แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปัญหาไฟใต้ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปัญหาไฟใต้ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

โอ้มุสลิมรักสันติ


บึ้มยะลาซ้ำ ดับ 1 เจ็บ 12


บึ้มยะลาซ้ำ ดับ 1 เจ็บ 12 ผู้การยะลา สั่งตรวจสอบกล้องวงจรปิด
       เมื่อวันที่ 21 กพ.54 เวลา 16.40 น. ศูนย์รวมข่าว สภ.เมืองยะลา ได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บริเวณถนนระนอง เขตเทศบาลนครยะลา มีผู้บาดเจ็บจำนวนหลายราย จึงได้แจ้ง พ.ต.อ.กฤษฎา แก้วจันดี ผกก.สภ.เมืองยะลา ทราบพร้อมประสานเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ภ.จว.ยะลา เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเทศบาลนครยะลา รุดไปที่เกิดเหตุทันที
       เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เกิดเหตุคาร์บอมเมื่อวันที่ 13 กพ.54 ที่ผ่านมาประมาณ 100 เมตร พบว่าไฟกำลังลุกไหม้รถยนต์ของตำรวจทางหลวง และรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ริมถนน จำนวนหลายคัน เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงได้ฉีดน้ำเพื่อดับไฟ จากนั้นจึงได้ช่วยกันลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาลศูนย์ยะลา รวม 12 ราย โดยในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบศพหญิงยังไม่ทราบชื่อนอนเสียชีวิตอยู่ 1 ราย
       จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงขับรถผ่านตรงจุดเกิดเหตุ คนร้ายซึ่งได้นำรถจักรยานยนต์ซุกซ่อนระเบิดจอดอยู่ริมถนนตรงข้ามร้านข้าวต้มโอเค ถนนระนอง ได้จุดชนวนระเบิดขึ้นทันที แรงระเบิดทำให้ไฟลุกไหม้รถยนต์ของตำรวจทางหลวงและรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ เสียชีวิตดังกล่าว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าคนร้ายต้องการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
       หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.โชติ ชวาลวิวัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดยะลา ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดทันที เพื่อติดตามพฤติกรรมของคนร้าย ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถบันทึกภาพเอาไว้ได้ เนื่องจากในบริเวณดังกล่าวมีกล้องวงจรปิดอยู่จำนวนหลายตัว
    

วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สรุปข่าวโจรใต้


86
บึ้ม!หน้าซูปเปอร์มาร์เกตเมืองยะลา ดับ1เจ็บ12
[กรุงเทพธุรกิจ]เมื่อเวลา 16.40 น. ศูนย์ข่าว สภ.เมืองยะลา ได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุระเบิด
ขึ้นที่บริเวณถนนระนอง เขตเทศบาลนครยะลา ที่เกิดเหตุห่างจากจุดที่เกิดเหตุคาร์บอม
เมื่อวันที่ 13 กพ. 54 ที่ผ่านมาประมาณ 100 เมตร ไฟลุกไหม้รถยนต์ของตำรวจทางหลวง
และรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ริมถนนหลายคัน...
85
โจรใต้ลอบบึ้มกลางเมืองยะลาเจ็บ8สาหัส1
[ไอเอ็นเอ็น]ป่วนอีก! คนร้ายวางระเบิดใจกลางเมือง จ.ยะลา เบื้องต้น บาดเจ็บ 8 ราย
สาหัส 1 ราย เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ ได้เกิดเหตุคนร้ายลอบ
วางระเบิด บริเวณใจกลางเมืองยะลา ในเบื้องต้น มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 8 ราย
สาหัส 1 ราย ซึ่งขณะนี้ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบไปยังที่เกิดเหตุ...
60
ด่วน.โจรลอบบึ้มกลางเมืองยะลาเจ็บ8สาหัส1 
[เดลินิวส์]ป่วนอีกวางระเบิดใจกลางเมืองยะลา เบื้องต้น บาดเจ็บ 8 ราย สาหัส 1 ราย
จนท.เร่งตรวจสอบที่เกิดเหตุ
60
โจรใต้ประกบยิงคนยะลาเจ็บอีก 2 ราย
[ไอเอ็นเอ็น]เกิดเหตุคนร้ายประกบยิงชาวบ้าน 2 ราย ขณะขับขี่จักรยานยนต์ ใน
จ.ยะลา ได้รับบาดเจ็บ มีพลเมืองนำส่งโรงพยาบาลแล้ว ตำรวจเชื่อสร้างสถานการณ์
ในพื้นที่ เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวน ได้ใช้อาวุธปืนพกสั้น
ไม่ทราบขนาดและชนิด ตามประกบยิงชาวบ้าน ได้รับบาดเจ็บจำนวน...
50
คืบบึ้มยะลา ตาย1เจ็บ17 พบเป็นระเบิดแสวงเครื่อง
[กรุงเทพธุรกิจ]ความคืบหน้าเหตุบึ้มเขตเทศบาลนครยะลา เหยื่อที่เสียชีวิต
เป็นพนักงานขายของห้างสรรพสินค้า ส่วนผู้บาดเจ็บล่าสุด 17 ราย
มีทั้งตำรวจและประชาชน พบเป็นระเบิดแสวงเครื่องจุดชนวนด้วย
ระบบวิทยุสื่อสาร จากกรณีคนร้ายนำรถจักรยานยนต์บรรจุระเบิด
มาจอดไว้ตรงข้ามร้านข้าวต้มโชคดี...
47
ไฟไหม้ที่พักนร.ร.ร.ปอเนาะเจาะไอร้องวอด
[เดลินิวส์]เพลิงไหม้ที่พักนักเรียน โรงเรียนปอเนาะ ที่เจาะไอร้อง
วอด 3 หลัง จนท.ไม่ฟันธงลอบเผา
44
ลอบบึ้ม!! กลางเมืองยะลา เจ็บ 8 สาหัส 1
[ผู้จัดการ]เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด บริเวณ
ใจกลางเมืองยะลา ในเบื้องต้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 8 ราย สาหัส
1 ราย หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้เร่งตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว ถาวร
สั่งจัดชุดชำนาญพิเศษประจำจุดตรวจ 3 จชต.ป้องกันลอบบึ้ม
ผู้ว่าฯ ตากสั่งสืบแหล่งกักตุนน้ำมันปาล์ม...
40
ความคืบหน้าเหตุระเบิดยะลา ตาย 1 บาดเจ็บ 17 ราย
[ผู้จัดการ]จากกรณีคนร้ายนำรถจักรยานยนต์บรรจุระเบิดมาจอดไว้ตรงข้าม
ร้านข้าวต้มโชคดี ถนนระนอง เขตเทศบาลนครยะลา แล้วจุดชนวนระเบิด
ขึ้นในขณะที่รถยนต์ของตำรวจทางหลวงวิ่งผ่าน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต
ทันที 1 ราย บาดเจ็บ 17 ราย โดยจุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากจุดคาร์บอมบ์
เมื่อวันที่...
38
บอมย์ยะลาตาย1 เจ็บ12 ห่างจุดเดิม100เมตร
[กรุงเทพธุรกิจ]คนร้ายก่อเหตุจยย.บอมบ์ ในเขตเทศบาลนครยะลา เสียชีวิต
1 บาดเจ็บ 12คน เร่งหาภาพกล้องวงจรปิดล่าตัวคนร้าย มีผู้บาดเจ็บหลายคน
จึงได้แจ้ง พ.ต.อ.กฤษฎา แก้วจันดี ผกก.สภ.เมือง เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ
ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เกิดเหตุคาร์บอมเมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา...
35
การดับไฟด้วยน้ำมัน (กรณี 3 จังหวัดชายแดนใต้)...(3)
[ผู้จัดการ]การดับไฟด้วยน้ำมัน (กรณี 3 จังหวัดชายแดนใต้)...(3) หวอ
เหงียนย้าป นักการทหารเวียดนามชื่อก้องโลก ผู้ซึ่งมีส่วนสำคัญ
เป็นอย่างยิ่งในการเอาชนะสงครามปลดแอกประเทศเวียดนาม
ออกจากระบบอาณานิคมของฝรั่งเศส ได้กล่าวเอาไว้ในวาระ
เฉลิมฉลองชัยชนะต่อเมืองเดียนเบียนฟู...
32
โจรใต้ป่วนยิง2อำเภอชาวบ้านตาย2ศพ
[เดลินิวส์]กลุ่มก่อความไม่สงบป่วนอีกยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์ 2
อำเภอ ในนราฯ ดับรวม 2 ศพ
32
ตั้งด่านตรวจเข้มรถกันคาร์บอมบ์ที่ยะลา
[เดลินิวส์]ยะลาตั้งด่านตรวจเข้มรถยนต์ จยย.ป้องกันเหตุคาร์บอมบ์
หน่วยงานราชการห้ามรถจอดหน้าอาคาร
25
ตร.ยะลาได้ภาพผู้ต้องสงสัย คาร์บอม1คน
[กรุงเทพธุรกิจ]ความคืบหน้าคดี คาร์บอม เขตเทศบาลนครยะลา ล่าสุด
ตำรวจได้นำภาพถ่ายผู้ต้องสงสัย เพื่อให้พยานชี้ ก่อนจะขออนุมัติ
ออกหมายจับต่อไป พล.ต.ต.โชติ ชวาลวิวัฒน์ ผบก.ภ.จว.ยะลา
เปิดเผย ผู้สื่อข่าว หลังจากที่บอกว่าจะมีข่าวดีคดี คาร์บอม เมื่อ
วันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา...
25
ชาวนราธิวาสเริ่มซื้อน้ำมันปาล์มฝาสีฟ้า
[ไอเอ็นเอ็น]ประชาชน จ.นราธิวาส เริ่มทยอยซื้อน้ำมันปาล์มขวดลิตร
ฝาสีฟ้า ลอตแรก ที่วางขายตามจุดต่างๆ แล้ว โดยมียอดรวม 12,000
ขวด ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณ หจก.ซูเปอร์ ดีพาร์ทเม้นท์
สโตร์ เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ซึ่งเป็น 1 ในสถานที่ ที่มีการ
จัดจำหน่ายน้ำมันปาล์มขวดลิตรฝาสีฟ้า...
25
น้ำมันปาล์มฝาสีฟ้า1000ลังส่งถึงนราธิวาสแล้ววันนี้
[กรุงเทพธุรกิจ]น.ส.พิญวีร์ ธาราทิศ การค้าภายในจังหวัดนราธิวาส เปิดเผย
ผู้สื่อข่าว กรณีมีข่าวปรากฎในสื่อว่า จากกรณีเกิดเหตุ คาร์บอม
เมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา ส่งผลให้รถบรรทุกน้ำปาล์ม ฝาสีฟ้า
ของกระทรวงพาณิชย์ ไม่สามารถนำส่งใ

นรา+ธิวาส นรา+พินาศ


ความย่อยยับของเมืองยะลา


ระเบิดคาร์บอมย่านธุรกิจการค้ากลางใจเมืองยะลาเมื่อเช้าวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2554ส่งผลให้มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งสาหัส และ บาดเจ็บเล็กน้อยกว่า 20 คน เพลิงที่เกิดจากคาร์บอมบ์ได้เผาผลาญบ้านเรือนเก่าแก่ไปกว่า 12 คูหา รวมทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เสียหายเป็นจำนวนมาก เป็นภาพของเปลวไฟที่ลุกโซนกลางย่านชุมชน จึงเพียงพอที่จะให้ชาวบ้านต่างแตกตื่นตกใจเสียขวัญเป็นอย่างมาก จากการกระทำของเศษขยะ ของแผ่นดินที่ภาครัฐไม่ยอมเก็บกวาดให้สะอาดเรียบร้อย






วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เตรียมเผาชุมชน

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=494753&lang=T&cat=
13 กพ. 2554 17:37 น. 






พ.ต.อ.ภูมิเพ็ชร พิพัฒน์เพ็ชรภูมิ รองผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดยะลา เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบหลักฐานที่เกิดเหตุคนร้ายนำรถยนต์ซุกซ่อนวัตถุระเบิด มาจอดที่หน้าร้านเฮนเบเกอรี่ ถนน ณ นคร เขตเทศบาลนครยะลาแล้ว จุดชนวนระเบิดทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 18 รายและบ้านเรือนเสียหายจำนวน 12 หลัง โดยหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุน่าตกใจมาก เนื่องจากคนร้ายมีการวางแผนมาโดยได้นำระเบิดชนิดแสวงเครื่องบรรจุในถังแก๊สปิกนิกจำนวน 4 ลูก น้ำหนักไม่ต่ำกว่าลูกละ 20 กิโลกรัมมาซุกซ่อนไว้ในรถ ขณะเดียวกันยังได้นำแกลอนน้ำมันซึ่งมีน้ำมันอยู่เต็มแกลลอนอย่างน้อย 2 แกลลอนมาวางร่วมกับจุดที่ซุกระเบิด
เพื่อหวังผลให้แรงระเบิดดังกล่าวส่งผลให้เกิดเป็นเปลวไฟคล้ายกับระเบิดเพลิงขึ้นเพื่อเผาผลาญบ้านเรือนของชาวบ้านในจุดที่อยู่ในรัศมีที่รถยนต์จอดได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทั้งนี้โชคดีที่ระเบิดทำงานเพียง 3 ลูก ส่วนอีก1 ลูกวงจรทำงานไม่สมบูรณ์ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยการก่อเหตุครั้งนี้นับเป็นการก่อเหตุที่วางแผนมาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะจุดที่คนร้ายเลือกเป้าหมายในการก่อเหตุเป็นจุดชุมชนหลักกลางเมือง ประกอบกับเป็นบ้านเรือนเก่าที่เป็นสัญลักษณ์แห่งย่านการค้าขายสำคัญของเมืองยะลา
"คนร้ายมีเป้าหมายที่ชัดเจนเข้าทำนองยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว คือ การลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ที่ต้องผ่านในจุดที่เป็นเป้าหมาย ขณะเดียวกันจุดเป้าหมายที่คนร้ายเลือกเป็นพื้นที่ย่านชุมชนที่เป็นสัญลักษณะสำคัญของเมืองยะลาที่คนร้ายต้องการทำลายทิ้ง ทำให้การลอบวางระเบิดครั้งนี้มีการปรับยุทธวิธีโดยการนำน้ำมันมาช่วยสร้างอานุภาพความรุนแรงเพราะคนร้ายทราบดีว่าจุดดังกล่าวเป็นบ้านไม้เรือนเก่าที่น่าจะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี" พ.ต.อ.ภูมิเพ็ชร กล่าว
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สะท้อนถึงความบกพร่องและช่องโหว่ต่างๆในการดูแลความปลอดภัยและการวางมาตรการต่างๆในเขตพื้นที่ชุมชนเมือง ซึ่งจะได้เรียกประชุมหารือเพื่อทบทวนแผนการดูแลความปลอดภัยให้รัดกุมยิ่งขึ้น


วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ฆ่ารายวัน

http://wbns.oas.psu.ac.th/shownews.php?news_id=100891
เมื่อวันที่ 8กุมภาพันธ์ พล.ต.ท.ไพทูรย์ ชูชัยยะ ผู้บัญชาการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศชต.) เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมาเกิดคดีสำคัญในพื้นที่หลายคดี อาทิ คนร้ายวางระเบิดรถยนต์ชาวบ้านที่ไปหาของป่าเสียชีวิต 9ราย ในพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา ซึ่งพอที่จะรู้ตัวกลุ่มที่ก่อเหตุแล้ว 

ส่วนเหตุการณ์ที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ที่คนร้ายยิงชาวไทยพุทธเสียชีวิต 5ราย เจ้าหน้าที่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถออกหมายจับผู้ที่ก่อเหตุแล้ว 4ราย แต่ขอไม่เปิดเผยรายละเอียด นอกจากนั้น ยังมีเหตุการณ์ฆ่ายกครัว 4ศพ ที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ก่อนนำศพมาไปทิ้งที่ อ.เมือง จ.ยะลา ขณะนี้พนักงานสอบสวนทั้ง 2สถานีตำรวจ อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลหาคนก่อเหตุ 

ส่วนการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ตนเน้นย้ำให้ตำรวจทุกนายในพื้นที่ปฎิบัติงานด้วยความระมัดระวัง ไม่สร้างเงื่อนไขกับพี่น้องประชาชน รวมทั้งกำลังพลใหม่ที่จะลงพื้นที่ในเร็วๆนี้ ก็จะมีการอบรมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมของคนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ เพื่อที่จะสามารถปฎิบัติหน้าที่ได้ด้วยความเข้าใจ 

พล.ต.ท.ไพฑูรย์ กล่าวด้วยว่า หลังกลุ่มก่อความไม่สงบใช้หมู่บ้านไทยพุทธเป็นเป้าหมายก่อเหตุร้าย ซึ่งเดือนกุมภาพันธ์นี้ ผู้ก่อความไม่สงบไปแล้ว 2หมู่บ้าน คือ พื้นที่บ้านคอกวัว อ.ปานาเระ และบ้านป่าหวาย อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 6รายและบาดเจ็บอีก 5ราย ดังนั้น กองกำลังในพื้นที่จึงจัดเจ้าหน้าที่เข้าดูแลความปลอดภัยตลอด 24ชั่วโมง โดยเฉพาะชุมชนหมู่บ้านไทยพุทธ มีการตั้งจุดตรวจบนถนนสายหลักและสายรอง พร้อมเพิ่มจุดตรวจลอยสลับสับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ตลอด โดยมุ่งเน้นตรวจยานพาหนะที่ผ่านไปมา เพื่อหาอาวุธและรถต้องสงสัยที่จะเข้ามาก่อเหตุในพื้นที่ พร้อมจัดกำลังนอกเครื่องแบบออกหาข่าวความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การรักษาความปลอดภัยชุมชนไทยพุทธใน 12อำเภอ ประมาณ 60ชุมชนนั้น กองกำลัง 3ฝ่าย ได้วางยุทธศาสตร์ป้องกันและดูแลความปลอดภัยแล้ว โดยตั้งฐานปฏิบัติการทหารและมีประชาชนเข้าร่วม 

สำหรับเหตุร้ายรายวันยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เวลา 06.30น.วันที่ 8กุมภาพันธ์ ขณะที่ นายมาหะมะ สุหลง อายุ 58ปีและนางคอซีเยาะ สุหลง อายุ 49ปี สองสามีภรรยา ราษฏรในพื้นที่บ้านซีเซะ ม.5 ต.บาโร๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา ขี่รถจักรยานยนต์ออกไปกรีดยาง เมื่อรถวิ่งมาถึงถนนภายในหมู่บ้าน ม.1 บ.ปูแล ต.บาโร๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา วายร้าย 2คน ขี่รถจักรยานยนต์ประกบยิงด้วยปืนพกสั้นจากทางด้านหลังหลายนัด ส่งผลให้ นางคอซีเยาะ บาดเจ็บ ส่วน นายมาหะมะ เสียชีวิต เชื่อว่ามุ่งสร้างสถานการณ์ เพราะทั้งสองคนให้การช่วยเหลือทางราชการมาโดยตลอด 

ขณะที่นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ดูแลการพัฒนาพื้นที่พิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ตนเป็นประธานคณะทำงานส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่พิเศษ การค้า การลงทุน และการพัฒนาด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยเมื่อวันที่ 30 ม.ค.ที่ผ่านมามหาดไทย ได้ลงพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง พบปะผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง เพื่อรับทราบข้อเสนอแนะและหาแนวทางสนับสนุนนักลงทุนที่ต้องการไปลงทุนในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ได้เข้าไปลงทุนทำธุรกิจสวนปาล์มและบริษัท SNC Former จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศ และ ชิ้นส่วนตู้เย็นก็มีความสนใจที่จะเข้าไปลงทุน ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลทำไปแล้วเบื้องต้นคือการอนุมิกรอบวงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 3 หมื่นล้านบาท และหากมีการตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษก็จะต้องให้สิทธิประโยชน์มากกว่าที่บีโอไอ.ให้ 

รมช.มหาดไทยกล่าวว่า คณะทำงานส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่พิเศษฯ มีหน้าที่จัดทำแผนปฏิบัติการ บูรณาการและจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการ กำกับ เร่งรัด และติดตามผลการดำเนินงาน ตลอดจนแก้ไขปัญหาอุปสรรคในด้านการส่งเสริมและพัฒนาการค้า การลงทุน และการพัฒนาด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย ตลอดจนเสนอแนะการจัดตั้งและพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษ และกรอบแนวทาง การพัฒนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้มีผู้แทนประธานหอการค้าเป็นที่ปรึกษาหรือตำแหน่งที่เหมาะสม และให้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคณะทำงานให้ครบถ้วน 

ดร.สมชัย ไทยสงวนวรกุล ประธานกรรมการบริหารบริษัท SNC Former จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าได้ลงพื้นที่ศึกษาความเป็นไปได้แล้วส่วนตัวมีความพร้อมที่จะเข้าไปลงทุนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หากภาครัฐให้การสนับสนุน ซึ่งในแง่นักลงทุนประโยชน์ที่ได้คือ สามารถเปิดตลาดในกลุ่มประเทศมุสลิม ขณะที่ประโยชน์ต่อประชาชนในพื้นที่คืออาชีพรายได้ และการยกระดับคุณภาพชีวิต ขณะที่ประเทศชาติก็ได้สันติสุขกลับคืนมา ซึ่งขณะนี้ได้นำเสนอรายงานข้อเสนอแนะของภาคเอกชนให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและนายถาวร รับทราบแล้ว

รุดเยี่ยมมุสลิม เทห์มาก


ชาวบ้านไทยพุทธหวาดผวา ชงรัฐเพิ่มมาตรการรปภ.10ข้อ แม่ทัพภาค 4 รุดเยี่ยมพี่น้องมุสลิม วอนไทยพุทธ-มทุสลิมอย่าหวาดระแวงกัน ย้ำรัฐไม่ใช่ความรุนแรง ระบุมีจนท.บางคนพยายามสร้างความแตกแยกเพื่อผลประโยชน์ ยกระดับสู่ที่ประชุมโอไอซี ลั่นฟันไม่เลี้ยงแน่


    จากกรณีกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบบุกใช้อาวุธสงครามกราดยิงใส่ราษฎรชาวไทยพุทธ หมู่1 บ้านใหญ่ ต.คอกกระบือ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย บาดเจ็บ 4 ราย ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ต่างหวาดกลัวตกอยู่ในความหวาดผวา ล่าสุดได้ออกมาเรียกร้องหน่วยงานรัฐให้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย 10 ข้อ
    ที่ห้องประชุม องค์การบริหารส่วนตำบลคอกกระบือ อ.ปานาเระ จ.ปัตตานี ว่าที่ ร.ต.เลิศเกียรติ วงศ์โพธิพันธ์  รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี เข้าร่วมประชุมเพื่อหารือถึงมาตรการป้องกันเหตุร้ายร่วมกับ พ.ท.สฤษดิ์  สิงหโยธิน ผบ.ฉก.ปัตตานี 22  พ.ท.วิชา  สาริกะพันธ์ รองผบ.กรมทหารพราน 44 และฝ่าย ตำรวจ ปกครอง และชาวบ้านในพื้นที่ หมู่ 1.2.3. โดยประชาชนได้เสนอมาตรการ 10 ข้อที่จะใช้ดูแลความปลอดภัยเพื่อไม่ให้เกิดเหตุร้ายในพื้นที่ ให้กับทางราชการ
    สำหรับมาตรการ 10 ข้อ มีดังนี้ 
1.ขอกำลังทหารเพิ่มเติม
2. ทำแผงกั้น  จุดตรวจ ตลอด 24 ชม. 
3.ชุดม้าเร็วขอให้เข้ารับเวรก่อน เวลา ครึ่ง ชม. 
4.ขอสัญญาณแจ้งเหตุชัดเจน  รวดเร็ว 
5. ขอรถส่งผู้ป่วย 
6.ไฟฟ้าดับให้ใครเป็นผู้แจ้ง  
7.ให้จัดทำบันทึกประวัติคนแปลกหน้า  
8.ถนนชลประทานให้ปิดตายตอนกลางคืน  
9.ขอเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสำหรับใช้กับกล้องวงจรปิด กรณีไฟฟ้าดับ  และ
10  ตั้งตู้รับบริจาคเงินเพื่อนำเงินจ่ายให้กับผู้เข้าเวรยามในหมู่บ้าน

    ว่าที่ ร.ต.เลิศเกียรติ เปิดเผยว่า สำหรับมาตรการณ์ที่ประชาฃชนต้องการจำนวน 10 ข้อ นับว่าเป็นเรื่องที่ดี และจะนำเสนอต่อผู้บังคับบัญชาทราบ ส่วนในเบื้องต้นนี้ กำลังเจ้าหน้าที่ ในการนำกำลังเข้าดูแลในหมู่บ้าน โดยเฉพาะกำลังทหาร ก็เฝ้าดูแลอยู่แล้ว และอาจจะเพิ่มกำลังมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนอุ่นใจ และรู้สึกมั่นใจในความปลอดภัย

    วันเดียวกันที่ลานหน้ามัสยิดกลางจ.ปัตตานี พล.ท อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ร่วมพบปะพัฒนาสัมพันธ์และเสริมสร้างความเข้าใจผู้ผ่านการอบรมโครงการประชาร่วมใจทำความดีเพื่อแผ่นดิน จำนวน 2,800 คนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมรับฟังการบรรยายธรรม
  
      แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า สถานการณ์ในขณะนี้ ต้องเน้นการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพราะหากประชาชนไม่เข้าใจรัฐ และรัฐไม่เข้าใจประชาชน ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงต้องพูดคุยกัน เรื่องศาสนาเกี่ยวข้องกับปัญหารัฐไม่เข้าใจ ฉะนั้นรัฐต้องเข้าใจวิถีชีวิตที่ต้องดำเนินการตามอัลกุรอ่าน ตนตั้งใจที่จะเห็นสันติสุขเกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้  การใช้กำลังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จึงต้องทำความเข้าใจกัน ถึงแม้มีเหตุการณ์เหมือนรุนแรงมีการสูญเสียทหาร ประชาชนเสียชีวิต มีการตอบโต้กัน ตนยืนยันกลุ่มประชาร่วมใจ และรัฐบาล กอ.รมน.ส่วนหน้าคงยืนยันนโยบายจะไม่มีการละเมิดกฎหมาย ละเมิดสิทธิ

        "ขณะนี้มีคนกลุ่มหนึ่งพยายามสร้างความแตกแยก หวังผลการประชุม โอไอซี เพื่อยกระดับความรุนแรง ดังนั้นประชาชนต้องให้อภัยซึ่งกันและกัน ต้องทำความเข้าใจกันทุกฝ่าย เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีบางคนที่พยายามสร้างสถานการณ์  ซึ่งต้องดำเนินการตามกฎหมาย และผมก็มีสิทธิตามกฎหมายเช่นเดียวกับประชาชน  ใครที่มีความแค้นส่วนตัวต้องให้อภัยกัน และขอยืนยันรัฐไม่ใช้วิธีรุนแรงโดยเด็จขาด มีคนบางกลุ่มพยายามตอกลิ้มให้เกิดความขัดแย้งเพื่อหวังผลประโยชน์ โครงการประชาร่วมใจเพื่อร่วมแก้ปัญหาความไม่เข้าใจ ทุกฝ่ายต้องอดทน"

แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวอีกว่า ประชาชนส่วนใหญ่อยากอยู่กับครอบครัว และใช้ชีวิตปกติ ซึ่งตนยังยืนยันนโยบาย ที่จะนำคนที่ถูกผลกระทบทั้งผิดกฏหมายและไม่ผิดกฎหมายให้กลับเข้ามาอยู่กับครอบครัว แต่มีคนบางกลุ่มพยายามสร้างความหวาดระแวง แตกแยก ดังนั้นพวกเราต้องช่วยกัน และคนที่ต้องการกลับให้ประสานเข้ามา เพื่อดำเนินการตามกรรมวิธีทางกฎหมาย และคนที่มีความเห็นแตกต่างกันรัฐพร้อมรับฟังเพื่อหาวิธีการช่วยกันแก้ปัญหา  นอกจากนี้รัฐพร้อมส่งเสริมเกี่ยวกับการดำเนินวิถีชีวิตตามหลักศาสนาที่ดีงามในแต่ละ ศาสนิกรวมทั้งปัญหายาเสพติดในพื้นที่อันนำไปสู่การก่อความไม่สงบในพื้นที่


วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

รัฐอิสระ


สองสามวันก่อนผมไปเจอบล๊อก โจรใต้ เลยเก็บเอามาฝาก เรื่องทั้งหมด มันฟ้องตัวเองของโจรใต้ให้เห็นอยู่แล้ว ไม่จำต้องบรรยาย มันบอกชัดเจน มันจะเอาอย่างไร มันคิดอย่างไร  อิอิ เลิกงุมมะงาหรากะสมานฉันท์ได้แล้ว 

http://patanipost.blogspot.com/2009/06/blog-post_30.html?zx=bf5966c4e6904169                                "แนวทางนี้" แก้สามจังหวัดภาคใต้ เพิ่มอำนาจปกครองตนเอง



"ไทยอาจเพิ่มอำนาจในการปกครองตนเองแก่ท้องที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้" รายงานข่าวนี้มีพิมพ์ในกรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันพุธที่ 24 มิถุนายน 2552 หน้า 16 กล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์สำนักข่าวต่างประเทศแล้วกล่าวอีกว่ากำลังพิจารณาเพิ่มอำนาจในกฎข้อบังคับต่างๆตามกฎหมายชารีอะห์ หรือกฎหมายอิสลาม เพื่อบรรเทาปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 

"การลดทอนอำนาจจากส่วนกลางและเพิ่มอำนาจให้ท้องถิ่นเป็นเรื่องจำเป็น และเราสามารถตอบสนองความจำเป็นในส่วนนี้ได้ โดยเฉพาะในส่วนของกฎหมายชารีอะห์ผ่านระบบการศึกษา" แต่ไม่ได้ให้อำนาจปกครองตนเองแก่พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะการปกครองตนเองเป็นสิ่งที่รัฐบาลไทยคัดค้านมาโดยตลอด

ผู้นำชาวมลายูมุสลิมร่วมประชุมกันเพื่อกำหนดคำขอเกี่ยวศาสนาและสิทธิต่างๆของชาวมลายูมุสลิม ณ สำนักงานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานีอย่างค่อนข้างกะทันหัน เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2490 โดยมีผู้ร่วมประชุมประมาณ 100 คน

คำขอ 7 ข้อต่อรัฐบาลผ่านทางคณะกรรมการสอดส่องภาวการณ์ในสี่จังหวัดภาคใต้ ดังนี้
1.ขอให้ปกครอง 4 จังหวัดนี้เป็นแคว้นหนึ่ง โดยมีผู้ดำรงตำแหน่งอย่างสูงให้มีอำนาจในการศาสนาอิสลาม มีอำนาจแต่งตั้งและปลดข้าราชการออกได้ ผู้ดำรงตำแหน่งนี้ต้องเป็นมุสลิมใน 4 จังหวัด
2.การศึกษาในชั้นประถมต้นจนถึงชั้นประถม 7 ให้มีการศึกษาภาษามลายูตลอด
3.ภาษีที่เก็บได้ให้ใช้ภายใน 4 จังหวัดนี้เท่านั้น
4.ในจำนวนข้าราชการทั้งหมดขอให้มีข้าราชการชาวมลายูร้อยละ 80
5.ขอให้ใช้ภาษามลายูควบกับภาษาไทยเป็นภาษาราชการ
6.ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีเอกสิทธิ์ออกระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติการศาสนาอิสลามโดยความเห็นชอบของผู้มีอำนาจสูงสุด
7.ให้ศาลรับพิจารณากฎหมายอิสลามแยกจากศาลจังหวัด มีโต๊ะกาลี (กอฎีหรือดะโต๊ะยุติธรรม)ตามสมควร และมีเสถียรภาพในการพิจารณาชี้ขาด

"รัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะให้มีการเลือกตั้งโดยตรงในพื้นที่ดังกล่าว คล้ายกับเลือกตั้งกรุงเทพฯและพัทยา"

"เราจำเป็นต้องใช้แนวทางนี้ในการแก้ปัญหาภาคใต้ และเราต้องอดทน" นายกรัฐมนตรีบอกย้ำ

"แนวทางนี้"ไม่ใช่ความคิดใหม่ แต่เป็นส่วนหนึ่งของ"คำขอ" 7 ข้อที่หะยี สุหรง อับดุลกาเดร์ (และคณะฯ) อดีตผู้นำมุสลิมสี่จังหวัดภาคใต้ เคยเสนอต่อรัฐบาล เมื่อ พ.ศ. 2490 แล้วถูกหลอกจนถึงขั้นถูกลอบ"อุ้ม"(ฆ่า?)

แต่ "แนวทางนี้"มิได้มีแค่นี้ หากยังมีที่สมควรทำอีกหลายอย่างเพื่อลดความหวาดระแวง ดังผมเคยเขียนบอกไว้ในคอลัมน์ตรงนี้นานแล้วตั้งแต่ 2 มีนาคม 2547 ต่อเนื่องหลายวัน เช่น

1. สมควรคืนปืนใหญ่พญาตานีที่กรุงเทพฯไปโจมตีเอามาจากเมืองปัตตานี ในแผ่นดินรัชกาลที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2329
2. สมควรทำตามที่ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช บอกไว้สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วประกาศต่อหน้าฝูงชนที่จังหวัดปัตตานี เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2519 ว่า
"เราหลอกเขาว่าเขาเป็นคนไทย ซึ่งที่จริงเขาเป็นคนมลายู ปัญหาก็คือการหลอกตัวเขาเองเป็นคนไทย"
"อย่าบังคับให้เขาเป็นคนไทย? ส่งเสริมให้เขาเป็นตัวของเขาเอง รักษาเอกลักษณ์ (Identity) ชนมลายูไว้"
3. สมควรชำระประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยให้ถูกต้องตามหลักฐานเป็นจริงทางโบราณคดี แล้วแบ่งปันเผยแพร่สู่สาธารณะให้รับรู้ทั่วกันทั้งประเทศ ว่ารัฐบาลปัตตานีพูดภาษามลายู มีมาก่อนรัฐสุโขทัยเกือบ 1,000 ปี จึงไม่ได้เป็นแผ่นดินส่วนหนึ่งของรัฐสุโขทัย

นายกรัฐมนตรี-อภิสิทธิ์ เพิ่งบอกสำนักข่าวต่างประเทศว่าจำเป็นต้องใช้ "แนวทางนี้"ในการแก้ปัญหาภาคใต้และต้องอดทน

แสดงว่าก้นบึ้งของหัวใจและความคิดแล้วไม่อยากใช้"แนวทางนี้" แต่หมดปัญญาไม่รู้จะหาทางแก้ปัญหาอย่างไ

เพราะปัญหารุนแรงเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเปลี่ยนชื่อสยามเป็นประเทศไทย เมื่อ 24 มิถุนายน 2482 โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรุนแรงยุคใหม่ของรัฐบาลไทยรักไทย คิดใหม่ ทำใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2547 ไม่เคยเบาบางลงไป เลยจำต้องใช้"แนวทางนี้"

ไหนว่ามุสลิมไม่เกี่ยว



 06.00 น. วันที่ 20 ต.ค. 51 พ.ต.อ.จักรพร แท่นทอง ผกก.สภ.ตากใบ จ.นราธิวาส นายอายา ดิษฐานันท์ นายอำเภอตากใบ และ พ.ท.สราวุธ ไชยสิทธิ์ ผบ.ฉก.นราธิวาส 36 ได้ร่วมสนธิกำลังตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครอง จำนวน 80 นาย นำหมายศาล จ.นราธิวาส เข้าตรวจค้นบ้านเช่าเลขที่ 52/47 ม.1 ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ ซึ่งเปิดเป็นร้านขายนก หลังสืบทราบว่าเป็นแหล่งรับจ้างปลอมแปลงเอกสารและหนังสือเดินทางระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียให้กับกลุ่มผู้ไม่หวังดี เพื่อใช้ตบตาเจ้าหน้าที่เดินทางเข้าไปกบดาน หลังจากที่ก่อเหตุร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

                ซึ่ง การเข้าตรวจค้นในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่พบนายนายเยาฮา ยูนุ อายุ 35 ปี และนายมะรอปี สามะ อายุ 38 ปี ซึ่งทั้ง 2 คน มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ อ.สุไหงปาดี กำลังนอนพักผ่อนอยู่ในบ้าน และจากการตรวจค้นห้องพบว่า มีใบขับขี่รถยนต์ของประเทศมาเลเซียปลอม และใบแสดงการเสียภาษี พรบ.บุคคลที่ 3 ของประเทศมาเลเซียปลอมเป็นจำนวนมาก วางอยู่บนโต๊ะเครื่องคอมพิวเตอร์

                และต่อมา พ.ต.ท.จุลจักรพงษ์ พึ่งพัฒน์ สว.ด่านตรวจคนเข้าเมืองอำเภอตากใบ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้เดินทางไปยังบ้านเช่าหลังดังกล่าว หลังได้รับแจ้งประสานจากเจ้าหน้าที่กองกำลังผสม เพื่อมาตรวจสอบของกลางต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดเอาไว้ได้ และพบว่าในเบื้องต้นของกลางทั้งหมดเป็นของปลอม ที่มีการทำเลียนแบบของประเทศมาเลเซียขึ้นได้อย่างแนบเนียน แต่ถึงอย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะได้ประสานเจ้าหน้าที่ประเทศมาเลเซียที่เกี่ยวข้องมาทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง

                จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายเยาฮาและนายมะรอปี พร้อมของกลางไปสอบสวนที่ สภ.ตากใบ ซึ่งในเบื้องต้นยังคงให้การปฏิเสธ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้ยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบว่า นอกเหนือจากบุคคลทั้ง 2 มีส่วนเกี่ยวข้องในการลักลอบทำใบขับขี่รถยนต์และ พรบ.บุคคลที่ 3 ของประเทศมาเลเซียปลอมแล้ว ยังมีส่วนเกี่ยวข้องในการลักลอบทำหนังสือเดินทางปลอมให้กับกลุ่มแกนนำและสมาชิกแนวร่วมของผู้ไม่หวังดี เพื่อเดินทางไปกบดานในประเทศมาเลเซียหลังก่อเหตุร้ายในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามข่าวที่สืบทราบหรือไม่
 

ฝันไปเถอะครับรัฐบาล


Posted by ด้ามขวาน , ผู้อ่าน : 40 , 17:58:12 น.   http://www.oknation.net/blog/narong/2007/03/21/entry-1
                  วันนี้ขอบรรเลงต่อตอน 2 เหตุป่วนใต้กลายพันธุ์ ซึ่งทุกยุคทุกสมัยทุกรัฐบาลวาดฝันว่าเหตุป่วนใต้จะสงบลงได้ต้องมีเจ้าหน้าที่ประเทศมาเลเซียเข้าร่วมแก้ไขปัญหา เพราะตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ต่างสรุปว่าคนร้ายหรือโจรใต้เมื่อก่อเหตุร้ายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้ว จะแฝงตัวหลบหนีไปกบดานในรัฐต่างๆของประเทศมาเลเซียและมีการประชุมปรึกษาหารือเกือบทุกยุดทุกสมัยทุกรัฐบาล (แล้วเป็นไง.........ถึงเงียบ........? )
                  โดยข้อเท็จจริงแล้วผมได้สนิทสนมกับแหล่งข่าวรายหนึ่งของประเทศมาเลเซีย ซึ่งเขารับผิดชอบปัญหาความมั่นคง (สันติบาต) ว่าปัญหาความไม่สงบนั้นมาเลย์เขาอึดอัด และพูดไม่ได้ ที่ชัดๆคือ ถ้ามาเลเซียให้ความร่วมมือขจัดโจรใต้ที่แฝงตัวในประเทศ ก็จะถูกกลุ่มประเทศอาเซี่ยนมุสลิมกว่า 30 ประเทศทั่วโลกที่จ้องดูประณามว่าอิสลามล้มล้างอิสลามได้ไง และมาเลเซียเองโดยเฉพาะรัฐกลันตัน ซึ่งอยู่ติดกับพรมแดนด้าน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ซึ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นรัฐฝ่ายค้าน และชนะรับเลือกตั้งได้มาตลอดก็เพราะคะแนนเสียงของโจรใต้หรือเรียกแบบสุภาพชนคือ คนมีบัตรประชาชน 2 สัญชาติ เพราะนักการเมืองได้คะแนนจากกลุ่มนี้แบบโดดๆ เมื่อถึงคราวเลือกตั้งก็ถือว่าได้คะแนนเสียงไปแล้วกว่า 50 เปอร์เซ้นต์ แล้วรัฐกลันตันจะเป็นของฝ่ายรัฐบาลได้ไง้ครับ
                   ถามว่าแล้วเมื่อไรจังหวัดชายแดนภาคใต้สงบ ก็บอกได้ว่าอยู่ที่รัฐบาลเอง ไม่ต้องหวังน้ำบ่อหน้าอย่างมาเลย?เถอะครับรัญบาล
                  

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

ใึึครเป็นใคร?

http://www.dhammathai.org/articles/view.php?No=258
ปี พ.ศ ๒๕๒๗ - ๒๕๔๙ 
เมื่อประเทศไทย ได้ออกคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ สถานการณ์บ้านเมือง เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ประดา ผกค.ทั้งหลาย ได้ยินยอมพร้อมใจวางอาวุธ หันหน้าเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทย โจรปัตตานีที่เคยมีบทบาทร่วมกับ ผกค.ได้แยกตัวออกไป แล้วดำรงสภาพของตนไว้ 

แต่เป็นการดำรงทีฝ่ายรัฐบาลไม่ได้รับรู้ด้วย อีกอย่างหนึ่ง ฝ่ายรัฐบาลไม่เคยมีโจทย์กับตนเองมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ไม่ได้ใส่ใจกับปัญหาของชนเผ่าใหญ่อีกเผ่าหนึ่ง คือคนไทยเชื้อสายมลายู แล้วก็สรุปเอาเองว่า ประเทศไทยไม่มีปัญหาการเหยียดผิว ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติศาสนา แล้วเราก็สรุปเอาเองว่า ประเทศไทยไม่มีปัญหานี้ 

แท้ที่จริง พี่น้องใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ถูกปลุกระดมเละตุ้มเป๊ะจนยากที่จะแก้คืน นอกจากยากที่จะแก้คืนดังกล่าวนั้นแล้ว เรายังหมดโอกาสรู้ความจริง มันเนื่องมาจากนักการเมืองไม่ได้ทำหน้าที่เพือความมั่นคงของชาติ ไม่ใส่ใจในปัญหาของชาติอย่างรอบด้าน 

นักการเมืองในท้องถิ่นปิดบังซ่อนเล้นเรื่องราวให้ลึ้ลับอย่างมิดชิด 
หน่วยข่าวกรองชาติ ก็มุ่งประเด็นโจรก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จนลืมเรื่องอื่นทั้งหมด 

นักการเมืองของไทย ส่วนใหญ่เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา เป็นสักแต่พุทธในชื่อ ส่วนความเชื่อ ความรับผิดชอบ ไม่มีเหลืออยู่ในตัวของนักการเมืองเลย 

โจรปัตตานี จึงเป็นฝ่ายรูกทางการเมือง แต่พวกเขาจะไม่แสดงออกให้ปรากฎเห็น ไม่มีการกระทำที่ส่อไปถึงความต้องการว่าจะแบ่งแยกดินแดน แต่ถ้าจะสังเกตุให้ดี เราจะพบเห็นข้อเรียกร้องและการปฎิบัติที่กระทบต่อพระพุทธศาสนา เช่นเรียกร้องไม่ให้สอนวิชาพุทธศาสนาในโรงเรียน ให้ขนย้ายพระพุทธรูปออกไปจากที่ตั้ง ห้ามประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ 

โจปัตตานีรุกทางการเมืองอย่างได้ผล และทวีความเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ ใน 
สภาท้องถิ่นและสภาระดับชาติ ได้มีตัวแทนของพี่น้องอิสลามชนะการเลือกตั้งเข้ามาจำนวนไม่น้อย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในนโยบายปรับปรุงรูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาเอง อิทธิพลทางความคิดที่โจรปัตตานีเดินงาน แล้วส่งออกสู่สังคม บังคับโดยอัตโนมัติ ให้นักการเมืองไทยวางตัวเป็นศัตรูกับพุทธศาสนาของตัวเองอย่างไม่รู่ตัว ดังจะเห็นได้จากรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่ถูกคณะปฎิวัติเชือดทิ้งไปแล้วนั้น 
ไม่ยินยอมให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ 
---------------------------------------------------------- 

คนพุทธมากกว่า ๒ ล้านคนล่าชื่อส่งสภาก็ไม่มีผลอะไรเลย 

นักการเมืองเพิกเฉย แถมมีการพูดว่า "ถ้าทำอย่างนั้น ระวังเลือดจะท่วมท้องช้าง" ..!! 

นับแต่บัดนั้น สถานการณ์หลายอย่างได้บีบคั้นพระพุทธศาสนาและชาวพุทธรุนแรง แต่ชาวพุทธทั้งปวงก็ยังคงตั้งอยู่ในความสงบ ไม่ได้มีความโกรธแค้นให้อิสลามอะไรทั้งสิ้น 

ด้านอิสลามนั้น เริ่มปรากฎขึ้นในสถาบันการเมืองอย่างโดดเด่น เช่น บางท่านได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี บางท่านเป็นรัฐมนตรี และบางท่านได้เป็นประธานสภา และในสภาก็มีนักการเมืองอิสลามอย่างมีหน้ามีตาหลากหลายมากขึ้น 

คนไทยพากันต้อนรับนักการเมืองสายอิสลามด้วยความเต็มใจ 
เพราะจะได้อวดกับชาวโลกได้ว่า ประเทศไทยไม่มีการกีดกันคนศาสนาอื่น 
----------------------------------------------------------------------------------- 
คนไทยพุทธ แอบภูมิใจกับความเจริญก้าวหน้าของพี่น้องอิสลาม ด้วยความรู้สึกจากน้ำใสใจจริง 

คนพุทธไม่เคยออกปากคัดค้านและไม่ขัดขวางไม่ว่ากรณีใด เพราะถือว่าทุกคนเป็นเสมือนหนึ่งลูกพ่อเดียวกัน...เอากันง่ายๆ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งเป็นอิสลามขนานแท้ ทำการปฎิวัติรัฐประหาร ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในประเทศ เมื่อปฏิวัติเสร็จ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ" หรือ คมช. โดยท่าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำหน้าที่เป็นประธาน คมช. คนไทยก็พากันต้อนรับทั่วประเทศ 

ประเทศไทยทั้งประเทศน้อมใจรับโดยไม่ได้นึกถึงความแตกต่างทางศาสนา 

แต่ในเวลาเดียวกันที่คนไทยน้อมใจรับ โจรกลับบั่นคอพี่น้องชาวพุทธที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกาศฆ่าและขับไล่ใสส่ง "คนพุทธ" สถานเดียว 

ขณะเขียนต้นฉบับให้กับหนังสือเล่มนี้ (๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙) ผมพักอยู่ 
โรงแรมไดอิชิ หาดใหญ่ พอตื่นขึ้นมาก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่จังหวัดยะลาว่า โจรป่าพวกนั้น โปรยใบปลิวข่มขู่ไทยพูทธ ประกาศปิดร้าน ถ้าไม่เชื่อ จะเอาให้ร้องไม่ออก 

ผมรับโทรศัพท์ด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าตอนที่เข้าไปทำงานที่โรงแยกแก๊สใหม่ๆ ยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดนี้...แต่วันนี้มันร้ายเกินกว่าคิดมากมายยิ่งนัก เพื่อนบอกว่า 
โจรปิดเมือง ปิดหมู่บ้าน ตัดการติดต่อกับราชการ ไม่ให้ชาวพุทธขยับเขยื้อนได้ 

ทหาร ตำรวจ และข้าราชการ ยังถูกตรึงอยู่กับที่ แต่พวกโจรปัตตานี และชาวบ้านแนวร่วมทั้งหมดมีอิลรภาพไปไหนมาไหนได้อย่างเสรี ประหนึ่งไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น 

แต่คนพุทธ กลายเป็นคนต้องห้ามในแผ่นดินของตน คนที่หลบไปพึ่งวัดเกือบจะบ้าอยู่แล้ว 

ผมตระหนักกับตนเองว่า โจรปัตตานีไม่ใชรุกหนักแต่ทางการเมืองเท่านั้น ยังรุกหนักทางอาวุธอย่างเข้มข้นรุนแรงในรอง ๑๐๐ ปี สถานการณ์แบบนี้ จะต้องมีการชี้ขาดไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ในโอกาสข้างหน้าในไม่นาน 

หรือกล่าวให้ชัด เมื่อเหตุการณ์รุนแรงอย่างเป็นระบบมาถึงขั้นนี้ จะให้เรื่องจบลงง่ายๆ เป็นไปใม่ได้เลย โอกาสที่จะแตกหักไปข้างหนึ่ง จะต้องมีขึ้น 

การกระทำครั้งนี้ โจรปัตตานีเขาคงจะมี "หัวหน้าใหญ่" บัญชาการอยู่ไม่ไกลแน่ๆ เชียว 
ไม่เช่นนั้น จะไม่ประสบผลสำเร็จได้ขนาดนี้ 
แต่ฝ่ายรัฐบาล ก็ยังบอกไม่ได้ว่า ใครคือจอมบงการ 

เคยเห็นฝ่ายรักษาความสงบพูดมาหลายครั้ง จะตะครุบหัวหน้าใหญ่ให้ได้ จนแล้วจนรอด ยังไม่ได้แม้แต่กลิ่น...มันช่างลึกลับอำมืดอย่างไม่น่าเชื่อ ? 

ผมตรวจดูระยะเวลาตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ ถึง ๒๕๔๙ รวม ๒๒ ปี เป็นช่วงที่ โจรปัตตานีได้พัฒนารูปแบบการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม ดีกว่าทุกยุค จึงเป็นการยากที่รัฐบาลจะแก้ปัญหานี้ให้สงบเงียบลงได้โดยง่าย และเดาไม่ถูกว่าจะบานปลายร้ายแรงถึงขั้นเป็นสงครามหรือไม่ จาก 
http://www.hi-thaksin.org/forum.php?ParamID=29891
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม