โดย : ‘แบดิง โกตาบารู’
ชาวมลายูปาตานี เป็นกลุ่มชนขนาดใหญ่ซึ่งอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ตั้งรกรากทำมาหากินตั้งแต่จังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดยะลา รวมไปถึงพื้นที่บางส่วนของจังหวัดสงขลา มีประชากรราว 3,359,000 คน หรือร้อยละ 3 ของประชากรทั้งประเทศ ชาวมลายูปาตานีส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เช่นเดียวกับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมาเลเซีย ชาวมลายูปัตตานีเรียกตนเองว่า “ออแรนายู” (Orang Melayu; اورڠ ملايو) ซึ่งมีความหมายว่า “คนมลายู”
ในปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายมลายูยังคงแต่งกายแบบมลายูให้เห็นอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ผู้ชายยังคงแต่งกายด้วยการนุ่งโสร่ง ผู้หญิงนุ่งผ้าปาเต๊ะ มีผ้าคลุมศีรษะเหมือนชาวมุสลิมในประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันวัฒนธรรมการแต่งกายของมุสลิมในประเทศมาเลเซียได้มีการเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ชาวมลายูในพื้นที่มีความทันสมัยมากขึ้นด้วยการนำแบบอย่างการแต่งตัวของมาเลเซีย แต่ยังคงอัตลักษณ์ความเป็นมลายู และอิสลามอยู่อย่างมั่นคง
ชาวมลายูเป็นมุสลิมที่เคร่งในศาสนา มีการทำนมาซ (ละหมาด) โดยกระทำกันในมัสยิด หรือสุเหร่า อีกทั้งมีการเดินทางไปแสวงบุญยังนครมักกะห์ การถือศีลอด และหลังจากการถือศีลอดก็จะเป็นเทศกาลฮารีรายอ มีพิธีการแต่งงาน (มาแกปูโล๊ะ) การเข้าสุหนัต (มะโซ๊ะยาวี) เพื่อแสดงตนว่าเป็นชาวมุสลิม ชาวมุสลิมทุกคนจะให้ความศรัทธาแก่องค์อัลเลาะห์ พระเจ้าองค์เดียวแห่งศาสนาอิสลามเท่านั้น
ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมเทคโนโลยี การหลั่งไหลของวัฒนธรรมตะวันตกได้เข้ามาและสร้างผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน เช่นเดียวกับวิถีชีวิตชาวมลายู แต่ยังมิวายที่จะมีการกล่าวหาจากบุคคลบางกลุ่มว่าเป็นเพราะรัฐบาลไทยได้พยายามกลืนกินและยัดเยียดซึมซับความเป็นไทย
การโฆษณาชวนเชื่อจากผู้ที่ไม่หวังดีว่าอัตลักษณ์ วิถีชีวิตของชาวมลายูถูกกลืนกินและถูกแทรกซึมจากรัฐบาลไทยไม่ได้เป็นความจริงแต่ประการใด ความเป็นมลายูไม่ได้ถูกกลืนหายไปจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นี้เลย ยังคงอยู่และรัฐบาลไทยได้ส่งเสริมอนุรักษ์ความเป็นมลายูในพื้นที่สามจังหวัดไม่ให้สูญสลาย รวมทั้งทุกภาคส่วนได้ให้ความสำคัญต่ออัตลักษณ์ ภาษา ประเพณีวัฒนธรรมมลายูสืบทอดไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน
ในสื่อสังคมออนไลน์ได้มีความพยายามของกลุ่มแนวร่วมในการสร้างมวลชนให้ทำการต่อสู้กับรัฐบาลไทย ซึ่งได้มีการโพสต์ข้อความ “ต้องต่อสู้เพื่อปลดแอก และเพื่อกอบกู้เอกราช” เป็นการปลุกกระแสโดยการบิดเบือนประวัติศาสตร์ สร้างแนวคิดให้เกิดการต่อสู้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
แท้จริงแล้ว ประเทศไทย ไม่ใช่ดารุลฮัรบีย์ (ไม่ใช่ประเทศที่ต้องทำสงครามเพื่อปกป้องศาสนาอิสลาม หรือเพื่อปลดแอกดินแดนอิสลาม) เพราะการที่จะญิฮาด (การต่อสู้ในหนทางศาสนา) นั้น จะต้องพิจารณาเรื่องหลักๆ ดังนี้ คือ ศาสนาอิสลามได้รับการคุ้มครองหรือไม่, มุสลิมมีสิทธิพลเมืองและมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศหรือไม่, ดินแดนอันเป็นที่อยู่อาศัยและทำมาหากินของมุสลิมยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของมุสลิมโดยสมบูรณ์หรือไม่, การเผยแผ่ศาสนาอิสลามและเสรีภาพในการนับถือศาสนาถูกลิดรอนหรือถูกคุกคามกดขี่หรือไม่ เป็นต้น
จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยนั้นทรงมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกทรงมีทศพิธราชธรรมในการปกครอง ประชาชนชาวไทยทุกเชื้อชาติ ศาสนา โชคดีมากที่ได้อยู่ในผืนแผ่นดินไทย มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงเปี่ยมล้นด้วยทศพิธราชธรรม และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ให้ความเท่าเทียมกันในการบริหารปกครองทุกเชื้อชาติ ศาสนา โดยไม่แบ่งแยก และว่าด้วยสิทธิมนุษยชนกำหนดให้ความเท่าเทียมกันในการเป็นพลเมืองของประเทศ มุสลิมในประเทศไทยได้รับสิทธิดังกล่าว จึงไม่มีการญิฮาด (การต่อสู้ในหนทางศาสนา) เพราะการที่มุสลิมอยู่ภายใต้ปกครองของรัฐบาลที่ไม่ใช่มุสลิมนั้นมิได้เป็นข้อต้องห้ามตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามแต่ประการใด
เพราะหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ยอมรับความแตกต่างและความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม ตลอดจนความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ถ้าการกระทำหรือคำกล่าวใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าศาสนาอิสลามมีความเกลียดชัง รังเกียจศาสนิกในศาสนาและชาติพันธุ์อื่นๆ ก็ต้องคิดแล้วว่ามันถูกต้องหรือไม่ ดังที่สามจังหวัดภาคใต้เป็นอยู่ทุกวันนี้ ถ้าเป็นการต่อสู้เพื่อศาสนาอย่างแท้จริงก็กระทำได้ ปลดแอกได้ แต่ทั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องของศาสนาเลย แต่มีคนบางส่วนได้รับการปลูกฝังให้เกิดความรู้สึกและเข้าใจเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และเชื้อชาตินิยมเพื่อนำไปสู่การเรียกร้องและต่อสู้ให้มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์และดินแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักคำสอนของอิสลามอย่างแท้จริง
นบีมุฮัมมัด(ซล.) ถูกส่งมาเพื่อเผยแผ่ความเมตตาแก่ชาวโลก และเชิญชวนมนุษย์สู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์แต่เพียงผู้เดียว เพราะการบังเกิดมนุษย์ขึ้นมาบนโลกนี้ คือการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ ดั่งที่พระองค์ตรัสไว้ความว่า “และฉันไม่ได้สร้างญินและมนุษย์มาเพื่ออื่นใดนอกจาการเคารพภักดีต่อฉัน” (51 : 56)ไม่ใช่เกิดเพื่อมาต่อสู้ แย่งชิงอำนาจ ตามที่กลุ่มขบวนการฯ แอบอ้าง....เพราะประเทศไทยให้สิทธิทุกอย่างแล้ว
เหตุการณ์ในขณะนี้ การกระทำของโจรใต้ฟาตอนียิ่งนานวันยิ่งโหดเหี้ยม สรุปได้ว่า การญิฮาดของพวกเขาในขณะนี้ ไร้หลักการ ไร้ขอบเขตไปแล้ว เพราะมีประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากที่ต้องบาดเจ็บล้มตายจากน้ำมือโจรใต้ฟาตอนี ทำให้ ประชาชนมลายูเดือดร้อน เบื่อหน่ายความรุนแรงเต็มที
ความจริงแล้ว...การญิฮาดไม่ใช่เครื่องมือในการทำสงครามต่อผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้หมายถึงการทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือที่จะนำไปรังแกคนอ่อนแอและผู้ถูกกดขี่ ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะนับถือศาสนาใดก็ตาม แต่การอ้างคำสอนเรื่องญิฮาดเพื่อนำมาทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และผู้บริสุทธิ์ของโจรใต้ฟาตอนีนั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม เพราะเป็นการกระทำ“ฟะสาด”(การก่อความเสียหายบนผืนแผ่นดิน)
ฉะนั้นขอให้พวกเราชาวมลายูมุสลิมทุกคนจงเข้าใจกับการกระทำของขบวนการโจรใต้ฟาตอนีในขณะนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ที่แท้จริง แต่เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มแต่อ้างเป็นนักรบฟาตอนีต่อสู้เพื่อศาสนา ขอให้พี่น้องมลายูทุกคนร่วมกันละหมาดฮายัตดุอาร์ให้โจรใต้ฟาตอนีหยุดฆ่าและทำลายประชาชนผู้บริสุทธิ์ และขอร้อง...ขอให้โจรใต้ฟาตอนีหยุดก่อเหตุและวางอาวุธด้วยเถิด เพราะความรุนแรงมันไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหา และคงไม่มีทางได้รับเอกราชหรอกเพราะยึดเยื้อมาถึง 11 ปี มีแต่ความสูญเสียซึ่งยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย
จะเห็นได้ว่าจากการบิดเบือนหลักคำสอนศาสนาของกลุ่มขบวนการ ในการบ่มเพาะและให้ข้อมูลที่ผิดด้านประวัติศาสตร์แก่มวลสมาชิกแนวร่วม ให้ดำเนินการต่อสู้เพื่อเป็นการญีฮาด (การต่อสู้ในหนทางศาสนา) นั้น เป็นการอาศัยศาสนาของกลุ่มขบวนการในการหลอกใช้มวลสมาชิกให้ทำการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ นำไปสู่ความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก และมีสมาชิกบางส่วนได้กลับตัวกลับใจ เมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกใช้ได้หันหลังให้กับกลุ่มขบวนการ ด้วยการเข้าสู่โครงการพาคนกลับบ้าน เพื่อกลับมาอยู่กับครอบครัว
...เพราะประเทศไทย..ไม่ใช่ดินแดนดารุลฮัรบีย์
--------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น