ชะตาไทยพุทธบนด้ามขวานทอง
เสียง บึ้ม...ปัง...ที่ดังสลับกันตามด้วยเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คงไม่มีใครปฏิเสธว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นมายาวนานตลอด 4 ปีกว่า มีผู้เสียเสียชีวิตและบาดเจ็บนับ 1,000 คน แถมรัฐต้องทุ่มเงินงบประมาณแผ่นดินมหาศาลในการแก้ไขปัญหา แต่ก็ไม่สามารถที่ขุดและถอนรากเหง้าของเชื้อร้ายให้สิ้นซากได้ จนชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ต้องผจญกับชะตากรรมอันโหดร้ายมีทั้งตายและบาดเจ็บรายวัน แถมต้องพบกับความหวาดผวาความหวาดระแวงซึ่งกันและกันเอง ที่ยากในการแยกแยะระหว่างคนดีกับคนชั่ว
พื้นที่สีแดง สีเหลืองและสีเขียว ที่ถูกทางการกำหนดกรอบ ปัจจุบันทั้ง 3 สี ยังคงถูกปนเปและปนเปื้อนไปด้วยเลือด และปฏิเสธไม่ได้ชนกลุ่มน้อยอย่างไทยพุทธที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด ที่ทางการดูแลไม่ทั่วถึงต้องตัดสินใจทยอยอพยพออกนอกพื้นที่ เพื่อไปหาหลักแหล่งใหม่ ดีกว่าต้องเอาชีวิตไปทิ้งบนด้ามขวานทอง
มันไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าชนกลุ่มน้อยอย่างไทยพุทธที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะมีประชากรลดลง ในเมื่อเหยื่อรายล่าสุดอย่างนางลัดดา สุทธานี อายุ 72 ปี เจ้าของร้านขายเสื้อผ้าเลขที่ 17 หมู่ 7 บ้านบริจ๊ะ ต.ลาโล๊ะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ถูกคนร้ายบุกยิงเสียชีวิตคาร้าน และนางดารุณี วงศ์ดวงแก้ส อายุ 39 ปี บุตรสาวได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องนอนหยอกน้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 51 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวอย่าง 1 ใน 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรชนกลุ่มน้อยอย่างไทยพุทธ ที่ไม่ยอมทิ้งบ้านเกิด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา นางลัดดา เคยถูกคนร้ายลอบวางระเบิดหน้าร้านค้า จนทำให้นางลัดดา ถูกสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บมาแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม
ความโหดร้ายอันน่าสะพรึงกลัวในครั้งนี้ ทำให้ชนกลุ่มน้อยอย่างไทยพุทธซึ่งอาศัยอยู่รายรอบบริวารวัดลาโล๊ะ ม.5 ต.ลาโล๊ะ อ.รือเสาะ ซึ่งเป็นเขตติดต่อกับบ้านบริจ๊ะ ม.7 ต.ลาโล๊ะ ที่คนร้ายบุกยิงนางลัดดา เสียชีวิตอย่างเหี้ยมโหด จำนวน 24 ครัวเรือน 60 ชีวิต ต่างเกิดความหวาดกลัวไม่มีความปลอดภัยในชีวิต จนต้องรวมตัวกันขอพึ่งบารมีเจ้าหน้าที่ทางการให้ความคุ้มครอง
“ ปัญหาของท่านคือปัญหาของเรา ท่านเจ็บเราก็เจ็บ เพราะเราเปรียบเสมือนคนครอบครัวเดียวกัน ต่อแต่นี้จะไม่มีความสูญเสียอีก ” นี่คือเสียงและสัจจะคำมั่นสัญญาที่เปล่งออกมาจากปากของนายจำลอง ไกรดิษฐ์ นายอำเภอรือเสาะ หลังได้เดินทางเข้าไปเยี่ยมไทยพุทธชนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้ ด้วยความเชื่อมั่นแห่งพลังความสามัคคีเมื่อชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน หรือ ชรบ. ตำรวจ ทหารฝ่ายปกครอง ที่ต้องมีการวางกรอบรื้อฟื้นกฎกติกา หันมาจับปืนให้ความคุ้มครองชาวบ้านตลอด 24 ชั่วโมงเข้มข้นกว่าเดิม โดยตำรวจทหารฝ่ายปกครอง สลับสับเปลี่ยนในการลาดตระเวนทุกๆ 1 ชั่วโมง ชรบ.วางจุดตรวจปิดหัวท้ายหมู่บ้านตรวจสอบคนต้องสงสัย พร้อมทั้งเดินเท้าสร้างความอุ่นใจไปตามหลังคาเรือนต่างๆ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนายอำเภอรือเสาะเชื่อว่า ไทยพุทธชนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้จะอยู่ได้ด้วยความปลอดภัย
นี่คือความจริงเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่สะท้อนชะตาชีวิตของไทยพุทธ ที่ต้องเสียสละเอาเลือดเนื้อและชีวิตมาทิ้ง เพื่อแลกกับการรักษาผืนแผ่นดินเกิด ถึงเวลาหรือยังซึ่งเป็นคำถามซ้ำๆซากๆให้ทุกคนฉุกคิด ว่าหน้าที่ของพลเมืองและข้าราชการที่ดีต้องทำอย่างไร อย่าปล่อยให้สูญเสียแผ่นดินเกิดหรือไทยพุทธซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยไร้ที่อยู่
พื้นที่สีแดง สีเหลืองและสีเขียว ที่ถูกทางการกำหนดกรอบ ปัจจุบันทั้ง 3 สี ยังคงถูกปนเปและปนเปื้อนไปด้วยเลือด และปฏิเสธไม่ได้ชนกลุ่มน้อยอย่างไทยพุทธที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด ที่ทางการดูแลไม่ทั่วถึงต้องตัดสินใจทยอยอพยพออกนอกพื้นที่ เพื่อไปหาหลักแหล่งใหม่ ดีกว่าต้องเอาชีวิตไปทิ้งบนด้ามขวานทอง
มันไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าชนกลุ่มน้อยอย่างไทยพุทธที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะมีประชากรลดลง ในเมื่อเหยื่อรายล่าสุดอย่างนางลัดดา สุทธานี อายุ 72 ปี เจ้าของร้านขายเสื้อผ้าเลขที่ 17 หมู่ 7 บ้านบริจ๊ะ ต.ลาโล๊ะ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ถูกคนร้ายบุกยิงเสียชีวิตคาร้าน และนางดารุณี วงศ์ดวงแก้ส อายุ 39 ปี บุตรสาวได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องนอนหยอกน้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 51 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวอย่าง 1 ใน 20 เปอร์เซ็นต์ของประชากรชนกลุ่มน้อยอย่างไทยพุทธ ที่ไม่ยอมทิ้งบ้านเกิด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา นางลัดดา เคยถูกคนร้ายลอบวางระเบิดหน้าร้านค้า จนทำให้นางลัดดา ถูกสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บมาแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม
ความโหดร้ายอันน่าสะพรึงกลัวในครั้งนี้ ทำให้ชนกลุ่มน้อยอย่างไทยพุทธซึ่งอาศัยอยู่รายรอบบริวารวัดลาโล๊ะ ม.5 ต.ลาโล๊ะ อ.รือเสาะ ซึ่งเป็นเขตติดต่อกับบ้านบริจ๊ะ ม.7 ต.ลาโล๊ะ ที่คนร้ายบุกยิงนางลัดดา เสียชีวิตอย่างเหี้ยมโหด จำนวน 24 ครัวเรือน 60 ชีวิต ต่างเกิดความหวาดกลัวไม่มีความปลอดภัยในชีวิต จนต้องรวมตัวกันขอพึ่งบารมีเจ้าหน้าที่ทางการให้ความคุ้มครอง
“ ปัญหาของท่านคือปัญหาของเรา ท่านเจ็บเราก็เจ็บ เพราะเราเปรียบเสมือนคนครอบครัวเดียวกัน ต่อแต่นี้จะไม่มีความสูญเสียอีก ” นี่คือเสียงและสัจจะคำมั่นสัญญาที่เปล่งออกมาจากปากของนายจำลอง ไกรดิษฐ์ นายอำเภอรือเสาะ หลังได้เดินทางเข้าไปเยี่ยมไทยพุทธชนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้ ด้วยความเชื่อมั่นแห่งพลังความสามัคคีเมื่อชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน หรือ ชรบ. ตำรวจ ทหารฝ่ายปกครอง ที่ต้องมีการวางกรอบรื้อฟื้นกฎกติกา หันมาจับปืนให้ความคุ้มครองชาวบ้านตลอด 24 ชั่วโมงเข้มข้นกว่าเดิม โดยตำรวจทหารฝ่ายปกครอง สลับสับเปลี่ยนในการลาดตระเวนทุกๆ 1 ชั่วโมง ชรบ.วางจุดตรวจปิดหัวท้ายหมู่บ้านตรวจสอบคนต้องสงสัย พร้อมทั้งเดินเท้าสร้างความอุ่นใจไปตามหลังคาเรือนต่างๆ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนายอำเภอรือเสาะเชื่อว่า ไทยพุทธชนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้จะอยู่ได้ด้วยความปลอดภัย
นี่คือความจริงเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งที่สะท้อนชะตาชีวิตของไทยพุทธ ที่ต้องเสียสละเอาเลือดเนื้อและชีวิตมาทิ้ง เพื่อแลกกับการรักษาผืนแผ่นดินเกิด ถึงเวลาหรือยังซึ่งเป็นคำถามซ้ำๆซากๆให้ทุกคนฉุกคิด ว่าหน้าที่ของพลเมืองและข้าราชการที่ดีต้องทำอย่างไร อย่าปล่อยให้สูญเสียแผ่นดินเกิดหรือไทยพุทธซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยไร้ที่อยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น