วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554


สภามุสลิมท้องถิ่น สั่งให้ข่มขื่นเธอ
มุกห์ตารัน บีบี (ปัญจาบอูรดูمختاراں بی بی) หรือที่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ มุคตาร มัยน์ (ปัญจาบอูรดูمختار مائی) เกิดเมื่อราวปี พ.ศ. 2515 เป็นหญิงชาวปากีสถานจากหมู่บ้านมีร์วาลา ในแถบชนบทของเคาน์ตีเทห์สีล อำเภอมูซัฟฟาร์กัรฮ์ในปากีสถาน มุคตาร มัยน์เป็นเหยื่อของการรุมโทรมตามคำสั่งของปัญจญัติราช (สภาชนเผ่า) ของเผ่ามาสโตยบาลูจญซึ่งร่ำรวยกว่าและมี
อำนาจมากกว่าเมื่อเทียบกับเผ่าตาตลาในพื้นที่นั้น โดยธรรมเนียมแล้ว หญิงชนบทจะถูกคาดหวังว่าจะทำอัตวินิบาตกรรมหลังจากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่เธอกลับลุกขึ้นสู้และติดตามคดี ซึ่งได้รับการหยิบยกขึ้นมาโดยสื่อต่างประเทศหลายสำนัก อันเป็นการสร้างแรงกดดันแก่รัฐบาลปากีสถานและตำรวจให้ติดตามคดีข่มขืนดังกล่าว ท้ายที่สุดแล้วคดีถูกนำขึ้นพิจารณาในศาล และผู้ลงมือถูกจับกุม แจ้งข้อหาและพิสูจน์ว่ามีความผิด แต่ศาลอุทธรณ์กลับคำตัดสินดังกล่าว ศาลสูงสุดปากีสถานในภายหลังประกาศว่าผู้ถูกกล่าวหาเกือบทุกคนไม่มีความผิดยกเว้นเพียงคนเดียวเท่านั้น มุคตารที่กำลังต่อสู้ทางกฎหมายในปากีสถานและทำให้เธอเสี่ยงต่ออันตรายอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงกระนั้น เธอได้ริเริ่มองค์การสวัสดิการสตรีมุคตาร์ มัยน์ เพื่อช่วยสนับสนุนและให้การศึกษาแก่สตรีและเด็กหญิงชาวปากีสถาน และเป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านสิทธิสตรีอย่างเปิดเผย
ตามข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ มุคตาร มัยน์ พร้อมด้วยเพื่อน เพื่อนร่วมงานและครอบครัวของเธออยู่ในความเสี่ยงใหญ่หลวงจากความรุนแรงโดยเจ้าศักดินาท้องถิ่น และรัฐบาลปากีสถาน ด้านพลเอกเปอร์เวซ มูชาร์ราฟ อดีตประธานาธิบดีปากีสถาน ได้ยอมรับในบล็อกส่วนตัวของเขาว่า เขาสั่งจำกัดการเคลื่อนไหวของเธอในปี พ.ศ. 2548 เนื่องจากเขาเกรงว่าผลงานของเธอและชื่อเสียงของมันอาจทำลายภาพลักษณ์ในเวทีนานาชาติของปากีสถาน

"มุกห์ตารัน บีบี" ผู้ไม่ยอมถูกข่มขืนซ้ำจากกระบวนการยุติธรรม

ชื่อของ Mukhtaran Bibi หรือที่รู้จักกันสั้นๆ ว่า Mukhtar Mai กลายเป็นที่กล่าวถึงในแวดวงสิทธิสตรีสากลอีกครั้งหนึ่ง เมื่อภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "Shame" ที่ถ่ายทอดชีวิตจริงของเธอได้ออกฉายสู่สายตาสาธารณชนในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่แคนาดา เมื่อวันที่ 31 กันยายน 2549

เมื่อสารคดีเรื่องนี้จบลง ผู้ชมในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติฯ ต่างลุกขึ้นยืนปรบมือเป็นเวลายาวนานให้สิ่งที่เพิ่งได้รับรู้รับชมกันไป...  

เนื้อหาของ Shame บอกเล่าถึงรอยแผลในชีวิตที่มุกห์ตารันได้รับจากการถูกข่มขืนและทำร้ายร่างกาย แต่สาระสำคัญอยู่ที่การรับมือและจัดการกับชีวิตของเธอหลังจากเหตุการณ์อันเลวร้ายมากกว่าการฟูมฟายถึงความเจ็บปวดที่มี

ในโลกยุคดิจิตอลที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทางเลือกของผู้หญิงที่ถูกข่มขืนก็ยังมีไม่มากนัก โดยเฉพาะในบ้านเมืองที่มีกรอบความเชื่อ วัฒนธรรมและประเพณีอันเคร่งครัดสืบทอดกันมายาวนานอย่างประเทศ "ปากีสถาน"
หนทางที่หนึ่งซึ่งผู้หญิงปากีสถานโดยมากเลือกใช้ คือการทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และบอกตัวเองว่านั่นคือ "ชะตากรรมของชีวิต จากนั้นก็ดำเนินกิจวัตรต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าบาดแผลทางกายและจิตใจที่ติดมากับเธอนั้นสาหัสสากรรจ์แค่ไหน
หนทางที่สอง คือ การหลบหนีไปจากความเป็นจริงอันโหดร้าย ซึ่งมีอีก 2 ข้อย่อยให้เลือกคือ การอพยพย้ายบ้านไปอยู่ในที่ไกลๆ จนไม่มีข่าวคราวหรือใครตามไปถึง และ "ความตาย"
เช่นเดียวกันกับ "มุกห์ตารัน บีบีหรือ "มุกห์ตาร์ ไมที่ถูกตัดสินให้ผู้ชาย 14 คน ในหมู่บ้าน Merrwala ซึ่งเธออาศัยอยู่"ข่มขืนเพื่อเป็นการลงโทษแทนน้องชายของเธอที่ไปลวนลามหญิงสาวผู้มาจากตระกูลสูงกว่า และคนในชุมชนบางส่วนเห็นว่านั่นคือการรักษา "เกียรติยศของครอบครัวตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกัน
นั่นคือธรรมเนียมที่ให้คุณค่ากับของเพศหญิง "ต่ำกว่าเพศชาย และยังไม่หมดไปจากสังคมปิดหลายแห่ง
เมื่อต่อสู้กับการข่มขืนหมู่อย่างยิบตา มุกห์ตารันจึงถูกทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรงเพิ่มมาด้วย...
เหตุการณ์สะเทือนใจนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2545 หากมุกห์ตารันไม่เลือกวิธีใดๆ ที่ว่ามา แต่เธอเลือกที่จะตอบโต้ด้วยการนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และต้องใช้เวลาต่อสู้ในชั้นศาลนานถึง 2 ปี กว่าจะมีการตัดสินผู้กระทำความผิด
การแข็งขืนและลุกขึ้นต่อต้านค่านิยมของชุมชน ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายดายนัก แต่การลงโทษที่เธอได้รับ เป็นเรื่องสะเทือนใจเกินกว่าที่ผู้หญิงในชุมชนจะยอมทนได้เช่นกัน เธอได้รับการสนับสนุนจากโต๊ะอิหม่ามและผู้หญิงบางกลุ่มในชุมชน แต่ขณะเดียวกันก็ได้รับแรงต่อต้านและการคุกคามอย่างรุนแรงจากชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ไม่ต้องการให้วิธีลงโทษแบบ"ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" (Zani) ถูกลิดรอนอำนาจลงไป
ในระหว่างที่การพิจารณาคดีในชั้นศาลดำเนินไปอย่างเชื่องช้า สื่อมวลชน องค์กรสิทธิมนุษยชน รวมถึงหน่วยงานที่ส่งเสริมสถานภาพสตรีซึ่งเป็นองค์กรสากลก็มีส่วนช่วยในเรื่องนี้มากเช่นกัน ด้วยการผลักดันเรื่องของมุกห์ตารันให้กลายเป็นที่สนใจในระดับโลก
การกดดันและเรียกร้องให้พิจารณาคดีของมุกห์ตารันจึงเป็นเรื่องของการเมืองด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับอยู่ดีว่าการลากเอาธรรมเนียมเก่าๆ มาสะสางใหม่ในชั้นศาล ช่วยสร้างความตื่นตัวทางด้านสิทธิมนุษยชนกับชาวปากีสถานเป็นจำนวนมาก
แม้ว่าถึงที่สุดแล้ว ผู้กระทำความผิดทั้ง 14 คน จะรอดพ้นจากการตัดสินว่ามีความผิดไปได้ถึง 8 คน และอีก 6 คนที่ถูกตัดสินให้ประหารชีวิตก็ได้รับการลดโทษเหลือแค่การจำคุกตลอดชีวิต แต่การต่อสู้ของมุกห์ตารันและผู้หญิงคนอื่นๆ ยังไม่จบแค่นี้แน่ๆ
กระบวนการถ่ายทอดภาพลงบนแผ่นฟิล์มจนกลายเป็นหนังสารคดีเรื่อง Shame จึงบอกเล่าความยากเย็นที่มุกห์ตารันต้องเผชิญ และเป็นการฉายทับซ้อนไปกับการต้อนรับจากนานาประเทศที่มอบรางวัลนักต่อสู้ให้แก่เธอเป็นมากมาย รวมทั้งเงินรางวัลอีกเป็นจำนวนไม่น้อย

Muhammad Naqvi ผู้กำกับหนังเรื่องนี้ได้ใช้เวลาติดตามมุกห์ตารันอยู่นานเป็นปี และได้ถ่ายทอดให้ผู้ชมสารคดีเรื่องนี้เห็นว่าการเผชิญหน้ากับปัญหาของเธอมีราคาที่ต้องจ่ายสูงเอาการ
เริ่มจากการถูกตัดช่องทางการสื่อสารกับเจ้าหน้าที่องค์กรสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชนทั้งลาย และคนที่ทำเช่นนั้นก็ไม่ใช่คนอื่นไกลที่ไหน แต่เป็นตำรวจในท้องถิ่นที่ไม่ต้องการให้เรื่องอื้อฉาวใหญ่โตเกินไปนัก เพราะการสูญเสียอำนาจควบคุม"ผู้หญิงในหมู่บ้านอาจเป็นรสชาติที่ขมปร่าเกินกว่าจะทนได้
และเธอยังต้องรับมือกับความไม่ไว้วางใจจากภาครัฐที่ไม่พอใจนักกับการเอาเรื่องวุ่นวายในประเทศออกสู่สายตาสาธารณชนที่จับตาดูความเคลื่อนไหวของปากีสถานอยู่เงียบๆ
นอกจากนี้มุกห์ตารันยังต้องจัดการกับชื่อเสียงที่มาพร้อมกับฐานะ "วีรสตรีผู้เปลี่ยนแปลงค่านิยมของสังคมอีกประการหนึ่งด้วย
หากจะบอกว่าไม่หวั่นไหวอะไรกับสิ่งเหล่านี้ก็คงจะเป็นเรื่องเกินเลยไปหน่อย แต่ท้ายสุดก็ดูเหมือนว่าเธอสามารถจัดการกับมันได้ และใช้เวลาที่เหลือจากการพบสื่อและเดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อการก่อตั้งโรงเรียนขึ้นมาในหมู่บ้าน ให้เด็กหญิงและเด็กชายได้ร่ำเรียนเขียนอ่านกันต่อไป
เพราะมุกห์ตารันเชื่อว่าการจะ "ปลูกฝังสิ่งใหม่ๆ ต้องเริ่มต้นกันตั้งแต่ช่วงวัยแรกของชีวิต เพื่อที่ว่า อย่างน้อยที่สุด เมล็ดพันธุ์แห่งการต่อสู้โดยไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาหรือ "อำนาจเหนือหัวที่กดทับอยู่ คงจะมีโอกาสเติบโตและงอกงามขึ้นมาได้บ้าง...
อ่านบทสัมภาษณ์ มุกห์ตารัน บีบี เพิ่มเติมได้ที่: http://www.islamicamagazine.com/content/view/158/59/
^ Kristof, N & Wudunn, S, (2009), "Half The Sky", Virago
  1. ^ Journey into Islam: the crisis of globalization, Akbar S. Ahmed, Brookings Institution Press, 2007, pp.99
  2. ^ "A Marriage of Convenience?", 'Inter Press Service'
  3. ^ Sentenced to Be Raped
  4. ^ Pakistani Woman Who Shattered Stigma of Rape Is Married
  5. ^ Pakistani rape survivor turned education crusader honoured at UN
  6. ^ Feudals vs. Mukhtar
  7. ^ "General Pervez Musharraf - Write to the President: The President Responds".http://www.presidentofpakistan.gov.pk/TPRespondsQsComplDetail.aspx?WTPresidentQsID=293.
http://narater2010.blogspot.com

กรณี ฮิญาบ ระรานวัดหนองจอก


กรณี ฮิญาบ ระรานวัดหนองจอก

ติดตามสถานการณ์ กรณีฮิีญาบ ระราน วัดหนองจอก
หนังสือ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ หน้าที่ ๑
หนังสือ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ หน้าที่ ๒
หนังสือ สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ หน้าที่ ๓
หนังสือ สำนักงานคณะกรรมการศึกษาพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
คำสั่ง เจ้าอาวาส วัดหนองจอก


ม๊อปมุสลิมหน้าวัดหนองจอก ปะทะเพลงชาติ 08.00 น.


มุสลิมฮือประท้วงวัดหนองจอก !
กรณีไม่ยอมให้สวมฮิญาบในโรงเรียนวัด

อ้างรัฐธรรมนูญ+ระเบียบกระทรวง สารพัด




 
สำหรับชาวมุสลิม "หลักศาสนาสูงกว่ากฎหมาย 
ถ้ากฎหมายไม่ตรงตามหลักศาสนา ก็ถือว่ากฎหมายผิด"



 




ประท้วงฮ่ะ
กฎหมายต้องเหนือกว่าพระ พุทธศาสนา

เพื่อว่าศาสนาอิสลามจะ ได้ใหญ่กว่าไง



นายคนนี้หน้าคุ้นๆ ใช่ชื่อชารีฟหรือเปล่า ?

ประท้วงวัดหนองจอก

เปิดวัดให้มุสลิมเดี๋ยว นี้ !

กุรูแห่งอิสลาม  

เพื่อสันติ เราต้องมีสิทธิเท่าเทียมกัน ทุกแห่ง แม้แต่

ในวัด........ เราก็ต้องหย่าย 


ถ้าทำที่วัดหนองจอก สำเร็จ 

ต่อไปก็มุ่งหน้าเข้าวัดพระแก้ว



หลักกฎหมาย หรือน้ำผึ้งหยดเดียว  ?
คนพวกนี้กำลังสร้างเงื่อนไข อะไร ?
เพื่อวัตถุประสงค์อะไร 



เห็นแล้วก็เลื่อมใสชาว มุสลิมเขานะ แค่เด็กหญิงสองคนไม่ได้ใส่ฮิญาบก็ชวนกันไปประท้วงแทบจะปิดวัด แต่ชาวพุทธ พระถูกวางระเบิดตายรายวันรายเดือน กลับเงียบ ผอ.สำนักพุทธฯ บอกไม่ว่าง ให้ลูกน้องไปดูแลแทน บอกได้คำเดียวว่าเศร้าฮ่ะ !


http://narater2010.blogspot.com
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม