เปิดโปงความจริงกรณี คนร้ายบุก รพ.เจาะไอร้อง เป็นกลุ่ม ผกร. ที่ละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม
Posted on มีนาคม 21, 2016 by admin
‘ซอเลาะห์ บินคอลีฟ’
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้แถลงข่าวเปิดเผยว่า จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา กรณีกลุ่มคนร้ายบุกโรงพยาบาลเจาะไอร้อง แล้วใช้อาคารกับบ้านพักเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเป็นจุดสูงข่มและที่กำบังเพื่อระดมยิงถล่มฐานปฏิบัติการของกองร้อยทหารพรานที่ 4816 ข้างๆ โรงพยาบาล
จากเหตุการณ์ดังกล่าวหน่วยงานความมั่นคงได้เปิดยุทธการเขาตะเว เพื่อติดตามไล่ล่ากลุ่มผู้ก่อเหตุ โดยมีการสนธิกำลังทหาร, ตำรวจ และฝ่ายพลเรือน ในการบูรณาการปฏิบัติงานร่วมกัน อีกทั้งเปิดช่องทางการแจ้งเบาะแสข่าวสารของประชาชนในพื้นที่ และหลักฐานสำคัญภาพจากกล้องวงจรปิดของกลุ่มคนร้ายที่ลงมือปฏิบัติการคล้ายๆ ไม่สนใจว่าจะถูกบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิด ก็เพื่อต้องการให้มีการเผยแพร่ภาพออกไป หวังสร้างความหวาดกลัวในหมู่คนพื้น รวมถึงผลการตรวจ DNA จากเลือดในที่เกิดเหตุ จนกระทั่งในที่สุดสามารถยืนยันสืบทราบถึงตัวผู้ก่อเหตุ นำมาซึ่งในการออกหมายจับของศาลจังหวัดนราธิวาส
จากผลจากการตรวจพิสูจน์ DNA รอยเลือดในที่เกิดเหตุบริเวณโรงพยาบาลเจาะไอร้อง ของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 (ศพฐ.10) ผลการตรวจสามารถระบุตัวบุคคลซึ่งตรงกับ DNA ของนายอับดุลการี หะแว หรือโต๊ะแว หรือแบตา ซึ่งเป็นราษฎร ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุมัติศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับในข้อหา ร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธ หรือสมคบกันเพื่อก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ และโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตามหมายจับที่ 161/2559 ลง 20 มีนาคม 2559
จากพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าบุคคลดังกล่าว ร่วมก่อเหตุและเป็นผู้ที่มีหมายจับในคดีอื่นๆ อีกหลายคดี รวมทั้งเป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ
ส่วนในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ได้มีบุคคลบางกลุ่มได้บิดเบือนความจริงมีการตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับอาวุธปืนกล M 60 ที่ใช้ก่อเหตุกล่าวหาว่า“รัฐสร้างสถานการณ์เอง” “รัฐเลี้ยงไข้” เนื่องจากต้องการงบประมาณ และมีการตั้งคำถามเหตุใดกลุ่มคนร้ายถึง (โง่) ไปยึดโรงพยาบาล ทั้งๆ ที่จะต้องถูกโจมตีจากหลายฝ่าย เพราะโรงพยาบาลสมควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย
จากการพิสูจน์หลักฐานของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 ได้นำเอาปลอกกระสุน จำนวน 1,825 ปลอกที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุมาตรวจสอบพบว่า ถูกยิงออกมาจากอาวุธปืน 8 ชนิด จำนวน 52 กระบอก และยังพบว่ามีความเชื่อมโยงคดีสำคัญ จำนวน 25 คดี
จากผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานของ ศพฐ.10 ดังกล่าวข้างต้น สามารถตอบโจทย์และยืนยันต่อสังคมได้ว่าการบุกโรงพยาบาลเจาะไอร้องแล้วทำการก่อเหตุนั้น ไม่ใช่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่เพื่อการเรียกงบ ตามที่มีการเคลื่อนไหวบิดเบือนข้อมูลของบุคคลบางกลุ่ม และสื่อบางสำนักที่ชี้นำทางความคิดบิดเบือน สร้างข้อสงสัยให้กับประชาชน
จากผลหลักฐานดังกล่าวชี้ชัด เป็นการกระทำของ ผกร. และ นายกามาลุดดีน ฮานาฟี แกนนำกลุ่ม BIPP ในฐานะสมาชิก MARA PATANI ถึงกับออกมากล่าวถึงกรณีคนร้ายใช้โรงพยาบาลเพื่อโจมตีเจ้าหน้าที่ โดยยอมรับว่า “การกระทำดังกล่าวขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม” และไม่เพียงผิดหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แต่ยังผิดหลักการสู้รบของศาสนาอิสลามด้วย
ในขณะเดียวกัน นายกามาลุดดีน ฮานาฟี ยังกล่าวว่าถึงแม้เรามีความพยายามอย่างยิ่งเพื่อได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติ แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ยิ่งห่างไกลการสนับสนุนดังกล่าว ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่นักต่อสู้ปาตานีทุกกลุ่มต้องหันมาทบทวนการต่อสู้ของตัวเอง
นั่นคือความจริงจังหวัดชายแดนใต้ ณ วันนี้หน่วยงานภาครัฐไม่จำเป็นต้องจัดฉากเพื่อดึงงบประมาณลงพื้นที่ ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวระดับสูงจากหน่วยงานความมั่นคงยืนยันว่า กอ.รมน.ไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ และตลอดมาทุกปี ตัวเลขงบประมาณดับไฟใต้ก็สูงขึ้นมาโดยตลอด ประกอบกับรัฐบาลที่มีอำนาจในวันนี้คือ “รัฐบาลทหาร” จึงไม่มีความจำเป็นต้องสร้างสถานการณ์เพื่อรอรับงบประมาณ เพราะสามารถจัดงบประมาณในภารกิจ “ฟื้นฟูและพัฒนา” ได้อยู่แล้ว ท่ามกลางกระแสที่ทุกฝ่ายต้องการสันติสุข และสนับสนุนการพูดคุยแทนการใช้ความรุนแรง.
Posted on มีนาคม 21, 2016 by admin
‘ซอเลาะห์ บินคอลีฟ’
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้แถลงข่าวเปิดเผยว่า จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา กรณีกลุ่มคนร้ายบุกโรงพยาบาลเจาะไอร้อง แล้วใช้อาคารกับบ้านพักเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเป็นจุดสูงข่มและที่กำบังเพื่อระดมยิงถล่มฐานปฏิบัติการของกองร้อยทหารพรานที่ 4816 ข้างๆ โรงพยาบาล
จากเหตุการณ์ดังกล่าวหน่วยงานความมั่นคงได้เปิดยุทธการเขาตะเว เพื่อติดตามไล่ล่ากลุ่มผู้ก่อเหตุ โดยมีการสนธิกำลังทหาร, ตำรวจ และฝ่ายพลเรือน ในการบูรณาการปฏิบัติงานร่วมกัน อีกทั้งเปิดช่องทางการแจ้งเบาะแสข่าวสารของประชาชนในพื้นที่ และหลักฐานสำคัญภาพจากกล้องวงจรปิดของกลุ่มคนร้ายที่ลงมือปฏิบัติการคล้ายๆ ไม่สนใจว่าจะถูกบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิด ก็เพื่อต้องการให้มีการเผยแพร่ภาพออกไป หวังสร้างความหวาดกลัวในหมู่คนพื้น รวมถึงผลการตรวจ DNA จากเลือดในที่เกิดเหตุ จนกระทั่งในที่สุดสามารถยืนยันสืบทราบถึงตัวผู้ก่อเหตุ นำมาซึ่งในการออกหมายจับของศาลจังหวัดนราธิวาส
จากผลจากการตรวจพิสูจน์ DNA รอยเลือดในที่เกิดเหตุบริเวณโรงพยาบาลเจาะไอร้อง ของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 (ศพฐ.10) ผลการตรวจสามารถระบุตัวบุคคลซึ่งตรงกับ DNA ของนายอับดุลการี หะแว หรือโต๊ะแว หรือแบตา ซึ่งเป็นราษฎร ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ได้รวบรวมพยานหลักฐาน และขออนุมัติศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับในข้อหา ร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธ หรือสมคบกันเพื่อก่อการร้าย อั้งยี่ ซ่องโจร ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ และโดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป ตามหมายจับที่ 161/2559 ลง 20 มีนาคม 2559
จากพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าบุคคลดังกล่าว ร่วมก่อเหตุและเป็นผู้ที่มีหมายจับในคดีอื่นๆ อีกหลายคดี รวมทั้งเป็นกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการ
ส่วนในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ได้มีบุคคลบางกลุ่มได้บิดเบือนความจริงมีการตั้งข้อสังเกตถึงความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับอาวุธปืนกล M 60 ที่ใช้ก่อเหตุกล่าวหาว่า“รัฐสร้างสถานการณ์เอง” “รัฐเลี้ยงไข้” เนื่องจากต้องการงบประมาณ และมีการตั้งคำถามเหตุใดกลุ่มคนร้ายถึง (โง่) ไปยึดโรงพยาบาล ทั้งๆ ที่จะต้องถูกโจมตีจากหลายฝ่าย เพราะโรงพยาบาลสมควรเป็นพื้นที่ปลอดภัย
จากการพิสูจน์หลักฐานของศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 ได้นำเอาปลอกกระสุน จำนวน 1,825 ปลอกที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุมาตรวจสอบพบว่า ถูกยิงออกมาจากอาวุธปืน 8 ชนิด จำนวน 52 กระบอก และยังพบว่ามีความเชื่อมโยงคดีสำคัญ จำนวน 25 คดี
- 1.ปลอกกระสุนปืนขนาด .223 (5.56 มม.) จำนวน 1,575 ปลอก ยิงมาจากอาวุธปืนเอ็ม 16 จำนวน 38 กระบอก มี 6 กระบอกเคยก่อคดีอื่นมา, ยิงจากอาวุธปืน เอชเค 33 จำนวน 4 กระบอก มี 1 กระบอกที่มีประวัติเชื่อมโยงคดีเก่า, ปืนกล มินิมิ 2 กระบอก และปืนอาก้าอีก 1 กระบอก ทั้งหมดเป็นปืนที่เคยก่อคดีอื่นมาก่อน
- 2.ปลอกกระสุนปืนขนาด 7.62 มม. RUSSIAN จำนวน 31 ปลอก ยิงมาจากปืนอาก้า 3 กระบอก มี 1 กระบอกที่เคยก่อคดีอื่นมาก่อน
- 3.ปลอกกระสุนปืนขนาด 7.62 มม. NATO จำนวน 200 ปลอก ยิงมาจากอาวุธปืนเอ็ม 60 จำนวน 1 กระบอก มีประวัติเคยก่อคดีอื่นมาก่อน
- 4.ปลอกกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. LUGER จำนวน 17 ปลอก ยิงมาจากอาวุธปืนกลมืออูซี่ จำนวน 2 กระบอก มีประวัติเคยก่อเหตุรุนแรง 1 กระบอก
- 5.ปลอกกระสุนระเบิดขนาด 40 มม. จำนวน 2 ปลอก ยิงมาจากเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 40 มม. หรือเอ็ม 79 จำนวน 1 กระบอก มีประวัติเคยก่อเหตุรุนแรงเช่นกัน
- คดีที่ 1 เมื่อวันที่ 19 เม.ย.54 ยิงจุดตรวจไพรวัน ม.6 ต.ศาลาใหม่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส
- คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 12 เม.ย.56 ยิงใส่ฐานปฏิบัติการ ทพ.ที่ 4516 ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
- คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 27 ก.ย.56 คนร้ายซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) จ.นราธิวาส ขณะขับขี่รถยนต์จำนวน 4 คัน กลับจากตรวจสอบเหตุระเบิด ต. รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส บริเวณ เขาน้ำพรุเสด็จ บ้านบลูกาสนอ ต.ตะปอเยาะ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส และเกิดการปะทะ เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย
- คดีที่ 4 เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.56 ยิงกระสุนระเบิดขนาด 40 มม. ใส่ฐานปฏิบัติการ ฐานปฏิบัติการลาลู ม.8 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ และซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ทหารบริเวณ แยกบ้านบาโงบือราแง ม.7 ตำบล ตันหยงลิมอ และบนถนนบ้านตาโละ-ป่าไผ่ ม.2 ต. ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
- คดีที่ 5 เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.57 เหตุซุ่มโจมตี จนท.ร้อย.ทพ.4816 ขณะออก ลว.ด้วยการเดินเท้า พื้นที่บ้านเจาะเกาะ ม.1 ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส จนท.ทพ.ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 2 นาย
- คดีที่ 6 เมื่อวันที่ 9 ต.ค.58 คนร้ายไม่ทราบจานวน ยิงฐานปฏิบัติการ ทพ.4606 บ้านน้ำหอม ม.7 ต.ดุซงญอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส
- คดีที่ 7 เมื่อ 13 มี.ค.59 เหตุคนร้าย ยิงฐานปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ หน้าสถานีรถไฟเจาะไอร้อง, โจมตีฐานปฏิบัติการ กองร้อยทหารพรานที่ 4816 จำนวน 200 ปลอก
จากผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานของ ศพฐ.10 ดังกล่าวข้างต้น สามารถตอบโจทย์และยืนยันต่อสังคมได้ว่าการบุกโรงพยาบาลเจาะไอร้องแล้วทำการก่อเหตุนั้น ไม่ใช่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่เพื่อการเรียกงบ ตามที่มีการเคลื่อนไหวบิดเบือนข้อมูลของบุคคลบางกลุ่ม และสื่อบางสำนักที่ชี้นำทางความคิดบิดเบือน สร้างข้อสงสัยให้กับประชาชน
จากผลหลักฐานดังกล่าวชี้ชัด เป็นการกระทำของ ผกร. และ นายกามาลุดดีน ฮานาฟี แกนนำกลุ่ม BIPP ในฐานะสมาชิก MARA PATANI ถึงกับออกมากล่าวถึงกรณีคนร้ายใช้โรงพยาบาลเพื่อโจมตีเจ้าหน้าที่ โดยยอมรับว่า “การกระทำดังกล่าวขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม” และไม่เพียงผิดหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ แต่ยังผิดหลักการสู้รบของศาสนาอิสลามด้วย
ในขณะเดียวกัน นายกามาลุดดีน ฮานาฟี ยังกล่าวว่าถึงแม้เรามีความพยายามอย่างยิ่งเพื่อได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติ แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้ยิ่งห่างไกลการสนับสนุนดังกล่าว ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่นักต่อสู้ปาตานีทุกกลุ่มต้องหันมาทบทวนการต่อสู้ของตัวเอง
นั่นคือความจริงจังหวัดชายแดนใต้ ณ วันนี้หน่วยงานภาครัฐไม่จำเป็นต้องจัดฉากเพื่อดึงงบประมาณลงพื้นที่ ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวระดับสูงจากหน่วยงานความมั่นคงยืนยันว่า กอ.รมน.ไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ และตลอดมาทุกปี ตัวเลขงบประมาณดับไฟใต้ก็สูงขึ้นมาโดยตลอด ประกอบกับรัฐบาลที่มีอำนาจในวันนี้คือ “รัฐบาลทหาร” จึงไม่มีความจำเป็นต้องสร้างสถานการณ์เพื่อรอรับงบประมาณ เพราะสามารถจัดงบประมาณในภารกิจ “ฟื้นฟูและพัฒนา” ได้อยู่แล้ว ท่ามกลางกระแสที่ทุกฝ่ายต้องการสันติสุข และสนับสนุนการพูดคุยแทนการใช้ความรุนแรง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น