วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ขบวนการ BRN กับการบิดเบือนหลักคำสอนศาสนาอิสลาม


แบมะ ฟาตอนี

               "ตอนนั้นผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมเรียนรู้มาจากพวกเขาทั้งหมดมันไม่ใช่แล้ว หลังจากผมออกมาจากขบวนการแล้ว ผมได้เล่าให้พ่อฟังทุกอย่าง ผมเอาอัลฮาดิษที่พวกเขาสอนให้พ่อดู เพื่อให้พ่อแปลให้ฟังว่าตรงกันกับที่พวกเขาสอนหรือไม่ ปรากฏว่ามันไม่ถูกต้องเลยในสิ่งที่พวกเขาสอน อัลฮาดิษเหมือนกัน แต่คำแปลไม่เหมือนกันกับที่พ่อแปลให้ฟัง ของเขาผิดหมดเลย เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง"เป็นคำกล่าวของ อส.ฮากิม หรือ นายอับดุลฮากิม ดาราเซะ อดีต อส.บันนังสตา จ.ยะลา ที่กล่าวถึงการบิดเบือนหลักคำสอนศาสนาอิสลามของกลุ่มขบวนการ BRN



             ยังมีพี่น้องมุสลิมปาตานีอีกเยอะที่โดนหลอกและได้เข้าไปสู่วังวนของความชั่วร้ายของขบวนการ BRN โดนฝังซิปด้วยสิ่งผิดๆ บิดเบือนหลักคำสอนศาสนาให้แนวร่วมเหล่านี้ลุกขึ้นต่อสู้กับรัฐไทยโดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ ปลูกฝังอุดมการณ์ เขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ ยัดเยียดความเกลียดชังคนต่างศาสนา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ประชาชนในพื้นที่ทุกเชื้อชาติ ศาสนา ต่างอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขภายใต้พหุวัฒนธรรมของความหลากหลาย

           ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ไม่มีทีท่าจะสงบลงสักทีหนึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีปัจจัยเกื้อหนุนให้ปัญหานี้ยังคงดำรงอยู่ เกิดเหตุร้ายรายวันนำไปสู่ความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างประเมินค่ามิได้ การค้าการลงทุนหดหาย การพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานไปไม่ถึงไหน การศึกษาซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาศักยภาพมนุษย์และเป็นตัวชี้วัดเป็นพื้นฐานในการจะพัฒนาไปสู่ด้านอื่นๆ แทบไม่มีคุณภาพ เพราะครู อาจารย์ ที่มีความรู้ ความสามารถ ต่างพากันย้ายหลยหนีไปอยู่ที่อื่น นอกพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีความปลอดภัยกว่า ทำให้เด็กนักเรียนขาดคุณภาพ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้จำนวนมาก

            ขบวนการ BRN ได้สร้างเงื่อนไขต่อพี่น้องประชาชนมุสลิมปาตานี โดยการนำศาสนามาเป็นเครื่องมือในการปลุกระดม ปลุกปั่น โดยใช้ผู้นำศาสนาในแต่ละหมู่บ้านเป็นเครื่องมือ อีกทั้งยังมีทีมที่เดินสายในการบรรยายธรรมไปยังสถานที่ต่างๆ เมื่อประชาชนกลุ่มเป้าหมายเหล่านั้นมีความคิดเอนเอียง เห็นด้วย จึงเริ่มเข้าสู่กระบวนการฝึกในการใช้กำลัง จัดตั้งเป็น RKK แนวร่วม มีการทดลองในการปฏิบัติงานจริงด้วยการก่อเหตุโดยอยู่ในความควบคุมของแกนนำสั่งการในแต่ละพื้นที่

            ก่อนการก่อเหตุในแต่ละครั้ง พื้นที่ไหนมีความเสี่ยงจะมีการแจ้งเตือนจากแนวร่วมที่อยู่ในหมู่บ้านไม่ให้ผ่านเส้นทางหรือสถานที่ที่จะมีการก่อเหตุ ซึ่งพอสรุปได้ว่าเหตุร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นมีผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น ที่เป็นแนวร่วมย่อมรู้เห็นเป็นใจให้มีการสร้างเหตุ แน่นอนว่าแนวร่วมทั้งหมดของกลุ่มขบวนการเหล่านี้โดนปลูกฝังความคิด ความเชื่อที่ผิดๆ ให้เห็นผิดเป็นชอบ กับการกระทำที่รุนแรง สุดโต่ง เข่นฆ่าผู้คนบริสุทธิ์ซึ่งเป็นพี่น้องชาวปาตานีด้วยกันเอง

             หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไปเรื่อยๆ เหมือนที่ อส.ฮากิม ได้ออกมาเปิดเผยกับสำนักข่าวอิศรา คนของกลุ่มขบวนการมีอยู่ทุกที่ทุกหมู่บ้านที่มีการจัดตั้ง มีการระราน มีการข่มขู่ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่บุคคลบางกลุ่มได้บิดเบือนประวัติศาสตร์ บิดเบือนหลักคำสอนศาสนาอิสลาม บิดเบือนข้อมูลข่าวสารความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เพียงเพื่อสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นกับคนต่างศาสนิก ให้เกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ รวมไปถึงเกลียดชังรัฐไทยกล่าวหาว่ารุกรานชาวมลายูปาตานี

             การแก้ไขปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาลไทย สิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งคือการเร่งสร้างความเข้าใจ หาทางออกของปัญหาร่วมกันโดยให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมเข้ามามีบทบาท แต่งตั้งที่ปรึกษาด้านต่างๆ โดยคัดเลือกผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ผู้ที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่เพื่อการแก้ไขปัญหาจะได้ถูกจุด เกาถูกที่คัน ไม่ต้องเสียเวลาในการคลำหาสาเหตุให้ยุ่งยาก

           สิ่งที่สำคัญที่สุด บทบาทผู้นำศาสนาอิสลามพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ จะต้องมีความกล้าที่จะเปิดเผยการบิดเบือนหลักคำสอนศาสนาของกลุ่มขบวนการที่ใช้ไปในทางที่ผิด มิฉะนั้นแล้วหลักคำสอนศาสนาอิสลามที่ศักดิ์สิทธิ์จะพลอยมัวหมองเนื่องจากกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่คนใช้เป็นเครื่องมือเพื่อจุดประสงค์บางประการในการหลอกให้กลุ่มแนวร่วมหลงเชื่อตามหลักศาสนาที่มีการกล่าวอ้าง ทั้งที่ความเป็นจริงหลักคำสอนเดียวกันแต่เมื่อมีการตีความกลับตีความไปคนละแบบ แล้วเราจะปล่อยให้บุคคลเหล่านี้ทำลายหลักคำสอนศาสนาไปอีกนานแค่ไหน ในเมื่อทุกคนที่มีความรู้เรื่องศาสนาอิสลามอย่างแตกฉานกลับทำตัวนิ่งเฉย ทำตัวแบบทองไม่รู้ร้อน หากเป็นเช่นนี้สันติสุข ความสงบสุข ที่ทุกคเรียกหาคงจะไม่วันเกิดขึ้นอย่างแน่แท้

@@@@@@@@@@@@@

“รอกิ ดอเลาะ”แกนนำโจรใต้ตัวแสบ สั่ง 2 มือประกอบระเบิดยะลา


แบมะ ฟาตอนี

              2 มือประกอบระเบิดยะลา สารภาพสิ้นได้รับคำสั่งจาก “รอกิ ดอเลาะ” แกนนำโจรใต้ตัวแสบ สั่งการเตรียมก่อเหตุในพื้นที่ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงเนื่องจากตรงกับแหล่งข่าวหน่วยงานความมั่นคงว่าผู้ก่อเหตุรุนแรงจะสร้างความวุ่นวายด้วยการลอบวางระเบิดก่อนเข้าสู่ห้วงเดือนรอมฎอน แต่เดชะบุญที่ชาวบ้านสุดทนไม่อยากให้เกิดความสูญเสียรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข้าดำเนินการตรวจสอบเสียก่อนที่จะนำระเบิดไปก่อเหตุ



                จากการสนธิกำลังของเจ้าหน้าที่ ได้เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้านเป้าหมาย เลขที่ 22หมู่ 6 บ้านบ่อเจ็ดลูก ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา สามารถควบคุมตัว 2 ผู้ต้องหา ขณะที่ทั้ง 2 กำลังนั่งประกอบระเบิดอยู่ภายในบ้านพักหลังดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบระเบิดได้จำนวนหลายรายการด้วยกัน เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2557 เวลา 15.00น. ที่ผ่านมา ตามข่าวที่สื่อมวลชนทั้งสื่อกระแสหลักและสื่อกระแสรองได้นำเสนอไปแล้วนั้น



             จากการซักถามตามกระบวนการ โดยล่าสุด นายมารูวัน สาและ ได้ให้การรับสารภาพว่า มีหน้าที่ประกอบวงจรระเบิดให้แก่กลุ่มขบวนการเพื่อใช้ในการก่อเหตุที่ผ่านมาหลายครั้ง และได้ประกอบวงจรระเบิดแล้วเป็นจำนวนมาก ส่วนนายอายุ มะแอ เป็นเพียงแนวร่วมที่เป็นผู้ดำเนินการจัดหาสิ่งของอุปกรณ์ในการประกอบระเบิดมาให้กับตนเท่านั้น


             สำหรับนายรอกิ ดอเลาะ แกนนำผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับสั่งการ ปัจจุบันอายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4 หมู่ 6 บ้านบ่อเจ็ดลูก ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา มีหมายจับในคดีความมั่นคงจำนวนหลายหมายด้วยกัน เช่น หมายจับที่ 360/2550 ลงวันที่ 11 กันยายน2550 กรณียิงแล้วเผานายอดิศร สองแก้ว หมายจับที่ 83/2551 ลงวันที่ 20 มกราคม 2551 ในข้อหาร่วมกันสะสมกำลังพล หรืออาวุธ กระทำความผิดอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการก่อการร้าย หมายจับที่60/2552 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2552 ในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ ร่วมกันทำให้เกิดระเบิด ร่วมกันทำ มี ใช้ วัตถุระเบิด และหมายจับที่ จส 8/2554 ลงวันที่ 14มกราคม 2554 ข้อหาร่วมกันยิง อาสาสมัครทหารพราน เสียชีวิต จำนวน 5 นาย บาดเจ็บ 3 นาย เหตุเกิดหน้าสถานีอนามัยตาเซ๊ะ อ.เมือง จ.ยะลา

              หากการให้การของนายมารูวัน สาและ ที่ซัดทอดนายรอกิ ดอเลาะ แกนนำผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับสั่งการที่เคลื่อนไหวทำการก่อเหตุ ซึ่งจากสถิติการก่อเหตุที่ผ่านมาในพื้นที่บ้านบ่อเจ็ดลูก ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา ถือได้ว่ามีความรุนแรงมิใช่ย่อย ส่วนมือประกอบระเบิด นายมารูวัน สาและ และแนวร่วมผู้จัดหาชิ้นส่วนอุปกรณ์ในการประกอบระเบิด คือนายอายุ มะแอ ได้กระทำมาหลายครั้งแล้ว ระเบิดที่ได้มีการประกอบและนำไปวางที่ใดบ้างนั้นกระบวนการซักถามคงได้ความกระจ่าง นั่นหมายความว่าผู้ประกอบระเบิดทั้ง 2 คน เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการอันเลวร้ายสุดโต่ง ชั่วช้า โดยการสั่งการมาจากระดับแกนนำ จุดประสงค์เพื่อทำลายล้างประชาชนปาตานีผู้บริสุทธิ์ด้วยกันเอง ได้พรากชีวิตผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไปแล้วกี่ชีวิตจากครอบครัวที่ต้องได้รับความสูญเสีย

               คราบน้ำตา หัวอกความรู้สึกของผู้ที่สูญเสีย ผู้เขียนไม่สามารถบรรยายแทนได้เป็นลายลักษณ์อักษรหากคนในครอบครัวได้จากไปเนื่องจากการกระทำที่ขาดความยั้งคิดของโจรใต้บางกลุ่มที่มุ่งทำลายล้างสร้างความเดือดร้อนไม่หยุดหย่อน ต่างจากการประกาศของระดับแกนนำ BRN ก่อนหน้านี้ที่โฆษณาชวนเชื่อว่ากลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนปาตานี เป็นตัวแทนของพี่น้องชาวปาตานี และกระทำการทุกอย่างเพื่อพี่น้องชาวปาตานีโดยส่วนรวม มาถึงวันนี้เมื่อความจริงได้ปรากฏออกมา จากการจับกุมมือประกอบระเบิดหรือผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับแกนนำสั่งการได้เปิดเผยข้อมูลออกมาเมื่อได้รับฟังแล้วน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะขบวนการ BRN ไม่เคยคิดถึงพี่น้องประชาชนปาตานีเลยแม้สักนิดเดียว มีแต่สร้างความเดือดร้อนรายวัน เข่นฆ่าผู้คนเหมือนผักปลา ยิ่งกว่านั้นยังได้ประกอบระเบิดแสวงเครื่องมุ่งทำลายล้างโดยไม่แยกแยะเป้าหมาย ไม่สนว่าจะเป็นไทยพุทธ ไทยมุสลิม ลูกเล็กเด็กแดง ผู้นำศาสนา ครูบาอาจารย์ ผู้หญิง คนพิการ คนชรา..นี่คือจุดยืนของกลุ่มขบวนการ BRN ที่แท้จริง...เราจะไว้วางใจให้โจรใต้เหล่านี้มาเป็นผู้ดูแลชีวิตของพี่น้องมุสลิมปาตานีของเราอยู่อีกหรือ??

@@@@@@@@@@@@@

ภัยแทรกซ้อนเชื่อมโยงปัญหาไฟใต้


แบมะ ฟาตอนี

             ไม่น่าเชื่อว่าในระยะนี้เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐร่วมมือกันอย่างจริงจังในการขจัดภัยปัญหาแทรกซ้อนที่ได้อยู่คู่กับพี่น้องจังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างยาวนาน จนบางคนรู้สึกว่าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตไปแล้ว ซึ่งในการปฏิบัติสามารถเข้าดำเนินการจับกุมพร้อมตรวจยึดของกลางได้จำนวนมากไม่ว่าจะเป็นไม้เถื่อน ไม้ต้องห้าม ถังเหล็กสำหรับดัดแปลงบรรทุกน้ำมัน พร้อมเข้าตรวจสอบเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อน จำนวน 5 ลำ และที่สำคัญยังพบถังดับเพลิง ท่อเหล็ก ชิ้นส่วน แผ่นเหล็กที่มีขนาด รูปร่าง และสภาพใกล้เคียงกับกล่องเหล็กระเบิดแสวงเครื่อง ที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงได้ลอบวางระเบิดหลายจุดในพื้นที่ อำเภอเมืองปัตตานี เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 พร้อมกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการตัดและเชื่อมเหล็กจำนวนหนึ่ง




              วันที่ 5 มิถุนายน 2557 เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังเข้าตรวจยึดรถบรรทุก หมายเลข 82-0431 ป้ายทะเบียนจังหวัดสุราษฎร์ธานี บรรทุกไม้ท่อนซุง จำนวน 21 ท่อน จับกุมได้บริเวณหน้าที่ทำการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดยะลา



             วันที่ 9 มิถุนายน 2557 เจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นรถบรรทุกที่ขับผ่านด่านตรวจเกาะหม้อแกง สามารถตรวจยึดท่อนซุงไม่ทราบชนิดได้ จำนวน 44 ท่อน ความยาว 6 เมตร ผู้ต้องหา 2 คน รถบรรทุกสิบล้อ 2 คัน ไม้แปรรูปไม่มีใบเบิกทาง จำนวน 40 มัด ขนาด 2.4 และ 1.3 ความยาว 1.50 เมตร น้ำหนักรวม 30 ตัน รถพ่วง 18 ล้อ 1 คัน
วันที่ 11 มิถุนายน 2557 เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบ สิ่งของภายในโรงเลื่อยพันธ์ศักดิ์ เลขที่ 148/20 หมู่ 6 ตำบลสะเตงนอก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา พบไม้ซุงท่อนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการแปรรูป จึงได้ทำการ ตรวจยึดไม้ดังกล่าวเพื่อตรวจสอบ และได้ทำการตรวจยึดบัญชีเอกสารเพื่อดำเนินการตรวจสอบ จำนวน 5 รายการ






วันที่ 12 มิถุนายน 2557 เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการภัยแทรกซ้อนพร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบบริเวณพื้นที่ บ้านบุดี ตำบลสะเตง อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ตรวจพบกองไม้ท่อนซุงขนาดใหญ่จำนวนมาก



                วันที่ 13 มิถุนายน 2557 เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้าตรวจสอบโรงเลื่อยไม่มีชื่อ เลขที่ 54/127 หมู่ 4 บ้านนัดโต๊ะโมง (ซอย 3) ตำบลสะเตงนอก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยมีนายสุวินัย ขุนล่ำ แสดงตนเป็นเจ้าของ  พบไม้ท่อนและไม้แปรรูปไม้เป็นจำนวนมากส่งให้หน่วยป้องกันและรักษาป่าที่ยะลา ๓ ตรวจสอบต่อไป




             เมื่อ 16 มิถุนายน 2557 เจ้าหน้าที่จัดกำลังร่วมเข้าตรวจสอบ โรงไม้ สหทรัพย์ทวีค้าไม้ เลขที่ 103/39 ตำบลบานา อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ตรวจพบไม้แปรรูป จำนวนมาก และมีไม้หวงห้ามหลายชนิด เช่นไม้ตะเคียนทอง มีการลักลอบต่อแทงค์เหล็กขนาดใหญ่ มีความจุประมาณ 35,000 ลิตร จำนวน 3 แทงค์ คาดว่าน่าจะใช้เพื่อวางในเรือประมงดัดแปลงที่ใช้สำหรับบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อการลักลอบค้าน้ำมันเชื้อเพลิงหลบเลี่ยงภาษีโดยเฉพาะ





            เจ้าหน้าที่ยังได้เข้าดำเนินการตรวจพบเรือประมงดัดแปลงเพื่อบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 5 ลำ ที่ท่าเทียบเรือองค์การบริหารส่วนตำบลบานา คาดว่าจะใช้เพื่อการลักลอบค้าน้ำมันเชื้อเพลิงหลบเลี่ยงภาษี





          ที่น่าสนใจคือตรวจสอบภายในโรงไม้ สหทรัพย์ทวีค้าไม้ พบถังดับเพลิง ท่อเหล็ก ชิ้นส่วนแผ่นเหล็กที่มีขนาด รูปร่าง และสภาพใกล้เคียงกับกล่องเหล็กระเบิดแสวงเครื่องที่ก่อเหตุระเบิดหลายจุดในพื้นที่ อำเภอเมืองปัตตานีเมื่อ วันที่ 24 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา พร้อมกับตรวจพบอุปกรณ์ที่ใช้ในการตัดและเชื่อมเหล็กอีกจำนวนหนึ่ง





          วันที่ 18 มิถุนายน 2557 เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันตรวจสอบโรงไม้ สหทรัพย์ทวีค้าไม้ โดยละเอียดอีกครั้งหนึ่งตรวจพบพบอุปกรณ์ตราประทับผ่านเข้า – ออก ด่านตรวจคนเข้าเมืองของด่านสุไหงโก- ลก ด่านมุกดาหาร ด่านหนองคาย และด่านบึงกาฬ ด่านละ 2 ชิ้น ยังพบเงินสด สกุลเงินบาทไทย และเงินสกุลต่างประเทศจำนวนมาก เอกสารคำแนะนำในการปฏิบัติตนเพื่อหลีกเลี่ยง การตรวจค้น จับกุมและหลีกเลี่ยงการติดตาม หรือตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่รัฐ และได้ควบคุมตัว นายสหชัย เจียเสริมสิน และนายสมพิศ พลสนาม นำส่งเจ้าหน้าที่ซักถามเพื่อทำการขยายผลในการกระทำความผิดต่อไป

             ภัยแทรกซ้อนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ได้หมักหมมเป็นดินพอกหางหมูมานาน เป็นแหล่งทำมาหากินให้กับนักการเมือง ผู้มีอิทธิพล เงินสะพัดกับธุรกิจผิดกฎหมายทุกประเภทเดือนหนึ่งหลายพันล้านบาท และยังได้เกี่ยวพันไปยังกลุ่มขบวนการ BRN และกลุ่มขบวนการอื่นๆ ที่ทำการเคลื่อนไหวเป็นคู่ขัดแย้งและใช้กำลังทางทหารในการก่อเหตุกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทย จากข้อมูลจากหลายๆ ฝ่ายต่างยืนยันตรงกันว่าธุรกิจผิดกฎหมาย ค้าไม้เถื่อน น้ำมันเถื่อน สินค้าหนีภาษี และขบวนการค้ายาเสพติด คือท่อน้ำเลี้ยงที่ส่งเสบียงและแหล่งเงินทุนให้กับกลุ่มโจรใต้เหล่านี้เพื่อนำไปจัดซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ อุปกรณ์ประกอบระเบิดกลับมาทำลายล้างพี่น้องประชาชนชาวปาตานีผู้บริสุทธิ์

             โรงงานประกอบการของธุรกิจผิดกฎหมายยังได้กลายเป็นแหล่งที่ผลิตชิ้นส่วนประกอบวัตถุระเบิดให้กับมือประกอบระเบิดของผู้ก่อเหตุรุนแรง อย่างเช่นกรณีการตรวจสอบโรงไม้ สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ได้ตรวจเจอถังดับเพลิง ท่อเหล็ก ชิ้นส่วนแผ่นเหล็กที่มีขนาด รูปร่าง และสภาพใกล้เคียงกับกล่องเหล็กระเบิดแสวงเครื่องที่ก่อเหตุระเบิดหลายจุดในพื้นที่ อำเภอเมืองปัตตานีเมื่อ วันที่ 24 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา หากผลการพิสูจน์ออกมาว่าชิ้นส่วนดังกล่าวเป็นชิ้นส่วนที่ออกมาจากแหล่งเดียวกัน ก็ยืนยันได้ว่าปัญหาที่ไม่จบไม่สิ้นที่ได้เกิดอยู่ทุกวันนี้ยังมีนักธุรกิจที่คิดแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลักโดยไม่สนใจใยดีของผลกระทบที่เกิดความเสียหาย สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เลยกับเหตุการณ์ อีกทั้งยังสนับสนุนผู้ก่อเหตุรุนแรงให้กระทำการที่โหดร้าย สุดโต่ง ต่อเพื่อนร่วมชีวิต เพื่อนร่วมชาติ ร่วมแผ่นดินถิ่นเกิดอย่างทารุณ ผิดมนุษย์

            การดำเนินการเอาผิดต่อผู้ที่อยู่เบื้องหลังของการก่อเหตุร้ายเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐทุกองค์กร ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันเอาจริงเอาจัง ทำการชำระล้างให้สะอาดสักที ซึ่งในระยะนี้เริ่มเห็นเป็นรูปธรรม และเห็นผล อย่าไปไว้หน้าผู้มีอิทธิพล นักการเมืองเลวๆ ที่อาศัยปัญหาไฟใต้ทำธุรกิจเถื่อน บนคราบน้ำตาของผู้ที่สูญเสีย ตราบใดที่ไม่อาจแก้ปัญหาภัยแทรกซ้อนได้ ปัญหาไฟใต้ก็ไม่มีวันดับ..อยากเห็นสันติสุขเกิด คืนความสุขให้กับพี่น้องจังหวัดชายแดนใต้ ก็จะต้องร่วมมือกันขจัดปัญหาภัยแทรกซ้อนเหล่านี้ให้สิ้นซาก

@@@@@@@@@@@@@

ดินแดนปัตตานีไม่ใช่ญีฮาดสงครามรอมฎอนอันบริสุทธิ์ เข่นฆ่าชีวิตมนุษย์บาปเป็น ๒ เท่าทวีคูณ


บินหลา ปัตตานี


เดือนรอมฎอนเป็นห้วงการปฏิบัติศาสนกิจที่สำคัญของพี่น้องประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามโดยกำหนดขึ้นในเดือนที่ ๙ ตามปฏิทินอิสลาม ซึ่งในปี ฮ.ศ.๑๔๓๕ อยู่ในห้วงประมาณวันที่ ๒๙ มิ.ย.-๒๘ ก.ค.๒๕๕๗ ซึ่งในคืนวันที่ ๒๗,๒๘ มิ.ย.๕๗ จะมีการดูดวงจันทร์ถ้าดวงจันทร์มืด (แรม ๑๕ ค่ำ) เช้าวันรุ่งขึ้นจุฬาราชมนตรี จะประกาศวันเริ่มต้นเดือนรอมฎอนที่ชัดเจนในห้วงนี้ผู้นับถือศาสนาอิสลามจะมีการปฏิบัติศาสนกิจที่สำคัญคือการถือศีลอดโดยงดบริโภคอาหารเครื่องดื่ม และการร่วมประเวณีระหว่างรุ่งสางจนตะวันลับขอบฟ้า





การถือศีลอด เป็นข้อที่ ๓ ของหลักปฏิบัติ ๕ ประการของศาสนาอิสลาม การถือศีลอดเป็นการทดสอบและฝึกหัดร่างกายให้รู้จักอดกลั้นให้รู้สภาพอันแท้จริงของผู้ที่อัตคัดขัดสนทำให้เกิดความเห็นอกเห็นใจกัน เป็นการขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ ผ่องแผ้วพ้นจากอำนาจใฝ่ต่ำและมีคุณธรรมในห้วงเดือนรอมฎอนจะมีการปฏิบัติศาสนกิจและปฏิบัติตามหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด เช่น ตั้งมั่นในดูอาร์ ละทิ้งสิ่งไร้สาระ บริจาคทานอ่านอัลกุรอานมากๆ ละหมาดญะมาอะห์ทุกเวลา ซิกรุลลอฮ นึกถึงอัลลอห์มากๆ และละหมาดตอนกลางคืนมากๆ หรือละหมาดตาราเวียะห์ ผู้ปฏิบัติจะได้บุญและเพิ่มพูนความดีงามเท่าทวีคูณโดยเฉพาะในห้วง ๑๐ วัน สุดท้ายของการถือศีลอดหรือห้วงเอี๊ยะติกาฟจะได้บุญมากขึ้น





กลุ่มขบวนการใช้การบิดเบือนหลักศาสนาอิสลามและประวัติศาสตร์ปลุกระดมบ่มเพาะสร้างกระแสสงครามญีฮาดเพื่อสร้างแนวร่วมขบวนการรุ่นใหม่ และแนวร่วมมวลชนโดยอ้างว่า เป็นหน้าที่ของคนมลายูทุกคนต้องต่อสู้เพื่อแยกรัฐปัตตานี เป็นเอกราชถ้าใครไม่ปฏิบัติจะเป็นบาป โดยเฉพาะปฏิบัติในห้วงเดือนรอมฎอนจะได้บุญเป็น ๒ เท่า ถ้าปฏิบัติในห้วงเอี๊ยะติกาฟจะได้บุญมากขึ้นทวีคูณเมื่อปฏิบัติแล้วตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์โดยไม่มีข้อแม้จึงเป็นแรงจูงใจให้ผู้ที่ถูกหลอกหรือหลงผิดก่อเหตุรุนแรงในห้วงเดือนรอมฎอนโดยปลูกฝังหรือบ่มเพาะความคิดที่ผิดๆ ตั้งแต่เด็กในครอบครัวหมู่บ้านหรืออาเยาะห์เมื่อโตขึ้นในวัยเรียนจะปลูกฝังในโรงเรียนตาดีกา, โรงเรียนปอเนาะ, โรงเรียนเอกชนสอน ศาสนา และในระดับมหาวิทยาลัยทั้งในพื้นที่ จชต. ต่างจังหวัด และกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการปลูกฝังแบบเป็นระบบ เป็นขบวนการ หยั่งรากลึกยากที่จะลบล้างและเปลี่ยนแปลงความคิดดังกล่าวได้




ผู้เขียนขอเรียนให้ผู้อ่านได้ทราบว่าการแอบอ้างศาสนาว่าเป็นญีฮาดสงคราม และเข่นฆ่าชีวิตมนุษย์ ในห้วงเดือนรอมฎอนได้บุญเป็น ๒ เท่าไม่เป็นความจริงโดยอธิบายเหตุผลพอสังเขปดังนี้
ประการแรก ไม่มีบัญญัติและหลักของศาสนาอิสลามที่กำหนดว่าการฆ่ามนุษย์หรือทำสงครามในห้วงรอมฎอนจะได้บุญเป็น ๒ เท่า มีแต่ทำความดีปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัดจึงได้บุญมากขึ้นจะเห็นว่าในเดือนรอมฎอน แม้ในสงครามเช่นสงครามครูเสดคือ การทำสงครามระหว่างพวกคริสเตียนในยุโรปกับพวกมุสลิมที่ยึดครองนครเยรูซาเล็มในปาเลสไตน์ใน ค.ศ.๑๐๙๖-๑๒๙๑ ยังหยุดการต่อสู้พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้ จะต่อสู้ก็เมื่อจำเป็นหรือเพื่อป้องกันตัวเท่านั้น




ประการที่สอง การอ้างว่าเป็นสงครามญีฮาดในพื้นที่ จชต. ไม่ถูกต้อง การที่จะกำหนดว่าเป็นสงครามญีฮาดได้ต้องเป็นดินแดนดารุลอิสลาม หรือดารุสสลาม คือ เป็นดินแดนของอิสลามปกครองด้วยศาสนาอิลาม เมื่อถูกรุกรานจะต้องต่อสู้ปกป้องประเทศและศาสนา หรือเป็นดินแดนดารุลฮัรบี คือดินแดนที่เมื่อก่อนเป็นประเทศที่ปกครองด้วยคนอิสลามแล้วถูกคนนอกศาสนารุกราน ทุกคนต้องเข้าร่วมต่อสู้เป็นสงครามญีฮาด แต่ในพื้นที่ จชต. ไม่เข้าหลักเกณฑ์ทั้ง ๒ กรณี ความจริงแล้วดินแดน ๓ จชต.หรือรัฐปัตตานีในสมัยเก่าไม่ได้ปกครองโดยคนมลายูหรืออิสลามมาก่อน เดิมคนพื้นเมืองอาศัยในดินแดนนี้มาก่อน พ.ศ. ๗๐๐ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธและพราหมณ์ ณ เวลานั้น คนมลายูยังไม่เข้ามา ศาสนาอิสลามยังไม่กำเนิด ศาสนาอิสลามกำเนิด พ.ศ.๑๑๒๒ ประเทศสยามหรือประเทศไทยเข้ามาปกครองและอาศัยอยู่ที่ปรากฎหลักฐานชัดเจนคือสมัยสุโขทัย ตั้งแต่ พ.ศ.๑๘๓๖ เรื่อยมาจนถึงสมัยอยุธยาปกครองในระบบเจ้าเมือง ซึ่งปรากฏหลักฐานทางโบราณวัตถุปรากฏในพื้นที่ จชต. จนถึงปัจจุบัน




กำเนิดเมืองปัตตานีในปี พ.ศ.๑๙๙๘ ในช่วงต้นสมัยอยุธยาจะเห็นว่ารัฐปัตตานีและคนมลายูเข้ามาใน จชต. ที่หลังประเทศสยามจึงอ้างสิทธิว่าถูกรุกรานเพื่อทำสงครามญีฮาดไม่ได้ สำหรับในเรื่องผู้ปกครองเมืองไม่ได้เป็นคนมลายูทั้งหมดในสมัยที่คนมลายู เข้ายึดครอง เมืองไหนมีประชาชนนับถือศาสนาพุทธมากกว่าก็ให้คนไทยพุทธเป็นเจ้าเมือง เมืองใดประชาชนนับถือศาสนาอิสลามมากกว่าก็ให้คนมาลายูเป็นเจ้าเมือง จึงไม่สามารถอ้างความเป็นเจ้าของดินแดนเพื่อทำสงครามญีฮาดเพื่อแยกดินแดนเป็นเอกราชได้
ท้ายนี้ ตามที่ได้กล่าวแต่ต้นแล้วว่าไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ไม่เข้าหลักการที่จะกำหนดเป็นสงครามศาสนาหรือสงครามญีฮาดเพื่อแยกดินแดนได้แต่กลุ่มขบวนการพยายามบิดเบือนให้เป็นสงครามญีฮาดซ้ำร้ายยังปฏิบัติผิดหลักการทำญีฮาดอีก ในหลักของสงครามญีฮาดกำหนดไว้ว่า ๑)จะไม่ทำร้ายเด็กสตรีและคนชรา ๒) ไม่ทำร้ายผู้นำศาสนาอื่น ๓) ไม่ทำลายศาสนสถาน ๔) ต้องดำรงอยู่ในข้อตกลง ๕) ไม่เป็นผู้รุกรานหรือเริ่มต้นก่อน ๖) ห้ามทำลายสัตว์เลี้ยงและพื้นที่การเกษตรจะเห็นว่า ผกร. ในพื้นที่ จชต. ละเมิดเกือบทุกข้อแบบนี้จะมาอ้างทำญีฮาดได้อย่างไรไม่อายผู้นำศาสนาหรือผู้รู้เขาบ้างหรือ ในส่วนของผู้นำศาสนาขออย่าได้นิ่งเฉยอย่าได้กลัวเมื่อมีผู้มาบิดเบือนศาสนาถือว่าเป็นผู้ทำลายศาสนาอิสลามจะต้องรวมพลังกันต่อสู้เพื่อขับไล่พวกมารศาสนาให้หมดไปเพื่อให้ศาสนาอิสลามบริสุทธิ์แผ่นดินบ้านเกิดมีความสงบสุข ตลอดไป

---------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ไขปริศนา คสช.เรียกรายงานตัว 2 คนโตแดนใต้ 'อุสมาน-เจ๊ะอาแว'






          คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฉบับที่ 50/2557 ได้เรียกบุคคลเข้ารายงานตัวเพิ่มเติม12 คน โดยให้เข้ารายงานตัวที่ห้องจามจุรี สโมสรทหารบก เทเวศร์ ในวันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน เวลา10.00-12.00 น. ซึ่งใน 12 คนนี้มีบางคนเข้ารายงานตัวแล้ว

          คำสั่ง คสช.ที่เรียกบุคคลเข้ารายงานตัวฉบับหลังๆ เริ่มมีบุคคลที่มีชื่อแปลกๆ หรือชื่อที่ประชาชนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับเหตุผลประกอบคำสั่งของ คสช. ก็ให้ไว้อย่างกว้างๆ คือ เพื่อให้การรักษาความสงบและการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หลายๆ กรณีสังคมจึงไม่ทราบว่าบุคคลที่ต้องเข้ารายงานตัวนั้น ถูกเรียกตัวด้วยสาเหตุอะไร

           อย่างไรก็ดี บางคนที่ปรากฏชื่อในคำสั่งนี้ เคยมีส่วนเกี่ยวข้องหรือเคยถูกดำเนินคดีจากการค้ายาเสพติด

          นอกจากนั้น ในคำสั่งฉบับที่ 50/2557 ยังมี 2 คนที่มีชื่อเหมือนเป็นชาวไทยมุสลิมจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ นายอุสมาน สะแลแมง ซึ่งมีชื่ออยู่ในลำดับ 2 ของคำสั่ง และ นายเจ๊ะอาแว สะมารอเม๊าะ มีชื่ออยู่ในลำดับที่ 11 ด้วย

นายอุสมาน สะแลแมง

เจ๊ะอาแว สะมารอเม๊าะ

อุสมาน : เครือข่ายค้ายาชายแดนใต้

              สำหรับ นายอุสมาน หรือ มัง สะแลแมง มีหมายจับอาญาในข้อหาสมคบกับผู้อื่นร่วมกันนำเข้า ครอบครอง และจำหน่ายยาบ้า เป็นเครือข่ายค้ายารายใหญ่ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายใหญ่อื่นๆ ทั้งในและนอกประเทศ

         ชื่อของ อุสมาน สะแลแมง ตกเป็นข่าวครึกโครมเมื่อมีการค้นพบเงินสดๆ เกือบ 10 ล้านบาทเมื่อปี 2552 ซุกซ่อนอยู่ในรถยนต์ของกลาง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ ที่ยึดมาจากเครือข่ายค้ายาเสพติดของเขา

          รถคันดังกล่าวสีเทาดำ หมายเลขทะเบียน ศส 9187 กรุงเทพมหานคร ถูกยึดได้เมื่อปี 2548 ที่บ้านหลังหนึ่งพื้นที่แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตสะพานสูง กทม.

         ต่อมาเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้มีคำสั่งลงวันที่ 10 ตุลาคม 2549 ให้นำรถยนต์คันนี้ไปใช้ประโยชน์ของทางราชการที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี

          ต่อจากนั้นคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2551 ให้คดี นายอุสมาน สะแลแมง กับพวกซึ่งกระทำความผิดฐานค้ายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเชื่อมโยงกับเครือข่ายระหว่างประเทศ เป็นคดีพิเศษ

          กระทั่งเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2552 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ประสานกับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี เพื่อขอตรวจค้นภายในรถยนต์โดยละเอียด ผลการตรวจค้นพบธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท และ 500 บาท จำนวนทั้งสิ้น 9,998,000 บาท ซุกซ่อนอยู่ภายในแผงประตูหลังฝั่งซ้ายและขวา จึงร่วมกันตรวจยึดไว้เป็นของกลางเพื่อดำเนินคดี

            ศูนย์ข่าวอิศรา ได้เคยนำเสนอสกู๊ปข่าวเรื่อง "เปิดรายงานฝ่ายความมั่นคง (1)แฉเส้นทางลำเลียงยาเสพติดชายแดนใต้" เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2553 ระบุตอนหนึ่งว่า กลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดในพื้นที่ภาคใต้ส่วนมากเป็นเครือข่ายใหญ่ มีเงินหมุนเวียนจำนวนมหาศาล ที่สำคัญได้แก่
นายมะยากี ยะโก๊ะ
  • 1.เครือข่ายของ นายมะยากี ยะโก๊ะ มีฐานที่มั่นอยู่ใน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เคยถูกเจ้าหน้าที่ค้นบ้านและพบเงินสดจำนวน 30 ล้านบาทซุกอยู่ในท่อพีวีซี เมื่อเดือนตุลาคม2550 จนกลายเป็นข่าวดังทั้งประเทศ และภายหลังถูกเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดของมาเลเซียจับกุมส่งทางการไทย 
  • 2.เครือข่ายของ นายอุสมาน สะแลแมง มีฐานที่มั่นใหญ่อยู่ใน จ.นราธิวาส แม้เจ้าหน้าที่จะติดตามจับกุมกวาดล้างเครือข่ายระดับต่างๆ ของนายอุสมานได้บ่อยครั้ง แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่สามารถจับกุมตัวนายอุสมานได้ มีเพียงการยึดทรัพย์หลายรายการ 
           ล่าสุด สำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกา (ดีอีเอ) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก ได้ออกหมายจับนายอุสมาน ในข้อหาสมคบกับผู้อื่นร่วมกันนำเข้า ครอบครอง และจำหน่ายยาบ้า พร้อมให้ข้อมูลว่า นายอุสมานเคยพำนักอยู่ที่ ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส แต่ปัจจุบันซ่อนอยู่ในประเทศลาว

เจ๊ะอาแว : ผู้กว้างขวางแห่งตากใบ


             ส่วน นายเจ๊ะอาแว สะมารอเม๊าะ ผู้ถูกเรียกตัวอีกคนหนึ่งนั้น จากข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงระบุว่า เขาเป็นผู้กว้างขวางในพื้นที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เนื่องจากมีลูกชายและน้องชายเป็นกำนัน 2 ตำบลของ อ.ตากใบ เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) นราธิวาส เขต อ.ตากใบ แต่สอบตก

         สำนักข่าวไทยรายงานว่า นายเจ๊ะอาแว ได้เข้ารายงานตัวต่อ คสช.แล้ว เมื่อช่วงก่อนเที่ยงวานนี้ (7 มิ.ย.) ที่สโมสรทหารบก เทเวศร์ โดยเช่ารถลีมูซีนจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้ไปส่งด้านหน้าสโมสรทหารบก ทั้งนี้ นายเจ๊ะอาแว กล่าวกับสำนักข่าวไทยว่า นั่งเครื่องบินมาจาก จ.นราธิวาส รู้สึกตกใจที่ คสช.เรียกให้รายงานตัว โดยภรรยาแจ้งให้ทราบขณะกำลังนอนหลับอยู่

ตากใบ : แดนสนธยา-ค้าน้ำมันเถื่อน

          สำหรับ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เป็นอำเภอที่มีเขตแดนติดกับประเทศมาเลเซียด้านรัฐกลันตัน มีด่านศุลกากร ชื่อ ด่านตาบา การจะข้ามไปยังประเทศมาเลเซีย ต้องลงเรือข้ามแม่น้ำที่ด่านตาบา ซึ่งถัดไปไม่ไกลก็เป็นปากอ่าวที่ออกสู่ทะเลอ่าวไทย

           อ.ตากใบ มีชื่อกระฉ่อนในแง่ลบเกี่ยวกับการค้าน้ำมันหนีภาษี หรือน้ำมันเถื่อน เนื่องจากราคาน้ำมันทางฝั่งมาเลเซียต่ำกว่าฝั่งไทยกว่าครึ่งต่อครึ่ง ทำให้กำไรจากการค้าน้ำมันหนีภาษีเย้ายวนใจใครหลายคนในพื้นที่ อ.ตากใบ บางรายตั้งตนเป็นผู้มีอิทธิพล เกี่ยวโยงทั้งขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนและยาเสพติด มีเครือข่ายเชื่อมกับพ่อค้าน้ำมันเถื่อนรายใหญ่ใน อ.สิงหนคร จ.สงขลา และหลายรัฐของมาเลเซียที่มีเขตติดต่อกับประเทศไทย เช่น รัฐกลันตัน เกดะห์ ผู้มีอิทธิพลบางคนมีชื่อย่อที่เรียกกันติดปากว่า "แบ ต." (แบ เป็นภาษามลายู แปลว่าพี่ หรือเรียกแบบยกย่อง) มีเครือข่ายทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน โดยเปิดกิจการรับเหมาก่อสร้างบังหน้า

ที่มา : คมชัดลึกออนไลน์วันที่ 08-06-2557

กฎหมายพิเศษ กับการจับกุมผู้ก่อเหตุรุนแรง



แบมะ ฟาตอนี

             เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2557 ชุดสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธรจังหวัดยะลา เข้าตรวจสอบเป้าหมายยาเสพติด บริเวณ บ้านบ่อเจ็ดลูก หมู่ที่ 6 ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา ได้ตรวจพบผู้ต้องสงสัยจำนวน ๒ คน หลบหนีจากบ้านต้องสงสัย จึงได้ทำการจับกุม จากนั้นได้ร้องขอกำลังเพิ่มเติมจาก ชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วม หน่วยเฉพาะกิจยะลา 16 และกรมทหารพรานที่ 41 เข้าตรวจสอบบ้านเลขที่ 22 หมู่ที่ 6 บ้านบ่อเจ็ดลูก ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา พบบุคคลต้องสงสัย จำนวน 3 คน ทราบชื่อ นายมารูวัน สาและ, นายอายุ มะแอ และ นายมะลีเพ็ง มะลี ซึ่งเป็นจ้าของบ้าน สามารถยึดอาวุธปืน และอุปกรณ์ประกอบระเบิดแสวงเครื่องได้จำนวนหลายรายการ




            ในส่วนของความคืบหน้าเหตุการณ์ที่กลุ่มคนร้ายได้ลอบวางระเบิดจำนวน 2 จุด ในพื้นที่เทศบาลนครหาดใหญ่ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้รับข้อมูลจากฝ่ายสืบสวนสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งติดตามข้อมูลทางเทคนิค และกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ จนสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องสงสัยทำการก่อเหตุได้จำนวน 5 คน และยังคงหลบหนีอีก จำนวน 4 คน จากการซักถาม และให้คำรับสารภาพของผู้ต้องสงสัยทำให้ทราบว่ากลุ่มคนร้ายที่ร่วมก่อเหตุ ได้ใช้พื้นที่ อำเภอจะนะ และอำเภอนาทวี เป็นสถานที่วางแผนเตรียมการ และใช้เป็นที่หลบซ่อนพักพิง พร้อมทั้งได้แฉผู้สั่งการอยู่เบื้องหลัง การวางแผนการก่อเหตุ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกรณีการลอบวางระเบิดโรงแรมลีการ์เด้น เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555

https://www.facebook.com/photo.php?v=715585008506161&set=vb.436580453073286&type=2&theater

             จากการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนในห้วงนี้จะเห็นได้ว่ามีการติดตามจับกุมบุคคลเป้าหมาย มีการตรวจพบอุปกรณ์ผลิตระเบิดจำนวนมาก ซึ่งจากการวิเคราะห์ของหน่วยงานด้านความมั่นคงได้มีการประเมินสถานการณ์น่าจะมีการเตรียมการก่อเหตุลอบวางระเบิดครั้งใหญ่ก่อนเดือนรอมฎอน หรือเดือนแห่งการถือศีลอดของพี่น้องประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งจะมีในระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน ถึง 28 กรกฎาคม 2557 แต่ถือได้ว่าเป็นความโชคดีที่เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ได้รับการแจ้งเบาะแสที่เป็นประโยชน์จากประชาชนที่ไม่ต้องการความรุนแรง และไม่อยากให้เกิดความสูญเสียขึ้น จนนำไปสู่การจับกุมตัวผู้ต้องสงสัย และยึดอาวุธปืน อุปกรณ์ประกอบระเบิดได้เป็นจำนวนมาก



           การสร้างความปั่นป่วนก่อนเดือนรอมฎอนของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง มุ่งที่จะสร้างความหวาดกลัว หวาดระแวงให้เกิดขึ้นในสังคมไม่มีที่สิ้นสุด หน่วยงานด้านความมั่นคงพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐหลายฝ่ายร่วมมือผสานกันปกป้องไม่ให้มีการก่อเหตุ แต่กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงพยายามหาช่องโหว่เล็ดลอดสายตาจากการตรวจตรา หรือความเผอเรอของเจ้าหน้าที่ในการสร้างความเดือดร้อนด้วยวิธีการต่างๆ

             การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ มาถึงนาทีนี้การประกาศใช้กฎหมายพิเศษยังมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานเชิงรุกหรือเชิงรับตามยุทธศาสตร์และแนวทางการแก้ปัญหา เพื่อให้พื้นที่แห่งนี้กลับมาสงบสุขอย่างยั่งยืน การปกป้องให้ประชาชนทุกเชื้อชาติ และศาสนา มีความปลอดภัยได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม การบังคับใช้กฎหมายมีความยุติธรรม ไม่เป็นเงื่อนไขให้บุคคลที่ไม่หวังดีให้พื้นที่แห่งนี้นำไปเป็นประเด็นในการกล่าวหาโจมตี เรียกร้อง ปลุกปั่น ให้ประชาชนเกลียดชัง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย และประชาชนทุกหมู่เหล่าสามารถอยู่ร่วมกันได้ภายใต้ความหลากหลายของประเพณี และวัฒนธรรม

            ในความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนต่อการประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เมื่อเปรียบเทียบการประกาศบังคับใช้ในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้ จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่าง ในการเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติ มีการกวาดล้างอาวุธสงคราม ผู้มีอิทธิพลเถื่อน บ่อนการพนัน ซึ่งท่านผู้อ่านคงได้ติดตามข่าวสารทางสื่อทุกชนิดที่ได้มีการนำเสนอข่าวสารไปแล้ว มีการเดินหน้าสร้างความสมานฉันท์ของกลุ่มเสื้อสีต่างๆ เพื่อนำความรัก ความสามัคคี และคืนรอยยิ้มแห่งความสุขให้กับคนไทยทุกหมู่เหล่า ในทางกลับกันเมื่อกลับมาทบทวนการบังคับใช้กฎหมายพิเศษในพื้นจังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้ พื้นที่ที่มีความขัดแย้งของคนบางกลุ่มที่สร้างความรุนแรง กระทบต่อความมั่นคงแห่งรัฐไทยที่มีความยืดเยื้อมาอย่างยาวนาน จากปัญหาที่ทับถมบ่มเชื้อสร้างแนวคิดอย่างผิดๆ จนเกิดกระบวนการสุดโต่ง มีการซ่องสุมกองกำลัง การใช้อาวุธและวัตถุระเบิดในการทำลายล้างเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ ยังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มรูปแบบ

            รัฐไทยไม่อยากสร้างผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ในการประกาศใช้กฎหมายพิเศษในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การปฏิบัติไม่ได้มีความเข้มงวด กวดขันเท่าที่ควร แต่กระนั้นฝ่ายที่มีความคิดเห็นต่างจากรัฐก็ยังนำไปโจมตีกล่าวหามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน เรียกร้องให้มีการยกเลิกโดยอ้างประชาชนได้รับผลกระทบในการดำเนินชีวิต



            แนวทางการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ในส่วนตัวผู้เขียนมีความเห็นว่า นับเป็นโอกาสที่ดีที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศ ทุกจังหวัดมีการปฏิบัติเหมือนกัน หน่วยงานความมั่นคงที่กำกับดูแลการแก้ปัญหาดูแลความสงบควรใช้โอกาสนี้ในการปฏิบัติงานเชิงรุก ทำการกวาดล้างแหล่งซ่องสุมกำลัง ผู้มีอิทธิพลเถื่อน พ่อค้ายาเสพติด น้ำมันเถื่อน และสินค้าหนีภาษี ที่เป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนในการก่อเหตุให้สิ้นซาก และสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายพิเศษในการแก้ไขปัญหาให้เป็นกฎหมายที่ศักดิ์สิทธิ์ มีความเสมอภาค และยุติธรรม เพื่อนำพาความสงบสุข สันติ กลับคืนมา และที่สำคัญนำตัวผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ได้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการขั้นตอนของศาลสถิตยุติธรรม และลงโทษตามความผิดที่ได้กระทำมา ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างในการสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนโดยรวมต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2557

อยากรู้ไหมว่า ทำไมทหารกับนักสิทธิฯ ต้องไปเจอกันที่ศาล






            ตามที่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 เดือนพฤษภาคม 2557 ในสังคมออนไลน์เว็บไซต์www.deepsouthwatc.org หรือศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ โดยบล็อกของ rungraweeหรือ“รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช” ได้เขียนบทความในหัวข้อ “ทำไมทหารกับนักสิทธิฯ ต้องไปเจอกันที่ศาล”

            ต่อกรณีที่ น.ส.พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ และทำหนังสือเปิดผนึกถึง พล.ท. วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4 โดยกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำการซ้อมทรมาน นายอาดีลสาแม ในขณะเข้าติดตามจับกุม เมื่อ 26เมษายน 2557 เวลา 12.30 น. เป็นเหตุให้ นายอาดีลสาแม ได้รับบาดเจ็บสาหัส

          จดหมายเปิดผนึกดังกล่าวได้เขียนหัวเรื่องว่า “ขอให้ตรวจสอบกรณีนายอาดิลสาแม ได้รับบาดเจ็บขณะถูกจับกุมและควบคุมตัว แต่ถ้าพิจารณาถึงเหตุผลแค่นี้ทางกองทัพภาคที่ 4 ก็คงจะไม่น่าต้องฟ้องอะไรใช่ไหมครับ เพราะมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ก็คงทำหน้าที่สมเหตุสมผลที่ขอให้มีการตรวจสอบก่อน เพื่อความไม่เคลือบแคลงสงสัยของประชาชน แต่มันไม่ใช่แค่นี้นะครับมันเป็นเรื่องน่าแปลกที่ น.ส.พรเพ็ญฯ ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกให้ ทางกองทัพภาคที่ 4 ในวันที่ 2 พ.ค.57

           ในขณะที่มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้ นำเสนอข้อมูลถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เมื่อ 30 เม.ย.57 เพื่อเสนอคณะกรรมาธิการต่อต้านการซ้อมทรมานแห่งสหชาติ (Uncat) ในการประชุมคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อ 27 เม.ย.– 3 พ.ค.57 แทนที่จะส่งหนังสือเปิดผนึกถึงกองทัพภาคที่ 4 ก่อน เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง

            แต่นี่เป็นการกระทำให้เห็นถึงความไม่จริงใจ ไม่บริสุทธิ์ใจ และไม่ยุติธรรม เหมือนกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิฯ กล่าวอ้างว่าเป็นองค์กรที่ดำเนินการส่งเสริมการเข้าถึงความยุติธรรมแก่ประชาชนและทุกฝ่าย แต่พฤติกรรมดังกล่าวมีนัยยะแอบแฝงเป็นที่น่าสงสัยว่า การที่ได้รับข้อมูลแล้วไม่มีการตรวจสอบ โดยเฉพาะข้อมูลจากองค์กรภาคประชาสังคมบางองค์กร เช่น สำนักสือ watani ,กลุ่ม PerMAS และสื่ออื่น ๆ ที่มีพฤติกรรมช่วยเหลือผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ผ่านมาโดยบิดเบือนข้อเท็จจริงใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐมาโดยตลอด แต่พอความจริงปรากฏองค์กรภาคประชาสังคมเหล่านี้ไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบแม้แต่ครั้งเดียว



           ครั้งนี้ก็เช่นกันทำไมต้องรีบนำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จที่ไม่มีการตรวจสอบก่อน ที่จะนำเสนอผ่านสื่อสู่สาธารณชนทั้งองค์กรในและระหว่างประเทศอย่างครึกโครม ทั้งที่สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนได้ แต่ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึกให้กองทัพฯ ที่หลังเพื่อเป็นข้ออ้างแก้เก้อเท่านั้น ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้เสมือนหนึ่งจงใจสร้างความแตกแยกและหวาดระแวงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน ลดความน่าเชื่อถือให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ และที่สำคัญได้สร้างความเสียหายให้กับภาครัฐและทำลายความน่าเชื่อถือในเวทีสากลในระดับประเทศเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติโดยตรง

            ข้อความตอนหนึ่งที่“รุ่งรวี” ได้กล่าวถึง “ข้อมูลของมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม สถิติการร้องเรียนการซ้อมทรมานในช่วงปี 2551 – 2555 นั้น มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ในปี 2551 มีการร้องเรียนเรื่องซ้อมทรมาน 88 กรณี ในปี 2552 จำนวน 61 กรณี ในปี 2553 จำนวน 63 กรณี ในปี 2554จำนวน 60 กรณี และในปี 2555 การร้องเรียนในเรื่องนี้ลดลงอย่างมาก จนเหลือเพียง 38 กรณี แต่น่าเสียดายว่าการร้องเรียนกลับเพิ่มมากขึ้นอีกในปี 2556 ซึ่งมีถึง 58 กรณี”

           เป็นคำกล่าวอ้างข้อมูลเชิงสถิติทางตัวเลข ที่ไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ในการก่อเหตุเพิ่มขึ้นในปี2556 เพราะสถิติคดีการฟ้องร้องก็ย่อมสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวเป็นธรรมดา แต่ในทางเหตุผลคนชั่วเหล่านี้ที่มีหมายจับตามพยานและหลักฐาน ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ก่อเหตุรุนแรงสร้างความเดือดร้อนให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างย่ามใจ เพราะมีกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคม NGOsออกมาปกป้อง โดยเฉพาะมูลนิธิผสานวัฒนธรรม, ศูนย์ทนายความมุสลิม, กลุ่ม PerMAS, HAP,insouthและอีกหลายองค์กรแนวร่วมที่มีพฤติกรรมส่อไปในลักษณะสนับสนุนเกื้อกูลปกป้องการกระทำทุกรูปแบบ โดยมีการติดตามตรวจสอบการละเมิดสิทธิและการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ซ้อมทรมาน

            เหตุการณ์ยิงสตรี, เด็ก, พระสงฆ์ หรือเป้าหมายอ่อนแอในห้วงที่ผ่านมา แต่องค์กรเหล่านี้กลับมองไม่เห็น ทำไมไม่ประณามหรือช่วยเจ้าหน้าที่รัฐในการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของมูลนิธิตามที่กล่าวอ้าง แต่ในทางตรงข้ามกลับพยายามหาช่องทางที่เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นำมาเป็นข้ออ้างชูประเด็นเป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เป็นเรื่องเสื่อมเสียชื่อเสียง และให้เกิดความหวาดระแวงระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งต่างกับเหตุการณ์การเสียชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ในห้วงที่ผ่านมา องค์กรเหล่านี้กลับนิ่งเฉยทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนธุระไม่ใช่ ก็การทำงานของมูลนิธิฯ ที่ช่วยเหลือกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเหล่านี้มิใช่หรือ? ที่มีส่วนผลักดันและสนับสนุนให้ตัวเลขเชิงสถิติตามที่กล่าวอ้างในการก่อเหตุรุนแรงสูงขึ้น



           ข้อความอีกตอนหนึ่งที่ “รุ่งรวี” ได้กล่าวถึงว่า กอ.รมน. ได้เรียกร้องในการแถลงข่าวว่าให้มูลนิธิผสานวัฒนธรรม “ทำหน้าที่ด้วยความโปร่งใส ตรงไปตรงมาและตรวจสอบได้ และแสดงความรับผิดชอบต่อเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง และนำเสนอเรื่องราวอันเป็นเท็จไปสู่การรับรู้สาธารณะ ดังเช่นเหตุการณ์ครั้งนี้ และที่ผ่านๆ มาเพื่อไม่ให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยในพฤติกรรม และเจตนาที่แท้จริงไปมากกว่านี้” โดยระบุว่าทางกอ.รมน. “ยังคงให้ความสำคัญต่อการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม ให้การเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน และไม่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและสนับสนุนการทำงานขององค์กรด้านสิทธิมนุษยชน และองค์กรเครือข่ายต่างๆ ที่มีเจตนาบริสุทธิ์ ในการเข้ามาตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ในทุกกรณี”

            แต่ “รุ่งรวี” ได้แสดงความเห็นว่า เหตุการณ์นี้อาจจะ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดแบบเดิมๆ ของกองทัพต่อการทำงานของนักสิทธิฯ ที่ยังคงเชื่อว่าพวกเขามีเจตนาแอบแฝง มองไม่เห็นว่าพวกเขาทำอะไรที่เป็นประโยชน์ นอกจากคอยจับผิดทหารและขัดขวางการจับกุม “ผู้ก่อเหตุรุนแรง” ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การร้องเรียนให้ทางกองทัพตรวจสอบ การนำเสนอเรื่องราวเหล่านี้กับสาธารณชน ทั้งในและต่างประเทศเป็นบทบาทปกติขององค์กรภาคประชาสังคมที่เคลื่อนไหว รณรงค์เพื่อหยุดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งในประเทศอารยะทั้งหลายต่างก็มีเครือข่ายขององค์กรเอกชนที่ทำงานในลักษณะนี้อยู่มากมาย พวกเขาควรจะได้ทำหน้าที่ด้วยความเป็นอิสระและไม่ถูกข่มขู่คุกคาม

            การที่“รุ่งรวี”ได้พูดว่า เหตุการณ์นี้อาจจะ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดแบบเดิมๆ ของกองทัพต่อการทำงานของนักสิทธิฯ ก็อยากถามกลับว่าถ้าการทำงานของนักสิทธิฯ เป็นไปตามอุดมการณ์ตามที่กล่าวอ้างด้วยความสุจริตยุติธรรม โปร่งใส ต่อทุกฝ่ายโดยไม่เลือกปฏิบัติก็เป็นการสมควร แต่เหตุการณ์นี้และที่ผ่านมาการทำงานของนักสิทธิฯ นั้นเหมือนกับไม่ลืมหูลืมตาที่จะพิจารณาถึงข้อเท็จจริง แต่ดูเหมือนกับจะมีธงปักไว้แล้วจะต้องช่วยเหลือโจรชั่วให้พ้นผิดให้ได้ โดยใช้วิธีบิดเบือนข้อเท็จจริงรีบกล่าวประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่โดยไม่มีการตรวจสอบ แล้วจะให้คิดอย่างไร?

            ผู้เขียนในฐานะเป็นคนไทยที่รักชาติคนหนึ่งคิดว่าการกระทำด้วยความจงใจเช่นนี้ ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างร้ายแรง เป็นการลดความน่าเชื่อถือจากองค์กรต่างประเทศ มองให้เห็นเจตนาของมูลนิธิที่ต้องการจะให้องค์กรภายนอกเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในประเทศซึ่งถือว่าเป็นผลเสียของประเทศอย่างยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรมออกมาแสดงความรับผิดชอบอย่างไรก็หาไม่ และที่สำคัญมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ก็ไม่มีองค์กรใดตรวจสอบการทำงานว่าโปร่งใสบริสุทธิ์ยุติธรรมหรือไม่ ก็เป็นการสมควรและยุติธรรมแล้วมิใช่หรือ?

เมื่อ “PerMAS” หันมาก่อเหตุป่วนเมือง


แบมะ ฟาตอนี

              สหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียนและเยาวชนปาตานี (PerMAS) ที่ใครๆ ต่างรู้จักที่มีการเคลื่อนไหวเน้นงานด้านการเมือง จัดเวทีเสวนาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นปีกหนึ่งของขบวนการ BRN ล่าสุดจากการจับกุมแนวร่วมผู้ต้องหาก่อเหตุลอบวางระเบิดเขตเทศบาลนครยะลา ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า กลุ่ม PerMAS เป็นสมาชิกแนวร่วมในการก่อเหตุหลายเหตุการณ์ด้วยกัน หากเป็นเช่นนั้นจริง จากภาพความเชื่อของใครหลายๆ คนจะมองกลุ่ม PerMAS เคลื่อนไหวจัดกิจกรรมงานการเมือง เป็นงานแย่งชิงมวลชนในพื้นที่ ปลุกระดมให้ประชาชนลุกฮือต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อไปสู่การลงประชามติในการกำหนดใจตนเอง หน่วยงานความมั่นคงและประชาชนทั่วไปได้ประเมินศักยภาพกลุ่ม PerMAS ผิดไป



           ล่าสุด เมื่อวันที่ 3-4 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา กลุ่ม PerMAS ได้เคลื่อนไหวจัดกิจกรรมเวที Bicara Patani ครั้งที่ 67 ในพื้นที่ อ.ยะหา จ.ยะลา มีสมาชิกเข้าร่วมกิจกรรมพอสมควร นั่นคือแค่ฉากบังหน้า แต่ฉากหลังมีสมาชิกบางส่วนที่ได้เคลื่อนไหวงานการเมืองให้กับกลุ่ม PerMAS ด้วย แต่ในขณะเดียวกันเป็นสมาชิก RKK ลงมือก่อเหตุลอบวางระเบิดเข่นฆ่าผู้คนไปด้วย แสดงให้เห็นว่าในการวางแผนปฏิบัติการก่อเหตุ การใช้กำลังทางทหารในแต่ละครั้งของขบวนการ BRN กลุ่ม PerMAS จะต้องรู้เห็นเป็นใจวางแผนร่วมกัน ร่วมมือกันก่อเหตุร้าย พร้อมทั้งให้สมาชิกแนวร่วมสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน ทำการโฆษณาชวนเชื่อสร้างความชอบทำในการลงมือปฏิบัติการเข่นฆ่าประชาชนของ RKK



        จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ แหล่งข่าวคนดังกล่าวได้มีการติดตามความเชื่อมโยงของผู้ก่อเหตุรุนแรงกับกลุ่ม PerMAS และทำให้ทราบว่าสมาชิกในเครือข่ายของกลุ่มได้ร่วมกันก่อเหตุในหลายๆ เหตุการณ์ด้วยกันที่ผ่านมา หากเป็นเช่นนั้นจริงอะไรคือสาเหตุทำให้กลุ่ม PerMAS หันมาใช้กำลังทางทหารในการก่อเหตุแทนที่จะเป็นกลุ่ม RKK

          แหล่งข่าวคนเดิมยังให้ข้อมูลจากการซักถาม นายฮาซัน มูซอดี ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยเหตุลอบวางระเบิดในเขตเทศบาลนครยะลาเมื่อวันที่ 6-7 เมษายน 2557 ยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรง ในพื้นที่ อ.เมือง จ.ยะลา จำนวน 8 เหตุการณ์ โดยมีนายหมัดมุลกี กาโฮง เป็นผู้สั่งการในการประชุมวางแผนลอบวางระเบิดตัวเมืองยะลา นายฮาซัน ยังได้ซัดทอดไปยังนายมะซาการี มะ/ฮัมดี คนขับรถจักรยานยนต์ประกอบระเบิดแสวงเครื่อง ไปจอดบริเวณหน้าร้านข้าวมันไก่ บริเวณถนนจงรักษ์ ในเขตเทศบาลเมืองยะลา เมื่อ 31 พฤษภาคม 2555



          เมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกกลับพบว่า กลุ่ม PerMAS มีความเชื่อมโยงกับ หัวหน้ากัสยะลาคนหนึ่ง ที่สั่งการและกำกับดูแลกองกำลังในกัสทั้งหมด มีทั้งสมาชิกระดับปฏิบัติการ และกลุ่ม RKK ปฏิบัติการในพื้นที่เขตเมืองยะลา อีก 4 ชุดปฏิบัติการ ซึ่งจะมี 3 ชุด ปฏิบัติการยิงและระเบิด จะมีหัวหน้าชุดเป็นผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติการ แต่ที่น่าสนใจคือ ชุดปฏิบัติการระเบิด ซึ่งมีนายราพี มามะรอยาลี เป็นหัวหน้าชุดมีหน้าที่ในการสำรวจเป้าหมาย สำรวจกล้องวงจรปิด กำหนดโซนรับผิดชอบในการก่อเหตุอีกด้วย

           นายราพี มามะรอยาลี พื้นเพเป็นคนสุไหงปาดี จ.นราธิวาส แต่รับผิดชอบเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการระเบิดในเขตเมืองยะลา จากการรวบรวมพฤติกรรมนายราพี ที่ผ่านมาทำหน้าที่รวบรวมเงินเข้าศูนย์วัฒนธรรมอิสลามเพื่อการพัฒนา เป็นหัวหน้าฝึกเด็กตาดีกา ทำหน้าที่หาข้อมูลตำแหน่งกล้องวงจรปิด สำรวจเป้าหมายหาข้อมูลเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่เขตเทศบาลนครยะลา และที่สำคัญเป็นผู้ที่ลงมือกดระเบิดด้วยตนเองเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2555

           ส่วนเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา จำนวน 2 จุด เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2557 นั้น หน่วยงานความมั่นคงได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า นายมะรูดิง สามะ สมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการเป็นผู้ที่ขับรถยนต์ติดตั้งระเบิดแสวงเครื่องเข้าไปจอดในลานจอดรถหน้าสถานที่ก่อสร้างโรงจอดรถ สถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ ในส่วนของผู้ร่วมก่อเหตุที่จับกุมตัวได้ ยอมรับสารภาพ ให้การซัดทอดว่ามือประกอบระเบิด คือ นายมะรูดิง สามะ ในส่วนของผู้ก่อเหตุลอบวางระเบิดโรงแรมลีการ์เด้นท์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับการลอบวางระเบิดคาร์บอร์มถนนรวมมิตร เขตเทศบาลนครยะลา ให้การซัดทอดว่ามีผู้ร่วมทำการก่อเหตุ จำนวน 4 คนด้วยกัน และมือประกอบระเบิดที่รับผิดชอบในพื้นที่ จ.สงขลา ก็คือ นายมะรูดิง สามะ



             จากการประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้เกิดขึ้น เมื่อพิจารณาถึงความเชื่อมโยงของผู้ที่ประกอบระเบิดในพื้นที่ จ.สงขลา คือ นายมะรูดิง สามะ และ นายราพี มามะรอยาลี หัวหน้าชุดปฏิบัติการระเบิดในเขตเมืองยะลา ซึ่งมีหัวหน้ากัสยะลา ที่สั่งการและกำกับดูแลกองกำลังในกัสทั้งหมด มีความเกี่ยวพันกับกลุ่ม PerMAS อีกทั้งกรณีการเกิดเหตุลอบวางระเบิดบริเวณถนนรวมมิตร เขตเทศบาลนครยะลา และเหตุระเบิดโรงแรมลีการ์เด้นท์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2555 ซึ่งเป็นวันเดียวกัน มีการวางแผนลอบวางระเบิดร่วมกันของระดับแกนนำปฏิบัติการ และคงหนีไม่พ้นที่กลุ่ม PerMAS ย่อมมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว

            อยากกระชากหน้ากากกลุ่มสหพันธ์นิสิตนักศึกษา นักเรียนและเยาวชนปาตานี หรือกลุ่ม PerMAS ให้พี่น้องปาตานีได้รับรู้ความจริง ภาพผู้ร้ายใสซื่อหลอกผู้คนให้หลงเชื่อคือนักจัดกิจกรรมตัวยงที่รักชาติปาตานี ในการจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวอยู่ทุกวันนี้เป็นแค่งานเสริม งานหลัก กลุ่ม PerMAS ยังจับปืน ลอบวางระเบิดเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ ตลบตะแลงแกล้งทำไม่รู้ออกมาโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทุกรูปแบบ แล้วเราในฐานะประชาชนปาตานีผู้รักชาติ รักแผ่นดิน รักพี่น้องร่วมศาสนา ยังให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้แอบอ้างความต้องการของคนส่วนใหญ่ในการเรียกร้องเอกราช ทั้งที่ความเป็นจริงทั้งกลุ่ม PerMAS และขบวนการ BRN เป็นเนื้อเดียวกันอย่างชนิดแยกกันไม่ออก เข่นฆ่าชีวิตพี่น้องร่วมชาติปาตานีชีวิตแล้วชีวิตเล่าเพื่อเป็นขั้นบันไดให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้เหยียบย่ำในการก้าวไปสู่จุดหมาย มันสมควรแล้วหรือ?

“ระเบิดโรงพยาบาลโคกโพธิ์”ผู้ก่อเหตุรุนแรงละเมิดหลักสากล



แบมะ ฟาตอนี

            อนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4อนุสัญญาเกี่ยวกับการคุ้มครอง การกำหนดเขตโรงพยาบาล เป็นเขตปลอดภัย การให้ความคุ้มครองแก่เจ้าหน้าที่ สถานที่ การคุ้มครองบริการทางการแพทย์ การคุ้มครองโดยทั่วไปเจ้าหน้าที่แพทย์จะต้องได้รับการคุ้มครองไม่ถูกโจมตีและต้องได้รับการเคารพจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเจ้าหน้าที่แพทย์ปฏิบัติหน้าที่เพื่อมนุษยธรรม


          เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 28 พฤษภาคม 2557 เกิดเหตุระเบิดที่บริเวณลานจอดรถของโรงพยาบาลโคกโพธิ์ ต.มะกรูด อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ในเบื้องต้นแรงระเบิดทำให้รถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหายหลายคัน และส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายรายด้วยกัน

          ผู้ก่อเหตุรุนแรงเพิ่งลอบวางระเบิดใจกลางเมืองปัตตานีไปหมาดๆ เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้ทำลายระบบเศรษฐกิจ บั่นทอนความเชื่อมั่นของการค้าการลงทุน สร้างผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างประเมินค่ามิได้ มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากการกระทำที่ขาดความยั้งคิด ส่งผลให้เด็กเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมากกว่าสิบราย การแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีการเคลื่อนไหวในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ออกมาประกาศว่า “การลอบวางระเบิดเพื่อ ศาสนา ชาติ อัตลักษณ์ ความยุติธรรม ที่กระทำไปนั้นไม่ใช่เป้าหมาย เด็ก คนชรา หรือพี่น้องของเรากันเอง ที่โดนไปนั้นก็ถือว่าเป็นอุบัติเหตุ และผู้ที่โดนไปนั้นถ้าผู้นั้นเข้าใจในทางญีฮาด ถือว่าผู้นั้นซาเฮด (ตายเพื่อศาสนา)


          ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ได้เห็นจุดยืนของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ประกาศเจตนารมณ์ปัดความรับผิดชอบอย่างชุ่ยๆ เข่นฆ่าพี่น้องร่วมศาสนา เข่นฆ่าพี่น้องชาวปาตานีผู้อ่อนแอ นี่หรือ? นักรบฟาตอนี ที่น่ายกย่องของขบวนการ BRN




           กับเหตุลอบวางระเบิดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2557 ยังไม่เพียงพออีกหรือกับการทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ประชาชนต้องได้รับความเดือดร้อนจากการระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูง ส่งผลให้ไฟฟ้าดับทั้งเมือง น้ำประปาไม่ไหล เจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายต่างพยายามเร่งทำการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน เหตุการณ์ผ่านไปแค่ 4 วัน กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงยังไม่สะใจ หาเรื่องให้ประชาชนต้องเดือดร้อนซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยทำการก่อเหตุลอบวางระเบิดลานจอดรถโรงพยาบาลโคกโพธิ์

           นี่หรือคือการกระทำของนักรบที่มีอุดมการณ์ การทำลายสถานพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ อารยะประเทศอื่นๆ ที่เจริญแล้ว เขาไม่กระทำกัน เมื่อข่าวออกไปมีการออกมาตอบโต้แก้ตัวของแนวร่วมในเครือข่ายสังคมออนไลน์ว่าไม่ได้วางระเบิดตัวอาคารสถานพยาบาล แค่ลานจอดรถ ผู้ที่มาโรงพยาบาลคือผู้ที่เดือดร้อนเป็นพ่อ แม่ พี่น้อง ญาติของผู้ป่วยเจ็บ ผู้บาดเจ็บทั้งหมดคือผู้ที่น่าสงสารต้องทนทุกข์ทรมานเป็นสองเท่ากับการกระทำที่สุดโต่ง ขาดความยั้งคิด ไหนญาติตัวเองที่เจ็บป่วยอยู่ก่อนหน้านี้ ไหนตัวเองต้องมาบาดเจ็บโดนลอบวางระเบิดซ้ำอีก พื้นที่โรงพยาบาลน่าจะเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุด ใครจะคิดว่าโจรชั่วจะแฝงตัวมาทำการก่อเหตุขึ้น


          จากหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะนี้ ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้ก่อเหตุรุนแรงมุ่งเป้าไปยังเป้าหมายอ่อนแอ รายแล้วรายเล่า โดยเฉพาะพี่น้องร่วมศาสนาเดียวกันยังไม่มีการละเว้น และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ประชาชนคนไทยทั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เอง หรือประชาชนในส่วนที่เหลือของประเทศต่างเศร้าใจต่อการกระทำ ที่ไร้มนุษยธรรม สุดโต่ง ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ มุ่งทำลายล้างอย่างป่าเถื่อนโดยไม่เลือกเป้าหมาย ไม่เลือกสถานที่ โดยเฉพาะการกระทำความรุนแรงต่อเด็กที่เป็นเสมือนผ้าขาวบริสุทธิ์ เป็นอนาคตของชาติ เติบโตขึ้นเรียนจบกลับมาพัฒนาถิ่นเกิดให้มีความเจริญและเป็นกำลังหลักในการแก้ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่แห่งนี้ให้กลับมาสงบสุข แต่กลับถูกโจรใต้ในคราบสัตว์ป่าเข่นฆ่าทำลายถึงแก่ชีวิตก่อนวัยอันควร





            ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้คือปัญหาของทุกคนที่จะต้องร่วมกันแก้ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ปัญหาไม่มีวันจบสิ้นเป็นเพราะขาดความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนปาตานี ในการช่วยกันแจ้งเบาะแสข่าวสาร สอดส่องดูแลอาคารสถานที่ราชการ อาคารบ้านเรือน สังเกตบุคคลแปลกหน้า สุดท้ายกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงมีอิสระในการเคลื่อนไหวลงมือก่อเหตุนำมาซึ่งความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า หากยังเป็นอยู่อย่างนี้คิดว่าธุระไม่ใช่แล้วสักวันหนึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบอาจจะเป็นตัวคุณเองหรือครอบครัว

             ...ถึงวันนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอาจจะสายเกินแก้ไม่มีโอกาสย้อนเวลากลับไปแก้ตัว......หากไม่คิดถึงตัวเราเอง ให้คิดถึงลูกหลานที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า ว่าเราได้ร่วมมือสร้างความปลอดภัยในการใช้ชีวิตให้กับเค้าแล้วหรือยัง ร่วมแรงร่วมใจสร้างสันติสุข อย่าปล่อยให้คนชั่วกระทำการก่อเหตุทำร้ายลูกหลานเราอีกเลย

หากความร่วมมือไม่มี....สันติสุขจะเกิดได้อย่างไร?

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม