![]() | |
วีดีโอคลิป บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
| |
![]() |
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หลักฐานแบ่งแยกดินแดน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หลักฐานแบ่งแยกดินแดน แสดงบทความทั้งหมด
วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554
ไหนว่าบริสุทธิ์
ป้ายกำกับ:
มุสลิมจอมกะล่อน,
หลักฐานแบ่งแยกดินแดน,
อ้างอัลเลาะห์
ดับหัวหน้าโจรใต้ อ.รามัญ
![]() |
ทหารพราน วิสามัญ โจรใต้ หน.โลจิ้สติก ดับคาบ้านที่ อ.รามันhttp://peace.chaotainews.com/index.php?option=com_content&view=article&id=2090:2011-04-07-07-49-27&catid=2:2008-07-20-06-15-15&Itemid=5 เมื่อ 6 เม.ย. 54 เวลา 08.00 น. กำลังจนท.ตร.ชุดสืบสวนคดีความมั่นคง ของ ศูนย์ปฎิบัติการตำรวจ จ.ชายแดนใต้ ศชต.นำโดย พตอ.ชูเกียรติ ภูกาบพลอย และ กำลังทหารพราน นำโดย พ.อ.คมกฤช รัตนฉายา ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 41 เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านเลขที่104 หมู่ 1 ต.กายูบอเกาะ อ.รามัน จ.ยะลา เนื่องจากสืบทราบว่าเป็นที่กบดานของ บุคคลตามหมายจับในคดีความมั่นคง เป็นที่ต้องการตัวของ จนท.ตร.ของ สภ.อ.รามัน จ.ยะลา ขณะที่กำลังปิดล้อมและกำลังจนท.ได้เข้าตรวจสอบอยู่นั้น ทันทีทันใด ได้มีชายวัยรุ่น ทราบชื่อต่อมา คือนาย อัสมัน เจ๊ะเล็ง อายุ 26 ปี บุคคลตามเป้าหมาย ได้วิ่งหนีออกทางหลังบ้านพร้อมด้วยอาวุธปืนพกแบบออโตเมติก ขนาด 9 มม. และยิงเปิดทางเพื่อจะหลบหนี แต่ได้ถูก จนท.ยิงสวนทำให้ นายอัสมัน ฯถูกยิงเสียชีวิตคาที่ใกล้กับห้องน้ำหลังบ้าน หลังเกิดเหตุ พตอ.ภูมิเพชร พิพัฒน์เพชรภูมิ รอง ผบก.ภ.จว.ยะลา นำกำลัง ตร.ชุดตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ จนท.ผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด ไปทำการตรวจค้นสถานที่เกิดเหตุอย่างละเอียดโดยรอบอีกครั้ง พร้อมด้วยนำ แพทย์ พนักงานอัยการ และ ปลัดอำเภอร่วมกันเพื่อชันสูตรพลิกศพเนื่องจากเป็นคดีวิสามัญ จากนั้นได้ส่งมอบศพให้ญาติโดยมีพ่อและแม่ของผู้ตายเดินทางเข้ามายังจุดเกิดเหตุและคอยรอรับศพผู้ตายเพื่อจะนำไปประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านเกิด นำไปดำเนินการต่อไป สำหรับนายอัสมัน เจ๊ะเล็ง รายนี้ จากการเปิดเผยของ จนท.ตร.ระดับสูงในพื้นที่กล่าวว่า เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องของการลำเลียง การขนส่งเคลื่อนย้าย อาวุธอุปกรณ์ต่างฯในการยุทธรวมทั้งเสบียง จึงได้ฉายาว่า อัสมัน โลจิ๊สติก แต่ก็หนีไม่พ้นการติดตามสืบสวนของ จนท.จนมาพบจุดจบดังกล่าว ปิดล้อมรังโจรใต้ ปะทะสนั่น วิสามัญดับ1 เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้าปิดล้อมค้นบ้านคนร้ายคดีความมั่นคง แต่เจ้าตัวคว้าปืนยิงเจ้าหน้าที่หวังเปิดทางหนี ถูกยิงสวนกลับจนเสียชีวิตคาที่ พบเป็นเพื่อนแกนนำระดับอาร์เคเคหลายคน ... เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 6 เม.ย. พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผบช.ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศชต.) สั่งการให้ พ.ต.อ.ชูเกียรติ ภู่กาบพลอย ผกก.หัวหน้าชุดสืบสวนคดีสำคัญประสานกับ พ.ต.อ.สักรินทร์ บำเพ็ญสมัย ผกก.สภ.รามัน พ.ต.ท.กฤษณะพงษ์ แพทย์สิทธิ์ สว.สส. นำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นย่านที่ทำการไปรษณีย์รามัน เขตเทศบาลตำบลกายูบอเกาะ เนื่องจากสืบทราบว่า นายอัสมัน เจ๊ะเล็ง อายุ 29 ปี ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 111 หมู่ 5 บ้านกำปงบาโงย ต.อาซ่อง อ.รามัน มีหมายจับ ป.วิอาญา คดีความมั่นคงโดยได้ร่วมกับพวกลอบวางระเบิดซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.ยะลา 12 เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายนายในเขต อ.รามัน เมื่อต้นปี 2552 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ นายอัสมันได้แอบหลบหนีมาหลบซ่อนตัวอยู่กับเพื่อนที่บ้านเลขที่ 104 ถนนทั่วไป ต.กายูบอเกาะ พร้อมกันนี้ฝ่ายตำรวจได้ประสานไปยัง พ.อ.คมกฤช รัตนฉายา ผบ.กรมทหารพรานที่ 41 ค่ายวังพญา อ.รามัน และ พ.ท.อิศรา จันทะกระยอม ผบ.ฉก.ยะลา12 สนธิกำลังหลายฝ่ายร่วม 100 นาย เข้าปิดล้อมตรวจค้นในละแวกดังกล่าวโดยละเอียด ปรากฏว่านายอัสมัน รู้ตัวได้ถืออาวุธปืนพกสั้นวิ่งหลบหนีออกไปทางหลังบ้าน พร้อมกับได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่กำลังเจ้าหน้าที่เพื่อเปิดทางหนี จนเกิดการปะทะกันขึ้น เสียงปืนดังสนั่นไปทั่วตลาดเมืองรามันราว 5 นาที จึงเงียบลง หลังสิ้นเสียงปืนปรากฏว่า นายอัสมัน ถูกกระสุนปืนเจ้าหน้าที่ตามร่างกายจนพรุนนอนตายจมกองเลือด อยู่ข้างห้องน้ำบริเวณหลังบ้านเลขที่ดังกล่าว ในมือขวากำอาวุธปืนขนาด 9 มม.ไว้แน่น ตรวจสอบต่อมาพบกระสุนเหลืออยู่ในแม็กกาซีนอีก 1 นัด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ยึดไว้เป็นของกลาง พร้อมโทรศัพท์มือถืออีก 1 เครื่อง ต่อมาได้เข้าตรวจค้นภายในบ้านเพื่อนนายอัสมัน มี น.ส.ซาปีน๊ะ มะยีเต๊ะ อายุ 41 ปีเป็นเจ้าของบ้าน ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายแต่อย่างใด น.ส.ซาปีน๊ะ ให้การว่า นายอัสมันเป็นเพื่อนกับนายอิบรอเฮง มะยีเต๊ะ น้องชาย ได้มาขอพักอาศัยอยู่หลายวันแล้ว โดยตนเองไม่ทราบว่านายอัสมันเป็นคนร้ายคดีความมั่นคง สำหรับนายอัสมัน เป็นลูกชายของโต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดกำปงบาโงย หมู่ 5 ต.อาซ่อง และเป็นพี่ภรรยาของนายบัสรีอาแด อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 43หมู่ 6 บ้านปูลัย ต.บาลอ อ.รามัน แกนนำอาร์เคเค. ระดับสั่งการ ที่ถูกกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเดียวกันนี้เข้าปิดล้อมจับกุมตัวได้พร้อมนายมูฮำหมัดซาริ มะดาโอ๊ะอายุ 34 ปี อยู่บ้านบาโงยปูโละ ต.เรียง อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส แกนนำอาร์เคเค.ระดับสั่งการอีกคน เมื่อเช้ามืดวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งในวันนั้นนายอัสมันได้ไหวตัวทันสามารถหลบหนีออกไปได้ก่อน โดยไปขออาศัยอยู่กับเพื่อนในกลางเมืองรามัน จนกระทั่งกำลังเจ้าหน้าที่ปิดล้อมตรวจค้นเกิดยิงปะทะกันขึ้นสนั่นเมืองจนตัวตายดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่า เมื่อช่วงเช้าที่่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทหารพรานกรมทหารพราน 41 สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ทหารฉก.ยะลา 12 และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รามัน เข้าตรวจค้นภายในบริเวณโรงเรียนมะหัฮอิสลามียะห์ ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนศาสนา หรือปอเนาะ ตั้งอยู่หมู่ 3 บ้านบือแนนากอ ต.บาลอ เนื่องจากสืบทราบว่ามีสิ่งของผิดกฎหมายซุกซ่อนไว้ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวพบเชื้อปะทุจำนวน 5 ดอก ห่อถุงพลาสติกดำซุกไว้ด้านหลังโรงเรียน นอกจากนั้น ยังพบปุ๋ยยูเรีย จำนวน 5 กระสอบ และถังแก๊สปิกนิกอีกจำนวน2 ถังวางซุกไว้ในบริเวณใกล้เคียง จึงได้ยึดไว้เป็นของกลางทั้งหมดเพื่อจะได้นำไปตรวจสอบเนื่องจากเชื่อว่า สิ่งของทั้งหมดเป็นของคนร้ายที่แอบนำมาซุกซ่อนไว้และอาจเกี่ยวข้องกับ สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ต่อไป |
![]() |
ป้ายกำกับ:
เข้าใจเข้าถึง,
โจรใต้ตัวจริง,
หลักฐานแบ่งแยกดินแดน,
อ้างอัลเลาะห์
วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554
ขอปกครองตนเอง
ไม่ได้แบ่งแยกดินแดน แต่จะขอปกครองตนเอง
สองสามวันก่อนผมไปเจอบล๊อก โจรใต้ เลยเก็บเอามาฝาก เรื่องทั้งหมด มันฟ้องตัวเองของโจรใต้ให้เห็นอยู่แล้ว ไม่จำต้องบรรยาย มันบอกชัดเจน มันจะเอาอย่างไร มันคิดอย่างไร อิอิ เลิกงุมมะงาหรากะสมานฉันท์ได้แล้ว http://patanipost.blogspot.com/2009/06/blog-post_30.html?zx=bf5966c4e6904169 "แนวทางนี้" แก้สามจังหวัดภาคใต้ เพิ่มอำนาจปกครองตนเอง

"ไทยอาจเพิ่มอำนาจในการปกครองตนเองแก่ท้องที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้" รายงานข่าวนี้มีพิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันพุธที่ 24 มิถุนายน 2552 หน้า 16 กล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศแล้วกล่าวอีกว่ากำลังพิจารณาเพิ่มอำนาจในกฎข้อบังคับต่างๆตามกฎหมายชารีอะห์ หรือกฎหมายอิสลาม เพื่อบรรเทาปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
"การลดทอนอำนาจจากส่วนกลางและเพิ่มอำนาจให้ท้องถิ่นเป็นเรื่องจำเป็น และเราสามารถตอบสนองความจำเป็นในส่วนนี้ได้ โดยเฉพาะในส่วนของกฎหมายชารีอะห์ผ่านระบบการศึกษา"
แต่ไม่ได้ให้อำนาจปกครองตนเองแก่พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะการปกครองตนเองเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยคัดค้านมาโดยตลอด
ผู้นำชาวมลายูมุสลิมร่วมประชุมกันเพื่อกำหนดคำขอเกี่ยวศาสนาและสิทธิต่างๆของชาวมลายูมุสลิม ณ สำนักงานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานีอย่างค่อนข้างกะทันหัน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2490 โดยมีผู้ร่วมประชุมประมาณ 100 คน
คำขอ 7 ข้อต่อรัฐบาลผ่านทางคณะกรรมการสอดส่องภาวการณ์ในสี่จังหวัดภาคใต้ ดังนี้
1.ขอให้ปกครอง 4 จังหวัดนี้เป็นแคว้นหนึ่ง โดยมีผู้ดำรงตำแหน่งอย่างสูงให้มีอำนาจในการศาสนาอิสลาม มีอำนาจแต่งตั้งและปลดข้าราชการออกได้ ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต้องเป็นมุสลิมใน 4 จังหวัด
2.การศึกษาในชั้นประถมต้นจนถึงชั้นประถม 7 ให้มีการศึกษาภาษามลายูตลอด
3.ภาษีที่เก็บได้ให้ใช้ภายใน 4 จังหวัดนี้เท่านั้น
4.ในจำนวนข้าราชการทั้งหมดขอให้มีข้าราชการชาวมลายูร้อยละ 80
5.ขอให้ใช้ภาษามลายูควบกับภาษาไทยเป็นภาษาราชการ
6.ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีเอกสิทธิ์ออกระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติการศาสนาอิสลามโดยความเห็นชอบของผู้มีอำนาจสูงสุด
7.ให้ศาลรับพิจารณากฎหมายอิสลามแยกจากศาลจังหวัด มีโต๊ะกาลี (กอฎีหรือดะโต๊ะยุติธรรม)ตามสมควร และมีเสถียรภาพในการพิจารณาชี้ขาด
"รัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะให้มีการเลือกตั้งโดยตรงในพื้นที่ดังกล่าว คล้ายกับเลือกตั้งกรุงเทพฯและพัทยา"
"เราจำเป็นต้องใช้แนวทางนี้ในการแก้ปัญหาภาคใต้ และเราต้องอดทน" นายกรัฐมนตรีบอกย้ำ
"แนวทางนี้"ไม่ใช่ความคิดใหม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของ"คำขอ" 7 ข้อที่หะยี สุหรง อับดุลกาเดร์ (และคณะฯ) อดีตผู้นำมุสลิมสี่จังหวัดภาคใต้ เคยเสนอต่อรัฐบาล เมื่อ พ.ศ. 2490 แล้วถูกหลอกจนถึงขั้นถูกลอบ"อุ้ม"(ฆ่า?)
แต่ "แนวทางนี้"มิได้มีแค่นี้ หากยังมีที่สมควรทำอีกหลายอย่างเพื่อลดความหวาดระแวง ดังผมเคยเขียนบอกไว้ในคอลัมน์ตรงนี้นานแล้วตั้งแต่ 2 มีนาคม 2547 ต่อเนื่องหลายวัน เช่น
1. สมควรคืนปืนใหญ่พญาตานีที่กรุงเทพฯไปโจมตีเอามาจากเมืองปัตตานี ในแผ่นดินรัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2329
2. สมควรทำตามที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช บอกไว้สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วประกาศต่อหน้าฝูงชนที่จังหวัดปัตตานี เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2519 ว่า
"เราหลอกเขาว่าเขาเป็นคนไทย ซึ่งที่จริงเขาเป็นคนมลายู ปัญหาก็คือการหลอกตัวเขาเองเป็นคนไทย"
"อย่าบังคับให้เขาเป็นคนไทย? ส่งเสริมให้เขาเป็นตัวของเขาเอง รักษาเอกลักษณ์ (Identity) ชนมลายูไว้"
3. สมควรชำระประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยให้ถูกต้องตามหลักฐานเป็นจริงทางโบราณคดี แล้วแบ่งปันเผยแพร่สู่สาธารณะให้รับรู้ทั่วกันทั้งประเทศ ว่ารัฐบาลปัตตานีพูดภาษามลายู มีมาก่อนรัฐสุโขทัยเกือบ 1,000 ปี จึงไม่ได้เป็นแผ่นดินส่วนหนึ่งของรัฐสุโขทัย
นายกรัฐมนตรี-อภิสิทธิ์ เพิ่งบอกสำนักข่าวต่างประเทศว่าจำเป็นต้องใช้ "แนวทางนี้"ในการแก้ปัญหาภาคใต้และต้องอดทน
แสดงว่าก้นบึ้งของหัวใจและความคิดแล้วไม่อยากใช้"แนวทางนี้" แต่หมดปัญญาไม่รู้จะหาทางแก้ปัญหาอย่างไร
เพราะปัญหารุนแรงเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเปลี่ยนชื่อสยามเป็นประเทศไทย เมื่อ 24 มิถุนายน 2482 โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงยุคใหม่ของรัฐบาลไทยรักไทย คิดใหม่ ทำใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ไม่เคยเบาบางลงไป เลยจำต้องใช้"แนวทางนี้"
"การลดทอนอำนาจจากส่วนกลางและเพิ่มอำนาจให้ท้องถิ่นเป็นเรื่องจำเป็น และเราสามารถตอบสนองความจำเป็นในส่วนนี้ได้ โดยเฉพาะในส่วนของกฎหมายชารีอะห์ผ่านระบบการศึกษา"
แต่ไม่ได้ให้อำนาจปกครองตนเองแก่พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะการปกครองตนเองเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยคัดค้านมาโดยตลอด
ผู้นำชาวมลายูมุสลิมร่วมประชุมกันเพื่อกำหนดคำขอเกี่ยวศาสนาและสิทธิต่างๆของชาวมลายูมุสลิม ณ สำนักงานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานีอย่างค่อนข้างกะทันหัน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2490 โดยมีผู้ร่วมประชุมประมาณ 100 คน
คำขอ 7 ข้อต่อรัฐบาลผ่านทางคณะกรรมการสอดส่องภาวการณ์ในสี่จังหวัดภาคใต้ ดังนี้
1.ขอให้ปกครอง 4 จังหวัดนี้เป็นแคว้นหนึ่ง โดยมีผู้ดำรงตำแหน่งอย่างสูงให้มีอำนาจในการศาสนาอิสลาม มีอำนาจแต่งตั้งและปลดข้าราชการออกได้ ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต้องเป็นมุสลิมใน 4 จังหวัด
2.การศึกษาในชั้นประถมต้นจนถึงชั้นประถม 7 ให้มีการศึกษาภาษามลายูตลอด
3.ภาษีที่เก็บได้ให้ใช้ภายใน 4 จังหวัดนี้เท่านั้น
4.ในจำนวนข้าราชการทั้งหมดขอให้มีข้าราชการชาวมลายูร้อยละ 80
5.ขอให้ใช้ภาษามลายูควบกับภาษาไทยเป็นภาษาราชการ
6.ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีเอกสิทธิ์ออกระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติการศาสนาอิสลามโดยความเห็นชอบของผู้มีอำนาจสูงสุด
7.ให้ศาลรับพิจารณากฎหมายอิสลามแยกจากศาลจังหวัด มีโต๊ะกาลี (กอฎีหรือดะโต๊ะยุติธรรม)ตามสมควร และมีเสถียรภาพในการพิจารณาชี้ขาด
"รัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะให้มีการเลือกตั้งโดยตรงในพื้นที่ดังกล่าว คล้ายกับเลือกตั้งกรุงเทพฯและพัทยา"
"เราจำเป็นต้องใช้แนวทางนี้ในการแก้ปัญหาภาคใต้ และเราต้องอดทน" นายกรัฐมนตรีบอกย้ำ
"แนวทางนี้"ไม่ใช่ความคิดใหม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของ"คำขอ" 7 ข้อที่หะยี สุหรง อับดุลกาเดร์ (และคณะฯ) อดีตผู้นำมุสลิมสี่จังหวัดภาคใต้ เคยเสนอต่อรัฐบาล เมื่อ พ.ศ. 2490 แล้วถูกหลอกจนถึงขั้นถูกลอบ"อุ้ม"(ฆ่า?)
แต่ "แนวทางนี้"มิได้มีแค่นี้ หากยังมีที่สมควรทำอีกหลายอย่างเพื่อลดความหวาดระแวง ดังผมเคยเขียนบอกไว้ในคอลัมน์ตรงนี้นานแล้วตั้งแต่ 2 มีนาคม 2547 ต่อเนื่องหลายวัน เช่น
1. สมควรคืนปืนใหญ่พญาตานีที่กรุงเทพฯไปโจมตีเอามาจากเมืองปัตตานี ในแผ่นดินรัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2329
2. สมควรทำตามที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช บอกไว้สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วประกาศต่อหน้าฝูงชนที่จังหวัดปัตตานี เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2519 ว่า
"เราหลอกเขาว่าเขาเป็นคนไทย ซึ่งที่จริงเขาเป็นคนมลายู ปัญหาก็คือการหลอกตัวเขาเองเป็นคนไทย"
"อย่าบังคับให้เขาเป็นคนไทย? ส่งเสริมให้เขาเป็นตัวของเขาเอง รักษาเอกลักษณ์ (Identity) ชนมลายูไว้"
3. สมควรชำระประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยให้ถูกต้องตามหลักฐานเป็นจริงทางโบราณคดี แล้วแบ่งปันเผยแพร่สู่สาธารณะให้รับรู้ทั่วกันทั้งประเทศ ว่ารัฐบาลปัตตานีพูดภาษามลายู มีมาก่อนรัฐสุโขทัยเกือบ 1,000 ปี จึงไม่ได้เป็นแผ่นดินส่วนหนึ่งของรัฐสุโขทัย
นายกรัฐมนตรี-อภิสิทธิ์ เพิ่งบอกสำนักข่าวต่างประเทศว่าจำเป็นต้องใช้ "แนวทางนี้"ในการแก้ปัญหาภาคใต้และต้องอดทน
แสดงว่าก้นบึ้งของหัวใจและความคิดแล้วไม่อยากใช้"แนวทางนี้" แต่หมดปัญญาไม่รู้จะหาทางแก้ปัญหาอย่างไร
เพราะปัญหารุนแรงเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเปลี่ยนชื่อสยามเป็นประเทศไทย เมื่อ 24 มิถุนายน 2482 โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงยุคใหม่ของรัฐบาลไทยรักไทย คิดใหม่ ทำใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ไม่เคยเบาบางลงไป เลยจำต้องใช้"แนวทางนี้"
ป้ายกำกับ:
โจรใต้ตัวจริง,
หลักฐานแบ่งแยกดินแดน,
ไอ้พวกตีสองหน้า
วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
แผน7ขั้นปั้นหมาให้เป็นเสือ
แผน7ขั้นปั้นหมาให้เป็นเสือhttp://thaienews.blogspot.com/2011/02/7_24.htmlแผนปฏิวัติ 7 ขั้นตอน นับเป็นแผนแม่บทที่ระดับนำขององค์กรกู้ชาติรัฐปัตตานี นำไปเผยแพร่ ชี้นำ ให้กับสมาชิกระดับสำคัญขององค์กรทราบ เป็นระยะ ๆ ตลอดมา โดยตั้งเป้าจะปฏิวัติสำเร็จในปี 50 แต่ที่มท.3ให้สัมภาษณ์ว่า ปี 54 นี้ เป็นการก่อเหตุในขั้นบันได ขั้น 6 ขั้น 7 พูดยังกับว่า ท่าน มท.3 เป็นคนขยายเวลาแผนขั้นบันได 7 ขั้นให้กับกลุ่มก่อการร้ายเสียเอง โดย ปาแด งา มูกอ 24 กุมภาพันธ์ 2554 อ่านข่าวการให้สัมภาษณ์ของ มท.3 แล้ว นึกห่วงเหตุการณ์ชายแดนใต้จริงๆ แบบนี้เข้าลักษณะเอาน้ำมันไปราดกองไฟ ให้ขี้เถ้าที่มันกำลังจะมอดไปแล้วกลับลุกเป็นไฟขึ้นมาใหม่ นี่แหล่ะที่โบราณเขาบอกว่า “ปั้นหมาให้เป็นเสือ” คำสัมภาษณ์ของ มท.3 (ถาวร เสนเนียม) ที่ว่า “...ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็ทราบดีว่า ในช่วง ปี 54 ปีนี้ เป็นการก่อเหตุในขั้นบันได ขั้น 6 ขั้น 7 ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ทางเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ก็ระมัดระวัง งานการข่าวก็เป็นที่เชื่อถือได้ งานการป้องกันก็ระวังกันอย่างเต็มที่ แต่การที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้แทรกเข้ามาก่อเหตุในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 10 วัน เกิดขึ้น 2 ครั้ง ทุกฝ่ายต้องกลับมาทบทวนการปฏิบัติงานร่วมกัน ระหว่างพลเรือน ตำรวจ และ ทหาร สำหรับการเกิดเหตุคาร์บอมบ์ และเหตุระเบิดหลายต่อหลายครั้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คาดว่า น่าจะเป็นการเชื่อมโยงกันของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ และ เป็นการดำรงความมุ่งหมายไปแนวทางเดียวกัน...” ขอประทานโทษน่ะครับ ท่าน มท.3 ถ้าไม่รู้จริง ช่วยกรุณาสงบปากไว้หน่อย ไหว้เหอะ อายเขาครับ และมันจะเข้าตำราโบราณที่ว่า “อาศัยเสือจนเป็นหมา” ไอ้ที่ว่า ปี 54 ปีนี้ เป็นการก่อเหตุในขั้นบันได ขั้น 6 ขั้น 7 ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ นั้น บันไดที่ไหนครับ บันไดบ้านท่าน หรือบันไดที่กระทรวงมหาดไทย ถ้าอยากทราบความจริง จะอธิบายให้ฟัง ไอ้เรื่องบันได หรือ บรรลัย เอาขั้นที่ 6 ขั้น 7 ตามที่ให้สัมภาษณ์ก่อน หลังจากนั้นจะได้ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบบันไดทั้ง 7 ขั้นเลยครับ ขั้นที่ ๖ “เตรียมพร้อมปฏิวัติ” ความหมาย เป็นการก่อเหตุร้ายทุกรูปแบบในพื้นที่ จชต. เหมือนกับการแตก/กระจาย ของดอกไม้ไฟ “จุดดอกไม้ไฟแห่งการปฏิวัติ” โดยกำหนดให้ปฏิบัติในปี ๒๕๔๗ คล้ายกับ “วันเสียงปืนแตก” ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต ทั้งนี้ยังมีคำกล่าว ที่คล้ายคลึงอีกว่า “ ในปี ๔๗ จะเป็นปีที่ดอกลองกองผลิดอกออกพร้อมกัน ” ซึ่งข้อเท็จจริงที่ปรากฏและพิสูจน์ได้ เช่น กรณีเกิดเหตุการณ์มากมายใน ปี ๔๗ จนถึงปัจจุบัน สอดคล้องกับข้อความข้างต้น (แต่มันก็ได้ผ่านพ้นมาแล้ว ย่างเข้าปีที่ 7 ในปี 2554 ) ขั้นที่ ๗ “จัดตั้งการปฏิวัติ” หรือ “ก่อการปฏิวัติ” เป็นแผนงานที่เดิมกำหนดจะกระทำในปี ๒๕๔๘ แต่ด้วยความไม่พร้อมของจำนวนกองกำลัง และจำนวนแนวร่วม ซึ่งอาจจะหมายรวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ จึงไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน และมีความเป็นไปได้ว่าขยายไปอีก ๒ ปี ข้างหน้า กล่าวคือ จะก่อการปฏิวัติในปี ๒๕๕๐ (มันก็ผ่านมาแล้ว 3 ปี) กรณีกำหนดปี ๔๘ เป็นปีก่อการปฏิวัติ มีหลักฐานค่อนข้างชัดเจนจากเอกสารที่ยึดได้จากปอเนาะญีฮาด ในครั้งการบรรยายของ อุสตาซอาหมัด เมื่อ ๗ ธ.ค.๔๑ ภาพก่อการปฏิวัติที่จะเกิดขึ้นนั้นจะเป็นภาพการต่อสู้ของนักต่อสู้เพื่อรัฐปัตตานี ที่ทำการโจมตีด้วยกองกำลังต่อกลไกรัฐเต็มพื้นที่ จชต. ซึ่งขณะโจมตีจะติดตั้งธงรัฐปัตตานีควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สื่อมวลชนแพร่กระจายข่าวไปทั่วโลก และหวังผลต่อการเข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าวโดย UN เช่น ติมอร์ตะวันออก หรือประเทศอื่นๆ จนท้ายสุดเป็นการลงประชามติของประชาชนว่า จะเป็นประชาชนของฝ่ายใด ซึ่งประเด็นสำคัญสุดท้ายนี่เอง ที่กลุ่มก่อความไม่สงบประเมินแล้ว ความไม่พร้อมของมวลชนที่ซึ่งเป็นปัจจัยชี้ขาด จึงต้องขยายเวลาการก่อการปฏิวัติไปอีก ๒ ปี คือปี 2550 แผนปฏิวัติ 7 ขั้นตอน นับเป็นแผนแม่บทที่ระดับนำขององค์กรกู้ชาติรัฐปัตตานี นำไปเผยแพร่ ชี้นำ ให้กับสมาชิกระดับสำคัญขององค์กรทราบ เป็นระยะ ๆ ตลอดมา จึงนับ ได้ว่าเป็นข้อมูลสำคัญที่ทุกหน่วยงานของรัฐ ต้องศึกษาวิเคราะห์ เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวคิด/แนวทางปฏิบัติสำหรับตอบโต้ทำลายแผนดังกล่าว มิให้ขับเคลื่อนไปได้อย่างเป็นรูปธรรม. มท.3 ตาสว่างขึ้นรียังครับ แล้วดันไปเอาข้อมูลของลูกน้องตัวไหนที่บอกให้ท่านมาสัมภาษณ์ว่า ปี 54 ปีนี้ เป็นการก่อเหตุในขั้นบันได ขั้น 6 ขั้น 7 ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ พูดยังกับว่า ท่าน มท.3 หรือลูกน้องท่านเป็นคนขยายเวลาแผนขั้นบันได 7 ขั้นให้กับกลุ่มก่อการร้ายเสียเอง จริงไหมครับท่านผู้อ่าน เอาล่ะครับที่นี้สำหรับท่านผู้อ่านโดยเฉพาะครับ (มท.3 ไม่เกี่ยว) แผนบันได 7 ขั้น ตรวจพบครั้งแรกเมื่อ 1 พฤษภาคม 2546 หลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นบ้านพักนายมะแซ อุเซ็ง อาจารย์สอนศาสนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม “สัมพันธ์วิทยา” บ้านเจาะเกาะ ตำบลบูกิต อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดเอกสาร “แผนปฏิวัติ 7 ขั้นตอน” ได้อีกหลายครั้ง ล่าสุดยึดได้จากโรงเรียน “ปอเนาะญีฮาด” หรือ โรงเรียนญีฮาดวิทยา บ้านท่าด่าน ตำบลตะโล๊ะกาโปร์ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2548 กลุ่มก่อความไม่สงบ โดยเฉพาะ BRN Coordinate ซึ่งสมาชิกระดับแกนนำส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบุคคลที่มีสถานภาพเป็นผู้นำศาสนาในทุกระดับในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ดำเนินการทางลับโดยการใช้แผนสู่ความสำเร็จ (บันได 7 ขั้น) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 โดยการชักชวนเยาวชนทั้งในและนอกโรงเรียนเข้าร่วมงานได้เป็นจำนวนมาก และเรียกตัวเองว่า “Pejuang” (เปอยูแว/ยูแว) แปลว่า “นักต่อสู้ของกลุ่มเยาวชนกู้ชาติปัตตานี” (Pemuda Merdeka Patani) ขององค์กรกู้ชาติปัตตานี (Pejuangan Merdeka Patani) กลุ่มนักสู้เหล่านี้เป้นนักต่อสู้รุ่นใหม่ที่ผ่านการฝึกอบรมบ่มเพาะ สร้างจิตสำนึกให้เคียดแค้นชิงชังคนต่างศาสนา มีอดุมการณ์การต่อสู้เพื่อชาติ ศาสนา มาตุภูมิ เคร่งครัดศาสนา เป็นที่ยอมรับของสังคม และมีความกระหายที่จะต่อสู้ตามแนวทางศาสนา (ญีฮาด) และอิสรภาพอันชอบธรรมเพื่อรัฐปัตตานี ทั้งนี้องค์กรกู้ชาติปัตตานีได้ขับเคลื่อนตามแผนการปฏิวัติ 7 ขั้นตอน (บันได 7 ขั้น) เป็นยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการเตรียมคน จังตั้งองค์กรควบคุม ขยายเครือข่ายและสมาชิก พร้อมทั้งได้กำหนดห้วงปีที่จะปฏิบัติอย่างชัดเจน ความหมายของแผนปฏิวัติ 7 ขั้นตอน (แผนบันได 7 ขั้น) ผลการแปลเอกสารภาษามาลายู และอาหรับโดยผู้รู้เกี่ยวกับภาษาระบุว่าแผนปฏิวัติ 7 ขั้นตอนถูกกำหนดมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.1992 (พ.ศ.2535) โดยมุ่งใช้เยาวชนเป็นกลุ่มปฏิบัติการทั้งทางทหาร ประชาสัมพันธ์ และโฆษณาชวนเชื่อ โดยแผนดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ขั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 5 เป็นห้วงของการจัดตั้งและดำเนินงาน เพื่อสร้างความพร้อมของคน องค์กร และอุดมการณ์ ส่วนที่ 2 ขั้นที่ 6 ถึงขั้นที่ 7 เป็นขั้นการปฏิวัติ เพื่อความสำเร็จของการกู้ชาติปัตตานี ขั้นที่ 1 การสร้างจิตสำนึกมวลชน เป็นการปลุกระดมมวลชนให้สำนึกถึงความเป็นชาวมลายู ความยึดมั่นในศาสนาอิสลาม และเน้นความเป็นชาติ/รัฐปัตตานีในอดีตที่จะต้องต่อสู้เอาดินแดนคืนโดยมักจะยกเป็นประ เด็นการกวาดต้อนชาวมลายูไปยังกรุงเทพ และบังคับให้ใช้มือเปล่าขุดคลองแสนแสบ รวมทั้งอ้างคำสอนในคัมภัร์อัลกุรอ่านมาประกอบ ขั้นที่ 2 การจัดตั้งมวลชน เป็นการจัดตั้งแนวร่วม ซึ่งมักดำเนินการระหว่างสอนศาสนาต่อเยาวชน เยาวชนในที่นี้หมายถึงผู้ที่มีอายุในระหว่าง 18-35 ปี และประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในช่วงการอ่าน “คุปตะเบาะห์” ในวันศุกร์ หรือ “ละหมาดใหญ่” ตามมัสยิด ส่วนในโรงเรียนตาดีกา โรงเรียนเด็กเล็กก่อนวัยเรียน/อนุบาล ปอเนาะและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จะมอบให้ครูสอนศาสนาที่ผ่านการบ่มเพาะมาในระดับหนึ่งแล้วเป็นผู้ดำเนินการ จากนั้นจะพัฒนาให้นักเรียน/นักศึกษาเหล่านี้ผู้ปฏิบัติ โดยอาจให้ทุนการศึกษาไปเรียนต่อต่างประเทศ (ที่ปรากฎหลักฐานคือการไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยในเมือง บันดุง เมดาน ยอร์คจาร์กาตาร์ ประเทศอินโดนีเซีย) ซึ่งนักศึกษาเหล่านี้นอกจากจบการศึกษาทางวิชาการแล้วยังได้ผ่านการฝึกหลักสูตรด้านการทหารมาอีกด้วย จากนั้นจะส่งมวลชนจัดตั้งเข้าเป็นคณะกรรมการต่างๆเช่น คณะกรมมการอิสลามประจำจังหวัด คณะกรรมการมัสยิด คณะกรรมการหมู่บ้าน และสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล รวมทั้งเข้าครอบงำสหกรณ์ที่ภาครัฐส่งเสริมให้ประชาชนได้รวมกลุ่มดำเนินกิจการเพื่อพึ่ง ตนเอง เช่น สหกรณ์หมู่บ้าน ซึ่งจะมีการเก็บเงินรายได้ส่วนหนึ่งเข้าขบวนการอันเป็นการสร้างเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ควบคู่กันไป ส่วนสมาคมหรือชมรม (รวมถึงด้านกีฬา) ก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่ต้องการเข้าครอบงำด้วย ขั้นที่ 3 การจัดตั้งองค์กร เป็นการจัดตั้งองค์กรอำพรางในการปฏิบัติ ทั้งเพื่อการควบคุมมวลชนและแหล่งเงินทุน เช่น การจัดตั้งชมรมตาดีกา โดยในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสใช้ชื่อว่า “PUSAKA” (Pusat Kebajkan Tadika) พื้นที่จังหวัดปัตตานีใช้ชื่อว่า “PUSTAKA” พื้นที่จังหวัดยะลาใช้ชื่อว่า “PERTIWI” พื้นที่จังหวัดสงขลาใช้ชื่อว่า “PUTRA” และพื้นที่จังหวัดสตูล ใช้ชื่อว่า “PANTAS” เพื่อควบคุมโรงเรียนตาดีการที่ยินยอมเข้ามาอยู่ในองค์กร ซึ่งการควบคุมองค์กรเหล่านี้จะอำนวยประโยชน์ทางการเมืองต่อระดับแกนนำในพื้นที่เหล่านั้นด้วย นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งองค์กรบังหน้าอื่นๆอีกหลายรูปแบบ เช่น จัดตั้งสหกรณ์เพื่อเป็นแหล่งเงินทุน เป็นต้น ขั้นที่ 4 การจัดตั้งกองกำลัง ในขั้นนี้มี 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเยาวชน เป็นกองกำลังที่อยู่ประจำหมู่บ้านตามภูมิลำเนาโดยเฉพาะในหมู่บ้านสีแดง (ประมาณ 257 หมู่บ้าน) โดยมีเป้าหมายที่จะจัดตั้งกองกำลังดังกล่าวให้ได้ 30,000 คน ระดับเยาวชนคอมมานโดเป็นผู้ที่ถูกคัดเลือกจากลุ่มเยาวชนทหารนำไปฝึกยุทธวิธีหน่วย ทหารขนาดเล็ก (Runda Kumpulan Kecil/RKK) และยุทธวิธีด้านอื่นๆเพิ่มเติม สมาชิกระดับคอมมานโดจะได้รับมอบภารกิจด้านการก่อเหตุร้าย ซึ่งทั้งการลอบยิง ลอบวางระเบิด และลอบโจมตี โดยมีเป้าหมายที่จะจัดตั้งให้ได้ 3,000 คน กระจายอยู่ในเขตปกครองใหม่ 3 เขต (เขตการปกครองขององค์กรกู้ชาติปัตตานี) เขตงานละ 1,000 คน และ ระดับกองกำลังระดับผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้ควบคุมและครูฝึกกองกำลังคอมมานโด กลุ่มเหล่านี้บางคนผ่านการฝึกมาจากต่างประเทศ มีขีดความสามารถค่อนข้างสูง เคยผ่านการปฏิบัติจริงมาแล้วและมีจิตใจต่อสู่เพื่อองค์กรที่แน่วแน่ โดยมีเป้าหมายกำหนดไว้ 300 คน คัดเลือกจากเยาวชนคอมมานโดและผู้ที่ผ่านการฝึกจากต่างประเทศแล้ว ขั้นที่ 5 การสร้างอุดมการณ์ชาตินิยม การปฏิบัติขั้นนี้ มุ่งเน้นการสร้างอุดมการณ์ความเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน (ความเป็นมาลายู)ที่จะต้องร่วมกันต่อสู้เพื่อให้ได้รัฐปัตตานีคืนมาโดยการผนึกกำลังของชนชาติพันธุ์มาลายูที่เป็นชาวไทยมุสลิมทุกสถานะ/อาชีพ ซึ่งรวมถึงข้าราชการพลเรือน ตำรวจทหารที่เป็นมุสลิม และชาวมาเลเซีย ที่สำคัญผู้ที่ได้รับการปลุกฝังอุดมการณ์ชาตินิยมแล้วจะต้องเคยผ่านการปฏิบัติจริง (การก่อเหตุร้ายไม่ว่าในลักษณะใดตามเงื่อนไขและระดับความรับผิดชอบ) ขั้นที่ 6 การเตรียมพร้อมปฏิวัติ เป็นขั้นตอนการก่อเหตุร้ายทุกรูปแบบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เหมือนการแตกกระจายของดอกไม้ไฟ หรือเรียกว่า “การจุดดอกไม้ไฟแห่งการปฏิวัติ” เพื่อการเคลื่อนไหวใหญ่ ขั้นที่ 7 การจัดตั้งการปฏิวัติ หรือ การก่อการปฏิวัติ เป็นการต่อสู้ขั้นสุดท้ายและใช้การโจมตีประกอบด้วยกองกำลังต่อกลไลรัฐเต็มพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งขณะโจมตีจะติดตั้งธงรัฐปัตตานีควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สื่อมวลชนแพร่กระจายไปทั่วโลก และหวังผลให้ประชาคมระหว่างประเทศโดยเฉพาะองค์การสหประชาติหรือองค์กรมุสลิม ในระดับโลกเข้ามาแสดงบทบาทในการแก้ปัญหาดังกล่าว จนนำไปสู่การลงประชามติของประชาชนเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและจัดตั้งรัฐปัตตานีขึ้นในที่สุด ซึ่งตามแผนการเดิมขั้นตอนนี้กำหนดจะกระทำในปี พ.ศ.2548 แต่ด้วยความไม่พร้อมของจำนวนกองกำลังแนวร่วมและอาวุธยุทโธปกรณ์ จึงยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน และต้องขยายแผนนี้ออกไปอีกระยะหนึ่ง ผู้ต้องสงสัย?-นายมะแซ อุเซ็ง หรือ อุสตาซแซ(ภาพบน)แกนนำกองกำลังBRN Co-ordinate ภาพซ้ายเป็นภาพเก่าที่ทางการไทยออกหมายจับ ส่วนภาพด้านขวาเป็นรูปในปัจจุบัน (ภาพล่าง)โดยภาพล่าสุดนั้นขยายจากภาพถ่ายร่วมกับนายนัจมูดดิน อูมา ส.ส.นราธิวาส ภาพนี้เชื่อกันว่าถ่ายในมาเลเซีย อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ฝีมือคาร์บอมบ์หนล่าสุดที่ยะลาไม่ใช่ฝีมือของอุสตาซแซ จากเอกสารดังกล่าวข้างต้น จนกระทั่งทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อหรือหลงกลเชื่อว่า เอกสารที่ว่าค้นพบในบ้านพักนายมะแซ อุเซ็ง นั้น จะเป็นเอกสารที่อาจเรียกได้ว่า “โคตรของโคตรความลับ” ท่านมะแซ จะสะเพร่าวางไว้จนเจ้าหน้าที่ค้นพบได้เชียวหรือ หรือว่า เจ้าหน้าที่เขียนเอง ร่างเอง ฮั่นแน่เสียวหลังวูบเข้าแล้วไหมล่ะ แต่หากจะให้ผมเชื่อหรือท่านผู้อ่านเชื่อ ก็ต้องรอให้ท่านมะแซ อุเซ็ง มาเขียนให้ดูหน่อยว่าบันไดที่ท่านเขียนนั้น มันเป็นบันไดจริงหรือบันไดลิง ตรงกับต้นฉบับจริงรึเปล่า มะแซ อุเซ็ง ทราบแล้วโปรดตอบรับด้วย จะเป็นพระคุณอย่างสูง แนวร่วม การสนับสนุน ผู้ที่ให้การสนับสนุน ต่อกองกำลังติดอาวุธ ที่เคลื่อนไหว ในเขตไทย ส่วนใหญ่ เป็นเครือญาติ ที่มีผลประโยชน์ ร่วมกัน หรือถูกบังคับ การสนับสนุน ต่อกองกำลัง ติดอาวุธ เพื่ออุดมการณ์ มีเพียงส่วนน้อย ที่จะได้รับ การสนับสนุน จากต่างประเทศ เดิมมีหลายประเทศ ที่ให้การสนับสนุน แต่ปัจจุบันเหลือน้อยมาก และ เป็นการสนับสนุน ของบุคคล ที่ไม่เกี่ยวข้อง กับภาครัฐ ผู้มีอิทธิพล และกลุ่มแอบอ้าง ทางการเมือง และศาสนา จากการก่อการร้าย และความไม่สงบ ในพื้นที่ จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ เมื่อตรวจสอบ ข้อเท็จจริง แล้วพบว่า ผู้ที่อยู่ เบื้องหลัง หรือผู้ที่บงการ มักจะเป็นผู้กว้างขวาง หรือผู้มีอิทธิพล ในพื้นที่ ซึ่งอาจจะมีส่วนร่วม กับนักการเมือง และ ข้าราชการบางคน ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้กระทำ หรือผู้ก่อเหตุ ส่วนใหญ่ เป็นผู้ต้องคดี ผู้ติดยาเสพย์ติด แนวร่วม จกร. หรือ กองกำลัง ติดอาวุธ ของ จกร. ซึ่งเบื้องหลัง ของกลุ่มบุคคล ดังกล่าวนี้ มักมีความสัมพันธ์ ทางใด ทางหนึ่ง ประกอบกับ เกิดปัญหา ความขัดแย้ง ด้านแนวทาง ในการปฏิรูป แนวทาง ศาสนา ของกลุ่มบุคคล หรือผู้นำ ศาสนา ในบางพื้นที่ รวมทั้ง ปัญหา ความขัดแย้ง ทางด้านการเมือง ปัญหาดังกล่าว ผสมผสาน เป็นความ ไม่สงบ เรียบร้อย ความไม่ปลอดภัย ในชีวิต และทรัพย์สิน กลุ่มโจร มิจฉาชีพ มีการจัดตั้งกลุ่ม เช่น กลุ่มมูจาฮีดีน อิสลาม ปัตตานี เคลื่อนไหว ก่อเหตุร้าย ก่อกวน สร้างความ ไม่สงบ หลายครั้ง เพื่อยกระดับ กลุ่มโจร มิจฉาชีพ ให้ จกร. ยอมรับว่า มีอุดมการณ์ แบ่งแยก ดินแดน เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น ยังมีกลุ่ม มือปืนรับจ้าง และผู้หลบหนี คดีอาญา มาก่อเหตุร้าย หรือข่มขู่ กรรโชกทรัพย์ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ สถานการณ์ในพื้นที่ เหตุร้ายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ มีทั้งจากการ ปะทะจากโจรก่อการร้าย โจรมิจฉาชีพ กลุ่มผลประโยชน์ และ เรื่องส่วนตัว แต่ลักษณะการก่อเหตุร้าย จะคล้ายกัน จึงทำให้เข้าใจว่า เป็นคนร้าย กลุ่มเดียวกันทำ หรือที่ที่เหตุร้าย จะกระจาย ไปใน หลายพื้นที่ ไม่เน้นหนัก ในพื้นที่ใด พื้นที่หนึ่ง ส่วนใหญ่ จะเกิด นอกเขตชุมชน รองลงมา ในเขตเทศบาล ของพื้นที่ จังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี ส่วนสงขลา และสตูล มีเหตุการณ์น้อยมาก แนวโน้ม สถานการณ์ ก่อความไม่สงบ โดยเฉพาะ การก่อเหตุร้าย จะยังคงมีต่อไป แต่ด้วยการปฏิบัติการ ทางยุทธการ ของฝ่ายเจ้าหน้าที่ ทำให้ฝ่าย จกร. ระดับกองกำลัง ติดอาวุธ หลายคน ต้องสูญเสีย จากการปะทะ และถูกจับกุม เป็นผลให้ จกร. ได้มีการพัฒนา และเปลี่ยนรูปแบบ ในด้านการดำเนินการใหม่ โดยระยะหลัง ได้เน้นหนัก ทางด้าน สังคมจิตวิทยา และการข่าว ซึ่งบางครั้ง อาศัย สถานการณ์ ที่เกิดขึ้น ปล่อยข่าว ให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ เกิดความสับสน และสร้างความแตกแยก ให้เกิดขึ้น ระหว่าง หน่วยงาน ของรัฐ เพื่อเป็นการ ดำรง รักษา สภาพ จกร. เอาไว้ และขยาย แนวร่วม เพื่อให้ความสนับสนุน สำหรับ การก่อการร้าย สร้างผลงาน แสดงอิทธิพล แสวงผลประโยชน์ นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มอื่น สถานการณ์ เพื่อก่อเหตุร้าย เพื่อรักษา ผลประโยชน์ ของบุคคล หรือของกลุ่มตน |
ป้ายกำกับ:
เข้าใจเข้าถึง,
นักการเมืองหัวหน้าโจรใต้,
หลักฐานแบ่งแยกดินแดน
วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554
รัฐอิสระ
สองสามวันก่อนผมไปเจอบล๊อก โจรใต้ เลยเก็บเอามาฝาก เรื่องทั้งหมด มันฟ้องตัวเองของโจรใต้ให้เห็นอยู่แล้ว ไม่จำต้องบรรยาย มันบอกชัดเจน มันจะเอาอย่างไร มันคิดอย่างไร อิอิ เลิกงุมมะงาหรากะสมานฉันท์ได้แล้ว
http://patanipost.blogspot.com/2009/06/blog-post_30.html?zx=bf5966c4e6904169 "แนวทางนี้" แก้สามจังหวัดภาคใต้ เพิ่มอำนาจปกครองตนเอง

"ไทยอาจเพิ่มอำนาจในการปกครองตนเองแก่ท้องที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้" รายงานข่าวนี้มีพิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันพุธที่ 24 มิถุนายน 2552 หน้า 16 กล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศแล้วกล่าวอีกว่ากำลังพิจารณาเพิ่มอำนาจในกฎข้อบังคับต่างๆตามกฎหมายชารีอะห์ หรือกฎหมายอิสลาม เพื่อบรรเทาปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
"การลดทอนอำนาจจากส่วนกลางและเพิ่มอำนาจให้ท้องถิ่นเป็นเรื่องจำเป็น และเราสามารถตอบสนองความจำเป็นในส่วนนี้ได้ โดยเฉพาะในส่วนของกฎหมายชารีอะห์ผ่านระบบการศึกษา" แต่ไม่ได้ให้อำนาจปกครองตนเองแก่พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะการปกครองตนเองเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยคัดค้านมาโดยตลอด
"การลดทอนอำนาจจากส่วนกลางและเพิ่มอำนาจให้ท้องถิ่นเป็นเรื่องจำเป็น และเราสามารถตอบสนองความจำเป็นในส่วนนี้ได้ โดยเฉพาะในส่วนของกฎหมายชารีอะห์ผ่านระบบการศึกษา" แต่ไม่ได้ให้อำนาจปกครองตนเองแก่พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะการปกครองตนเองเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยคัดค้านมาโดยตลอด
ผู้นำชาวมลายูมุสลิมร่วมประชุมกันเพื่อกำหนดคำขอเกี่ยวศาสนาและสิทธิต่างๆของชาวมลายูมุสลิม ณ สำนักงานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานีอย่างค่อนข้างกะทันหัน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2490 โดยมีผู้ร่วมประชุมประมาณ 100 คน
คำขอ 7 ข้อต่อรัฐบาลผ่านทางคณะกรรมการสอดส่องภาวการณ์ในสี่จังหวัดภาคใต้ ดังนี้
1.ขอให้ปกครอง 4 จังหวัดนี้เป็นแคว้นหนึ่ง โดยมีผู้ดำรงตำแหน่งอย่างสูงให้มีอำนาจในการศาสนาอิสลาม มีอำนาจแต่งตั้งและปลดข้าราชการออกได้ ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต้องเป็นมุสลิมใน 4 จังหวัด
2.การศึกษาในชั้นประถมต้นจนถึงชั้นประถม 7 ให้มีการศึกษาภาษามลายูตลอด
3.ภาษีที่เก็บได้ให้ใช้ภายใน 4 จังหวัดนี้เท่านั้น
4.ในจำนวนข้าราชการทั้งหมดขอให้มีข้าราชการชาวมลายูร้อยละ 80
5.ขอให้ใช้ภาษามลายูควบกับภาษาไทยเป็นภาษาราชการ
6.ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีเอกสิทธิ์ออกระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติการศาสนาอิสลามโดยความเห็นชอบของผู้มีอำนาจสูงสุด
7.ให้ศาลรับพิจารณากฎหมายอิสลามแยกจากศาลจังหวัด มีโต๊ะกาลี (กอฎีหรือดะโต๊ะยุติธรรม)ตามสมควร และมีเสถียรภาพในการพิจารณาชี้ขาด
"รัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะให้มีการเลือกตั้งโดยตรงในพื้นที่ดังกล่าว คล้ายกับเลือกตั้งกรุงเทพฯและพัทยา"
"เราจำเป็นต้องใช้แนวทางนี้ในการแก้ปัญหาภาคใต้ และเราต้องอดทน" นายกรัฐมนตรีบอกย้ำ
"แนวทางนี้"ไม่ใช่ความคิดใหม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของ"คำขอ" 7 ข้อที่หะยี สุหรง อับดุลกาเดร์ (และคณะฯ) อดีตผู้นำมุสลิมสี่จังหวัดภาคใต้ เคยเสนอต่อรัฐบาล เมื่อ พ.ศ. 2490 แล้วถูกหลอกจนถึงขั้นถูกลอบ"อุ้ม"(ฆ่า?)
แต่ "แนวทางนี้"มิได้มีแค่นี้ หากยังมีที่สมควรทำอีกหลายอย่างเพื่อลดความหวาดระแวง ดังผมเคยเขียนบอกไว้ในคอลัมน์ตรงนี้นานแล้วตั้งแต่ 2 มีนาคม 2547 ต่อเนื่องหลายวัน เช่น
1. สมควรคืนปืนใหญ่พญาตานีที่กรุงเทพฯไปโจมตีเอามาจากเมืองปัตตานี ในแผ่นดินรัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2329
2. สมควรทำตามที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช บอกไว้สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วประกาศต่อหน้าฝูงชนที่จังหวัดปัตตานี เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2519 ว่า
"เราหลอกเขาว่าเขาเป็นคนไทย ซึ่งที่จริงเขาเป็นคนมลายู ปัญหาก็คือการหลอกตัวเขาเองเป็นคนไทย"
"อย่าบังคับให้เขาเป็นคนไทย? ส่งเสริมให้เขาเป็นตัวของเขาเอง รักษาเอกลักษณ์ (Identity) ชนมลายูไว้"
3. สมควรชำระประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยให้ถูกต้องตามหลักฐานเป็นจริงทางโบราณคดี แล้วแบ่งปันเผยแพร่สู่สาธารณะให้รับรู้ทั่วกันทั้งประเทศ ว่ารัฐบาลปัตตานีพูดภาษามลายู มีมาก่อนรัฐสุโขทัยเกือบ 1,000 ปี จึงไม่ได้เป็นแผ่นดินส่วนหนึ่งของรัฐสุโขทัย
นายกรัฐมนตรี-อภิสิทธิ์ เพิ่งบอกสำนักข่าวต่างประเทศว่าจำเป็นต้องใช้ "แนวทางนี้"ในการแก้ปัญหาภาคใต้และต้องอดทน
แสดงว่าก้นบึ้งของหัวใจและความคิดแล้วไม่อยากใช้"แนวทางนี้" แต่หมดปัญญาไม่รู้จะหาทางแก้ปัญหาอย่างไ
ร
เพราะปัญหารุนแรงเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเปลี่ยนชื่อสยามเป็นประเทศไทย เมื่อ 24 มิถุนายน 2482 โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงยุคใหม่ของรัฐบาลไทยรักไทย คิดใหม่ ทำใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ไม่เคยเบาบางลงไป เลยจำต้องใช้"แนวทางนี้"
เพราะปัญหารุนแรงเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเปลี่ยนชื่อสยามเป็นประเทศไทย เมื่อ 24 มิถุนายน 2482 โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงยุคใหม่ของรัฐบาลไทยรักไทย คิดใหม่ ทำใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ไม่เคยเบาบางลงไป เลยจำต้องใช้"แนวทางนี้"
ป้ายกำกับ:
เข้าใจเข้าถึง,
ความจริงมหาโจร,
ปัญหาไฟใต้,
หลักฐานแบ่งแยกดินแดน
วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554
มาเล หนุนแบ่งแยกดินแดน
บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
หน่วยงานความมั่นคงของไทยโชว์หลักฐานเด็ดวีซีดีการประชุมพรรคปาส ฝ่ายค้านมาเลย์ โจมตี ไทยอยู่เบื้องหลังการสังหารหมู่กรือเซะ-ตากใบ โยนบาป"ทักษิณ"จับมือพี่เบิ้มสหรัฐฯ พร้อม ยุยงส่งเสริมเยาวชนให้ก่อนกวนเพื่อแบ่งแยกรัฐปัตตานี ยันส่งเงินหนุนโจรใต้ ขณะที่กอ.สสส. จชต.เปิดแถลงจับ 4 อุสตาซ ล่า"สะแปอิง"หัวโจกบีอาร์เอ็นที่หนีไปได้ เผยเตรียมซ่องสุมกำลัง เพื่อสถาปนารัฐตามแผน 7 ขั้น ด้านนายกฯเย้ย รอชาติหน้าก็ไม่ได้เป็นผบ.สส. ส่วนสถานการณ์ รายวันโจรชั่วยิงตำรวจตายอีกศพ แหล่งข่าวด้านความมั่นคงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมนี้ ว่า ขณะนี้มีการเผยแพร่วีซีดีการอภิปรายของสมาชิกพรรคปาส ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในรัฐสภามาเล เซียบางช่วงในการประชุมสมาชิกรัฐสภามาเลเซีย เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โดยวันนั้น ส.ส.รัฐบาล และฝ่ายค้านมาเลเซีย ลงมติประณามเหตุการณ์รุนแรงที่ยังคงเกิดขึ้นในจังหวัดชาย แดนภาคใต้ของไทย ภายหลังการเสียชีวิตของชาวมุสลิม 85คน ที่อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ในระ หว่างการถือศีลอด เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ให้กับสมาชิกพรรคปาส ยึดซีดีฝ่ายค้านมาเลย์จวก"ทักษิณ" โดยวีซีดีดังกล่าวมีทั้งหมด 2 แผ่น ซึ่งรายละเอียดวีซีดีแผ่นที่ 1 เป็นการอภิปรายของนายต่วน อิสมาแอล ระบุความตอนหนึ่งว่า มีความพยายามที่จะแยก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นเป็นการใช้กลอุบายในการฆ่ามุสลิม ฆ่าโต๊ะครู มีการตรวจค้นปอเนาะ และมัสยิด ซึ่งเป็นกล อุบายแล้วโยงเรื่องต่างๆ ให้มาเลเซียเป็นผู้อยู่เบื้องหลังใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีชาวอิสลามกว่า ร้อยละ 90 เป็นคนเชื้อสายปัตตานี มีเครือญาติบางส่วนอยู่ในกรุงเทพฯ ที่แท้พรรคปาสส่งเงินหนุนโจรใต้ สมาชิกของพรรคปาส ยังกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า อยู่เบื้องหลัง เหตุการณ์ที่กรือแซะและที่ตากใบ โดยระบุว่า นายกฯทักษิณ มีความเป็นอเมริกา เหมือนกรณีที่เกิด กับประเทศอีรักและประเทศอัฟกานิสถาน ต่อไปก็จะเป็นชาวมุสลิมในรัฐปัตตานี แต่ขณะนี้ขบวนการ ของเราที่ปัตตานี มีกำลังพร้อมอาวุธอยู่แล้ว ต่อไปเราจะได้เห็นการซาฮีด(พลีชีพในหนทางของพระ เจ้า)ในรัฐปัตตานี เพราะว่าเรามีตัวหลักอยู่ คือ หะยีมะ เปาะฮะ,หะยีเซ็ง และต่วนกูยะลา โดย ก่อนจะถึงวันรายอ(ประมาณวันที่ 24-25 มกราคม 2548)จะมีการสนับสนุนให้รัฐปัตตานี ด้วยซากาต (การบริจาคทรัพย์สมบัติเมื่อครบรอบปี หรือที่เกินจากส่วนที่จำเป็น)จากโลกอาหรับ โดยเงินทุกบาท ทุกสตางค์ จะตกถึงมือขบวนการของเรา ชักชวนพี่น้องมุสลิมทำจีฮัดตอบโต้ แหล่งข่าว กล่าวว่า ส่วนวีซีดีแผ่นที่ 2 มีการแปลคำอภิปรายของ นายหะยีมะฟุร(มีเชื้อสาย ปัตตานี)ตอนหนึ่ง ว่า ขบวนการมุสลิมของเรามีอยู่ทั่วโลกแล้วและที่ปัตตานีก็มีเหมือนกัน ขณะนี้ทั่ว โลกรับรู้แล้วว่า ปัตตานีก็เป็นดินแดนของมุสลิมด้วยกัน ซึ่งยังถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ต่อไปชาวมุสลิม ในพื้นที่ต้องกระทำจีฮัด เพราะเราต้องยึดถือคัมภีร์อัลกุรอานเป็นแนวทางต่อไป นายหะยีมะฟุร ยังอภิปรายต่อว่า ตรงไหนมีมัสยิด ตรงไหนมีปอเนาะ ตรงไหนมีนักวิชาการ อิสลาม ทักษิณถือว่า เป็นคลังที่เก็บอาวุธยุทโธปกรณ์ หรือเป็นที่ซ่องสุมของพวกหัวรุนแรง ขอให้พวก เราทั้งหลายจงระวังให้ดี ขณะนี้ทักษิณมีพวกเราด้วยกันเองเป็นหนอนบ่อนไส้ เข้ามาแทรกแซงใน เขตรอยต่อของเรา จนท.ชี้แพร่วีซีดีมุ่งปลุกลุกแก้แค้น ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเสนอความเห็นประกอบว่า จากการที่ล่ามได้ดูแผ่นวีซีดีดังกล่าว แล้วรู้สึกว่า เมื่อกลุ่มวัยรุ่น หรือแนวร่วมได้รับชมภาพดังกล่าว จะมีความรู้สึกฮึกเหิม โดยเฉพาะ ถ้านำไปเปิดในมัสยิด หรือปอเนาะในพื้นที่ คาดว่าจะกระจายอยู่ตามพื้นที่ 3 จังหวัดแล้ว และวีซีดีดัง กล่าวน่าจะเป็นการยุยงเพื่อให้เกิดความเคียดแค้นและก่อให้เกิดการปฏิบัติในการก่อความไม่สงบ ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ล่าอุสตาซสะแปอิงล้างสมองโจ๋ ด้าน พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ ผอ.สสส.จชต.และพล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ อธิบดีกรมสอบ สวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)แถลงข่าวจับกุม 4 แกนนำโจรใต้ ประกอบด้วย นายแวยูโช๊ะ แวดือราแม อดีตครูฝ่ายปกครองโรงเรียนธรรมวิทยา จ.ยะลา นายอับดุลรอเซะ หะยีดอเลาะ นายอา หามะ บูระ ครูสอนศาสนาโรงเรียนธรรมวิทยา และนายมูอาหมัดคานาฟี ดอเลาะ ครูโรงเรียน สตรีอิสลามมูลนิธิ จ.ยะลา พร้อมออกหมายจับ นายสะแปอิง บาซอ เจ้าของโรงเรียนธรรมวิทยา มูลนิธิ ซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนี ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาร่วมกันเป็นกบฏแบ่งแยกดินแดน ก่อนนำตัวไปสอบ สวนขยายผลที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ใช้ปอเนาะ421แห่งซ่องสุมกำลัง แหล่งข่าวแจ้งว่า นายสะแปอิงปฏิบัติการทางการเมืองในโรงเรียนปอเนาะอย่างลับๆ ภาย ใต้ชื่อองค์กร"บีอาร์เอ็น-โคออนิเนท"ซึ่งโรงเรียนจะมีผู้ควบคุมดูแลอีก 2 คน โดยทั้ง 2 คนเป็นลูก ชายของพี่ชายอดีต ส.ส.ซึ่งทั้ง 2 คนนี้ ผ่านการศึกษาจากประเทศปากีสถาน ได้ทำการสะสมอาวุธ และสร้างกองกำลัง มีเป้าหมายเพื่อแบ่งแยกดินแดนสร้างรัฐอิสลามปัตตานี โดยแอบแฝงสร้างกอง กำลังอย่างลับๆ ผ่านทางโรงเรียนปอเนาะและโรงเรียนสอนศาสนาสายสามัญพื้นที่ 3 จังหวัดภาค ใต้ โดยมีปอเนาะในสังกัด 121 แห่ง รวมกับโรงเรียนศาสนาสายสามัญอีก 300 แห่ง มีเป้าหมาย ฝึกเยาวชนช่วงเวลา 24.00-04.00น.จำนวน 11 กองกำลังทหาร ฝันหวานตั้งรัฐปัตตานีดารุสราม "1 ใน 11 กองกำลัง มีกลุ่มกำลังของ นายมะแซ อูเซ็ง โจรใต้อันดับที่ 2 ค่าหัว 3 ล้านบาท รวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า กลุ่มบีอาร์เอ็น-โคออนิเนท เป็นผู้วางแผนการ 1 พันวัน 7 ขั้นตอน ปฏิวัติประกาศเอกราชสร้างรัฐปัตตานีดารุสราม โดยวางแผนปักธงที่ อ.ยะหา จ.ยะลา ซึ่งแผน ปฏิบัติการขั้นที่7 จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 15 ธันวาคม 2547 - 5มกราคม 2548" แหล่งข่าว กล่าว ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการจับกุมครูสอนศาสนาเครือข่ายก่อ ความไม่สงบภาคใต้ ว่า ก่อนหน้านี้มีการสอบสวนพยานล่วงหน้ามานานแล้ว ก่อนจะดำเนินการจับ กุม ซึ่งเป็นเครือข่ายที่มีความเชื่อมโยงกันหลายจังหวัด วันที่ 18ธันวาคมนี้ ตนจะอธิบายรายละเอี ยดให้ประชาชนรับทราบทางรายการ"นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน"” "ทักษิณ"สั่งจับ100คนแนวร่วมโจร ต่อข้อถามว่า คนกลุ่มนี้มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายต่างประเทศ หรือกลุ่มอาเจะห์ในอินโด นีเซียหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ไม่เชิง เพราะบางคนมีการศึกษาทำให้มีเพื่อนฝูง มีความเชื่อมโยง สัมพันธ์กันแบบเพื่อนเรียนมาด้วยกัน โดยผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มโจรมีหลายกลุ่มผสมปนเปกัน โดยมี นักการเมืองท้องถิ่นเข้ามาเกี่ยวพันในบางจุด แต่ไม่โยงถึงนักการเมืองระดับชาติ ต่อไปเหตุการณ์ ภาคใต้น่าจะดีขึ้น เพราะตัววางแผนหรือเสนาธิการถูกจับ ส่วนบางคนต้องหนี โดยเรามีเป้าหมาย จับกุมแกนนำก่อความไม่สงบ ประมาณ 100คน เย้ยโจรจะเป็นผบ.สส.รอชาติหน้า "รัฐบาลอดทนและกลืนเลือดไปหลายอึก ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าตายรายวันไปพอสม ควร ซึ่งรัฐบาลจะทำอะไรโฉ่งฉ่างไม่ได้ เพราะมีคนคอยจ้องประณามหวังผลทางการเมือง ดังนั้น เราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ วันนี้ทำอะไรลำบาก เอาไว้หลังเลือกตั้งค่อยว่ากัน ไม่เช่นนั้นจะถูก กล่าวหาว่ากลั่นแกล้ง วันนี้ชาวไทยมุสลิมเข้าใจมากๆและคนในพื้นที่รู้ดีว่า ใครทำอะไรไม่ดี แต่ไม่ กล้า บางคนเคยถูกคนเหล่านี้ทำร้าย พอเห็นรูปถึงกับผงะแทบตกเก้าอี้ เพราะยังหวาดกกลัวว่าคน เหล่านี้จะกลับมาทำร้ายอีก เมื่อวานจับอุสตาซได้ 4คน ซึ่ง 1ใน 4 นั้น จะได้เป็นผบ.สส.รัฐปัตตานี รอชาติหน้าตอนสายๆ ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีทาง"นายกฯกล่าว ครูนราธิวาสหยุดเรียนกลัวโจรยิง วันเดียวกัน บรรดาครูพื้นที่ จ.นราธิวาส จำนวน 3 พันคน ออกมาชุมนุมประท้วงมาตรการ รักษาความปลอดภัยของภาครัฐ พร้อมประกาศปิดเรียน 2 วัน ตั้งแต่วันที่ 16-17 ธันวาคมนี้ เพราะ ภาครัฐคุ้มครองดูแลครูไม่ได้ โดยตั้งแต่เกิดความไม่สงบเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีครูเสียชีวิตขณะเดิน ทางมาปฏิบัติหน้าที่และกลับบ้านพัก จำนวนกว่า 20 ราย โจรชั่วฆ่าตำรวจปัตตานีดับอีกศพ ก่อนหน้านี้ เวลา 07.30 น.คนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ประกบยิง นายสราวุธ อารีนะ อายุ 38 ปี รปภ.ศาลเยาวชนและครอบครัว จ.นราธิวาส ขณะขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนถนนสายระแงะ-ดุซง ญอ ต.บาโงสโตร์ อ.ระแงะ กระสุนถูกกลางหลังและสีข้างซ้าย รวม 2 นัด ก่อนนำตัวส่ง รพ.นรา ธิวาสราชนครินทร์ สันนิษฐานมุ่งสุมไฟใต้ ต่อมาเวลา 17.00น.คนร้ายขี่รถจักรยานยนต์ไล่ยิง ส. ต.ท.ชาญยุทธ ภูดินดาน ผบ.หมู่งานธุรการ สภ.อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ขณะขี่รถจักรยานยนต์อยู่ใน พื้นที่ ม.1 อ.ยะหริ่ง กระสุนเจาะลำตัว 4 นัด เสียชีวิตคาที่ สันนิษฐานมุ่งสมไฟใต้ พิเชตสรุปผลสลายม็อบ17ธ.ค.นี้ นายพิเชต สุนทรพิพิธ ประธานคณะกรรมการอิสระสอบข้อเท็จจริงเหตุสลายม็อบตากใบ จ. นราธิวาส กล่าวว่า คณะกรรมการจะพยายามสรุปผลอย่างช้าไม่เกินวันที่ 17 ธันวาคมนี้ ก่อนจะ ส่งผลสรุปให้ พ.ต.ท.ทักษิณ รับทราบ จากนั้นจะแถลงต่อสาธารณชน ซึ่งความเห็นของคณะกรรม การฯไม่จำเป็นต้องเป็นเอกฉันท์ เพราะกรรมการแต่ละคนมีความเป็นอิสระ โดยผลสรุปมีข้อเท็จ จริง ข้อพิจารณาและข้อเสนอแนะ โดยระบุผู้รับผิดชอบในเหตุการณ์แต่ละช่วงเวลา ซึ่งขึ้นอยู่กับรัฐ บาลพิจารณาว่า ใครควรรับผิดชอบอย่างไร ขอบคุณ http://www.wing21.rtaf.mi.th/wboard/question.asp?GID=5428 |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)