วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ศาลตัดสินประหาร 5 โจร ลูกหมาฟาตอนี







            ศาลจังหวัดปัตตานีนั่งบัลลังค์อ่านคำพิพากษา ร่วม 4 ชั่วโมง ตัดสินประหารชีวิต 5 นักโทษก่อเหตุกราดยิงทหารเสียชีวิต 4 นาย บาดเจ็บสาหัสอีก 2 นาย เหตุเกิดเมื่อปี 2555

            ที่ศาลจังหวัดปัตตานีได้มีการนัดไต่สวนพิพากษาผู้ต้องหา คดีคนร้ายใช้รถกระบะเป็นพาหนะไล่ยิงถล่มเจ้าหน้าที่ทหารชุดร้อย ร.153261 สังกัดหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 25 ขณะลาดตระเวนเส้นทางด้วยรถจักรยานยนต์ 3 คันในพื้นที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตทันที 4 นาย คือ 
  • สิบเอกลือชัย จุลทอง อายุ 26 ปี 
  • พลทหารเบญจรงค์ สีแก้ว อายุ 22 ปี 
  • พลทหารเอกลักษณ์ สีดอกไม้ อายุ 22 ปี และ
  • พลทหารภาคิน หงส์มาก อายุ 22 ปี 
          และ บาดเจ็บสาหัสอีก 2 นาย คือ 
  • สิบเอกปรีดา นพคุณ อายุ 30 ปี และ 
  • พลทหารอาคม ชูกล่อม อายุ 22 ปี 
         เหตุเกิดเมื่อวันที่ 28 กค. 2555

        โดยหลังจากที่ผู้พิพากษาศาลจังหวัดปัตตานีได้นั่งบัลลังค์อ่านคำพิพากษา ร่วม 4 ชั่วโมง ต่อหน้าโจทก์และจำเลย ร่วมไปถึงพยาน และญาติที่มาร่วมรับฟังอยู่ในห้องพิจารณาคดีกว่า 20 คน ซึ่งปรากฏว่า ศาลได้พิพากษาให้ตัดสินประหารชีวิต นายอิสมาแอ ดาโอง ,นายมะซาฮาฟี มีทอ ,นายกอเดร์ เจะแต ,นายนิมูหัมหมัด นิเซ็ง และ นายฮิสบุลลอฮ บือซา ซึ่งตกเป็นจำเลยในคดีนี้ และหลังคำพิพากษาก็ทำให้ญาติ และเพื่อนของจำเลยทั้ง 5 คนที่มาร่วมฟังคำตัดสินของศาล มีสีหน้าที่ตึงเครียด บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับคำตัดสินของศาล



          โดยดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงเช้าของวันที่ 28 กรกฎาคม 2555 ขณะที่กำลังทหารชุด ร้อย ร.153261 ฉก.ปัตตานี 25 จำนวน 6 นายขับขี่รถจักรยานยนต์ 3 คัน ขับออกจากฐานปฏิบัติการที่ บ้านกระหวะ ต.กระหวะ อ.มายอ จ.ปัตตานี เพื่อลาดตระเวนดูแลความปลอดภัยเส้นทางครู และประชาชน บนถนนเส้นทางระหว่าง อ.มายอ- บ้านปาลัส ม.3 บ้านดูวา ต.ถนน อ.มายอ จ.ปัตตานี ปรากฏว่าได้มีคนร้ายจำนวน 18 คน มีอาวุธปืนครบมือ ใช้รถกระบะเป็นพาหนะ จำนวน 3 คัน ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ขับตามประกบข้างรถจักรยานยนต์ของทหารทั้งสามคันจากนั้นจึงใช้อาวุธปืนสงครามหลายกระบอก กราดยิงทันที ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารถูกยิงเสียชีวิตทันที 4 นาย ส่วนอีก 2 นายได้รับบาดเจ็บ ก่อนหลบหนีคนร้ายได้ขโมยอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 4 กระบอก พร้อมกับวิทยุ เสื้อเกราะ หลบหนีขึ้นรถไป

กรรมการสิทธิฯ เรียกร้องยุติความรุนแรงสตรี-เด็กในจว.ชายแดนใต้


          26 พ.ย. 2557 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกแถลงการณ์ เรื่อง ข้อเรียกร้องยุติการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กหญิงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  มีเนื้อหาดังนี้
แถลงการณ์คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
เรื่อง ข้อเรียกร้องยุติการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กหญิงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

      
           ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงทางร่างกายและจิตใจ และการล่วงละเมิดทางเพศเป็นปัญหาที่พบทั่วไปในสังคมไทยและนับวันจะมีความรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้งและความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมานับเป็นเวลากว่า 10 ปี ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของประชาชนในพื้นที่อย่างกว้างขวางทั้งด้านร่างกายและจิตใจแล้ว ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้หญิงและเด็ก โดยผู้หญิงซึ่งเป็นทั้งผู้ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ปัจจุบันมีหญิงหม้ายและเด็กกำพร้าหลายพันคนจากสถานการณ์ความไม่สงบและยังมีผู้หญิงและเด็กหญิงที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงโดยตรงจนถึงขั้นเสียชีวิตอีกจำนวนไม่น้อย โดยผู้หญิงที่เสียชีวิตเหล่านี้รวมถึงผู้หญิงที่เป็นบุคลากรทางสาธารณสุข หญิงมีครรภ์ หญิงพิการ หญิงสูงอายุและเด็กหญิง
             นอกจากความรุนแรงจากสถานการณ์ความไม่สงบแล้วผู้หญิงยังต้องเผชิญกับความรุนแรงซ้ำซ้อนจากปัญหาความรุนแรงเชิงโครงสร้าง เช่น ความรุนแรงทางเพศในครอบครัว เนื่องจากสังคมยังมองว่า ความรุนแรงในครอบครัวเป็นเรื่องส่วนตัว และสาเหตุของปัญหาส่วนหนึ่งมาจากผู้หญิงเอง จึงไม่มีมาตรการชัดเจนในการแก้ปัญหาเพื่อยุติความรุนแรงและการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้หญิง
             คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พบว่าผู้หญิงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนหนึ่งต้องอยู่ภายใต้กฎชุมชนซึ่งผู้นำชุมชนเป็นผู้ออกกฎระเบียบ เช่น มีการบังคับให้ผู้หญิงหรือเด็กหญิงแต่งงานโดยไม่สมัครใจและมีการลงโทษผู้หญิงหรือเด็กหญิงที่ฝ่าฝืนกฎระเบียบที่ชุมชนเป็นผู้กำหนดขึ้น
            ในโอกาสวันที่ 25 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการปฏิบัติการยุทธศาสตร์ด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นองค์กรหลักในการปกป้องคุ้มครอง และส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสร้างมาตรการในการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้หญิงเพื่อป้องกันหรือลดระดับความรุนแรงที่เกิดจากสถานการณ์ความไม่สงบ ความรุนแรงในครอบครัว หรือความรุนแรงทางเพศ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคประชาสังคม ดังนี้
  • 1) รัฐบาลต้องมีนโยบายที่ชัดเจน และสร้างมาตรการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อคุ้มครองผู้หญิงและเด็กหญิงจากความรุนแรงทุกรูปแบบ รวมถึงให้มีการฟื้นฟู เยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจแก่ผู้หญิงและเด็กหญิงที่ได้รับความรุนแรง
  • 2) กลไกการทำงานในทุกภาคส่วนของสังคมต้องขจัดอุปสรรคต่างๆในการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้หญิง ตามหลักกฎหมาย และหลักการศาสนาอิสลาม รวมถึงให้มีกระบวนการให้คำปรึกษาในทันทีที่ผู้หญิงและเด็กหญิงได้รับความรุนแรงทุกรูปแบบ
  • 3) ให้ทุกภาคส่วนคำนึงถึงความสำคัญของสิทธิและเสรีภาพของสตรี ในการดำรงชีวิตและให้ความสำคัญกับการจัดตั้งครอบครัวเพื่อดำเนินชีวิตให้เป็นไปด้วยความอิสระ ปราศจากการบังคับ หรือ การคุกคามในทุกรูปแบบ
  • 4) รัฐควรสร้างวัฒนธรรมสิทธิมนุษยชน โดยการปลูกฝังให้แก่เด็กและเยาวชนให้รู้จักการเคารพในสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นเสมอเป็นของตนเอง ทุกคนทุกเพศทุกวัยควรมองเห็นปัญหาร่วมกันและมีส่วนร่วมในกระบวนการป้องกัน และแก้ไขปัญหา
  • 5) รัฐต้องจัดให้มีกลไกการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างทั่วถึง สร้างความไว้ใจ และความเชื่อมั่นให้กับสตรีในทุกพื้นที่ โดยต้องนำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการต่อต้านการทรมาน ของสหประชาชาติมาปฏิบัติในการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้หญิง
  • 6) เรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่ขัดแย้งเลิกใช้การต่อสู้ทางอาวุธและเคารพสิทธิของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็กโดยยึดถือหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชนในอิสลามเพื่อให้ความคุ้มครองผู้หญิงและเด็กให้มีความปลอดภัย

                         
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
26 พฤศจิกายน 2557      

สื่อโจรฟาตอนี โกหกหน้าด้าน ๆ



         สื่ิอโจรฟาตอนี โกหกหน้าด้าน ๆ เผยแพร่บิดเบือนข่าวสาร และการใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไม่รู้จักอับอาย ว่าคนอื่นอ่านจะรู้ความจริงว่าเป็นเช่นไร กูจะโกหกของกูไปอย่างนี้  สือแนวร่วมโจรฟาตอนีสื่อสารผ่านโซเชี่ยลมีเดีย เปลี่ยนจากขาวเป็นดำ ดำเป็นขาวได้ เพื่อใส่ร้ายเจ้าหน้าที่อยู่ตลาดเวลา !

         ความจริงภาพที่นำมา เป็นภาพการซ้อมอาวุธให้ ชรบ เพื่อที่จะป้องกันตนเอง หาใช้เพื่อนำมาสังหารกันเองของคนไทยมุสลิมไม่ ซึ่งจากการกระทำการบิดเบือนในครั้งนี้นับว่าแนวร่วมจงใจสร้างความผิดบาป และสร้างความเสียหายต่อหน้าแผ่นดินเป็นอย่างมาก เรารู้ว่ามันคืออะไร อะไรคือความจริง สำหรับคนบิดเบือนอย่างแนวร่วมฟาตอนีคงมีแต่หุบเหวนรกไฟกำมะถันเท่านั้นที่รอพวกแนวร่วมอยู่

         ข้อความบิดเบือนของแนวร่วมโจรฟาตอนี


           ! He Melayu Kenapamu tak sedar Masih dijadi alat bagi penjajah Ini suatu polisi Yang disusun oleh mereka Mereka sedia membagi duit Supaya Melayu membunuh sesama kita

          คำแปล

         " โอ้...คนมลายู เหตุใดเจ้าจึงไม่สำนึกคิด ขณะที่พวกเจ้านั่นตกเป็นเครื่องมือของเหล่าพวกทหาร ในขณะที่พวกเขาเพียงแค่ให้เศษเงินแก่พวกเจ้า แล้วให้พวกมลายูเข่นฆ่ากันเอง "

เราอยากให้ทุกท่านได้รับรู้การบิดเบือนของโจรแนวร่วมพวกนี้ จะได้ตาสว่างกัน !


รูปภาพ : He Melayu
Kenapamu tak sedar
Masih dijadi alat bagi penjajah 
Ini suatu polisi 
Yang disusun oleh mereka
Mereka sedia membagi duit 
Supaya Melayu membunuh sesama kita

Cr: Abdulloh Wanahmad

การเคลื่อนไหวของมูนิธิประสานวัฒนธรรม เพื่ออะไร?

การเคลื่อนไหวของมูนิธิประสานวัฒนธรรม เพื่ออะไร?
แบมะ ฟาตอนี

             จากการก่อเหตุของคนร้ายที่ทำการลอบวางเพลิง 6 โรงเรียน ในอำเภอทุ่งยางแดง และอำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี เป็นที่มาของนโยบายทุ่งยางแดงโมเดล ที่มีการพูดกันจนติดปาก รัฐเตรียมทุ่มเงินลงไป 2 หมื่นกว่าล้าน เพื่อให้ครอบคลุม 37 อำเภอของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา

           ในขณะที่ภาครัฐให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาโดยการนำนโยบาย ทุ่งยางแดงโมเดล ไปปรับใช้ในการแก้ปัญหาของแต่ละพื้นที่ให้มีความเหมาะสม โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลความปลอดภัยของหมู่บ้าน ชุมชนของตนเอง

           แต่ในอีกฝากหนึ่งนักเคลื่อนไหวอย่าง นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้ลงพื้นที่จัดอบรมความรู้เรื่องกฎหมายให้กับชาวบ้านประมาณ 100 คน ที่ทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 15 พ.ย.57 ที่ผ่านมา

          นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ได้ไปจัดการอบรมเสริมความรู้ในเรื่องกฎหมาย ให้กับชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อยู่ใกล้บริเวณที่มีเหตุการณ์การเผาโรงเรียนหกโรงในเขตอำเภอมายอและอำเภอทุ่งยางแดง จังหวัดปัตตานี เมื่อ 11 ต.ค.57 เป็นความตั้งใจ หรือเหตุบังเอิญที่ไปจัดอบรม หลังจากเจ้าหน้าที่จับกุมผู้ต้องสงสัยเหตุลอบเผาโรงเรียน

           อีกทั้งยังเป็นความหวังดีต่อชาวบ้านด้วยการชี้แนะในการตอบคำถามเจ้าหน้าที่ การปฏิบัติในการรักษาสิทธิของตนเองในยามที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นบ้าน เมื่อมีบุคคลในบ้านถูกเจ้าหน้าที่นำตัวไปจะสามารถติดตามตัวพวกเขาได้จากที่ไหน อย่างไร โดยเฉพาะในยามที่การทำงานของเจ้าหน้าที่บกพร่องไม่เป็นไปตามหลักกฎหมาย ชาวบ้านจะสามารถดำเนินการได้อย่างไรบ้าง

          นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ในเมื่อได้ลงพื้นที่คลุกคลีกับชาวบ้านน่าจะเป็นสื่อกลางในการช่วยชี้แจงทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ถึงความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายพิเศษติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีไม่ดีกว่าหรือ? ชี้ให้เห็นผลกระทบที่ตามมาของการทำลายสถานศึกษา การเสียโอกาสทางการศึกษาของบุตรหลานเยาวชนของพี่น้องในพื้นที่เอง จากการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง หรือ นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ไม่กล้าพอ หากไปเคลื่อนไหวดังกล่าว แล้วกลัวความปลอดภัยถูกกลุ่มขบวนการหมายเอาชีวิต เลยต้องกระทำตัวเป็นแม่พระผู้ใจดีคอยช่วยเหลือผู้กระทำความผิด

         ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม น่าจะทำการศึกษาวิธีการการเชิญตัวผู้ต้องสงสัย ขั้นตอนการรวบรวมวัตถุพยานหลักฐานต่างๆ แล้วเข้าสู่กระบวนการซักถามเขาทำกันอย่างไร? แล้วนำข้อมูลที่เป็นจริงเหล่านั้นมาสร้างความกระจ่างให้ปรากฏต่อสังคม ไม่ใช่ให้ความรู้ที่ผิดๆ แก่ชาวบ้าน จนหลงทิศหลงทาง และยังได้กล่าวว่าชาวบ้านได้ไปเยี่ยมญาติที่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว ให้เยี่ยมในเวลาที่สั้นมากกล่าวคือเพียงสองสามนาทีเท่านั้น

         การนำข้อมูลที่เป็นเท็จมาเปิดเผยโดยไม่มีการตรวจสอบ คุณกล้ามากที่ใช้ตำแหน่ง ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ที่คุณอุปโลกน์ขึ้นมาเองโดยไม่มีใครแต่งตั้ง เพื่อสร้างผลงานในการเรียกร้องขอรับเงินทุนสนับสนุนจากองค์กรต่างประเทศ

           การควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยอยู่ภายใต้อำนาจตามกฎอัยการศึก หน่วยงานภาครัฐมีความรัดกุมทั้งข้อมูล จะต้องมีความมั่นใจ และแม่นจริงในการเชิญตัวบุคคลดังกล่าวมาดำเนินการซักถามหากผู้ต้องสงสัยนั้นไม่มีข้อมูลเชื่อมโยงในการกระทำความผิดจะมีการปล่อยตัวโดยเร็ว

          ตามที่ นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ได้กล่าวถึงมาตรฐานในการควบคุมตัว คือมีการตรวจรับตัวบุคคล ตรวจร่างกายเพื่อให้ชัดเจนว่าไม่ได้ถูกทำร้ายมาก่อนนั้น กรณีเช่นนี้คงจำกันได้ที่เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาว กรณีออกมาให้ข่าวมีการซ้อมทรมานผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งในจังหวัดยะลา นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ท่านนี้แหละที่ออกมาเคลื่อนไหวกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่รัฐซ้อมผู้ต้องสงสัย แต่เมื่อความจริงปรากฏกลับไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตนที่ได้สร้างความเสื่อมเสียต่อหน่วยงานภาครัฐ

         เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 กองทัพไทยแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาต่อนางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน และ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (มูลนิธิผสานฯ) จากกรณีที่มูลนิธิผสานฯ เรียกร้องให้มีการสอบสวนข้อกล่าวหาว่ามีการทำร้ายร่างกายผู้ถูกควบคุมตัว โดยแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาททำให้กรมทหารพรานที่ 41 จังหวัดยะลา ต้อง “เสื่อมเสียชื่อเสียง”

          การออกมาเคลื่อนไหวในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันวิธีการหลีกเลี่ยงความผิดให้กับตนเองด้วยการโยนให้กับญาติผู้ถูกควบคุมตัว โดยการตั้งข้อสงสัยว่าเจ้าหน้าที่อาจมีการทำร้ายร่างกายบุคคลในครอบครัวหรือไม่ระหว่างการสอบปากคำที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร โดยญาติของผู้ถูกควบคุมตัวตั้งข้อสังเกตว่าพบเห็นร่องรอยที่หน้า มีสภาพอิดโรย มีอาการซึมเศร้า นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ใช้ลูกไม้เดิมๆ ตีหัวแล้ววิ่งหนีเข้าบ้านอีกตามเคย

          สุดท้าย ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เหมือนตบหัวแล้วลูบหลัง ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า คดีการเผาโรงเรียนที่ทุ่งยางแดงนับว่าเป็นกรณีที่หลายฝ่ายติดตามอยากเห็นผล แต่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ต้องทำคดีด้วยความรอบคอบเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้มีการคลี่คลายความขัดแย้งที่ยั่งยืนมากกว่า...

         ผู้เขียนอยากฝากท่านผู้อ่านช่วยกันตรวจสอบการเคลื่อนไหวของกลุ่มองค์กรที่มีนัยแอบแฝงในการลงพื้นที่ทำกิจกรรม แล้วสร้างกระแสข่าวเพื่อองค์กรของตัวเองบนความทุกข์ร้อนของประชาชน ยิ่งไปกว่านั้นมี
  • การปลุกเร้ากระแสสร้างความเกลียดชัง สร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้น ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน..
  • มีการออกมาเคลื่อนไหวให้ข่าวว่าเจ้าหน้าที่มีการซ้อมทรมานผู้ถูกควบคุมตัว ซึ่งเป็นการกล่าวให้ร้ายทั้งๆ ที่ไม่มีมูลความจริง.....
  • แล้วองค์กรเหล่านี้เคลื่อนไหว..เพื่อวัตถุประสงค์อะไร?...และเพื่อใคร?
----------------------------

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปลุกระดมเรื่อง ISIS ในกลุ่มโจรฟาตนี



           ข้อมูลจาก Facebook และในโลกออนไลน์ มีเยาวชน หรือประชาชนกลุ่มหนึ่ง ที่มีการนำเอาภาพและธง ISIS หรือ ISIL นำมาปลุกระดมคนใน พื้นที่ ทางโลกออนไลน์จำนานมาก เพื่อสร้างกลุ่ม คนทีบ้า ลัทธิโหดร้ายนี้ เพื่อขยายข้อมูลข่าวสารแบบ โหดๆ เช่น รูปภาพ วิดิโอ โดยการแชร์ลิ้ง ข้อความปลุกระดม แบบในกลุ่มเพื่อน กลุ่มเยาวชน ให้มีแนวคิดสุดโด่ง โดยการนำข้อมูลมาเชือมโยงกับภาคใต้ เพื่อเป็นการปลุกระดมให้เกิดความแตกแยก จากสื่อออนไลน์ และมีเว็บของ สื่ออิสระ เว็บหนึ่ง
ที่ไม่ค่อยเป็นกลาง ได้นำบทความ เกียวกับ ISIS มาประโครมข่าว ให้ช่วงนี้

           ลัทธิ “ISIS” ย่อมาจาก “Islamic State of Iraq and Greater Syria” เป็นกลุ่มของสุหนี่มุสลิมหัวรุนแรงสุดโต่ง และได้ชื่อว่าป่าเถื่อนและกระหายเลือดเข้าขั้นซาดิส แม้แต่อัลกออิดะห์ยังไม่เอาด้วย - เข่นฆ่ามุสลิมด้วยกันและชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ รวมทั้งชาวคริสต์และอลาวิตส์ ต่อต้านประธานาธิบดี บาชาร์ อัสซาด ของซีเรีย เผาโบสถ์และมัสยิสของชีไอท์ รับผิดชอบระเบิดฆ่าตัวตายยังตลาดและสถานที่มากมาย ซึ่งทำให้พลเรือนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

           มุสลิมหัวรุนแรงสดโต่งกลุ่มนี้มีกำเนิดมาจากที่เดียวกับอัลกอห์อิดะห์ นั่นคือจากความไม่พอใจ และโกรธแค้นที่อเมริกาที่ทำสงครามในอิรัคและอัฟริกาสถาน กลุ่มนี้ดำเนินการโดย อาบู บาการ์ อัล-แบกดาดิ ผู้สนับสนุนสงครามศาสนา( jihadist) ของอิรัค และร่วมกับขบวนการใต้ดิน-ผู้สนับสนุนของซัดดัม ฮุสเซน-ที่ต่อต้านรัฐบาลอิรัคปัจจุบัน ..

          แต่ภาคใต้ของประเทศไทยได้มีสื่อและเพจ ที่มีแนวคิดแบบสุดโต่งเพื่อแพร่ เชื่อร้ายในไทย ทางเฟจและเพจ โดยเป็นกลุ่ม นักเลง กลุ่มหนึ่งได้นำธง ISIS มาเป็นฉากหลัง และพูดภาษา ยาวีท้องถิ่นภาคใต้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามี การนำความคิดแบบสุดโต่งมาขยายในโลกออนไลย์ เพื่อนำมาเชื่อมโยงกับการปรุกระดม ของเพจโจร

โจรมุดโสร่งออกอาละวาดวางระเบิดชุดคุ้มครองครู


            เมื่อเวลา 14.40 น. วันที่ 25 พ.ย. 57 ร.ต.ท.ไกรวิทย์ สมบูรณ์ ร้อยเวร สภ.แว้ง จ.นราธิวาส รับแจ้งมีเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดดักสังหาร ชุด รปภ.ครู สังกัด อาสาสมัครรักษาดินแดนประจำที่ว่าการ อ.แว้ง ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย เหตุเกิดริมถนนสายสุคิริน-แว้ง ช่วงบริเวณบ้านเจ๊ะเหม ม.3 ต.แว้ง จึงสั่งระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารพร้อมด้วยชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด ตชด.447 และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส รุดเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

            พบหลุมระเบิดที่บริเวณริมถนนลึก 2 ฟุต กว้าง 4 ฟุต และมีเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สปิกนิค หนัก 25 ก.ก. จุดชนวนด้วยแบตเตอรี่ที่ลากสายไฟเข้าไปในป่ารกทึบ ตกกระจายเกลื่อนพื้นถนนและที่บริเวณพงหญ้ารกทึบฝั่งตรงกันข้าม เจ้าหน้าที่พบรถ จยย.ยี่ห้อซูซูกิ สีขาว-แดง ทะเบียน ขธม-479 นราธิวาส ล้มตะแคงอยู่พร้อมด้วยกองเลือดจำนวนหนึ่ง ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บเพื่อนๆและพลเมืองดีได้นำตัวส่งรักษาที่โรงพยาบาลแว้งไปก่อนหน้าแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมหลักฐานในที่เกิดเหตุ

            ต่อมาจึงได้เดินทางไปดูอาการผู้ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาลทราบชื่อ คือ 
  • 1. อส.เจี้ยน คำชู 31 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่บริเวณข้อมือซ้าย ต้นแขนซ้าย ใต้รักแร้ซ้าย อาการสาหัส แพทย์ต้องส่งตัวรักษาต่อที่โรงพยาบาลสุไหงโก-ลก
  • 2. อ.ส.พงศ์ศักดิ์ เพชรรัตน์ 33 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่บริเวณแขนขวา ขาซ้าย และเฉี่ยวใบหน้าปลายคาง อาการไม่สาหัสมากนัก แพทย์ได้ให้นอนรักษาต่อที่โรงพยาบาลแว้ง

            จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 นาย ขี่รถ จยย.นำหน้าขบวนคณะครูโรงเรียนบ้าน เจ๊ะเหม โดยมีเพื่อนอีก 4 นาย ขี่รถ จยย. 2 คัน ปิดท้ายขบวน เพื่อนำคณะครูส่งบ้านพัก ถึงที่เกิดเหตุคนร้ายที่แฝงตัวอยู่ในป่ารกทึบริมทาง ได้ใช้แบตเตอรี่จุดชนวนระเบิดที่ลอบนำไปวางไว้บริเวณริมถนน จนเกิดระเบิดขึ้นในขณะที่ผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 นาย ขี่และซ้อนท้าย รถ จยย.ผ่าน จนทำให้ทั้ง 2 นายได้รับบาดเจ็บ โดยรถ จยย.ได้กระเด็นไปตกริมถนนฝั่งตรงกันข้าม แล้วคนร้ายได้แฝงตัวหลบหนีไป

           ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ร้ายรายวัน ของกลุ่มโจรมุดโสร่ง เพื่อลอบดักสังหารคนของทางการรายวัน 






วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สำหรับผม กฏหมาย ชารีอะหุ์ คือ กฏหมายที่มุ่งข่มเหงสตรีนั่นเอง




            หลายๆคนบนโลกนี้คงหวังให้เพศชายกับเพศหญิงมีความเท่าเทียมกันซะที แต่มันคงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะวันนี้ทีมงาน Toptenthailand ได้เอาข้อมูลของ 10 ประเทศต่อไปนี้ ที่เชื่อว่าผู้หญิงคนไหนไปอยู่ก็คงเหมือนตายทั้งเป็น เพราะกฎหมายเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรพวกเธอมากนัก แถมผู้ชายในประเทศยังดูถูกกดอย่างกับผู้หญิงเหล่านี้ไม่ใช่คน!! 
  • 10. ประเทศโซมาเลียชื่อประเทศคงไม่ค่อยจะคุ้นหูกันเท่าไหร่ แต่ถ้าพูดถึงข่าวคราวที่เคยเกิดขึ้นของประเทศนี้ก็ดังพอสมควร ที่เคย...มีการปาหินใส่ “เด็กผู้หญิง” หลังจากที่เธอถูกข่มขืน แต่อีกฝ่ายอ้างว่าเธอคบชู้!! เท่านั้นยังไม่พอ เพราะที่นี่เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงที่ผู้หญิงจะถูกข่มขืน อันดับต้นๆของโลก บางทีผู้หญิงตั้งครรภ์เองก็ยังไม่เว้น  ขอบคุณรูปจาก http://www.unocha.org/top-stories/all-stories/somalia-behind-every-statistic-there-human-face 
  • 9. ประเทศซาอุดีอาระเบียด้วยความที่ยังเป็นประเทศที่มีสงครามไม่หยุดไม่หย่อน ผู้ชายของประเทศนี้จึง (คิดว่าตัวเอง)เป็นใหญ่ ส่วนสตรีนั้นก็เป็นได้แค่ผู้อยู่ในการปกครอง แม้กระทั่งถ้าแต่งงานไปแล้วญาติของฝ่ายชายก็เป็นผู้ดูแลหญิงคนนี้ไปตลอดชีวิต แต่มีน้อยครอบครัวนักที่จะเลี้ยงดูอย่างดี ส่วนใหญ่มักจะถูกทารุณต่างๆนานา และหากทำผิดโทษที่ได้รับก็รุนแรงซะเหลือเกินขอบคุณรูปจาก https://chicwithwords.wordpress.com/tag/saudi-arabia/ 
  • 8. ประเทศปากีสถานประเทศที่มีกฎหมายเกี่ยวกับด้านการล้วงละเมิดทางเพศแบบไม่เป็นธรรมสุดๆ ที่อนุญาตให้ผู้ชายข่มขื่นผู้หญิงได้ หากคนในครอบครัวฝ่ายหญิงนั้นไปทำร้ายผู้อื่น (ซึ่งฝ่ายหญิงอาจะไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย) โดยว่ากันว่าเพื่อเป็นการกู้ศักดิ์ศรีให้แก่วงตระกูลของผู้ที่ถูกครอบครัวฝ่ายหญิงทำร้าย ขอบคุณรูปจาก http://pamelageller.com/2014/04/muslim-easter-day-rape-7-year-old-pakistani-christian-girl.html/ 
  • 7. ประเทศมาลีหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุด จนผู้หญิงบางคนถึงขั้นต้องหลบหนี เพราะจะมีการตัดปุ่มคิตตรอริส เพื่อไม่ให้เกิดอารมณ์ทางเพศ ซึ่งไม่มีการใช้ยาชาทุกชนิด!! และจะสร้างความเจ็บปวดอย่างมาก ส่วนใหญ่ผู้หญิงในมาลีจะแต่งงานตั้งแต่อายุน้อยๆ และ 1 ใน 10 จะเสียชีวิตจากการตั้งครรภ์ หรือคลอดบุตร  ขอบคุณรูปจาก http://en.gabonews.com/headlines-reader-en/items/clashes-in-mali-force-population-exodus.html 
  • 6. ประเทศกัวเตมาลาปัญหาความรุนแรงในครอบครัว รวมทั้งการข่มขืน เป็นปัญหาใหญ่ๆของที่นี่ ยังมีสถิติผู้ติดเชื้อ HIV มากเป็นอันดันต้นๆของโลก แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือคดีฆาตกรรมผู้หญิงด้วยวิธีอันโหดเหี่ยมจนหลายๆคนคาดไม่ถึงนับร้อยๆคดี ที่บางคดีพบว่ามีการทิ้งข้อความสาปแช่งไว้ที่ศพด้วย!! ขอบคุณรูปจาก http://www.takegreatpictures.com/photo-tips/travel-photography/guatemala-elections-by-darren-hauck 
  • 5. ประเทศซูดานความรุนแรงของประเทศนี้ เห็นได้จาก คดีข่มขืนตั้งแต่ในปี 2013 พบว่า เหตุการณ์เหล่านี้ได้ทำลายชีวิตของผู้หญิงมากกว่า 1 ล้านคน แต่ที่สำคัญคือความยุติธรรมของคดีเหล่านี้ยังไม่เพียงพอสำหรับเหยื่อที่เป็นผู้หญิงเหล่านี้ บางคดีโทษที่ผู้ร้ายได้รับนั้นเทียบไม่ได้ของความเจ็บปวดของเหยื่อเลยสักนิด ขอบคุณรูปจาก http://www.sudanforum.net/showthread.php?t=142101&page=3 
  • 4. ประเทศเนปาลหลาย ๆ คนคงยังไม่รู้ว่า 1 ใน 24 คนของผู้หญิงในเนปาล จะต้องเสียชีวิตลงจากการตั้งครรภ์และการตั้งครรภ์เพียงลำพัง เพราะคดีข่มขื่นของที่นี่เกิดกันเป็นว่าเล่น ข่มขืนอย่างเดียวยังไม่พอและยังไม่ป้องกันอีกด้วย ผู้หญิงที่นี่จึงต้องแบกรับภาระและอดีตอันหนักหน่วงไว้เพียงผู้เดียว ขอบคุณรูปจาก http://lovelymorning.com/index.php/2011/08/birth-in-rural-nepal/ 
  • 3. ประเทศอิรักก่อนหน้านี้สมัยของ ซัดดัม ฮุนเซน เปรียบเสมือนฝันร้ายของผู้หญิงอิรักเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะโดนทำร้าย กระทำชำเราร้ายแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่หลังจากที่สหรัฐฯ ได้เข้ามาปลดปล่อยอะไรๆก็ดีขึ้น แต่!!ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร เพราะปัจจุบันก็ยังเสี่ยงต่อการถูกลักพาตัว และการข่มขืน จนทำให้ผู้หญิงกลัวกันอย่างมาก ไม่กล้าออกไปไหนแม้กระทั่งไปทำงาน ทั้งนี้ มีผู้หญิงจำนวนมากกว่า 1 ล้านคนที่ต้องถูกไล่ออกจากงาน และอีกกว่า 1 ล้านคน ที่ไม่มีเงินเพียงพอที่จะใช้ซื้ออาหารมาประทังชีวิต ขอบคุณรูปจาก http://rt.com/op-edge/iraq-environmental-catastrophe-hiroshima-533/ 
  • 2. ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเมื่อประเทศต้องเผชิญหน้ากับสงคราม ผู้หญิงก็จะเหมือนตลกนรกจากการข่มขืน ซึ่งยังถือเป็นความรุนแรงที่ไม่สามารถจะรับได้ ที่มีเหยื่อหลายรายต้องเสียชีวิตลงจากเหตุการณ์เหล่านี้ ถ้าไม่เสียชีวิตก็มักจะติดเชื้อ HIV และต้องตั้งครรภ์เลี้ยงลูกเพียงคนเดียว และที่สำคัญผู้หญิงเหล่านี้ไม่มีโอกาสที่จะหาทางเอาตัวรอดจากการถูกกักขังได้ ขอบคุณรูปจาก http://www.ibtimes.com/obama-deploys-troops-against-lords-resistance-army-323531 
  • 1. ประเทศอัฟกานิสถานมากกว่าครึ่งของผู้หญิงที่ต้องแต่งงานมีอายุต่ำกว่า 16 ปี และจะมีผู้หญิง 1 คนที่ต้องเสียชีวิตจากสาเหตุการคลอดบุตรในทุกๆ ครึ่งชั่วโมง!! โดย 87% ของผู้หญิง มีประสบการณ์ได้รับความรุนแรงภายในประเทศทั้งสิ้น นอกจากนี้ประเทศอัฟกานิสถานยังเป็นประเทศเดียวที่มีอัตราการฆ่าตัวตายของผู้หญิงสูงกว่าผู้ชายอีกด้วย ซึ่งก็ไม่แปลกนักเพราะถ้าอยู่ต่อไปก็เหมือนกับตายทั้งเป็น

        ทั้ง 10 ประเทศนี้ 
        คือ ประเทศที่ปกครองโดยใช้
       กฏหมาย ชารีอะหุ์ 
    หรือกฏหมายอิสลาม
ที่มาเวปผู้จัดการ
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม