรงนี้ก็คือ ความหย่อนยานในทางศาสนานั่นเอง และในความอ่อนแอนี้ ยังถูกอธิบายให้เชื่อมโยงกับความแปลกปลอมของความคิดอิสลามหรือศาสนา คือมีการบิดเบือน มีการปลอมปนของทัศนะอื่นๆ ที่ไม่ใช่อิสลามเข้ามาในหมู่ประชาชาติอิสลามอีกด้วย


          ทัศนะเช่นนี้ยังถูกอธิบายให้มองเห็นภาพ ของขบวนการมุสลิม อีกแนวที่มักเรียกว่า กลุ่มที่ต้องการนำอิสลามไปสู่คุณค่าดั้งเดิมที่บริสุทธิ์เหมือนเช่นสมัยศาสดา ที่มักได้ยินว่า 'อิสลามบริสุทธิ์'

          แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ใช่ว่าจะจำกัดทัศนะเช่นนี้ได้เพียงสองประการ ยังมี กลุ่มที่สาม ที่เชื่อว่า ความตกต่ำของมุสลิมนั้น มีสาเหตุมาจากเหตุผลทั้งสองประการนั้นแหละ คือมีสาเหตุหลักจากทั้งตนเองและศัตรู 


        และเมื่อเป็นเช่นนี้ การขับเคลื่อนสังคมเพื่อการฟื้นฟู จึงมีลักษณะที่แตกต่างกันด้วย ฝ่ายที่เห็นตัวเองเป็นปัญหาหลัก ก็เริ่มจากการแก้ไขตนเอง พยายามแสวงหาคุณค่าของตนเองเพื่อที่จะยืนเทียบเคียงกับผู้อื่นได้

         ส่วนฝ่ายที่มองว่าปัญหาหลักมาจากผู้อื่นหรือศัตรู ก็พยายามแสวงหาแนวทางการต่อสู้ต่อกรกับผู้อื่นหรือศัตรูเป็นหลัก แต่ในเมื่อรู้สึกว่าศัตรู ใหญ่กว่า เข้มแข็งกว่า ก็ต้องอาศัยวิธีการสร้างความเสียหายต่อศัตรูด้วยการไม่เผชิญหน้า ที่เรียกว่า การก่อการร้ายนั่นเอง


        นี่เป็นบทนำที่จะสะท้อนทัศนะการต่อสู้หรือมุมมองในมุมหนึ่งของปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้น 


        หมายถึงว่า การก่อเกิดขบวนการต่อสู้ ไม่ว่าจะเรียกว่าแบ่งแยกดินแดนหรือเรียกร้องความยุติธรรม หรือจะรวมถึงเรียกร้องสิทธิทวงคืนดินแดนที่เป็นของตนแต่เดิมโดยไม่ได้ขอแบ่งจากใคร และไม่ว่าสาเหตุมันจะมาจากอะไรเป็นหลักเป็นรอง  


        แต่ความสำคัญในวันนี้ คือกระบวนการต่อสู้ต่างหาก กระบวนการที่จะให้ได้มาซึ่งเป้าหมายที่ต้องการ หรือที่เรียกว่า 'ธงนำในการต่อสู้' และที่สำคัญที่สุดที่ควรจะพูดถึง คือ 'วิธีการต่อสู้' เพราะการอธิบายเหตุผลทุกอย่างของปัญหา ควรที่จะต้องถูกกำกับด้วยวิธีการด้วยเช่นกัน

       หากจะกล่าวถึงที่สุดแล้ว อิสลามให้ความสำคัญใน 'วิธีการมากกว่าเป้าหมาย' และนอกเหนือจากนี้สังคมไทยหรือฝ่ายความมั่นคง ควรที่จะให้ความสำคัญในการเข้าใจบริบทของสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในเชิงประวัติศาสตร์มากกว่าที่เป็นอยู่อย่างน้อยก็มี 2 ประเด็นหลัก คือ

        ประเด็นแรก การเมืองการปกครองในอดีตของสามจังหวัดเป็นอย่างไร

        ประเด็นที่สอง โลกเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ประชากรสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถูำกอะไรกดทับไว้ มิให้เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลก แต่ยังคงยึดโยงกับภาพในอดีต และเรียกร้องหาภาพในอดีตให้หวลคืนกลับมา


        ประวัติศาสตร์ ปัตตานี ถูกเลือกหยิบยกมาเฉพาะในช่วงที่ปัตตานีเจริญรุ่งเรืองมาเป็นเครื่องมือ
 มีความพยายามอธิบายประวัติศาสตร์ ในยุคสมัยนั้น การเกิดขบวนการของเจ้าเมืองปาตานีกับสยาม แต่ไม่เกิดกับรัฐมลายูอื่นกับอังกฤษ และในการบูรณาการดินแดน แต่ไม่บูรณาการชาติ ที่ว่านี้ ยังทำให้เกิดข้อเรียกร้องของฮัจยีสุหลง ซึ่งโดยเนื้อหาที่แท้จริงก็คือ การเรียกร้องการปกครองที่ตนเอง การแยกเป็นรัฐอิสระ หรือการแบ่งแยกดินแดน หรือการตั้งประเทศใหม่ ก็สุดแล้วแต่มุมมอง

         ขบวนการต่อสู้ต่างๆ ก็เริ่มพรั่งพรูออกมา ประชาชนจับกลุ่มคุยกัน เสร็จสรรพจบลงจัดตั้งกันเป็นขบวนการ ถ้าหากลงลึกไปในประวัติศาสตร์ความจริงของสามจังหวัด ไม่ใช่มีเพียง 3 - 4 กลุ่มเท่านั้นที่ประกาศตัว แต่มีมากกว่า 20 กลุ่ม แต่ก็เป็นไปตามสภาพของผู้บริหารองค์กรที่จะนำพาไปได้ไกลแค่ไหน ? จนสุดท้ายหลงเหลือเป็นกลุ่มใหญ่ที่พอมีชื่อเสียงคุ้นหูเพียงไม่กี่กลุ่ม

      ส่วนพัฒนาการของขบวนการต่อสู้ในสามจังหวัดนั้น มันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียว  มันมีประเด็นกระบวนการฟื้นฟูอิสลาม เข้ามาแทรกเป็นกระแสหลักในยุคต่อมา และแทบกล่าวได้ว่า เป็นธงนำสำคัญในการต่อสู้ของวันนี้ก็ว่าได้

        ถ้าประเด็นนี้เองสังคมไทยหรือฝ่ายความมั่นคงไทยยังไม่รู้เหนือรู้ใต้ หรือยังไม่ประกอบชุดความรู้ในประเด็นนี้เพื่อนำมาศึกษาอย่างแท้จริง ก็พูดได้เลยว่า การแก้ปัญหาในสามจังหวัด ก็ยังอีกห่างไกลที่จะสงบสันติจริงๆ แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยพื้นฐานทั่วไป หรือจะเรียกว่า หลักนิยมก็ได้ที่ว่า สงครามคือการเมืองที่หลั่งเลือด ในเมื่อไม่อยากให้มีการหลั่งเลือด นั่นคือวิธีทางการเมืองจะต้องเป็นธงนำในการแก้ปัญหา

        การเมืองจริงๆ การเมืองการปกครองจริง ๆ คือการให้ข้อเสนอเพื่อหาข้อยุติในทางการเมือง เพื่อค้นคว้าหาคำตอบว่า 



  • "ที่ทำกันมาทั้งหลาย สุดท้ายต้องการอะไร?" 
  •  ใครต้องการ  พวกเองต้องการ  หรือว่าประชาชนต้องการ
  •  แม้ฟังดูแล้วจะตรงๆ ซื่อ ๆ แต่นัยสำคัญที่ฝ่ายรัฐเองจะได้ตระหนักซะทีว่า "ที่ผ่านๆ มาบอกว่าแก้ปัญหานั้นน่ะ แก้ปัญหาของใคร? 
  • เพราะถ้ายังไม่รู้ว่า 'เขา' ต้องการอะไร?"
  • แล้วทีนี้ที่ไปแก้ๆ กัน มันแก้อะไร? 
  • และถ้าจะตอบว่า 'เขา' ต้องการเอกราช ซึ่งให้ไม่ได้ 
  • แล้วเคยบอกหรือเปล่าว่า แล้วให้อะไรได้บ้างล่ะ?


          การเมืองในความหมายทีนี้ คือ การรวมความเข้าใจว่าด้วยการเมืองการปกครองในอดีตปาตานี กับการเข้าใจว่า มีสังคมหนึ่งที่พยายามอ้างการกลับคืนสู่ภาพในอดีต โดยไม่ยอมรับรู้การเปลี่ยนแปลงของโลก แต่ยังคงมองอยู่ในมุมของตนเอง  เพราะเข้าได้ถูกปลูกฝังความเข้าใจว่านี่น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการจัดการปัญหาสังคมของตนเอง ซึ่งบางทีอาจจะไม่อาจเป็นจริงดังที่คิดก็ได้ 


         แต่ในเมื่อยังไม่เคยพบเจอความใฝ่ฝัน 

        ไหนเลยจะหยุดฝันได้ 
        หากไม่นั่งจับเข่าเปิดอกคุยกันไหนเลย 
         จะรู้ว่าลูกเราฝันเห็นอะไรบ้าง? 
         และอยากทำตามความฝันนั้นเพียงใด?

         แต่ถ้าหากนำวิถีมลายูเป็นแนวทาง ย่อมแตกต่างจากวิถีอิสลาม คุณค่าของมลายู แยกออกต่างหากจากอิสลาม และ มลายูอาจก่ออาชญากรรม (ฆ่าผู้บริสุทธ์) ได้ แต่อิสลามไม่อาจกระทำได้

         
ดังนั้น อิสลามจึงควรหันมาพิจารณาวิธีการ หรือเป้าหมาย และต้องตัดสินใจว่า จะยึดถือแนวไหนกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ


อัตลักษณ์มลายู ไม่ใช่อัตลักษณ์อิสลาม


อย่ามั่วครับ ไม่งั้นก็งุมมะงาหรากันไม่จบ 
http://narater2010.blogspot.com/

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

จดหมาย จาำกหัวหน้าสายฟ้า ๐๖


จดหมาย จาำกหัวหน้าสายฟ้า ๐๖ ถึงน้อง ฉบับที่ ๑

สวัสดีน้องพี่

          พี่มีเอกสารฉบับหนึ่ง ซึ่งเป็นแค่หน้าเดียวของเอกสารทั้งฉบับที่ได้จากการตรวจยึดบ้านต้องสงสัยในพื้นที่ปฏิบัติการ อยากให้น้องได้ดู



                 ถ้าใครเล่นทหารหน่อยจะรู้ แล้วเข้าใจที่พี่พยายามจะสื่อถึงน้อง ๆ ทันที คีย์เวิร์ด ของเอกสารฉบับข้างบนอยู่ที่คำว่า เปรียบเทียบความเสียเปรียบได้เปรียบของเราและฝ่ายตรงข้าม เพื่อไม่ให้ตกอยู่ในความประมาท   และหลัก ๕ ประการ ได้แก่ หลักปกครอง, ดินฟ้าอากาศ, ภูมิประเทศ, แม่ทัพนายกอง, ระเบียบวินัย

           ใจความนี้คัดลอกมาจากหนังสือ คัมภีร์พิชัยสงครามของซุนวู ใจความเต็มคือ  “ ในการรบนั้นเราจักต้องไม่ประมาท รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง หากรู้เขา มิรู้เรา หรือ รู้เราแล้วมิรู้เขา อาจจักชนะหนึ่งแพ้หนึ่ง หากไม่รู้เขา แล้วไม่รู้เรา รบทุกครั้งจักพ่าย” 

           และ อีกวรรคหนึ่ง “อันการสงครามนั้น เป็นเรื่องใหญ่ของรัฐ คือวิถีแห่งการคงอยู่หรือล่มสลายของประเทศชาติ เกี่ยวพันถึงชีวิตของไพร่พลและราษฎร จะไม่พินิจพิเคราะห์หาได้ไม่ เพราะฉะนั้น เราต้องคำนึงถึงปัญหาพื้นฐานห้าประการเป็นปฐม แล้วเปรียบเทียบสภาพของเรากับข้าศึก เพื่อคาดคะเนผลแพ้ชนะในสงคราม ปัญหาพื้นฐานห้าประการ ได้แก่ หนึ่ง มรรค (เต้า), สอง ฟ้า (เทียน), สาม ดิน (ตี้), สี่ แม่ทัพ (เจียง), ห้า กฎ (ฝ่า)
  • มรรค หมายถึง ความเป็นธรรม สิ่งที่ทำให้ราษฎรมีเจตนารมณ์ตรงกับฝ่ายปกครอง ยินดีร่วมเป็นร่วมตายกับฝ่ายปกครองโดยไม่หวั่นเกรงภยันตรายใดๆ
  • ฟ้า หมายถึง ภูมิอากาศ กลางวันกลางคืน ฤดูและความผันแปร
  • ดิน หมายถึง ภูมิประเทศสูงหรือต่ำ ใกล้หรือไกล คับขันหรือราบเรียบ กว้างใหญ่หรือคับแคบ และปิดหรือเปิด (เซิงสื่อ)
  • แม่ทัพ หมายถึง ผู้นำเหล่าทัพซึ่งเปี่ยมด้วยสติปัญญา รักษาสัจจะวาจา มีเมตตาธรรม มีความกล้าหาญ และเคร่งครัดเที่ยงธรรม
  • กฎ หมายถึง ระเบียบวินัยของกองทัพ
            เท่านี้น้องคงรู้แล้วว่าโจรใต้เปิดหนังสือเล่มไหนสู้กับเรา ?

            พิชัยสงครามซุนวู ART OF WAR เป็นตำราที่ทางสากลยอมรับว่า เป็น THE BEST DOCTRINE กล่าวคือ หลักนิยมที่ดีที่สุดในโลก  หลักการนี้ เหมาเจ๋อตุงก็เคยใช้ในการต่อสู้กับเจียงไคเช็ก(ซึ่งอเมริกาหนุนหลังท่านเจียง)ปฏิวัติประเทศจีน ได้สำเร็จ ,โฮจิมิน ลอกโผเหมาเจ๋อตุง สามารถบุกเวียดนามใต้ได้สำเร็จ ขับไล่กองทัพฝรั่งเศส และกองทัพ อเมริกาได้ หลักกรสงครามนั้นคือ Unconventional Warfare (สงครามนอกแบบ) ซึ่งประกอบด้วย สงครามกองโจร การเล็ดลอดหลบหนี การก่อความไม่สงบ การก่อวินาศกรรม และการปฏิบัติโดยตรง 

เราฝ่ายเราเปิดตำราเล่มไหนสู้กับโจรใต้ 

พอน้องเรียนจบ เลือกลงกองพันทหารราบ น้องอาจมีประสบการณ์ได้ลงมาปฏิบัติหน้าที่ใน ๓ จชต. หนังสือเล่มแรกที่น้อง ๆ ต้องถูกบังคับอ่าน คือ รส.(คู่มือราชการสนาม) ๑๐๐-๒๐ ว่าด้วยเรื่องการป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบ รส.เล่มนี้มาจากไหน พี่ก็จะตอบน้องตรง ๆ ว่า แปลมาจาก FM( Field Manual) 100-20 “ COUNTERINSURGENCY” (ลอกโผเขามา) แล้ว เคยมีใครอยากรู้บ้างไหมว่า ไอ้ FM ที่เราลอกเค้ามาเค้าเอามาจากไหน ?

สมัยสงครามเวียดนามอเมริกาไม่รู้จะทำอย่างไรที่จะต่อสู้กับ Unconventional Warfare จึงสู้ด้วย Counterinsurgency นี่แหละ จุดกำเนิดของมัน แล้วมีการปรับปรุงอีกหลายครั้ง โดยปรับปรุงจากบทเรียนจาก อิรัก และอัฟกานิสถาน ซึ่ง ถามว่า ตำรานี้ใช้ครั้งแรกในสงครามเวียดนาม ใครชนะสงคราม?  

แล้วปัจจุบันอเมริการบชนะ อิรักหรืออัฟกานิสถาน ชนะแล้วหรือยัง 

หากเราจะแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง พี่จะแนะนำน้องว่า น้องจงอ่านหนังสืออย่างมีสติ หากลอกโผอเมริกามาแก้ปัญหา ๓ จชต. น้อง ๆ ก็น่าจะรู้ผลว่าเราจะชนะหรือแพ้  ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะศึกษาบทเรียนจากการรบในพื้นที่จริง แล้วเขียนหลักนิยมของเราเอง อย่าทำตัวเหมือนรุ่นพี่  ๆบางคนที่เรียกว่า “รส. เดินได้”  ตอบตามตำรา ปฏิบัติตามตำรา (โผจากอเมริกา)  พี่ขอแนะนำว่า “จงอ่านตำรา แต่อย่าติดตำรา”

พี่เองสมัยเป็นนักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ ๑ คิดแค่ว่า อยากผ่านไปวัน ๆ เรียนแบบพอผ่าน ๆ แล้วออกไปใช้ชีวิตเสาร์อาทิตย์ที่มีความสุขนอกโรงเรียน พอพี่เป็นนักเรียนชั้น ๑ ปลายปี พี่ได้ถูกพี่ชั้นปีที่ ๔ บังคับอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นชื่อ ๓๖ กลยุทธ์สำหรับการเอาชนะทุกปริมลทล เขียนโดย บุญญศักดิ์  แสงระวี 

หนังสือเล่มนั้นจุดประกายให้พี่เป็นคนเล่นทหาร อ่านทุกอย่างที่เกี่ยวกับทหาร เช่น ประวัติศาสตร์สงคราม คัมภีร์พิชัยสงครามซุนวู ตลอดจน Field Manual ของ สหรัฐ (จนรู้ว่า ร.ส. (คู่มือราชการสนาม)ของเรา ลอกอเมริกามาทั้งดุ้น)  

โจรใต้อ่านหนังสือมาอย่างดีมาสู้กับทหาร ซึ่งมีผู้หมวดก็คือ น้อง ๆ ของพี่ ทีนี้น้อง ๆ ของพี่ น้อง ๆ ล่ะ เคยอ่านอะไรมาบ้างที่จะเป็นพื้นฐานลงมาต่อสู้เพื่อประเทศไทยของเรา  คติประจำตัวพี่เมื่อก่อน คือ “กูไม่กลัว กูมีแรง” แต่ เดี๋ยวนี้พี่ว่า....มีสมองบ้างก็ดีนะน้อง

         สุดท้ายนี้ฝากข้อคิดดี ๆ ว่า หากไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน 

        จงคิดอย่างโจร ว่า หากเราเป็นโจรเราจะโจมตีฐานที่ตั้งของเรา หรือ ขบวนยานพาหนะของเรา อย่างไร แล้วน้องจะเห็นจุดอ่อนตัวเอง จากนั้นมาดูว่าโจรมีพื้นฐานอะไร (ปฏิบัติอย่างไร หรือเลียนแบบจากอะไร) 

        หวังว่า อีกไม่นานพวกน้อง ๆ จะเป็นกำลังสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญญาหาประเทศชาติ

http://narater2010.blogspot.com/
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม