บทความชุดนี้ มีสาเหตุมาจากได้ไปอ่านเว็บบอร์ดแห่งหนึ่ง คุณจิตพุทธได้เข้ามาแสดงความเห็นโดยตั้งชื่อกระทู้ว่า "พระวัดพระธรรมกายสอนอย่างนี้ รับไม่ได้จริงๆ" เนื้อหาของกระทู้มี ดังนี้ คือเมื่อวันที่ 3-6 เดือนนี้ ญาติผู้ใหญ่ที่มาฐานะร่ำรวยมากอายุ 80 ปีแล้วผู้เป็นศิษย์วัดพระธรรมกายมา 30 ปีแล้ว ได้ขอร้องให้ดิฉันไปเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมร่วมกับคนวัดอีก 24 คนที่รีสอร์ทหรูแห่งหนึ่งที่เขาใหญ่โดยเขาออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ดิฉันขับรถไปกัน 2 คนป้าหลาน บรรยากาศที่นั่นแสนสบายอากาศดี ห้องพักหรู บุฟเฟต์อย่างดี 2 เวลา เช้า-กลางวัน คนวัดก็อัธยาศัยดี มีการทำสมาธิทำใจใสๆ ให้เห็นดวงแก้วกลางท้องให้ได้และมีพระ 3-4 รูปผลัดกันเทศน์โน้มน้าวจิตใจคนวัดให้เลื่อมใสในวิชาธรรมกายเกิดความฮึกเหิมในการทำทานบารมีชนิดทุ่มสุดฤทธิ์ปิดบัญชีธนาคารวันละ 3 เวลา อะไรๆ ดิฉันก็พอทนได้เพราะคิดว่าการมาครั้งนี้มาฟรี และได้สงเคราะห์ญาติผู้ใหญ่ให้ได้มีโอกาสมาปฏิบัติธรรมตามที่ใจเขาปรารถนา แต่ที่ดิฉันทนไม่ได้อย่างมากก็คือคำสอนของพระแต่ละรูป ดิฉันไม่รู้ว่าทานสอนไปได้อย่างไร อย่างเช่นว่า ท่านสอนว่า ระหว่างความสุข ความทุกข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์ พวกเราควรจะเลือกอะไร ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานัง ปรมัง สุขขัง นิพพานเป็นบรมสุข แสดงว่าความสุขเป็นของดี ดังนั้นพวกเราควรเลือกเอาความสุข พระยังสอนอีกว่า ระหว่างรวย จน ไม่รวยไม่จน เราก็ต้องเลือกรวยเอาไว้ก่อน เพราะรวยทำให้เราสามารถทำทานบารมีไปจนถึงที่สุดแห่งธรรมได้ คำสอนของพระแต่ละรูปไม่ได้สอนให้คนซาบซึ้งถึงความจริงของชีวิตคืออริยสัจ 4 หรือสอนให้เห็นไตรลักษณ์ ว่าทุกสิ่งมันไม่เที่ยง มันแปรเปลี่ยนได้ตลอดเวลา เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ท่านกลับสอนให้ใจไปยึดติดแต่ความสุขจอมปลอม สอนให้ยึดความรวยเป็นเป้าหมาย คำสอนเน้นๆ แต่เรื่องให้ทำทานยิ่งมากยิ่งบุญเยอะ ให้จิตเกิดปิติแล้วอธิษฐานจิตให้รวย ทุกคนมีเป้าหมายในชีวิตคือต้องรวยมากๆ จะได้สามารถทำทานบารมีให้เต็มที่ ตายไปต้องได้ไปอยู่ดุสิตบุรีแน่นอน ถ้าไปเกิดอีกก็จะได้เป็นคนรวย แต่ที่รับไม่ได้จริงๆ ก็คือ พระถามว่า ใครคือผู้ยิ่งใหญ่ใน 3 ภพ ลูกศิษย์ทุกคนตอบพร้อมเพรียงกันว่า หลวงพ่อพระธัมมชโยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสามภพ ดิฉันฟังแล้วสลดใจและรับไม่ได้จริงๆ จากการอ่านกระทู้ของคุณจิตพุทธด้วยความเป็นกลางค่อนข้างไปทางเกลียดสมีไชยบูลย์ผู้เป็นมารอย่างจริงจัง และเปรียบเทียบกับความรู้ดั้งเดิมที่ศึกษามาหลายสิบปี ต้องยอมรับว่า เนื้อหาของกระทู้ดังกล่าวเป็นความจริง ก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์เรื่อง "บุญบ้าบุญบอของไชยบูลย์" ขอแถมเรื่องที่ว่า "ไชยบูลย์เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในภพสาม" เสียก่อน.. เพื่อเรียกน้ำย่อย คุณจิตพุทธเขาสลดใจและรับไม่ได้ในคำสอนของพระ แต่ผมสลดใจในความโง่ของพระในวัดพระธรรมกาย ตั้งแต่ไชยบูลย์บวชมานั้น เป็นพระที่ดีไม่กี่ปี พอเงินเข้า สตรีหา ไชยบูลย์ก็กระเถิบเข้าใกล้ความปราชิกไปเรื่อยๆ ไชยบูลย์ไม่เคยมีลักษณะที่ใกล้เคียงพระอริยบุคคล หรือเป็นพระที่มีบุญบารมีเลย สถานที่ที่ไชยบูลย์ไปมากที่สุดก็คือ โรงพัก กับ ศาล ถ้าอยู่ในวัดแล้ว เห็นสมีไชยบูลย์ “เหาะ” ไปฉันอาหารเช้าที่ป่าหิมพานต์ ไปฉันอาหารเพลที่เขาไกรลาส ก็น่าจะยอมรับได้ว่า มารไชยบูลย์ยิ่งใหญ่ในภพสามจริง แต่นี่ เป็นเบาหวานจะตายอยู่ร่อมมะร่ออยู่แล้ว ถูกสังคมประณามมาตลอดชีวิตการบวชพระ ตั้งแต่แชร์ชม้อย แชร์น้ำมัน เมียชาวบ้าน ล่าสุดก็โกงเงินวัด 960 ล้าน คนอย่างนี้นะหรือที่เป็นใหญ่ที่สุดในภพสาม ถ้าเป็นใหญ่ที่สุดในนรกโลกันต์ ก็น่าจะเป็นไปได้ แล้วคำว่า ใหญ่ที่สุดในภพสาม หมายความว่าอย่างไร พวกโง่ๆ ในวัดพระธรรมกายจะรู้ความหมายหรือเปล่าก็ไม่รู้ กลับมาเข้าเรื่อง มารไชยบูลย์นั้น เอาบุญมาล่อหลอกประชาชน สารพัดวิธีที่จะทำ ให้ปิดบัญชีบ้าง ยุให้ขายตัวเอาเงินมาทำบุญมีบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ให้ขายไร่ ขายสวน ขายสมบัตินั้นมีแน่ๆ ที่ผมอยากจะเขียนไว้เพื่อความสะใจของผมเองในความโง่ของบุคลากรของวัดพระธรรมกายก็คือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ เขียนเรื่องการตรวจสอบดวงบุญ ดวงบาป และดวงไม่บุญไม่บาปไว้ในหนังสือคู่มือสมภาร ในบทบัญญัติที่ 11 ดังนี้ ในกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายของแต่ละกาย มีดวงกลมซ้อนกันอยู่ ๓ ดวง ดวงแรกมี สีเทาๆ อยู่ข้างนอก นี่คือ ดวงอัพยากตากฤต หรือธรรมกลาง ถัดเข้าไปในกลางดวงของธรรมกลางนั้น มีอีกดวงหนึ่งสีดำประดุจนิล นี่คือ ธรรมดำหรืออกุศลธรรม ส่วนดวงที่ ๓ ซึ่งซ้อนอยู่ในกลางดวงดำนั้น มีสีขาวใสบริสุทธิ์ยิ่งนัก นี่คือ ธรรมขาว หรือกุศลธรรม ธรรมขาวนี้ ก็คือ ดวงบุญ ธรรมดำ คือ ดวงบาป ธรรมกลาง คือ ดวงไม่บุญไม่บาป ดวงบุญ ดวงบาป และดวงไม่บุญไม่บาปนี้ มีขนาดของดวงไม่คงที่ บางคนก็มีดวงบาปโต บางคนก็มีดวงบุญโต ส่วนผู้ที่ไม่นิยมทำบุญทำบาป ก็มีดวงไม่บุญไม่บาปโต ถ้าทำบุญมาก จะทำให้บาปและไม่บุญไม่บาปมีน้อย และถ้ามีบาปมาก บุญและไม่บุญไม่บาปก็ย่อมจะมีน้อย ดังนี้เป็นต้น ดวงบุญ ดวงบาป และดวงไม่บุญไม่บาปนี้ แต่ละดวงก็มีธาตุมีธรรม ส่วนที่เห็นปรากฏนั้นเป็นส่วนธาตุ ธรรมนั้นซ้อนอยู่ในว่างกลางธาตุอีกทีหนึ่ง เพราะละเอียดกว่าประณีตกว่า เอาธาตุของดวงบุญประกอบเป็นกสิณ ธรรมของดวงบุญเป็นสมาบัติ เดินสมาบัติในกสิณ ตรวจดูธรรมขาว (กุศลธรรม) ให้เห็นตลอดจนถึงภพ เอาธาตุของดวงบาปประกอบเป็นกสิณ ธรรมของดวงบาปเป็นสมาบัติ เดินสมาบัติในกสิณ ตรวจดูธรรมดำ (อกุศลธรรม) ให้เห็นตลอดจนถึงภพ เอาธาตุของดวงไม่บุญไม่บาปประกอบเป็นกสิณ ธรรมของดวงไม่บุญไม่บาปเป็นสมาบัติ เดินสมาบัติในกสิณ ตรวจดูธรรมกลาง (อัพยากตากฤต) ให้เห็นตลอดจนถึงภพ ในธรรมขาว ดำ กลาง เหล่านี้ แต่ละธรรมก็มีนิพพาน ภพ ๓ โลกันต์ เหมือนกัน พวกนี้ต้องตรวจดูให้ละเอียด ที่ผมสะใจในความโง่ของบุคลากรในวัดของพระธรรมกายก็คือ มารไชยบูลย์หลอกล่อให้ทำงานอย่างทาส หลอกล่อเองเงินของประชาชนไปทำอะไรก็ไม่รู้ ทำไมไม่บอกให้ประชาชนตรวจดูดวงบุญของเขาบ้างว่า ไปถึงไปแล้ว ใกล้ดุสิตบุรี เฟส 9,999,999 หรือยัง ก็มารไชยบูลย์ทั้งเคยเผาหนังสือคู่มือสมภาร แล้วก็กลับมาพิมพ์คู่มือสมภารแจกในงานศพคุณยายจันท์ ยิ่งใหญ่กว่าใครในภาพสาม ทำไมสอนการตรวจดูดวงบุญ-ดวงบาปไม่ได้ มันน่าแปลกใจ..พิลึก... ผมท้าทายความยิ่งใหญ่ของมารไชยบูลย์คนนี้มาหลายครั้งหลายหาแล้ว สานุศิษย์ของผู้เป็นสมีท่านนี้ ช่วยไปบอกทีว่า ผมวิพากษ์วิจารณ์ท่านอย่างเสียๆ หายๆ ท่านผู้ยิ่งใหญ่ในภพสาม ช่วยเอาฟ้ามาผ่าผมหน่อย ตอนนี้คันหลังอยู่ อาจจะหายคันไปบ้าง ดร. มนัส โกมลฑา (Ph.D. Integrated Sciences) สาขาวิชามนุษยศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน E-mail: komoltha4299@gmail.com;komoltha4299@yahoo.com Web: https://sites.google.com/site/manaskomoltha Blog: http://manaskomoltha.blogspot.com/ |
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชำแหละธรรมกาย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชำแหละธรรมกาย แสดงบทความทั้งหมด
วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555
บุญบ้าบุญบอของไชยบูลย์
แฟ้มคดีธรรมกาย
แฟ้มคดีธรรมกาย
ผมเห็นว่า ตอนนี้คุณเควี่ยธัมมชโยใกล้ตายเข้าไปเต็มทีแล้ว จึงเอาเรื่องย่อหนังสือ “แฟ้มคดีธรรมกาย” มาให้อ่านกันก่อน พร้อมทั้งจะวิพากษ์วิจารณ์ไปพร้อมๆ กัน
เนื่องจากเมื่อไหร่ที่คุณเควี่ยธัมมชโยตายห่าไปจากโลกนี้ และเข้าไปรับทุกข์ทรมาณใน “เซฟ” นั้น จะมีโจทก์เก่าๆ รวมถึงโจทก์ใหม่เข้ามาร่วม “ด่า” คุณเควี่ยธัมมชโยกันอย่างมโหฬาร
ผมเป็นพวกคิดไกลไปในอนาคตกว่าคนอื่น จึงเอามารวบรวมเขียนไว้ก่อน
ข้อกล่าวหาวัดพระธรรมกาย และพระไชยบูลย์ สุทธิผล ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน แต่ละข้อกล่าวหา

คณะทำงานรวบรวมข้อมูล-หลักฐานกรณีวัดพระธรรมกาย ได้ทำการศึกษา ตรวจสอบ รวบรวม วิเคราะห์ ค้นหา นับตั้งแต่เริ่มแรกที่ได้ทำงานร่วมกับคณะกรรมาธิการศาสนาฯ บางครั้งต้องถึงกับเข้าไปฝังตัวในกลุ่มกัลยาณมิตรของวัด
พระธรรมกาย เข้าไปศึกษาหาหลักฐานจากชมรมพุทธศาสตร์สากลในมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นต้น คณะทำงานฯ จำต้องตั้งปณิธานเป็นบรรทัดฐานไว้เสมอว่า การทำงานเกี่ยวกับความเชื่อ ความนับถือส่วนบุคคลเช่นนี้
“จะต้องทำงานประกอบด้วยความเมตตา รู้จักให้อภัย รู้จักการเสียสละ รอบคอบ และที่สำคัญ จะต้องไม่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”
แต่จากการค้นหาข้อมูล ยิ่งสาวลึกเข้าไป ยิ่งพบความไม่ชอบมาพากลของวัดพระธรรมกายและบุคคลใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น
พบเห็นการจัดตั้งเครือข่ายเหมือนองค์กรอาชญากรรมใหญ่ๆ มีการใช้กลวิธีเล่ห์เพทุบายเพื่อประทุษร้ายบุคคลผู้วิพากษ์วิจารณ์วัดพระธรรมกายนานัปการ และขณะนี้เหตุการณ์บานปลายจนถึงขั้นกล่าวจาบจ้วงสถาบัน
พระมหากษัตริย์ กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไปแล้ว
ดังนั้น คณะทำงานฯ จึงต้องหันกลับมาตั้งต้นใหม่ว่า "เราควรจะมีเมตตา ให้อภัยแก่คนที่ไม่รู้จักสำนึก”หรือไม่?
ซึ่งในกรณีของวัดพระธรรมกายนี้ เราสรุปได้ชัดเจนว่า บุคลากรของวัดพระธรรมกายและผู้ที่เกี่ยวข้องล้วนไร้สำนึกผิดชอบชั่วดี
ส่วนหลักการเคารพสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ซึ่งวัดพระธรรมกายชอบยกขึ้นอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเองนั้น
คณะทำงานฯ เห็นว่า เราจะเคารพศักดิ์ศรีและพิทักษ์สิทธิมนุษยชนของประชาชนผู้ที่ถูกวัดพระธรรมกายหลอกลวง มากกว่าการพิทักษ์สิทธิของวัดพระธรรมกาย ซึ่งเป็นตัวการทำความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน และทำความเสียหายให้แก่สถาบันพระพุทธศาสนาอันเป็นที่รักของเรา
ณ วันนี้ คณะทำงานฯ จึงตัดสินใจนำเสนอเผยแพร่ข้อมูลหลักฐาน ปรากฏเป็นหนังสือ "แฟ้มคดีวัดพระธรรมกาย เล่มที่ 1”
เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด ดังมีหัวข้อและสรุปเนื้อหาย่อได้ดังนี้
1. รายงานเสนอนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 1
ใน พ.ศ. 2532 หน่วยงานความมั่นคงและการข่าวของรัฐ ได้เสนอรายงานเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายตรงต่อนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในหลายกรณี เช่น การทำธุรกิจในทางลับ การมรณภาพของพระชิตชัย มหาชิโต
พฤติการณ์ส่วนตัวของพระไชยบูลย์ที่ไม่ชอบมาพากล การขอเข้าพบหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เพื่อขอให้ยุติข้อเขียนในคอลัมน์ “ซอยสวนพลู” แต่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์มิให้เข้าพบ เป็นต้น
คณะทำงานฯ ไม่ทราบเหตุผลว่า ข้อมูลที่ประทับตราว่า “ลับมาก” อยู่ในข่ายที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน รัฐบาลกลับไม่ดำเนินการให้ถูกต้องตามอำนาจ ตามความชอบธรรมแห่งกฎหมายและการปกครองรัฐ กลับปล่อยให้ปัญหาวัดพระธรรมกายลุกลามแผ่ขยายออกไปจนถึงปัจจุบัน
2. รายงานเสนอนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 2
ใน พ.ศ. 2535 หน่วยงานความมั่นคงและการข่าวของรัฐ ได้เสนอรายงานเกี่ยวกับวัดพระธรรมกายตรงต่อนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งในปีนั้น ประเทศไทยเกิดวิกฤติทางการเมือง ทำให้ต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีถึง 3 ครั้ง
อำนาจรัฐคาบเกี่ยวระหว่าง รสช. กับอำนาจจากการเลือกตั้ง นายกฯ อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกเฉพาะกิจครั้งที่สอง จึงไม่สามารถสั่งปฏิบัติการเรื่องละเอียดอ่อนเช่นนี้ได้
อีกทั้งนายกฯ พลเอกสุจินดา คราประยูร ก็ประสบปัญหาทางการเมืองความไม่พอใจของประชาชน ทั้งระยะเวลาดำรงตำแหน่งเพียงเดือนกว่า จึงน่าเชื่อว่าคงไม่สามารถจัดการปัญหาวัดพระธรรมกายตามรายงานของหน่วยงานความมั่นคงได้
ก่อนหน้านี้ ในปี 2534 วัดพระธรรมกายถูกจัดเข้าข่ายเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและอยู่ในบัญชีดำ (Black List) ของสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) แต่จากปัญหาความไม่ลงตัวในอำนาจของ รสช. จึงไม่อาจจัดการปัญหาดังกล่าวได้
ปล่อยให้วัดพระธรรมกายสร้างเครือข่ายองค์กรใหญ่โต มีกลุ่มผลประโยชน์เข้าไปสมรู้ ร่วมคิดจำนวนมากขึ้นกระทั่งแผ่ขยายอาณาจักรสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนทุกหย่อมหญ้าในปัจจุบัน
3. ผลประโยชน์และรายได้ของพระธัมมชโย
มูลนิธิธรรมกาย มีนโยบายระดมทุนจากประชาชนมากมายหลายวิธีการ ในห้วงหลายปีที่ผ่านมา สุจริตชนโดยทั่วไปย่อมรู้เห็นว่า มีเงินหมุนเวียนในมูลนิธิแห่งนี้นับ 10,000 ล้านบาท
แต่จากเอกสารงบดุลของมูลนิธิฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2540 ที่รายงานต่อทางการ มูลนิธิฯ มีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียง 3 ล้านกว่าบาทเท่านั้น
สำหรับงบดุลสิ้นสุดปี 2541 มูลนิธิฯ แห่งนี้ยังไม่รายงานต่อทางการแต่อย่างใด ทั้งที่เวลาผ่านเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2542 แล้ว ทางการเองก็ปล่อยปละละเลย ไม่ตรวจสอบ ไม่จัดการกับปัญหาของมูลนิธิฯ ปล่อยให้การดำเนินการของมูลนิธิธรรมกายกระทำการท้าทายอำนาจรัฐ ละเมิดกฎหมายบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลาที่ผ่านมา
คณะทำงานฯ เชื่อว่า รายได้และผลประโยชน์ของพระธัมมชโย รวมแล้วไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน ทรัพย์สินส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะปกปิด
ส่วนเงินสดจะปรากฏอยู่ในบัญชีลับๆ ซึ่งทางวัดพระธรรมกายได้มีหนังสือแจ้งไปยังสาขาของธนาคารที่ฝากเงินว่า ห้ามเปิดเผยบัญชีของพระธัมมชโยและบุคคลรอบข้างเด็ดขาด
ถ้าเปิดเผยทางวัดฯ จะถอนเงินฝากทั้งหมดซึ่งก็สร้างความหวาดกลัวให้กับธนาคารผู้รับฝากเป็นอย่างมากเพราะเกรงว่ายอดเงินก้อนมหึมาจะโยกย้ายไปฝากธนาคารอื่น
ด้วยเหตุผลข้อนี้ คณะทำงานฯ จึงตรวจสอบอีกครั้งจึงพบว่า ปัจจุบันพระธัมมชโยน่าจะมีเงินสดหลายพันล้านบาท ใกล้เคียงกับเงินสดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
4. การตัดต้นไม้มงคลของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง
พระธัมมชโย กระทำการละเมิด กระทำการหมิ่น อาฆาตมาดร้าย ต่อพระบรมเดชานุภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์โดยการสั่งตัดต้นไม้ที่ทรงปลูก โดยสมเด็จย่าฯ สมเด็จพระเทพฯ และสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ ซึ่งเป็นการปลูกแทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
เพราะพระธัมมชโยอาฆาตสถาบันฯ ว่าในกรณีขอพระราชทานสมณศักดิ์ไม่ได้ตามต้องการ เหตุการณ์ดังกล่าววัดพระธรรมกายชี้แจงว่า ผืนดินมีค่าความเป็นกรด-ด่าง หรือค่า pH สูง ทำให้ไม่เติบโต ต้องโยกย้ายไปปลูกพื้นที่ใกล้เคียง และภาพที่เห็นในสื่อมวลชนเป็นต้น หมากพุ่มเตี้ย เป็นต้น
คณะทำงานฯ ได้ทำการพิสูจน์ทราบ ด้วยการใช้ภาพถ่ายมาเปรียบเทียบกัน ปรากฏว่าวัดพระธรรมกายชี้แจงข้อความอันเป็นเท็จต่อสาธารณชนไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในภาพถ่าย จึงสรุปได้ว่า พระธัมมชโยได้กระทำ การอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จริง
อีกทั้งมีเหตุผลที่รับทราบกันทั่วไป ได้แก่ พระธัมมชโยตั้งปณิธานว่าถ้าเป็นฆราวาสจะต้องเป็นพระจักรพรรดิ (Emperor) ถ้าออกบวชจะต้องเป็น “พระบรมพุทธเจ้า”
สานุศิษย์วัดพระธรรมกายล้วนคิดว่าตัวเองเป็นสาขาของพระพุทธเจ้า หรือ Sub Buddha บรรลุธรรมชั้นสูงกว่าใครๆ ในประเทศไทย จึงไม่แปลกใจว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงกล้าละเมิด จาบจ้วง สถาบันชั้นสูงของไทย ทั้งในศาสนจักรและอาณาจักรอย่างหน้าตาเฉย
5. กรณีการมรณภาพของพระชิตชัย มหาชิโต (วิญญูนันทกุล)
ค่านิยมในการอัดวิชชาธรรมกายบนดอยสุเทพ-ปุยอันเป็นวิธีการ “อปกติ” ของพระธัมมชโย ทำให้เกิดอาการเครียดแก่พระชิตชัย มหาชิโต เป็นอย่างมาก เพราะพระชิตชัย มหาชิโต ไม่นิยมการพูดเท็จ เป็นพระที่มีสัจจะสูง พระธัมมชโย
ถามว่า เห็นพระธรรมกายไหม พระชิตชัยตอบว่า “ไม่เห็น” ตามความเป็นจริง จึงทำให้พระธัมมชโยโกรธขึ้งอย่างรุนแรงจนกระทำการอเปหิสั่งไม่ให้ใครคบหากับพระชิตชัย ไม่ให้ออกสังฆสมาคม ทั้งที่พระชิตชัยมีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก
ยิ่งเพิ่มความเครียดแก่พระชิตชัย จึงเป็นสาเหตุให้พระชิตชัยมรณภาพอย่างเป็นปริศนา การมรณภาพของพระชิตชัย แม้ทางการพิสูจน์จะทราบได้ว่าเป็นการกระทำอัตวินิบาตกรรมหรือฆ่าตัวตาย ก็ล้วนมีแหล่งกำเนิดมาจากพฤติกรรมและวิธีการของพระธัมมชโยทั้งสิ้น
พระธัมมชโยจึงน่าจะมีความผิดเป็นตัวการ กระทำการใดๆ อันจงใจหรือเจตนาให้บุคคลอื่นฆ่าตัวตาย ซึ่งปัจจุบันเรื่องนี้ก็ยังเป็นปริศนาดำมืดอยู่เช่นเดิม ญาติพี่น้องตระกูลวิญญูนันทกุล ยิ่งมีความเชื่อว่าเป็นการฆาตกรรมอำพรางอยู่จนปัจจุบัน
6. กรณีการถือครองที่ดินทั่วประเทศ
การถือครองที่ดินของพระธัมมชโย ที่มักชี้แจงต่อสาธารณชนว่ามีผู้บริจาคนั้น เป็นความเท็จแทบทั้งสิ้น เพราะที่ดินที่พระธัมมชโยโอนให้วัดตามกำหนดเส้นตายของกรมการศาสนานั้น
ข่าวในทางลับแจ้งว่าเป็นที่ดินที่ ดร.ประกอบ กีรจิตติ ถวายแทบทั้งสิ้น จึงเป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิถูกต้อง ส่วนที่ดินอีกกว่า 1,400 ไร่นั้น เป็นการได้มาโดยการสั่งให้สานุศิษย์ผู้ใกล้ชิดทำการกว้านซื้อไว้แล้วยกถวายพระธัมมชโยในภายหลัง
ในช่วงยื่นคำขาดที่ผ่านมา วัดพระธรรมกายและสานุศิษย์พยายามเปลี่ยนแปลง ปลอมแปลงเอกสารที่ดิน เพื่อให้ได้ข้อยุติว่า “เป็นการบริจาค” เพื่อหลีกเลี่ยงข้อหายักยอกทรัพย์ เจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ฯลฯ
โดยกระทำการดังกล่าวที่บ้านของ “ดร.ประกอบ กีรจิตติ” ส.ส.เขต 10 กทม. พรรค ปชป. โดยการประสานงานหรือ ล็อบบี้ของ “พรรณพิพา วัชโรบล” อดีตผู้สมัคร ส.ส. เขต 3 พญาไท พรรค ปชป. ผู้เป็นญาติของนางสาวลีลาวดี วัชโรบล อดีตนางเอกภาพยนตร์ สานุศิษย์ผู้คอยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับวัดพระธรรมกายเพื่อการระดมทุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
คณะทำงานฯ จึงได้เข้าทำการตรวจสอบการถือครองที่ดินในนามของพระไชยบูลย์ สุทธิผล ในพื้นที่ อ.ภูเรือ จ.เลย
ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายสอง วัชรศรีโรจน์, นางชนัสถ์นันท์ สุขุมพานิช, นางวรรณา อุดมผล, นายเพชร แก่นทรัพย์ ไปกว้านซื้อที่ดิน น.ส.1 ก. จากชาวบ้านในพื้นที่ อ.ภูเรือ จ.เลย ใกล้กับที่ดินของนายแพทย์ชัยยุทธ กรรรณสูต ซึ่งประชาชนผู้ยากไร้ในพื้นที่ได้สิทธิการครอบครองจากการเข้าไปทำประโยชน์ในป่าสงวนไร้สภาพ หรือได้มาจากการจัดสรรที่ทำกินของรัฐ
หลังจากนั้นก็ขอเปลี่ยนเป็น น.ส.3 ก. สามารถจำหน่ายถ่ายโอนได้แล้ว กระทำการยกให้พระไชยบูลย์ ในภายหลัง และตีราคาต่ำกว่าราคาประเมินของทางการ อันเป็นการหลีกเลี่ยงภาษีที่ดิน
คณะทำงานฯ จึงสรุปว่า กรณีการถือครองที่ดิน พระธัมมชโยใช้เงินบริจาคของวัดให้สานุศิษย์ไปทำการกว้านซื้อที่ดิน แล้วยกถวายเป็นสมบัติของตนเองในภายหลัง ซึ่งถือว่าเป็นการเบียดบังทรัพย์สินของวัด ฉ้อโกงประชาชน
7. กรณีแหล่งผลิตพระมหาสิริราชธาตุ
พระธัมมชโยพยายามปั้นเรื่องเท็จ โดยนำเอาเรื่องในชาดกมาผสมผสานกับ “สินค้า” ที่ออกมาจำหน่าย คือ พระมหาสิริราชธาตุ ที่อ้างว่าพญานาครักษาไว้หลายร้อยล้านปี
แต่จากการตรวจสอบของคณะทำงานฯ พบว่า วัตถุธาตุดังกล่าวนำเข้ามาจากประเทศพม่า และประเทศยุโรปตะวันออก ไม่ใช่วัตถุธาตุที่ทรงคุณค่าดังคำโฆษณาแต่อย่างใด
คณะทำงานฯ ได้ส่งคนเข้าไปสอบถามพนักงานโรงงานของบริษัท D. Gems International จำกัด ของนางสงบ ปัญญาตรง สีกาอีกคนหนึ่งของพระธัมมชโย ปรากฏว่าเป็นโรงงานผลิตพระมหาสิริราชธาตุเถื่อน ใช้แรงงานต่างด้าวหนีเข้าเมือง ไม่มีสวัสดิการใดๆ แก่คนงานตามกฎหมายคุ้มครองและสวัสดิการแรงงาน
เรื่องนี้จึงสรุปได้ว่า วัดพระธรรมกายโดยมีผู้นำบุญเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกระทำการหลอกลวงประชาชนทำให้เสียทรัพย์ จนหลายครอบครัวต้องบ้านแตกสาแหรกขาด เกิดความเดือดร้อนไปหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ดังปรากฏเป็นข่าวอยู่ทุกวันนี้
8. กรณีความสัมพันธ์กับสตรีเพศ
เกือบจะเป็นเรื่องปกติเสียแล้ว สำหรับพระสงฆ์ชื่อดังที่จะต้องมีสันถวไมตรีทางกามรสกับสตรีเพศ เช่น พระยันตระ อมโรภิกขุ, พระภาวนาพุทโธ, นายจันทร์ อาจหาญ หรือหลวงตาจันทร์ วัดป่าชัยรังสี เป็นต้น
แต่กรณีของพระธัมมชโย เป็นการเกี่ยวพันกับสตรีถึง 7 คน สตรีผู้ที่พระธัมมชโยให้ความอภิรมย์มากที่สุด ได้แก่
1. นางเพียงนิล ศิริเกษม ม่ายลูกสอง อดีตภรรยาน้อยของนายสุวิทย์ มหาแถลง เพื่อนของนายสอง วัชรศรีโรจน์ ซึ่งปัจจุบันปรากฏข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ “สยามรัฐ” และอีกหลายฉบับ จนกระทั่งเสี่ยสุวิทย์ มหาแถลง เสียชีวิตอย่างปริศนาภายในห้องทำงาน ท่ามกลางความเสียใจของ “นางอาภรณ์ มหาแถลง” ภรรยาหลวง
ปัจจุบันนางเพียงนิลได้ยกลูกสาวให้เป็นบุตรบุญธรรมของพระธัมมชโย บางกระแสกล่าวว่า เด็กหญิงคนดังกล่าวมีอาการของโรคประจำตัวคล้ายกับพระธัมมชโย น่าจะเกิดจากกรรมพันธุ์หรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีสตรีผู้ใกล้ชิด ที่พระธัมมชโยมีความสนิทสนมอย่างมากอีก 4 คน ได้แก่
- นางจิรวัฒน์ (อี๊ด),
- นางสงบ ปัญญาตรง,
- นางสาววิชญา ไตรวิเชียร
- และคนสุดท้ายที่ฮือฮาโจษขานกันมากที่สุด เพราะสามีของเธอบุกเข้าไปประจานพระธัมมชโยถึงในวัดพระธรรมกายท่ามกลางสานุศิษย์ชั้นนำ สีกาคนล่าสุดนี้ชื่อว่า 5. นางแก้วตา หรือทยา หรือติ๋ม
เรื่องการปะทะคารมระหว่างสามีของเธอกับพระธัมมชโย เป็นที่โจษขานกันในวัดสนุกปากจนทุกวันนี้
9. คำให้การของพยานบุคคล อดีตแขนข้างขวาของพระธัมมชโย
กลุ่มผู้นำบุญ ที่มีบทบาทในการหาเงินทุนให้พระธัมมชโยมากที่สุด จนพระธัมมชโยยกย่องให้ “เป็นสาขาหนึ่งของพระบรมพุทธเจ้า” หรือ “Sub Buddha" ให้คำให้การชัดเจนหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการชักชวนคนทำบุญ การตามตื๊อคนให้ทำบุญมากที่สุด
วิธีการหา “เหยื่อ” เพื่อพาไปตบทรัพย์บนดอยสุเทพ-ปุยในพิธีการอัดวิชชาธรรมกาย คำให้การดังกล่าว ให้ความกระจ่างถึงวิธีการ “ตบทรัพย์” ของวัดพระธรรมกายและพระธัมมชโยชัดเจนที่สุด [ที่มา: http://rabob.tripod.com/casenarok.htm]
คำวิพากษ์วิจารณ์จะตามมาทีหลัง….
พายุถล่มวัดพระธรรมกาย
พายุถล่มวัดพระธรรมกาย
มีผู้อ่านนำเรื่อง “พายุถล่มวัดพระธรรมกาย” มาให้อ่านจาก Pantip-Café ห้องศาสนา ชื่อหน้าเพจว่า “พายุถล่มวัดพระธรรมกาย วันที่ 31 มีนาคม 2555 ระหว่างพิธีบรรพชาอุปสมบทหมู่ 100,000 รูป ครั้งที่๕”
มีการเกริ่นนำดังนี้
ในวันนี้ที่ 31 มีนาคม 2555 ที่วัดพระธรรมกายมีพิธีบรรพชาอุปสมบทหมู่ 100,000 รูป ครั้งที่๕ โดยในช่วงเช้ามีพิธีเวียนประทักษิณที่ลานธรรมมหาธรรมกายเจดีย์ ในช่วงบ่ายมีพิธีขอศีล ขอนิสัยที่ สภาธรรมกายสากล
โดยในระหว่างที่กำลังกรวดน้ำ ได้มีพายุลม ฝนและลูกเห็บ พัดกระหน่ำเข้าสู่สภาธรรมกายสากลและบริเวณอื่นๆในวัดอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายมากมาย
ขอยืนยันว่า ความฉิบหายวายป่วงที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากเทวดาฟ้าดินต้องการให้คนหูตาสว่างขึ้นบ้าง จึงได้แสดงเหตุการณ์นี้ให้เป็นที่ประจักษ์
มีคนมาให้ความเห็นกันมากมาย แต่ผมสนใจคนที่มาให้ความเห็นในประเด็นนี้ในข่าวเรื่อง “ชาวเน็ตโชว์ภาพพายุถล่ม “สภาธรรมกายสากล” ยับ วัดแจงไม่กระทบพื้นที่หลัก”ของผู้จัดการออนไลน์มากกว่า จึงนำมาเสนอด้วยกัน 2 ความคิดเห็น ดังนี้
ความคิดเห็นที่ 32 ของคุณบวชวัดนี้ผีไม่รับรอง
ถึงคราวมารศาสนาโดนฟ้าถล่ม | ความล่มจมเสื่อมถอยมาคอยท่า |
หลอกชาวบ้านชาวโลกหมายเงินตรา | ที่ได้มาคือความลวงล่วงพระธรรม |
ศีลของพระตถาคตปดจนสิ้น | อยากหากินกับคนหลงหัวถลำ |
ให้หลงรูปหลงคำสอนปลิ้นปล้อนธรรม | เวรจะนำความบรรลัยให้ภัยมา |
เห็นคนชอบพระงามมีความรู้ | ดีกรีสูงสุดกู่ยิ่งมองขลัง |
วัดสวยสดโอฬารเหมืองเวียงวัง | บางคนพลั้งเห็นวิมานบานตะไท |
ออกทีวีอวดรู้อุตริ | โดนคดีศาสนายังเฉไฉ |
ทักษิณช่วยให้พ้นทัณฑ์ออกไป | เลยฝักใฝ่ไอ้แดงแฝงทุกงาน |
บ้าหรือดีพระผีหรือพระเปรต | แสนทุเรศแต่งหน้าอาภรณ์ไสว |
ไม่บิณฑบาทกินเหลาเอาแต่ใจ | ใครมอบเงินเป็นแสนว่าแก่นธรรม |
คนไม่รู้พากันแห่เสียยกใหญ่ | เหมือนว่าได้ขึ้นสวรรค์น่าขำขัน |
คนส่วนใหญ่เขารู้ทันเล่ห์พรรค์นั้น | จะว่ากันก็ต้องโทษผู้ควบคุม |
ปล่อยกันมาเนิ่นนานจนบานปลาย | แผ่ขยายนอกรีตเครดิตสูง |
มีทุนรอนยิ่งใหญ่ใช้ลากจูง | เล่นของสูงเล่นเล่ห์เพทุบาย |
ความคิดเห็นที่ 80 ของคุณอาตมา นะโยม จำได้ไหม
ไม่เป็นไรจ้าคุณโยม...
เดินธุดงค์กลางกรุงรอบเดียว ก็ได้ค่าซ่อมแซมแล้ว (อาตมาไม่อยากคุย ว่าเงินนั้นหาไม่ยาก)
ว่างๆมาที่วัดนะจ๊ะ..มานั่งสมาธิ บริกรรมกับลูกแก้ว ลูกละ 500 บาท ขาดตัว ช่วงนี้โปรโมชั่นพิเศษ แถมกล่องใส่ไว้บูชา
ถ้าให้ดี เช่าพระวันเกิดไปประดิษฐานไว้ที่ฐานพระเจดีย์ทรงจานบินก็ได้นะจ๊ะ
องค์ละ 50,000 บาท หากจะประดิษฐานไว้ในเจดีย์หรือในที่ร่ม ก็องค์ละ 100,000 ไม่ตากแดดตากฝนจ้า..
จะทำเผื่อญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้วก็ดีนะจ๊ะ ญาติๆก็จะได้รับอานิสสงฆ์
ไม่พกเงินมาก็ไม่มีปัญหา ที่วัดรับบัตรเครดิตทุกชนิด พร้อมออกใบอนุโมทนาบัตร เพื่อนำไปหักภาษี
บริจาคกันเยอะนะ...บริจาคสะสมเกิน 1 ล้านเมื่อไหร่ ก็จะได้เป็นนักปฏิบัติธรรมระดับ VIP มาวัดก็จะได้นั่งแถวหน้าสุด
สะสมเกิน 10 ล้าน ก็ระดับ Super VIP จะมาวัดก็มีรถเบนซ์ไปรับและส่งถึงบ้าน และได้นั่งใกล้ๆเจ้าอาวาส
บริจาค 100 ล้านขึ้นไป จะได้รับเชิญร่วมพิธี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส เป็นตัวแทนจุดธูปเทียนในพิธีต่างๆ
เจริญพรนะจ๊ะโยม แค่นี้นะ บังเอิญเสี่ย CP โทรมาหาอาตมา นี่ก็น่าเบื่อโทรมากวนใจ แถมบริจาคก็บ่อยจนน่ารำคาญ…
ธัมมชโยโคม่า
ธัมมชโยโคม่า
มี ข่าวประชาสัมพันธ์จากเครือข่าย ของ “หลวงพ่อวรนุชธัมมชโย” ดังนี้
เลื่อนพิธีบูชาข้าวพระและกิจกรรมวันอาทิตย์ต้นเดือน จากวันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม เป็น วันอาทิตย์ที่ 11ธันวาคม พ.ศ. 2554
ขอเรียนเชิญสาธุชนผู้มีบุญทุกท่าน ร่วมสั่งสมบุญใหญ่ ในพิธีบูชาข้าวพระ ประจำเดือนธันวาคม ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับศักราชใหม่
ในวันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ณ สภาธรรมกายสากล วัดพระธรรมกาย จ.ปทุมธานี
โดยไม่มีเหตุผลหรือคำอธิบายใดๆ อยู่ในข่าวประชาสัมพันธ์นั้น
ตามปรกติแล้ว “หลวงพ่อวรนุชธัมมชโย” ตัวนี้ เป็นคนที่งกเงินมากที่สุดในอนัตตจักรวาล เทศกาลวัน “ล่อลวงเงิน” แห่งชาติ ในวันอาทิตย์ต้นเดือนนั้น ท่านไม่ยอมพลาดเป็นอันขาด ถ้าไม่ถึงคราวคอขาดบาดตาเอาจริง
แต่แล้วทำไม จึงต้องมีการเลื่อนการ “ล่อลวงเงิน” แห่งชาติ ไปเป็นวันอื่น เพราะ จำนวนเงินจะต้องลดลงอย่างมหาศาล
ข่าวการเลื่อนการ “ล่อลวงเงิน” แห่งชาติประกาศออกมา ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2554 ก่อนมีงาน “ล่อลวงเงิน” แห่งชาติเพียง 3 วันเท่านั้น 3 วันจริงๆ เป็นข่าวที่ปิดกันไม่ได้
ทางวัด ถนนวัดได้ปกปิดข้อมูลกันอย่างแน่นหนา ยิ่งกว่ากำแพงกั้นน้ำของวัดแห่งนี้เสียอีก โดยไม่ยอมบอกเหตุผลว่า ทำไมจะต้องเลื่อนการ “ล่อลวงเงิน” ออกไป
แต่จากแหล่งข่าวของผม ที่ฝังตัวอยู่อย่างลึกในวัดไชยบูลย์ ได้แจ้งออกมาว่า “ธัมมชโยโคม่า” ซะแล้ว เดี้ยงซะแล้ว
ขออนุญาต หยุดการเขียนไปร้องเพลงสัก 1 เพลงก่อน
ไอ้หวังตายแน่.......ตายแน่ไอ้หวัง ไอ้หวังตายแน่.......ตายแน่ไอ้หวัง .....................
จบเพลงแล้ว มาเขียนต่อ
แหล่งข่าวของผมแจ้งว่า อยู่ดีๆ “หลวงพ่อวรนุชธัมมชโย” ก็ล้มลงไป ดิ้นกระแด่วๆๆๆๆ แล้วก็หมดสติลงไปเลย
แล้วก็เข้าโคม่าไปเลย
แหล่งข่าวที่เห็นกับตา บรรยายอย่างน่าตื่นเต้นว่า ทางวัด ถนนวัด ต่างก็เรียกหมอ เรียกแพทย์มากันอย่างมากมาย มืดฟ้ามัวดิน แต่ก็ “ปลุกผี” ธัมมชโยขึ้นมาไม่ได้
“หลวงพ่อวรนุชธัมมชโย” จะต้องไปเข้าไปสู่เชิงตะกอนเสียแล้ว
มีข้อมูลมาเพิ่มเติมดังนี้
เห็นขาซ้ายใหญ่กว่าขาข้างขวา 2 เท่าได้น่ะ และต้องใส่ถุงเท้าเหลืองหนาๆ ปกปิดสีของขาแน่เลยครับ
ได้มาจากที่ผมไปเขียนว่า วรนุชธัมมชโยเป็นเบาหวาน จนขาดำมาแล้วประมาณ 2-3 ปี
ในเฟสบุ้ค และมีคนให้ข้อมูลมา...
ความเลวของสมีธัมมชโย
ความเลวของสมีธัมมชโย
สมีธัมมชโยที่ผมกล่าวถึงนี้ก็คือ เจ้าอาวาสของวัดพระธรรมกายในปัจจุบัน ซึ่งต่อไปผมจะเรียกว่า “วัดไชยบูลย์” เพื่อไม่ให้ความเสนียดจังไรของบุคคลผู้นี้ ติดไปกับชื่อของวิชา
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และประธานมูลนิธิธรรมกายเป็นพระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีนามตามสัญญาบัตรประกอบพัดยศสมณศักดิ์ว่า พระราชภาวนาวิสุทธิ์ อธิมุตธรรมวรากร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2487 ณ คุ้งน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ตำบลบ้านแป้ง อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี โดยมีโยมบิดาชื่อ จรรยงค์ สุทธิผล โยมมารดาชื่อ จุรี สุทธิผล บรรพชาอุปสมบทเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2512 ณ พัทธสีมาวัดปากน้ำภาษีเจริญ โดยมีพระเทพวรเวที (ปัจจุบันคือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ) เป็นพระอุปัชฌาย์
ตรงนี้ หลวงพ่อวัดปากน้ำ (ซึ่งควบคุมการทำงานของพวกเรา) พูดไว้เสมอๆ ว่า “ถ้าหลวงพ่อยังไม่มรณภาพ หลวงพ่อไม่บวชให้แน่ๆ” เพราะ รู้ว่าเป็นมารภาคมนุษย์ มารส่งมาเกิดเพื่อทำลายวิชาธรรมกาย
วิกิพิเดีย สารานุกรมเสรีได้กล่าวในหัวข้อคดีความและข้อครหาย่อๆ ได้ดังนี้
ในช่วง พ.ศ.
2540-2541 สื่อมวลชนได้จุดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงความน่าสงสัยต่อพฤติกรรมและการดำเนินการหลายอย่างเกี่ยวกับพระราชภาวนาวิสุทธิ์ และทีมงาน รวมถึงมีการเผยแพร่ข่าวเชิงลบอย่างต่อเนื่อง เช่นประเด็นการยักยอกทรัพย์ และการบริหารเงินบริจาค และมีความพยายามเปลี่ยนการเรียกนามของพระราชภาวนาวิสุทธิ์เป็น "นายไชยบูลย์ สุทธิผล" โดยอ้างเอาพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชว่าได้ตัดสินให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์หลุดพ้นจากความเป็นบรรพชิตแล้ว ด้วยความผิดทางพระธรรมวินัยขั้นปาราชิก ในข้อหายักยอกทรัพย์

ประวัติตรงนี้ของธัมมชโยไม่กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญที่ว่า ตำรวจโรงพักชนะสงครามจะจับสึกให้ใส่เสื้อผ้าของคฤหัสอยู่แล้ว
คนของวัดพาสาวกมารตัวนี้ ไปล้อมโรงพักไว้ ทำให้รอดจากการสึกมาได้ครั้งหนึ่งอย่างหวุดหวิด แน่จากเจ้าหน้าที่ตำรวจกลัวเรื่องราวจะไปกันใหญ่ จึงส่งผลเสียต่อศาสนามาอย่างหนักจนถึงปัจจุบัน
ในระหว่างที่คดียังคงอยู่ในกระบวนพิจารณาในชั้นศาลพระราชภาวนาวิสุทธิ์และคณะวัดพระธรรมกาย ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ในระหว่างการพิจารณาคดีดังกล่าว สื่อมวลชนบางสำนักได้นำเสนอข่าวแพร่สะพัดออกไปในทางเสื่อมเสีย จึงได้มีการฟ้องกลับสื่อมวลชนต่อขบวนการยุติธรรม ซึ่งต่อมาศาลอาญาได้พิพากษา ว่าการกระทำดังกล่าวของสื่อมวลชนเป็นความผิด และได้ลงโทษให้ประกาศข้อความขอขมาวัดพระธรรมกายและพระราชภาวนาวิสุทธิ์ทางหนังสือพิมพ์ หลายฉบับ ทั้งมติชน กรุงเทพธุรกิจ สยามรัฐ
การที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวเกินกว่าเหตุเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่า สมีธัมมชโยเป็นผู้บริสุทธ์ เป็นคนละเรื่องกัน
กระทั่งในปี พ.ศ. 2549 สำนักงานอัยการสูงสุดได้ถอนฟ้องคดีทั้งหมดของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ""พระธัมมชโยได้คืนเงินให้แก่ทางวัดพระธรรมกายครบถ้วนทุกบาททุกสตังค์แล้ว ถือว่าได้ปฏิบัติตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จึงไม่มีเหตุผลที่จะฟ้องร้องเอาผิดอีกต่อไป"
นี่คือหลักฐานที่มัดแน่นสันดารมารธัมมชโยว่า “ปราชิก” แล้ว ศีล 227 ไม่ใช่กฎหมายของประเทศ กฎหมายของประเทศหลุดก็เพราะ อดีตนายกรัฐมนตรี ดร. ทักษิณ ชิณวัตรใช้อำนาจในการทางเมืองช่วยมารสมีไชยบูลย์ จึงทำให้มารตัวนี้ ทำความเลวให้แก่ประเทศชาติอย่างเหลือคณานับ
กรณีความเลวของมารธัมมชโยนั้น ธาตุธรรมเอาเข้าเซฟ ดังนั้น คุณทักษิณก็ไม่น่าจะรอดเซฟเหมือนกัน
การลวงโลกของสมีธัมมชโยนั้นมีมากมายหลายประการ ในช่วงแรกๆ นี้ผมรวบรวมมาอยู่ในบล็อกต่าง ดังนี้
- แทงกันสาหัสในวัดไชยบูลย์
- ทัตตชีโวไม่รู้วิชาธรรมกาย
- บุญ..บ้าๆ บอๆ ของสมีไชยบูลย์
- มารไชยบูลย์ทำลายวิชาธรรมกาย
- วิชาธรรมกายไม่ได้มาจากวัดไชยบูลย์
- สาวกโง่สุดตัว ธัมมชโยโง่สุดตีน
- “น้าจี้” ผีอบายภูมิ
- ธัมมชโยสอนวิชาธรรมกายไม่ถูก
- คำแก้ตัวของพระโง่ๆ
- แก้วยายจันท์
- ประสบการณ์ในวัดไชยบูลย์
- สัมภาษณ์พระอดิศักดิ์
- สวรรค์งี่เง่าของธัมมชโย
สำหรับรายละเอียดต่างๆ จะเพิ่มเติมภายหลัง เนื่องตอนนี้ ผมกำลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างของเว็บอยู่...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)