![]() |
![]() |
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มุสลิมทำลายพุทธ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ มุสลิมทำลายพุทธ แสดงบทความทั้งหมด
วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554
โจรใต้ ยิงพระสงฆ์ ขณะเดินบิณฑบาต
สุดอนาถ ! โจรใต้ ยิงพระสงฆ์ ขณะเดินบิณฑบาต มรณภาพ 1 รูป บาดเจ็บ 2 HTTP://NEWWEB.BPCT.ORG/CONTENT/VIEW/450/ วันนี้ (5 มี.ค.2554) คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่พระภิกษุจำนวน 3 รูป ระหว่างนำอาหารที่รับบิณฑบาตเดินเท้ากลับวัดได้รับบาดเจ็บ โดยในระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ได้มรณภาพ 1 รูป ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของชาวบ้านที่เฝ้ารอหน้าโรงพยาบาล โจรใต้เหิมเกริมขี่รถ จยย.ประกบยิง พระ 2 รูป และสามเณรอีก 1 รูป ล้ม ทรุด บาดเจ็บสาหัสทั้ง 3 รูป ขณะออกบิณฑบาต กลางย่านชุมชนในพื้นที่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เหยื่อกระสุนถูกหามส่ง รพ. ปรากฏพระถูกยิงเข้าศีรษะและลำตัวอาการโคม่ายื้อชีวิตไม่ไหวสิ้นใจมรณภาพไป 1 รูป อีกรายคนร้ายซุกระเบิดหน้าสำนักงานการไฟฟ้าเตรียมก่อเหตุร้าย เคราะห์ดีชาวบ้านมาพบก่อนแจ้งเจ้าหน้าที่มาเก็บกู้ได้ทัน ด้าน จ.ยะลา คนร้ายลอบบึมรถยนต์ทหาร ฉก.ยะลา 14 ขณะออกลาดตระเวน เคราะห์ดีรถวิ่งผ่านไปก่อนเลยรอดตายหวุดหวิด โจรใต้โหดบุกยิงพระและสามเณรมรณภาพและบาดเจ็บขณะบิณฑบาต เกิดขึ้นเมื่อเวลา 06.40 น. วันที่ 5 มี.ค. พ.ต.อ.ระพีพงษ์ สุขไพบูล ผกก.สภ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี รับแจ้งมีพระถูกยิงบาดเจ็บบนถนนสายโคกโพธิ์ท่าเรือ หมู่ 7 เขตเทศบาล ต.โคกโพธิ์ จึงพร้อมด้วย พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธ์ ผบก.ภ.จ.ปัตตานี พ.ต.อ.จิรวัฒน์ อุดมสุด รอง ผบก. พ.ท.สิทธิศักดิ์ เจนบรรจง ผบ.ฉก.ปัตตานี 24 สนธิกำลังไปตรวจสอบ พบภาพสลดใจพระและเณรถูกยิงนอนจมเลือด 3 รูป โดยมีชาวบ้านมาช่วยประคองร่างไว้ จึงรีบนำส่ง รพ.โคกโพธิ์ ทราบชื่อพระอภิชัย โรจน์รังสรรค์ อายุ 27 ปี พระลูกวัดวัดศรีมหาโพธิ์ ถูกยิงด้วยปืน 9 มม. เข้าศีรษะและลำตัว 2 นัด สามเณรสกล เสมสานต์ อายุ 17 ปี อยู่วัดเดียวกัน ถูกยิงเข้าศีรษะและลำตัว 2 นัด และพระสุชาติ อินขวัญแก้ว อายุ 36 ปี พระลูกวัดวัดโบราณประดิษฐ์ ถูกยิงเข้ากลางหลัง 1 นัด อาการสาหัส ปรากฏว่าพระอภิชัยมรณภาพในเวลาต่อมา ส่วนพระสุชาติและสามเณรสกลหลังแพทย์เยียวยาเบื้องต้นได้ส่งไปรักษาต่อที่ รพ.ปัตตานี สอบสวนทราบว่า ขณะเกิดเหตุพระและสามเณรที่ถูกยิงทั้ง 3 รูป ออกบิณฑบาตตามปกติ ระหว่างกำลังเดินกลับวัด ถึงที่เกิดเหตุมีคนร้าย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบใช้ปืนพกกระหน่ำยิงใส่หลายนัดจนล้มฟุบทั้ง 3 รูป แล้วบึ่งรถหลบหนีไป โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าประชาชนที่เดินพลุกพล่านเนื่องจากที่เกิดเหตุเป็นย่านชุมชน ส่วนคนร้ายเชื่อว่าเป็นกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่ก่อเหตุสร้างสถานการณ์ ต่อมาเมื่อเวลา 09.30 น. พ.ต.อ.ระพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผกก.สภ.โคกโพธิ์ รับแจ้งว่าพบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดซุกอยู่โคนต้นไม้หน้าสำนักงานไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อ.โคกโพธิ์ ห่างจุดเกิดเหตุคนร้ายยิงพระประมาณ 500 เมตร จึงประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดไปตรวจสอบ พบเป็นระเบิดแสวงเครื่องบรรจุกล่องเหล็กหนัก 3 กก. จึงใช้ปืนแรงดันน้ำยิงทำลายเพื่อตัดวงจร คาดว่าคนร้ายนำมาวางเตรียมก่อเหตุร้ายแต่โชคดีชาวบ้านมาพบแจ้งเจ้าหน้าที่มาเก็บกู้ได้เสียก่อน ที่ จ.ยะลา เมื่อเวลา 02.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.อ.ภูมิเพ็ชร พิพัฒน์เพ็ชรภูมิ รอง ผบก.ภ.จ.ยะลา พ.ต.ท.อำไพ ชุมช่วย รอง ผกก.ป.สภ.รามัน พ.ท.อิศรา จันทะกระยอม ผบ.ฉก.ยะลา 12 สนธิกำลังไปตั้งจุดสกัดจับนายมานะ หรือโค้ก มะลาซอ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 52 หมู่ 1 บ้านกือเม็ง ต.อาซ่อง นักค้ายาบ้าและมีหมายจับ หลังสืบทราบจะนำยาบ้ามาส่งให้กับเอเย่นต์บริเวณถนนสายรามัน-มายอ บ้านกือเม็ง หมู่ 1 ต.อาซ่อง พบนายมานะกับพวกขับรถเก๋งโตโยต้า วีออส สีเทา ทะเบียน กจ 9775 นครศรีธรรมราช ผ่านมา จึงเรียกตรวจค้น แต่กลับใช้ปืนกระหน่ำยิงใส่แล้วบึ่งรถแหกด่านหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงใช้ปืนยิงตอบโต้กระสุนถูกคนขับรถบาดเจ็บจนรถเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ข้างทางแต่คนร้ายหลบหนีไปได้ ตรวจสอบในรถพบยาบ้า 4,593 เม็ด ยาไอซ์ 500 กรัม เงินสด 632,350 บาท และโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง สอบพบนายมานะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อความไม่สงบ โดยนำเงินส่วนหนึ่งจากการขายยาบ้าส่งให้กับนายหีพนี มะเละ และนายสาหูดิน โต๊ะเจ๊ะมะ แกนนำโจรใต้ระดับสั่งการ ต่อมาเมื่อเวลา 08.00 น. พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ มัทยาท สวญ.สภ.ลำใหม่ อ.เมืองยะลา รับแจ้งเหตุคนร้ายลอบระเบิดรถยนต์บนถนนสายบ้านเนียง-ยะหา บ้านยะลา หมู่ 3 ต.ยะลา ไปตรวจสอบพบหลุมระเบิดและชิ้นส่วนระเบิดแสวงเครื่องกระจายเกลื่อน สอบพบขณะที่ ส.อ.นันทสิทธิ์ ฤทธิ์โด เจ้าหน้าที่ทหารชุดร้อย ร.1544 สังกัด ฉก.ยะลา 14 ตั้งฐานอยู่ที่วัดยะหาประชาราม อ.ยะหา นำกำลังใช้รถปิกอัพโตโยต้า วีโก้ ออกลาดตระเวน มี ส.ท.สราวุธ แสนทวีสุข เป็นพลขับ ถึงที่เกิดเหตุคนร้ายที่ดักซุ่มในบริเวณใกล้เคียงได้กดระเบิดแสวงเครื่องประกอบในถังแก๊สปิกนิกระเบิดขึ้น แต่เป็นจังหวะที่รถยนต์เจ้าหน้าที่แล่นผ่านไปจึงรอดพ้นจากแรงระเบิดหวุดหวิด ขณะเดียวกัน นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กล่าวว่า ได้รับรายงานเหตุพระถูกยิงที่ จ.ปัตตานีแล้ว ได้สั่งการให้ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ปัตตานีตรวจสอบเนื่องจากเมื่อวันที่ 21 ก.พ. ที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) เพิ่งมีมติไม่ให้พระสงฆ์ใน จ.ปัตตานีออกบิณฑบาตเป็นเวลา 1 เดือน ตามที่คณะสงฆ์ จ.ปัตตานี ทำเรื่องเสนอมา ขณะที่นายธีรชิต บวรนันทิวัฒน์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ปัตตานี กล่าวว่า พระสงฆ์ที่ถูกยิงมรณภาพนั้นเดิมทีพระรูปนี้จะออกบิณฑบาตสายอื่น แต่พระที่เคยออกบิณฑบาตกับสามเณรรูปดังกล่าวเพิ่งสึกออกไป จึงออกมาบิณฑบาตเป็นเพื่อนสามเณรวันแรกก็มาถูกยิง สำหรับมติมหาเถรสมาคมที่ไม่ให้พระสงฆ์ใน จ.ปัตตานีออกบิณฑบาตนั้น ไม่ได้เป็นการบังคับ หากว่าวัดใดเห็นว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัยก็งดออกบิณฑบาตได้โดยทางสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ จะมีปัจจัยถวายวันละ 100 บาทต่อรูป แต่หากวัดใดเห็นว่าในพื้นที่มีความปลอดภัยก็ออกบิณฑบาตได้ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นจะหารือกับเจ้าคณะภาค 18 เพื่อหาแนวทางรักษาความปลอดภัยให้กับพระสงฆ์ในพื้นที่ต่อไป ที่มา : นสพ.ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 6 มีนาคม 2554http://www.thairath.co.th/today/view/153793 |
ป้ายกำกับ:
มุสลิมทำลายพุทธ,
มุสลิมป่าเถื่อน,
เหตุการณ์สำคัญ
วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เสี้ยมขัดแย้งศาสนา
จี้ขันน็อตจุดตรวจสกัด ตั้งค่าหัว5หมื่นตามล่า แม่พิมพ์ผวารปภ.เหลว
ป้ายกำกับ:
การก่อการร้าย,
ทำลายพุทธ,
มุสลิมทำลายพุทธ
ออกหมายจับ สมุนอัลเลาะห์
http://paidoo.net/article/4855768.html
นายฮะสมาน เจะบา อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาที่ยิงชาวบ้านเสียชีวิต 5 ศพ และมีคดีหมายจับความมั่นคง ปัตตานี - ตำรวจปัตตานีขออนุญาตออกหมายจับกลุ่มคนร้ายยิงชาวบ้านเสียชีวิต 5 ศพแล้ว เผยชื่อ"ฮะสมาน เจะบา" เป็นผู้ต้องหาคดีหมายจับความมั่นคง นอกจากนี้ยังมีผู้มีอิทธิพลในพื้นที่อำเภอปะนาเระ และสายบุรี เป็นแนวร่วมในการก่อคดีครั้งนี้ด้วย
วันนี้ (4 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุยิงชาวบ้านเสียชีวิต 5 ศพเมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน โดยเฉพาะนำรูปภาพแฟ้มประวัติคนร้ายให้พยานดู ปรากฏว่า พยานหลายปากชี้ตัวคนร้ายที่ก่อเหตุ จนรู้เบาะแส 1 ในคนร้าย คือนายฮะสมาน เจะบา อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาที่เคยถูกออกหมายจับมาแล้วในคดีความมั่นคง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับศาลจังหวัดปัตตานีแล้ว
ปรากฏว่าศาลได้อนุมัติหมายจับแล้วที่ 30/2554 ส่วนคนร้ายที่เหลืออีกประมาณ 5 คนเจ้าหน้าที่รู้เบาะแสและรู้กลุ่มแล้วเช่นกัน โดยมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ อ.ปะนาเระ และ อ.สายบุรี ที่เป็นแนวร่วมก่อความไม่สงบร่วมขบวนการในครั้งนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุได้มีพยานจำนวนหลายปากต่างทยอยออกมาเพื่อแจ้งเบาะแสถึงรูปพรรณของคนร้ายอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้คดีมีความคืบหน้าไปมาก
ขณะที่ พ.ต.อ.วัลลภ จำนงอาสา ผกก.สภ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี พันโทสฤษดิ์ สิงหโยธิน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 22 ได้สนธิกำลังร่วมออกทำการปิดล้อมตรวจค้นหลายจุดตลอดทั้งคืน ในพื้นที่ ต.ท่าน้ำ ต.พ่อมิ้ง และเขตรอยต่อระหว่าง อ.ปะนาเระ และ อ.สายบุรี
แต่ปรากฏว่าไม่พบร่องรอยของคนร้าย จึงเชื่อว่าน่าจะหลบหนีไปแล้วโดยการช่วยเหลือของแนวร่วมในพื้นที่ โดยเฉพาะบ้านเป้าหมายที่คาดว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีดังกล่าวแต่ปรากฏว่าไม่พบตัว ทั้งนี้จึงเชื่อว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุแน่นอน
ส่วนที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอปะนาเระ เมื่อเวลา 08.00 น.ได้มีการประชุมร่วม 3 ฝ่าย โดยมี นายธรรมรงค์ คงวัดใหม่ นายอำเภอปะนาเระ เป็นประธานร่วมกับ พ.ต.อ.วัลลภ จำนงอาสา ผกก.สภ.ปะนาเระ พันโทโทสฤษดิ์ สิงหโยธิน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 22 และนายก อบต.คอกกระบือ และอาสาสมัครประชาชนคอกกระบือ
ทั้งนี้ เพื่อวางแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและดูแลความปลอดภัยโดยเฉพาะการส่งกำลังทหารตั้งฐานปฏิบัติการณ์ฝั่งตัวเมืองในพื้นที่และมีการจัดเวรยามสลับสับเปลี่ยนตลอด 24 ชั่วโมงโดยจะเริ่มนำกำลังเข้าไปให้เร็วที่สุด
สำหรับบรรยากาศหลังเกิดเหตุที่ ต.คอกกระบือ อ.ปะนาเระ ประชาชนยังคงอยู่ในความหวาดกลัวและโศกเศร้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้วิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ในช่วงนี้ยังคงต้องปรับตัวให้มีความระมัดระวังมากที่สุด เนื่องจากชุมชนแห่งนี้ไม่เคยเกิดเหตุร้าย
นายฮะสมาน เจะบา อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาที่ยิงชาวบ้านเสียชีวิต 5 ศพ และมีคดีหมายจับความมั่นคง ปัตตานี - ตำรวจปัตตานีขออนุญาตออกหมายจับกลุ่มคนร้ายยิงชาวบ้านเสียชีวิต 5 ศพแล้ว เผยชื่อ"ฮะสมาน เจะบา" เป็นผู้ต้องหาคดีหมายจับความมั่นคง นอกจากนี้ยังมีผู้มีอิทธิพลในพื้นที่อำเภอปะนาเระ และสายบุรี เป็นแนวร่วมในการก่อคดีครั้งนี้ด้วย
วันนี้ (4 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุยิงชาวบ้านเสียชีวิต 5 ศพเมื่อวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมาว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน โดยเฉพาะนำรูปภาพแฟ้มประวัติคนร้ายให้พยานดู ปรากฏว่า พยานหลายปากชี้ตัวคนร้ายที่ก่อเหตุ จนรู้เบาะแส 1 ในคนร้าย คือนายฮะสมาน เจะบา อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาที่เคยถูกออกหมายจับมาแล้วในคดีความมั่นคง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับศาลจังหวัดปัตตานีแล้ว
ปรากฏว่าศาลได้อนุมัติหมายจับแล้วที่ 30/2554 ส่วนคนร้ายที่เหลืออีกประมาณ 5 คนเจ้าหน้าที่รู้เบาะแสและรู้กลุ่มแล้วเช่นกัน โดยมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ อ.ปะนาเระ และ อ.สายบุรี ที่เป็นแนวร่วมก่อความไม่สงบร่วมขบวนการในครั้งนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุได้มีพยานจำนวนหลายปากต่างทยอยออกมาเพื่อแจ้งเบาะแสถึงรูปพรรณของคนร้ายอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้คดีมีความคืบหน้าไปมาก
ขณะที่ พ.ต.อ.วัลลภ จำนงอาสา ผกก.สภ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี พันโทสฤษดิ์ สิงหโยธิน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 22 ได้สนธิกำลังร่วมออกทำการปิดล้อมตรวจค้นหลายจุดตลอดทั้งคืน ในพื้นที่ ต.ท่าน้ำ ต.พ่อมิ้ง และเขตรอยต่อระหว่าง อ.ปะนาเระ และ อ.สายบุรี
แต่ปรากฏว่าไม่พบร่องรอยของคนร้าย จึงเชื่อว่าน่าจะหลบหนีไปแล้วโดยการช่วยเหลือของแนวร่วมในพื้นที่ โดยเฉพาะบ้านเป้าหมายที่คาดว่าเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีดังกล่าวแต่ปรากฏว่าไม่พบตัว ทั้งนี้จึงเชื่อว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุแน่นอน
ส่วนที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอปะนาเระ เมื่อเวลา 08.00 น.ได้มีการประชุมร่วม 3 ฝ่าย โดยมี นายธรรมรงค์ คงวัดใหม่ นายอำเภอปะนาเระ เป็นประธานร่วมกับ พ.ต.อ.วัลลภ จำนงอาสา ผกก.สภ.ปะนาเระ พันโทโทสฤษดิ์ สิงหโยธิน ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 22 และนายก อบต.คอกกระบือ และอาสาสมัครประชาชนคอกกระบือ
ทั้งนี้ เพื่อวางแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและดูแลความปลอดภัยโดยเฉพาะการส่งกำลังทหารตั้งฐานปฏิบัติการณ์ฝั่งตัวเมืองในพื้นที่และมีการจัดเวรยามสลับสับเปลี่ยนตลอด 24 ชั่วโมงโดยจะเริ่มนำกำลังเข้าไปให้เร็วที่สุด
สำหรับบรรยากาศหลังเกิดเหตุที่ ต.คอกกระบือ อ.ปะนาเระ ประชาชนยังคงอยู่ในความหวาดกลัวและโศกเศร้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้วิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ในช่วงนี้ยังคงต้องปรับตัวให้มีความระมัดระวังมากที่สุด เนื่องจากชุมชนแห่งนี้ไม่เคยเกิดเหตุร้าย
ป้ายกำกับ:
เข้าใจเข้าถึง,
มุสลิมทำลายพุทธ,
มุสลิมป่าเถื่อน
วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ออกหมายจับสมุนอัลเลาะห์
http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=493381&lang=T&cat=
4 กพ. 2554 15:36 น.
ออกหมายจับ "ฮาสมาน เจ๊ะบา" มือยิง 5ศพ เผยประวัติเป็นผู้ต้องหาคดียิงครูก่อนหนีประกันปี 52 หวนก่อเหตุรุนแรงซ้ำ สั่งเอกซเรย์ "สายบุรี" แหล่งกบดานเข้ม เตือนป่วนซ้ำต่อเนื่องแผนโจรเบนความสนใจช่วยเพื่อนแนวร่วมหนี พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันะ ผบก.ภ.จว.ปัตตานี เปิดเผยว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ได้ติดตามแกะรอยและไล่ล่ากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุยิงชาวบ้าน ต.คอกกระบือ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานีเสียชีวิต 5 รายและบาดเจ็บอีก4รายอย่างกะชันชิด ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมหลักฐานทั้งพยานในพื้นที่เกิดเหตุจนสามารถออกหมายจับคนร้ายได้แล้ว 1 ราย คือ นายฮาสมาน เจ๊ะบา ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับในคดีความมั่นคงของศาลจังหวัดปัตตานี โดยเฉพาะเป็นผู้ต้องหาคดียิงครูในพื้นที่จังหวัดปัตตานี โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัวได้แล้วเมื่อปี 2552 แต่มีการขอประกันตัวออกไปในชั้นศาลก่อนที่จะหลบหนีการประกันไป โดยเบื้องต้นเชื่อว่าน่าจะมีการร่วมมือกับเครือข่ายแนวร่วมกลุ่มที่มีอิทธิพลในพื้นที่เคลื่อนไหวในเขตพื้นที่ อ.ปะนาเระ และ อ.สายบุรี "สำหรับนายฮาสมาน เป็นผู้ต้องหาที่เจ้าหน้าที่ได้ติดตามตัวมาโดยตลอดหลังจากที่หนีประกันตัวเมื่อปี52 เนื่องจากบุคคลดังกล่าวเป็นผู้ต้องหาคดีสำคัญในระดับพื้นที่แต่เมื่อประกันตัวไปแล้วกลับไม่มีการสู้คดีในชั้นศาล โดยเบื้องต้นยังเชื่อว่ากลุ่มคนร้ายทั้งหมดยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่อำเภอสายบุรี ซึ่งล่าสุดได้มีการสนธิกาลังร่วมกับทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองเข้าปิดล้อมพื้นที่เป้าหมาย เพื่อติดตามไล่ล่าคนร้ายอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าจะสามารถขยายผลนำไปสู่การออกหมายจับกลุ่มผู้ร่วมขบวนการได้เพิ่มเติมในเร็วๆนี้ " พล.ต.ต.พิเชษฐ์ กล่าว อย่างไรก็ตามสำหรับเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงนี้น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่เพื่อโหมความรุนแรงให้ลุกลามและบานปลาย อีกทั้งเป็นการเบี่ยงเบนให้เจ้าหน้าที่หันไปสนใจคดีต่างๆเพื่อถ่วงเวลาให้เพื่อนร่วมขบวนการได้มีโอกาสหลบหนีง่ายขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้มีการกำชับเจ้าหน้าที่และวางมาตรการต่างๆไว้อย่างรัดกุมเพื่อป้องกันไม่ให้เข้าทางกลุ่มผู้ไม่หวังดี
4 กพ. 2554 15:36 น.
ป้ายกำกับ:
ความชั่วรายวัน,
มุสลิมทำลายพุทธ,
มุสลิมป่าเถื่อน
วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554
แผนการยึดชาติ
แผนยึดชาติ !!! (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)


วันประกาศอิสระรัฐฟาตอนี วันที่ 2 และ 3 ธันวาคม 2549 เหล่านักรบอิสลามฟาตอนี จะประกาศเป็นวันของรัฐฟาตอนีดารุสซาลาม ขอให้มุสลิมทั่วประเทศหยุดงานเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง ห้ามทำงานทุกอย่าง ห้ามค้าขาย ห้ามเข้าธนาคาร ห้ามเข้าโรงพยาบาล เป็นเวลา 10 วัน นับจากวันที่ 2 เป็นต้น ไป ท่านจะไม่ปลอดภัยในชีวติและทรัพย์สิน "โอ้ อัล ลอห์ โปรดจงบันดาลพรให้มุสลิมี มุสลีมะ ห์ ทั้งหลายจงยึดมั่นในอิสลามที่แข็งกล้าอยู่บนแนวทางของ เรา เหล่านักรบ อิสลามฟาตอนีด้ายเทอญ"
กลุ่มปกป้องศาสนาจะไม่รับรองความปลอดภัย
๔.๒ มาตรา ๑๓ เมื่อเห็นสมควร กระทรวงศึกษาธิการอาจจัดตั้ง “อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย และอิสลามวิทยาลัยประจำจังหวัด”ขึ้น เพื่อให้การศึกษาและอบรมทางวิชาการศาสนา วิชาการทั่วไป และวิชาชีพได้ เพียงแค่โรงเรียนปอเนาะ ตาดีกา ที่เป็นแหล่งเพาะผู้ก่อการร้ายในปัจจุบัน เราก็รับมือกันแทบไม่ไหวอยู่แล้ว นี่จะขยายขึ้นมาถึงระดับเป็นอิสลามวิทยาลัยและจะตั้งทุกจังหวัด ถามว่า ทั้งผู้เรียน ทั้งครู เป็นมุสลิมทั้งหมด แล้วใครจะเข้าไปตรวจสอบการเรียนการสอนการอบรมในอิสลามวิทยาลัยเหล่านี้ มีอะไรเป็นหลักประกันว่า อิสลามวิทยาลัยนี่จะไม่กลายเป็นสถาบันบ่มเพาะมุสลิมหัวรุนแรงอย่างถูกต้อง ตามกฎหมาย สามารถให้ปริญญาตรี โท เอก โดยดูดเอาทรัพยากรจากภาษีอากรของชาวพุทธไปหล่อเลี้ยง
๔.๓ มาตรา ๒๙ ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด มีอำนาจหน้าที่ ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับกิจการศาสนาอิสลามต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และส่วนราชการภายในจังหวัด ฉบับเดิมเมื่อปี ๒๕๔๐ ระบุเพียงให้คำปรึกษาต่อผู้ว่าฯ เท่านั้น แต่ฉบับใหม่นี้ เพิ่มว่า “และส่วนราชการภายในจังหวัด” ด้วย นั่นคือ
วันประกาศอิสระรัฐฟาตอนี วันที่ 2 และ 3 ธันวาคม 2549 เหล่านักรบอิสลามฟาตอนี จะประกาศเป็นวันของรัฐฟาตอนีดารุสซาลาม ขอให้มุสลิมทั่วประเทศหยุดงานเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง ห้ามทำงานทุกอย่าง ห้ามค้าขาย ห้ามเข้าธนาคาร ห้ามเข้าโรงพยาบาล เป็นเวลา 10 วัน นับจากวันที่ 2 เป็นต้น ไป ท่านจะไม่ปลอดภัยในชีวติและทรัพย์สิน "โอ้ อัล ลอห์ โปรดจงบันดาลพรให้มุสลิมี มุสลีมะ ห์ ทั้งหลายจงยึดมั่นในอิสลามที่แข็งกล้าอยู่บนแนวทางของ เรา เหล่านักรบ อิสลามฟาตอนีด้ายเทอญ"
พวกเรากลุ่มป้องกันศาสนาของตักเตือน
"โอ้ ชาวอิสลาม เชื้อชาติ มาลายู ปัตตานี จงสำนึกเถิดว่า แผ่นดินปัตตานีนั้น เป็นของพวกเรา ไม่ ใช่ของประเทศไทย วิถีชีวิตของคนมาลายู อิสลาม แตกต่างจาก วิถีชีวิตคนไทยในทุกด้าน ด้านอาหารการกิน คนอิสลามกินเนื้อสัตว์ ที่เชือดถูกต้องตามหลักอิสลาม แต่คนไทยกินเนื้อสัตว์ที่ไม่เชือดตามหลักที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เราคนอิสลาม ต้องระวังอยู่เสมอว่า คนไทยกำลังพยายามจะปกครองและปลุกฝังแนวคิดที่ผิดอิสลามต่อ เราชาวมาลายู ปัตตานี และปรับเปลี่ยนรูปแบบ การจัดการศึกษาอิสลาม(ตาดีกา)โดยมีนโยบายให้ย้ายโรงเรียนตาตีกา จากมัสยิดไปสอนที่โรงเรียนไทย ทำไมจึงเป็น เช่นนี้ ? เพราะนโยบายนี้ได้ถูกตอบรับ โดยโต๊ะอิหม่ามที่โง่เขลา และเห็นแก่เงินค่าตอบแทน โดยยอมขายตาดีกา ที่เป็นมรดก ของคนอิสลามส่วนรวมด้วยราคาที่ถูกที่สุดนี่หรือผู้นำอิสลาม ?"
โอ้ ชาวอิสลาม เชื้อชาติ มาลายู ปัตตานี โปรดจำไว้ด้วยว่า เราเป็นบ่าวของอัลเลาะห์ เป็นประชาชาติของท่านนบี โมฮัมหมัด เราจงอย่าดูถูก ศาสนาของเราเอง โดยยอมเป็นทาสของประเทศไทย ร่วมมืทอกับคนไทยเพื่อทำลายอิสลาม ดังนั้นเราคนดิสลามจงสำนึกเถิดว่า ขณะนี้เราอยู่ในประเทศที่ไม่ใช่อิสลาม ประเทศ ที่กำลังกดขี่เรา ฉะนั้นเราต้องทำการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยแผ่นดินปัตตานี จาก ประเทศไทย เราต้องไม่ร่วมมือกับนโยบายทุกนโยบาย โครงการ ทุก ๆ โครงการของรัฐบาลไทย
พี่น้องมุสลิม จงจำไว้ว่า หลังจากนี้จงอย่าออกไปทำ การสอน อย่าส่งบุตรหลานของเราไปเรียนตาดีกาที่โรงเรียนไทยอีก จงกลับมาทำการสอน ตาดีกาที่มัสยิดเหมือนเดิม ไม่อย่างนั้น....? เรา....?
เรา....? จะพยายาม ทุกวิถีทาง เพื่อทำลายแผนชั่วของคนไทย และผู้ต่อต้านเราดังเช่นที่พวกเราเคยทำใน ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะด้วยวีเปิดเผยหรือวิธีทางลับ เพื่อเอาแผ่นดินปัตตานีของเรา คืนมา
"จากกลุ่มปกป้องศาสนาอิสลาม"
คำว่าห้ามทำงานทุกอย่าง = สถานที่ราชการ ,
ห้ามค้าขาย = บริเวณตลาด ,
ห้ามเข้าธนาคาร = ธนาคารทุกแห่ง ,
ห้ามเข้าโรงพยาบาล = โรงพยาบาลทุกแห่ง
แสดงว่าเขาจะระเบิดสถานที่ดังกล่าว ซึ่งเขาเคยทำมาแล้วทุกครั้ง ขอให้แจ้งชาวพุทธให้ระวังตัวกัน ไว้ด้วย
มุสลิมมิได้มุ่งยึดครอง ๓ จังหวัดภาคใต้เท่านั้น แต่วางแผนยึดไทยทั้งประเทศอย่างลึกซึ้งแยบยล และได้ดำเนินงานตามแผนมาตามลำดับจนใกล้บรรลุผลสำเร็จแล้ว ดังนี้
๑. วางแผนยึดสถาบันพระมหากษัตริย์เปลี่ยนให้เป็นกษัตริย์มุสลิม ได้มีการส่งลูกสาวของแกนนำมุสลิมระดับสูงซึ่งมีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งมี หน้า ตาดีเข้าไปถวายตัวกับ "เจี่ย" เรียบร้อยแล้ว ถ้ามีลูกเมื่อใด พระราชวงศ์ทุกพระองค์ที่มีศักดิ์สูงกว่าจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต และเด็กคนนี้จะถูกอบรมเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นเป็นกษัตริย์มุสลิมที่เคร่งครัด แม้จะบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ แต่เมื่อองค์กษัตริย์เป็นชาวมุสลิมทั้งตัวและหัวใจแล้ว การจะแก้เรื่องนี้ก็ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก และเมื่อยึดสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ การจะเปลี่ยนประเทศไทยให้กลายเป็นประเทศมุสลิมก็ทำได้ง่ายเหมือนที่เคยเกิด ขึ้นมาแล้วในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเคยเป็นเมืองพุทธมาก่อน
๒. วางแผนเปลี่ยนกองทัพไทยให้เป็นกองทัพมุสลิม เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ทหารมุสลิมขึ้นมาเป็นผบ.ทบ.และเป็น หัวหน้า คณะปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองแผ่นดิน มีอำนาจควบคุมกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จ นายทหารที่เป็นชาวมุสลิมจึงได้รับการปูนบำเหน็จเลื่อนตำแหน่งกันขนานใหญ่
และขณะนี้กำลังมีการวางแผนลับสืบทอดอำนาจระยะยาวเปลี่ยนกองทัพไทยให้เป็นกองทัพมุสลิม โดยพลเอกสนธิ ผบ.ทบ.ซึ่งมีอำนาจเด็ดขาดในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับพันเอกพิเศษลงไป ได้วางตัวนายทหารมุสลิมเตรียมไว้แล้ว และเมื่อถึงจังหวะเหมาะก็จะเซ็นแต่งตั้งนายทหารมุสลิมเหล่านี้เข้ามาเป็น ผู้บังคับการกรม ผู้บังคับกองพันที่สำคัญกุมจุดยุทธศาสตร์ อาทิ กรมทหารราบที่ ๑ รักษาพระองค์ มีกำลังทหาร ๘,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์มีกำลัง ๖,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๓๑ มีกำลัง ๑๐,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๒๑ และหน่วยกำล ังสำคัญในกองพลทหารม้าที่ ๒ สนามเป้า เป็นต้น
นายทหารมุสลิมเหล่านี้จะจงรักภักดีและเชื่อฟังพลเอกสนธิยิ่งกว่าผู้บังคับ บัญชาตามลำดับชั้นของตน ดังนั้น ผู้บังคับการกรมมุสลิมเพียง ๑๐ – ๒๐ กรม คุมกำลังทหารประมาณ ๕๐,๐๐๐ – ๑๐๐,๐๐๐ นาย จะทำให้ดุลอำนาจในกองทัพเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
แม้พลเอกสนธิจะเกษียณอายุจากตำแหน่งผบ.ทบ. เข้าไปรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็จะสามารถควบคุมกองทัพได้เช่นเดิม ผ่านนายทหารมุสลิมเหล่านี้ และสามารถขยายการควบคุมออกไปจนเปลี่ยนกองทัพไทยเป็นกองทัพมุสลิมทั้งหมด เพราะแม้ทหารส่วนใหญ่เป็นพุทธ แต่เมื่อผู้บังคับบัญชาเป็นมุสลิม ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ดังที่เคยเกิดในประเทศเวียดนามมาแล้ว ที่แม้ประชาชนเป็นพุทธกว่า ๙๐% แต่ประธานาธิบดีเหงียนเกากี เป็นคริสต์ และตั้งทหารคริสต์คุมกองทัพ คุมกระทรวงมหาดไทย และปราบปรามกดขี่ชาวพุทธอย่างรุนแรง จนพระภิกษุต้องประท้วงโดยการเผาตัวตาย และเวียดนามต้องสิ้นชาติในที่สุด
และขณะนี้กำลังมีการวางแผนลับสืบทอดอำนาจระยะยาวเปลี่ยนกองทัพไทยให้เป็นกองทัพมุสลิม โดยพลเอกสนธิ ผบ.ทบ.ซึ่งมีอำนาจเด็ดขาดในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับพันเอกพิเศษลงไป ได้วางตัวนายทหารมุสลิมเตรียมไว้แล้ว และเมื่อถึงจังหวะเหมาะก็จะเซ็นแต่งตั้งนายทหารมุสลิมเหล่านี้เข้ามาเป็น ผู้บังคับการกรม ผู้บังคับกองพันที่สำคัญกุมจุดยุทธศาสตร์ อาทิ กรมทหารราบที่ ๑ รักษาพระองค์ มีกำลังทหาร ๘,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์มีกำลัง ๖,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๓๑ มีกำลัง ๑๐,๐๐๐ นาย กรมทหารราบที่ ๒๑ และหน่วยกำล ังสำคัญในกองพลทหารม้าที่ ๒ สนามเป้า เป็นต้น
นายทหารมุสลิมเหล่านี้จะจงรักภักดีและเชื่อฟังพลเอกสนธิยิ่งกว่าผู้บังคับ บัญชาตามลำดับชั้นของตน ดังนั้น ผู้บังคับการกรมมุสลิมเพียง ๑๐ – ๒๐ กรม คุมกำลังทหารประมาณ ๕๐,๐๐๐ – ๑๐๐,๐๐๐ นาย จะทำให้ดุลอำนาจในกองทัพเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
แม้พลเอกสนธิจะเกษียณอายุจากตำแหน่งผบ.ทบ. เข้าไปรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ก็จะสามารถควบคุมกองทัพได้เช่นเดิม ผ่านนายทหารมุสลิมเหล่านี้ และสามารถขยายการควบคุมออกไปจนเปลี่ยนกองทัพไทยเป็นกองทัพมุสลิมทั้งหมด เพราะแม้ทหารส่วนใหญ่เป็นพุทธ แต่เมื่อผู้บังคับบัญชาเป็นมุสลิม ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ดังที่เคยเกิดในประเทศเวียดนามมาแล้ว ที่แม้ประชาชนเป็นพุทธกว่า ๙๐% แต่ประธานาธิบดีเหงียนเกากี เป็นคริสต์ และตั้งทหารคริสต์คุมกองทัพ คุมกระทรวงมหาดไทย และปราบปรามกดขี่ชาวพุทธอย่างรุนแรง จนพระภิกษุต้องประท้วงโดยการเผาตัวตาย และเวียดนามต้องสิ้นชาติในที่สุด
๓. เข้ายึดกุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อพลเอกสนธิปฏิวัติเสร็จ ได้ตั้งพลเอกสุรยุทธ์ เป็นนายก ฯ ขัดตาทัพก่อน เพราะบารมีของตนในขณะนั้นยังไม่เพียงพอ จากนั้นเร่งสร้างฐานอำนาจทั้งในกองทัพ องค์กรอิสระ และวงการเมืองอย่างเต็มที่ เมื่อพร้อมก็กดดันอย่างหนักให้พลเอกสุรยุทธ์ลาออก เพื่อตนจะได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเอง จัดตั้งรัฐบาลมุสลิมชุดแรกในประวัติศาสตร์ ปกครองประเทศไทย
ต่อไป ข้าราชการคนไหนเป็นชาวมุสลิม หรือเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม ก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว นักธุรกิจคนไหนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามก็จะได้รับความสะดวก ได้การสนับสนุนจากรัฐ การเป็นชาวมุสลิมเป็นสิ่งมีเกียรติ ใครเป็นชาวพุทธ เป็นเรื่องต่ำ ต้อย ถูกดูถูกเหยียดหยาม วัฒนธรรมชาวมุสลิมจะได้รับการส่งเสริมเผยแพร่ตามสื่อมวลชนทุกแขนง และผ่านระบบการศึกษา สังคมไทยจะถูกดูดกลืนปรับเปลี่ยนเป็นสังคมมุสลิม สอดประสานกับการเปลี่ยนสถาบันกษัตริย์ให้เป็นกษัตริย์มุสลิม
ต่อไป ข้าราชการคนไหนเป็นชาวมุสลิม หรือเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม ก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว นักธุรกิจคนไหนเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามก็จะได้รับความสะดวก ได้การสนับสนุนจากรัฐ การเป็นชาวมุสลิมเป็นสิ่งมีเกียรติ ใครเป็นชาวพุทธ เป็นเรื่องต่ำ ต้อย ถูกดูถูกเหยียดหยาม วัฒนธรรมชาวมุสลิมจะได้รับการส่งเสริมเผยแพร่ตามสื่อมวลชนทุกแขนง และผ่านระบบการศึกษา สังคมไทยจะถูกดูดกลืนปรับเปลี่ยนเป็นสังคมมุสลิม สอดประสานกับการเปลี่ยนสถาบันกษัตริย์ให้เป็นกษัตริย์มุสลิม
๔. สร้างรัฐอิสลามซ้อนรัฐไทยและขยายตัวกลืนรัฐไทยทั้งหมดให้กลายเป็น สาธารณรัฐอิสลาม ขณะนี้คณะกรรมาธิการการศึกษา ศาสนาฯ สภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ร่าง พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรอิสลามเรียบร้อยแล้วเตรียมเสนอเข้าพิจารณาใน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และจะออกมามีผลบังคับใช้ภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๐ นี้ พ.ร.บ.กลืนชาติไทยฉบับนี้ เป็นการแก้ไขจากฉบับปี ๒๕๔๐ และมีการหมกเม็ดสาระสำคัญที่จะพลิกฟ้า คว่ำแผ่นดินไทยทั้งมวล ๓ ประเด็นหลัก คือ
๔.๑ มาตรา ๘ “จุฬาราชมนตรีมีอำนาจหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นต่อทางราชการเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม” ที่ร้ายกาจอย่างยิ่งยวดก็คือ ได้เพิ่มข้อความในวรรคท้ายว่า “คำปรึกษา ความเห็น และข้อวินิจฉัยของจุฬาราชมนตรีตามความในวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด ส่วนราชการและมุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติตาม” นี่ไม่ใช่คำปรึกษาหรือความเห็นแล้ว แต่มันคือคำประกาศิตที่เป็นที่สุดใครจะโต้แย้งใดๆ ไม่ ได้ทั้งสิ้น และบังคับให้ส่วนราชการไทย คือ ทั้งศาล อำนาจบริหาร และนิติบัญญัติ จะต้องปฏิบัติตามอย่างไม่มีข้อแม้
ดังนั้นจุฬาราชมนตรี ก็จะกลายเป็นเจ้าชีวิตของมุสลิมทุกคน และบังคับรัฐไทยจะต้องปฏิบัติตามคำประกาศิตของจุฬาราชมนตรีในทุกเรื่องที่ เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ซึ่งจะตีความให้กว้างเชื่อมโยงไปมากเท่าใดก็ได้ รัฐไทยก็จะเปรียบเสมือนเป็นอาณานิคมของรัฐอิสลามที่เกิดซ้อนขึ้นมาในรัฐไทย นั่นเอง
๔.๓ มาตรา ๒๙ ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด มีอำนาจหน้าที่ ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับกิจการศาสนาอิสลามต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และส่วนราชการภายในจังหวัด ฉบับเดิมเมื่อปี ๒๕๔๐ ระบุเพียงให้คำปรึกษาต่อผู้ว่าฯ เท่านั้น แต่ฉบับใหม่นี้ เพิ่มว่า “และส่วนราชการภายในจังหวัด” ด้วย นั่นคือ
คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด สามารถเข้าไปแทรกแซงสั่งการการทำงานของทุกส่วนราชการในจังหวัด ทั้งองค์กรปกครองท้องถิ่นและหน่วยราชการต่างๆ ได้ทั้งหมด ถ้าสั่งแล้วใครไม่เชื่อก็บอกจุฬาราชมนตรีประกาศิตลงมาบังคับได้ทันที คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดจะทำหน้าที่ชี้นำ ดำเนินการกลืนสังคมไทยให้กลายเป็นสังคมมุสลิมอย่างรวดเร็ว ครอบคลุม เป็นระบบ เราจะเห็นการเตรียมการวาง แผนเรื่องนี้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่พลเอกสนธิ แต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๙ โดยสมาชิกในส่วนตัวแทนทางศาสนาจำนวน ๑๑ คน มีรายนามดังนี้
- ๑. นายกีรติ บุญเจือ (คริสต์)
- ๒. นายวรเดช อมรวรพิพัฒน์ (พุทธ)
- ๓. นายเสฐียรพงษ์ วรรณปก (พุทธ)
- ๔. นายวินัย สะมะอุน (อิสลาม)
- ๕. นายแว ดือ ราแม มะมิงจิ (อิสลาม)
- ๖. นายดำรง สุมาลยศักดิ์ (อิสลาม)
- ๗. นายแวมาฮาดี แวดาโอะ (อิสลาม)
- ๘. นายอับดุลเราะแม เจะแซ (อิสลาม)
- ๙. นายอับดุล รอซัค อาลี (อิสลาม)
- ๑๐. นายอิสมาแอล อาลี (อิสลาม)
- ๑๑. นายอิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา (อิสลาม)
ในประเทศไทยที่ประชากรร้อยละ ๙๔ เป็นพุทธ มีมุสลิมอยู่เพียงร้อยละ ๕ แต่พลเอกสนธิ กล้าที่จะแต่งตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่เป็น ตัวแทนศาสนาเป็นชาวพุทธเพียง ๒ คน แต่เป็นชาวมุสลิมถึง ๘ คน นี่คือการไม่เป็นหัวชาวพุทธเลย และเป็นการเตรียมคนไว้รองรับการออกพระราชบัญญัติฉบับ “กลืนชาติไทย” นี้นี่เอง
พี่น้องชาวไทยทุกท่าน ท่านจะนั่งเงียบเฉยมองดูประเทศชาติ พระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ล่มสลายลงไปต่อหน้าต่อตา หรือจะลุกขึ้นมาสู้ ช่วยกันปกปักรักษาประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเราไว้ ทหารหาญแห่งกองทัพไทยทุกท่าน ท่านตอบตัวเองได้หรือยังว่า ท่านเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือเป็นทหารของผู้ นำมุสลิม ท่านจะยอมตนลงเป็นทาส หรือจะปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ด้วยชีวิตตามคำสัตย์ปฏิญาณ ขณะนี้ประเทศไทยอันเป็นที่รักยิ่งของเรากำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตที่ร้ายแรง ที่สุด เหมือนยืนอยู่ที่ปากเหวแห่งความล่มสลาย แต่ถ้าพี่น้องชาวไทยทุกหมู่เหล่าร่วมรวมพลังไม่เพิกเฉยดูดาย ก็ไม่เหลือวิสัยที่จะกอบกู้แก้ไขสถานการณ์ร้ายนี้ “ชะตาของชาติไทยอยู่ที่การตัดสินใจสู้ของท่าน”
(โปรดช่วยกันทำสำเนาส่งข่าวนี้ให้รู้โดยทั่วกันให้กว้างขวางที่สุด)
ผมได้รับอีเมล ที่ส่งต่อกันมาหลายทอด อ่านแล้วคิดตามพยามหาข้อมูลในการสนับสนุนความคิดที่เป็นกลางของตัวเองเพิ่มเติม แต่ก็ยังหาจุดที่ให้ความกระจ่างในหลายๆประเด็นค่อนข้างยาก เชื่อว่าข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาภาคใต้ รัฐบาลและผู้บริหารระดับสูงย่อมกระจ่างอยู่แก่ใจเป็นอย่างดี แต่การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างเหยาะแหยะ ขาดความเด็ดขาด หว่านเงินลงพื้นที่แต่ไม่มีแนวทางที่ชัดเจน ส่งคนที่ไม่เข้าใจปัญหาและสภาพสังคมลงทำงานพร้อมๆกับการทุจริตคอร์รัปชั่นกันอย่างเมามัน
ต่อให้ไม่ต้องวางแผนยึดครองให้แยบยล ประเทศชาติก็ล่มสลายได้โดยไม่ยากจากน้ำมือพวกขายชาติ คอร์รัปชั่น ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ขอแนะนำด้วยความปรารถนาดีในฐานะพลเมืองชองชาติคนหนึ่งว่า นักการเมืองควรหยุดเรื่องแย่งชิงผลประโยชน์ ข้าราชการทำงานตามหน้าที่ด้วยความสุจริต เมื่อถึงเวลานั้นประชาชนจะออกมาช่วยจัดระเบียบบ้านเมืองเอง เป็นความเชื่อส่วนตัวครับ ว่า "ไม่ว่าจะเชื้อชาติศาสนาใด เมื่อเกิดบนแผ่นดินนี้แล้วทุกคนย่อมมีความรักถิ่นฐานบ้านเกิด อุปนิสัยคนไทยโดยทั่วไปมักมีความเมตตาและให้อภัยเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ความรุนแรงนองเลือดเหมือนที่อื่นเราคงไม่มี" แต่รัฐบาลต้องใจกว้างรับฟังความเห็นจากทุุกฝ่ายอย่ามองแค่ประโยชน์เรื่องฐานเสียงเ่ท่านั้นนะครับ
ต่อให้ไม่ต้องวางแผนยึดครองให้แยบยล ประเทศชาติก็ล่มสลายได้โดยไม่ยากจากน้ำมือพวกขายชาติ คอร์รัปชั่น ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ขอแนะนำด้วยความปรารถนาดีในฐานะพลเมืองชองชาติคนหนึ่งว่า นักการเมืองควรหยุดเรื่องแย่งชิงผลประโยชน์ ข้าราชการทำงานตามหน้าที่ด้วยความสุจริต เมื่อถึงเวลานั้นประชาชนจะออกมาช่วยจัดระเบียบบ้านเมืองเอง เป็นความเชื่อส่วนตัวครับ ว่า "ไม่ว่าจะเชื้อชาติศาสนาใด เมื่อเกิดบนแผ่นดินนี้แล้วทุกคนย่อมมีความรักถิ่นฐานบ้านเกิด อุปนิสัยคนไทยโดยทั่วไปมักมีความเมตตาและให้อภัยเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ความรุนแรงนองเลือดเหมือนที่อื่นเราคงไม่มี" แต่รัฐบาลต้องใจกว้างรับฟังความเห็นจากทุุกฝ่ายอย่ามองแค่ประโยชน์เรื่องฐานเสียงเ่ท่านั้นนะครับ
ด้วยความเคารพรัก
วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554
พบพระพุทธไสยยาสน์แล้ว
ขุดพบพุทธรูปปางไสยยาสน์บามิยัน ในอัฟกานิสถาน ระทึก!ขุดพบพระพุทธรูปถูกฝังใต้ซากบริเวณกลุ่มตาลิบันทำลายพระพุทธรูปยืนในจังหวัดบามิยัน พร้อมโบราณวัตถุอื่น ๆ อีกเพียบ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 11 ก.ย.ว่า คณะนักโบราณคดีได้ขุดพบพระพุทธรูปปางไสยยาสน์ยาวขนนาด 19 เมตร ในจังหวัดบามิยัน ในบริเวณที่กลุ่มตาลิบันได้ทำลายพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ เมื่อ 7 ปีก่อน พร้อมทั้งโบราณวัตถุอื่น ๆ เช่น เหรียญ และเซรามิก อีก 89 ชิ้น โดยพระพุทธรูปดังกล่าวอยู่ในสภาพเสียหายอย่างมาก โดยการค้นพบนี้มีขึ้นหลังจากที่กลุ่มนักโบราณคดี กำลังขุดค้นหาพระพุทธรูปปางไสยยาสน์ขนาดใหญ่ ที่เชิ่อว่าจะเคยถูกพบเห็นโดยนักแสวงบุญชาวจีนเมื่อหลายศตวรรษก่อน ขณะที่โบราณวัตถุอื่นๆ เชื่อว่ามีอายุในช่วงยุคบัคเตรียน และช่วงยุคอารยธรรมอิสลามและอารยธรรมพุทธ ทั้งนี้ สำหรับเมืองบามิยัน เคยอยู่บนเส้นทางสายไหม เชื่อมระหว่างตะวันตกและตะวันออก ครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งพุทธเฟื่องฟูที่พระสงฆ์เคยอาศัยอยู่ในถ้ำ และในปี 2001 กลุ่มตาลิบันได้ระเบิดทำลายพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ในเมืองบามิยัน อ้างว่าขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม ท่ามกลางเสียงวิงวอนจากทั่วโลก ข้อความจาก มติชนออนไลน์ วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551 |
หนา = หมา + หนอน
ด่วน.. การปลอมตัวเข้ามาบวชเพื่อทำลายพระพุทธศาสนา มีจริง
แนบไฟล์: |
post-21371-1265781543.jpg [ 18.91 KiB | เปิดดู 293 ครั้ง ] |
post-21371-1265780373_thumb.jpg [ 36.61 KiB | เปิดดู 293 ครั้ง ] |
post-21371-1265780347.jpg [ 14.76 KiB | เปิดดู 293 ครั้ง ] |
post-21371-1265780339_thumb.jpg [ 36.97 KiB | เปิดดู 293 ครั้ง ] |
post-21371-1265780331_thumb.jpg [ 46.12 KiB | เปิดดู 293 ครั้ง ] |
ย้อนอดีตบามิยัน
พระพุทธรูปยืนแห่งบามียัน : ย้อนอดีต และ อดีตของอดีต
พระพุทธรูปยืนแห่งบามียัน
ย้อนอดีต และ อดีตของอดีต
พระพุทธรูปยืนสูงตระหง่าน 50 เมตร แห่งบามียัน(Bamiyan) ที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของศาสนาพุทธ ในอดีต ณ ดินแดนแห่งพุทธศาสนา แต่กาลก่อน
บามียัน(bamiyan) : ดินแดนแห่งความขัดแย้งในปัจจุบัน
อาฟกานิสถาน ตั้งอยู่บริเวณเส้นทางสายไหม(Silk Road) ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าจากยุโรปมายังเอเชีย ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าและวัฒนธรรมไปยังดินแดนต่างๆ หลายคนอาจแปลกใจว่าทำไมจึงมีพระพุทธรูปอยู่ในประเทศอาฟกานิสถาน ที่เป็นมุสลิม ที่ปัจจุบัน ผู้คนในอาฟกานิสถานนับถือศาสนาอิสลาม

เมืองบามียัน ประเทศอัฟกานิสถาน อยู่ห่างจากเมืองคาบูล ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอัฟกานิสถาน ไปทางตะวันตกประมาณ ๑๕๐ กิโลเมตร เฉียงขึ้นไปทางเหนือเล็กน้อย ในประวัติศาสตร์สมัยพุทธกาล บริเวณแถวนี้อยู่ชายขอบแคว้นคันทาระ (หรือคัณธารราฐ) ซึ่งเป็นแคว้นใหญ่ ในปัจจุบันจะครอบคลุมประเทศปากีสถานภาคตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วกินเข้าไปทางอัฟกานิสถานตะวันออกบางส่วน

พระพุทธรูปยืนแห่งบามียัน มี 2 องค์ เป็นองค์ใหญ่ และองค์เล็ก ประดิษฐานอยู่ข้างๆกัน พระพุทธรูป ๒ องค์นี้สร้างระหว่าง พ.ศ.๘๐๐-๑,๐๐๐ องค์เล็กสูง ๓๗ เมตรเศษ บางแห่งก็เลยนับเป็น ๓๘ เมตร องค์เล็กสร้างก่อน คือประมาณ พ.ศ.๘๐๐ องค์ใหญ่สูง ๕๓ เมตร โดยการสลักเข้าไปในหน้าผา เมื่อสร้างเสร็จหลังจากนั้นมาอาจจะสักศตวรรษหนึ่ง คงใช้เวลาในการสร้างนาน เพราะว่าต้องเสียเวลาเจาะแล้วสลักเข้าไปในภูเขา เป็นศิลปะสำคัญ ที่เรียกว่าเป็นศิลปะแบบคันทาระ ซึ่งเป็นศิลปะที่สืบเนื่องจากกรีก ตั้งแต่ครั้งที่กรีกเข้ามาอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย
เมื่อมานับถือพระพุทธศาสนา ก็ได้เริ่มสร้างพระพุทธรูปขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อพุทธศักราชประมาณ ๕๐๐ ถือว่าพระพุทธรูปเกิดขึ้นครั้งแรกเป็นศิลปะแบบ กรีกหรือคันทาระนี่เอง และทำให้มีการนิยมสร้างพระพุทธรูปกันต่อมา เพราะว่าก่อนนั้นในอินเดียไม่กล้าสร้างพระพุทธรูป เพราะถือว่าเคารพมาก คนอินเดียแต่เดิมนี้เคารพพระพุทธเจ้ามาก ไม่กล้าทำเป็นรูป ได้แต่สร้างเครื่องหมายบอกให้รู้ เช่นว่า จะแสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าประทับตรัสรู้อยู่ ก็ทำเป็นรูปต้นโพธิ์ แล้วก็มีพระแท่นอยู่ข้างล่าง อย่างนี้เป็นต้น


หรืออย่างที่ปรินิพพาน ก็มีต้นสาละ มีพระแท่นที่ประทับ อย่างนี้เป็นต้น เรื่องพระพุทธรูปที่เจริญรุ่งเรืองมาถึง พ.ศ.๘๐๐ --๑๐๐๐ เป็นระยะที่ศิลปะคันทาระนี้เจริญรุ่งเรืองมาก ความจริงพระพุทธรูป ๒ องค์ ที่เมืองบามียันนี้ เคยถูกทำลายไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่ว่าทำลายได้ไม่มาก เพราะสมัยก่อนไม่มีเครื่องมือมากมาย พระพุทธรูปมีขนาดใหญ่มาก และเป็นศิลาทั้งหมด การทำลายก็ทำได้ยาก กองทัพของมุสลิมเข้ามาทางดินแดนแถบนี้ประมาณ พ.ศ.๑๒๕๐ ตอนนั้นก็มีการทำลาย แต่ทำลายได้อย่างมากก็ได้แต่ทุบบางส่วน ซึ่งโดยมากจะทุบพระนาสิกคือจมูกเป็นหลัก เพราะฉะนั้นพระพุทธรูปในอินเดียนี้จะพบว่ามีชำรุดที่พระนาสิกมากมากเหลือเกิน เพราะทำลายไม่ไหว และมีการทำลายพระพุทธรูปทั้ง ๒ องค์กันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพ.ศ.๒๒๐๐ เศษ ตอนนั้น กองทัพของอิหร่านบุกเข้ามา กองทัพนี้ได้ทำลายพระพักตร์ทั้งหมด ดังนั้นจะเห็นว่าก่อนที่ทาลีบันจะทำลายคราวนี้นั้น พระพักตร์ของพระพุทธรูปก็ไม่มี เพราะว่า กองทัพของมุสลิมได้ทำลายไปเมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๐ เศษนั้นแล้ว


มาคราวนี้เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐ คือ 12 ปีมาแล้ว พวกทาลีบันตอนนั้นก็กำลังรบ เขาเรียกว่าเป็นกบฏเพื่อชิงอำนาจรัฐบาล พวกทาลีบันตอนนั้นก็เข้าไปอยู่ในเขตแถบนี้ ก็ได้ขู่ว่าจะทำลายพระพุทธรูปนี้ ชาวพุทธในศรีลังกาเป็นต้น ก็ได้ออกมาเรียกร้องขอให้ระงับการทำลาย เรื่องเลยเงียบไป นั่น ก็เมื่อ ๔ ปีที่แล้ว จนกระทั่งมาคราวนี้แหละ ที่เป็นครั้งสุดท้ายที่ว่าได้ ก็ทำลายกันไป
เมื่อเขาทำลายอย่างนี้ ก็เป็นธรรมดาที่จะก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่ชาวพุทธ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่ชาวพุทธหรอก ชาวโลกทั้งหมด คือผู้ที่มีอารยธรรมก็ไม่พอใจทั้งนั้น ดังที่จะเห็นว่านานาประเทศได้แสดงออก เรียกร้องบ้าง ประณามบ้าง ในการกระทำของทาลีบันครั้งนี้ สำหรับชาวพุทธเรานี้ก็มีสิทธิที่จะไม่พอใจ แต่ในฐานะเป็นชาวพุทธ เรามีหลักพระพุทธศาสนาอยู่


ในพุทธศาสนานั้นก็สอนว่าให้มีเมตตาประจำใจ ก็คือมีความรักความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหมด เราก็ถือหลักว่าไม่รุนแรง ไม่แก้แค้นอะไรทำนองนี้ ก็ถือหลักกันมา มีขันติ มีความอดทน เพราะฉะนั้นชาวพุทธจึงไม่มีสงครามศาสนากับผู้ใด ก็อยู่มาอย่างนี้ แต่ว่าการที่จะมีเมตตานั้น ก็ไม่ใช่ว่ามีเมตตาไปเฉยๆ มิฉะนั้นเดี๋ยวกลายเป็นเมตตาแบบเรื่อยเฉื่อย ไม่ใช้ปัญญา ก็กลายเป็นโมหะไป ทางพระพุทธศาสนาท่านสอนให้มีเมตตาประจำใจ แต่พร้อมกันนั้น ก็ให้มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาและความไม่ประมาท ตรงนี้ที่ว่าให้อยู่ด้วยปัญญาและมีความไม่ประมาทนี้เป็นเรื่องสำคัญ คือเราต้องรู้ต้องเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่ว่าใครเขามาทำร้ายเรา แล้วเราก็อดทน ไม่แก้แค้น ไม่ทำร้ายตอบแล้วก็จบไป หรือว่ายอมไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น
แต่มันเป็นเรื่องของส่วนรวม เป็นเรื่องของการมองไกลไปข้างหน้าว่า สังคมมนุษย์หรือโลกนี้จะอยู่กันด้วยสันติสุขได้อย่างไร คือในกรณีที่มีการกระทำแบบนี้ ถ้าทำกันต่อไปข้างหน้า มันจะเป็นอย่างไร มนุษย์ทำอย่างไรจะอยู่กันได้ด้วยสันติสุข
ฉะนั้นก็ให้คำนึงในข้อนี้เป็นสำคัญ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมะไว้นี้ ก็เห็นได้ชัดเจนว่าทรงมีจุดหมายเพื่อให้ชาวโลกนี้อยู่กันร่มเย็นเป็นสุข คือจุดหมายนี้เพื่อประโยชน์สุขของชาวโลกทุกคน โดยเฉพาะชาวพุทธต้องมาคิดกันว่า เราจะทำอย่างไรให้โลกหรือสังคมมนุษย์นี้อยู่ด้วยดีมีสันติสุข โดยใช้วิธีการที่เป็นธรรมคือวิธีการที่เป็นสันติ สงบ ไม่รุนแรง ถ้าหากว่ามนุษย์ใช้วิธีเอาแต่ใจตัว ไม่คำนึงถึงผู้อื่นแล้ว โลกนี้จะอยู่สงบสุขได้หรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ต้องคิดระยะยาว ว่าเราจะเอาวิธีการทางธรรมะนี้มาใช้แก้ปัญหาของโลกให้สำเร็จได้หรือไม่


มองกันในแง่หนึ่งก็เป็นเรื่องท้าทายทีเดียว ท้าทายความสามารถ สติปัญญาของมนุษย์ ที่จะต้องคิดพิจารณาเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่ว่าปล่อยไปเรื่อย มีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาทีก็ตื่นเต้นกันที
เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มาเตือนใจชาวพุทธ การตื่นตัวนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่าตื่นตัวแล้วก็ไม่ใช่ว่ามีความโกรธรุนแรงไปแล้วก็จบ ไม่ใช่อย่างนั้น ก็คือการที่ต้องคิดเอาจริงเอาจัง ที่จะนำเอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ หรือมาใช้ประยุกต์กับสถานการณ์โลกปัจจุบันว่า จะให้โลกนี้อยู่เป็นสุขในระยะยาวได้อย่างไร
ถ้าเราไปมองในแง่ว่าการทำลายครั้งนี้ ทำไมนานาอารยประเทศ จนกระทั่งยูเอ็นเขาจึงได้ออกมาประณาม มีการเรียกร้อง มีการส่งทูตไปเจรจาเอาจริงเอาจังกันมากมาย ก็เพราะว่าเขาเห็นเป็นเรื่องใหญ่ที่มีความหมายต่ออารยธรรมของมนุษย์ อย่างพวกทาลีบันเขาบอกว่า พระพุทธรูปนี้เป็น Insult to lslam เป็นการดูถูกต่อศาสนา อิสลาม เขาจะพูดดังนั้นได้อย่างไร
เพราะว่าไม่ใช่เขาเป็นดินแดนอิสลามแล้วก็มีใครไปสร้างพระพุทธรูปขึ้นมา แต่ว่าพระพุทธรูปนี้ท่านมีอยู่ก่อนแล้วในดินแดนนี้ ซึ่งแต่ก่อนนี้เป็นดินแดนพระพุทธศาสนา เป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมากเกิดขึ้นก่อนศาสนาอิสลามเกิด

ศาสนาอิสลามนั้นเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๑๖๕ ก็หมายความว่าพระพุทธรูปนี้เกิดมีขึ้นก่อนศาสนาอิสลามเกิดตั้ง ๒๐๐-๓๐๐ ปี หลังจากศาสนาอิสลาม กองทัพมุสลิมบุกเข้ามา ก็มาทำลาย กลายเป็นว่ากองทัพเหล่านั้นแหละที่มาดูถูกทำลายท่าน ไม่ใช่ว่าพระพุทธรูปไปดูถูกอะไรชาวอิสลามหรอก เป็นเรื่องที่เขาไม่มีสิทธิที่จะพูด
เมื่อเป็นอย่างนี้ เขาอาจจะอ้างในแง่ศาสนาบัญญัติ คือตัวหลักการที่บอกว่าไม่ให้นับถือ idol รูปเคารพ รูปบูชา หรือเทวรูป ความจริงข้ออ้างนี้ก็ไม่ถูก เพราะว่าเมื่อตนนับถือศาสนาอิสลาม ก็ตัวเองก็ไม่นับถือรูปเคารพบูชาของศาสนาอื่น ก็ไม่เป็นโทษแก่ตนเอง ก็ไม่เป็นบาป เพราะตัวเองก็ปฏิบัติตามหลักศาสนาของตัวเอง ก็คือว่าตัวเองเป็นมุสลิม ตัวเองก็ไม่นับถือ แต่ว่าคนอื่นเขานับถือก็เป็นเรื่องของเขา เราก็ไม่ไปยุ่งด้วยก็เป็นการให้เกียรติแก่กัน และก็เป็นหลักของการอยู่ร่วมกันด้วยดี

โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้จะต้องเน้นเรื่องนี้มาก เพราะว่าโลกนี้มันแคบเข้า แล้วมนุษย์จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ในเมื่อมนุษย์มีความแตกต่างกัน เช่น ความเชื่อถือทางศาสนา เขาก็ใช้หลักการนี้ ก็คือว่าตัวเองก็ปฏิบัติไปตามหลักของตัวเอง ไม่ไปรุกรานไปทำร้ายผู้อื่น อันนั้นก็เป็นการให้เกียรติแก่กัน หรือแม้แต่ถ้าจะบังคับคนไหนเป็นมุสลิมก็ไปบังคับได้ เธอเป็นมุสลิมแล้วเธอต้องปฏิบัติตามศาสนาบัญญัติ เธอต้องไม่นับถือรูปเคารพบูชาของศาสนาอื่น อย่างนั้นได้ ก็มีสิทธิบังคับ ถ้าจะบังคับก็มีสิทธิบังคับได้แค่คนมุสลิมด้วยกัน แต่จะไปบังคับคนศาสนาอื่นไม่ได้
ดังนั้น เมื่อตัวเองไม่นับถือแล้ว ตัวเองก็ไม่มีโทษ เพราะว่าไม่ได้ปฏิบัติผิดศาสนาบัญญัติ หรือแม้แต่ว่า ถ้าเห็นว่าการนับถือรูปเคารพนี้เป็นสิ่งไม่ดี ตัวเองมีสิทธิที่จะไปแนะนำชักจูงอธิบายด้วยเหตุด้วยผล เพื่อให้เขาเห็นด้วย ก็ใช้วิธีพูดจาด้วยสติปัญญา จะไปทำร้ายบังคับเขา ก็ไม่ถูกต้อง

ถ้าว่ากันไปตามหลักพระพุทธศาสนา พระพุทธรูปก็ไม่ใช่ไอดอล อย่างที่เขาบัญญัติไว้ไม่ให้นับถือ เพราะว่าพระพุทธรูปของเรานี้ไม่ใช่เทวรูป ไม่ใช่รูปศักดิ์สิทธิ์แบบที่ศาสนาต่างๆ เขานับถือกัน แต่ว่าเป็นอุทเทสิกเจดีย์ เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธเจ้า สำหรับเตือนใจให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ ระลึกถึงธรรมะ ระลึกถึงความดี เราจะได้มาประพฤติหรือปฏิบัติธรรมหรือนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาดำเนินชีวิต
ฉะนั้น การที่ทางทาลีบันทำการครั้งนี้ นานาอารยชาติก็เลยประณามกัน ถือว่าเป็นการทำลายมรดกอารยธรรมมนุษย์ ที่มนุษย์มีความเจริญ มีความคิดสร้างสรรค์ในทางศิลปะ เป็นต้น และก็สร้างสรรค์ขึ้นมา บางรัฐบาลเขาประณามพวกทาลีบันแรง เขาประณามว่าการกระทำของทาลีบันนี้เป็นการลบหลู่มนุษยชาติ มนุษยชาติเขามีความเจริญงอกงาม มีวิถีของความเป็นอยู่ที่ดี อยู่ด้วยกันด้วยสันติสุข แบบนี้แกไม่เอาด้วย การกระทำของทาลีบันก็เป็นการลบหลู่ อย่างน้อยก็เป็นการที่แสดงว่า ไม่คำนึงถึงจิตใจของเพื่อนมนุษย์ที่เขานับถือศาสนาอื่นหรือเป็นพวกอื่น จะเอาแต่ใจตัวอย่างเดียว ในกรณีนี้ก็เป็นการที่มีจิตใจคับแคบและโหดร้าย ทำให้เพื่อนมนุษย์มีสิทธิที่จะหวาดระแวง
เพราะฉะนั้นข้อสำคัญก็คือ จะแก้ปัญหากันอย่างไรในระยะยาว ถ้าจะว่าถึงในเฉพาะหน้าก็คือว่า ประเทศต่างๆ มีสิทธิที่จะประณาม ซึ่งก็ได้ประณามกันไปแล้ว ก็เป็นการประณามอย่างชอบธรรม เพื่ออย่างน้อยให้รู้ว่าการกระทำอย่างนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ ให้รู้กันไปก่อนว่าประเทศทั้งหลายไม่ยอมรับการกระทำอย่างนี้ นี่เรียกว่าเป็นการประณาม เมื่อประณามไปแล้วก็ไม่ควรจะหยุดอยู่แค่นั้น ก็ต้องคิดทำอย่างไร เราจึงจะรักษาอารยธรรมของมนุษยชาติไว้ได้ ไม่ใช่ให้มีการทำลายกันอยู่อย่างนี้ แล้วก็คิดกันให้จริงจังอย่างที่บอกเมื่อกี้ ก็คือมาคิดในแง่อนาคตยาวไกลว่า โลกหรือสังคมมนุษย์นี้ จะอยู่กันด้วยดีมีสันติสุขได้อย่างไร และชาวพุทธก็จะต้องตื่นตัวไม่ประมาท มีภัยอันตรายต่างๆ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ เกิดขึ้นครั้งหนึ่งก็ตื่นขึ้นมาทีหนึ่งกลายเป็นตื่นเต้นแล้วก็เงียบกันไป
การตื่นตัวที่จริงก็ คือต้องมาเรียนรู้หลักพระศาสนา แล้วก็มองถึงประโยชน์ส่วนรวม ว่าเราจะปฏิบัติตามหลักการของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนธรรมะไว้ เพื่อให้ชีวิต สังคม ดีงาม ต้องการให้เกิดประโยชน์สุข แก่ชาวโลก ให้โลกนี้มนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขนี้ เขาจะทำอย่างไร เอาธรรมะมาใช้แก้ปัญหาของโลกให้ได้ เป็นการป้องกันภัยในอนาคต แล้วก็ทำประโยชน์แก่สังคมมนุษย์ทั้งหมด
ในส่วนหนึ่งที่น่าชม ก็คือชาวมุสลิม ในหลายประเทศที่มาแสดงออก ได้มาประณามพวกทาลีบันด้วย ก็เป็นการแสดงท่าทีของชาวมุสลิม ที่แสดงให้เห็นว่ามีชาวมุสลิมที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพวกทาลีบันนี้ และก็ยินดีที่จะอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์โดยสันติสุข
ซึ่งอันนี้ถ้าชาวมุสลิมได้แสดงออกมากก็ยิ่งดี โดยเฉพาะระยะยาว ก็เพื่อจะรักษาสันติสุขของมนุษย์ ว่าเราอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ก็อาจจะออกมาอธิบายหลักการของศาสนาอิสลามให้เห็นว่า ศาสนาอิสลามนั้นต้องการให้อยู่กันสันติอย่างนี้ แนวทางปฏิบัติที่แท้จริงเป็นอย่างนี้ ถ้าอย่างนี้แล้วมันก็จะเป็นทางที่จะมาร่วมกันสร้างสรรค์ สังคมมนุษย์ให้โลกนี้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขได้
สำหรับชาวพุทธก็ขอย้ำว่า ต้องตื่นตัวขึ้นมาศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา รู้เท่าทันสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นในเรื่องของกิจการพระศาสนา ทำอย่างไรจะให้พระศาสนาดำรงอยู่ได้มั่นคงยั่งยืน และนำหลักพระศาสนานี้มาใช้ประโยชน์ เพื่อจะให้ชีวิตและสังคมอยู่ร่มเย็นเป็นสุข และก็เอาธรรมวิธี คือที่เป็นธรรมชอบธรรมนี้ มาแก้ปัญหาของโลก
โดยเฉพาะปัญหาปัจจุบันที่มันมีความเลวร้ายเกิดขึ้นมากเหลือเกิน มีความรุนแรง มีสงคราม มีการเบียดเบียนกันทั่วไปหมด เราทำอย่างไรจะแก้ไขได้อย่างที่บอกเมื่อกี้ว่าเป็นการท้าทายชาวพุทธก็ว่าได้ ว่าจะสามารถนำหลักการของพระศาสนามาสร้างสันติสุขให้แก่โลกมนุษย์ได้หรือไม่
หวังว่าทุกคนจะช่วยกัน ขอให้การตื่นตัวที่เกิดขึ้นนี้ กลายเป็นการตื่นตัวที่นำไปสู่การสร้างสรรค์ความดีงาม และการเอาจริงเอาจังในทางที่จะเกิดประโยชน์สุข ความเจริญมั่นคงของพระพุทธศาสนา ประเทศชาติ สังคม และแก่ชาวโลกทั้งหมด
จาก
มองไกล กรณี “ทาลีบัน” ทำลาย “พระพุทธรูป” ล้ำค่า
พระธรรมปิฎก : นสพ.มติชนรายวัน ๒๗ มี.ค. ๒๕๔๔
ธรรมานุรักษ์ ฉบับที่ ๒๑ , เมษายน ๒๕๔๔
พระพุทธรูปยืนแห่งบามียัน
ย้อนอดีต และ อดีตของอดีต
พระพุทธรูปยืนสูงตระหง่าน 50 เมตร แห่งบามียัน(Bamiyan) ที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของศาสนาพุทธ ในอดีต ณ ดินแดนแห่งพุทธศาสนา แต่กาลก่อน
บามียัน(bamiyan) : ดินแดนแห่งความขัดแย้งในปัจจุบัน
อาฟกานิสถาน ตั้งอยู่บริเวณเส้นทางสายไหม(Silk Road) ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าจากยุโรปมายังเอเชีย ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสินค้าและวัฒนธรรมไปยังดินแดนต่างๆ หลายคนอาจแปลกใจว่าทำไมจึงมีพระพุทธรูปอยู่ในประเทศอาฟกานิสถาน ที่เป็นมุสลิม ที่ปัจจุบัน ผู้คนในอาฟกานิสถานนับถือศาสนาอิสลาม
เมืองบามียัน ประเทศอัฟกานิสถาน อยู่ห่างจากเมืองคาบูล ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอัฟกานิสถาน ไปทางตะวันตกประมาณ ๑๕๐ กิโลเมตร เฉียงขึ้นไปทางเหนือเล็กน้อย ในประวัติศาสตร์สมัยพุทธกาล บริเวณแถวนี้อยู่ชายขอบแคว้นคันทาระ (หรือคัณธารราฐ) ซึ่งเป็นแคว้นใหญ่ ในปัจจุบันจะครอบคลุมประเทศปากีสถานภาคตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วกินเข้าไปทางอัฟกานิสถานตะวันออกบางส่วน
พระพุทธรูปยืนแห่งบามียัน มี 2 องค์ เป็นองค์ใหญ่ และองค์เล็ก ประดิษฐานอยู่ข้างๆกัน พระพุทธรูป ๒ องค์นี้สร้างระหว่าง พ.ศ.๘๐๐-๑,๐๐๐ องค์เล็กสูง ๓๗ เมตรเศษ บางแห่งก็เลยนับเป็น ๓๘ เมตร องค์เล็กสร้างก่อน คือประมาณ พ.ศ.๘๐๐ องค์ใหญ่สูง ๕๓ เมตร โดยการสลักเข้าไปในหน้าผา เมื่อสร้างเสร็จหลังจากนั้นมาอาจจะสักศตวรรษหนึ่ง คงใช้เวลาในการสร้างนาน เพราะว่าต้องเสียเวลาเจาะแล้วสลักเข้าไปในภูเขา เป็นศิลปะสำคัญ ที่เรียกว่าเป็นศิลปะแบบคันทาระ ซึ่งเป็นศิลปะที่สืบเนื่องจากกรีก ตั้งแต่ครั้งที่กรีกเข้ามาอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย
เมื่อมานับถือพระพุทธศาสนา ก็ได้เริ่มสร้างพระพุทธรูปขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อพุทธศักราชประมาณ ๕๐๐ ถือว่าพระพุทธรูปเกิดขึ้นครั้งแรกเป็นศิลปะแบบ กรีกหรือคันทาระนี่เอง และทำให้มีการนิยมสร้างพระพุทธรูปกันต่อมา เพราะว่าก่อนนั้นในอินเดียไม่กล้าสร้างพระพุทธรูป เพราะถือว่าเคารพมาก คนอินเดียแต่เดิมนี้เคารพพระพุทธเจ้ามาก ไม่กล้าทำเป็นรูป ได้แต่สร้างเครื่องหมายบอกให้รู้ เช่นว่า จะแสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าประทับตรัสรู้อยู่ ก็ทำเป็นรูปต้นโพธิ์ แล้วก็มีพระแท่นอยู่ข้างล่าง อย่างนี้เป็นต้น
หรืออย่างที่ปรินิพพาน ก็มีต้นสาละ มีพระแท่นที่ประทับ อย่างนี้เป็นต้น เรื่องพระพุทธรูปที่เจริญรุ่งเรืองมาถึง พ.ศ.๘๐๐ --๑๐๐๐ เป็นระยะที่ศิลปะคันทาระนี้เจริญรุ่งเรืองมาก ความจริงพระพุทธรูป ๒ องค์ ที่เมืองบามียันนี้ เคยถูกทำลายไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่ว่าทำลายได้ไม่มาก เพราะสมัยก่อนไม่มีเครื่องมือมากมาย พระพุทธรูปมีขนาดใหญ่มาก และเป็นศิลาทั้งหมด การทำลายก็ทำได้ยาก กองทัพของมุสลิมเข้ามาทางดินแดนแถบนี้ประมาณ พ.ศ.๑๒๕๐ ตอนนั้นก็มีการทำลาย แต่ทำลายได้อย่างมากก็ได้แต่ทุบบางส่วน ซึ่งโดยมากจะทุบพระนาสิกคือจมูกเป็นหลัก เพราะฉะนั้นพระพุทธรูปในอินเดียนี้จะพบว่ามีชำรุดที่พระนาสิกมากมากเหลือเกิน เพราะทำลายไม่ไหว และมีการทำลายพระพุทธรูปทั้ง ๒ องค์กันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพ.ศ.๒๒๐๐ เศษ ตอนนั้น กองทัพของอิหร่านบุกเข้ามา กองทัพนี้ได้ทำลายพระพักตร์ทั้งหมด ดังนั้นจะเห็นว่าก่อนที่ทาลีบันจะทำลายคราวนี้นั้น พระพักตร์ของพระพุทธรูปก็ไม่มี เพราะว่า กองทัพของมุสลิมได้ทำลายไปเมื่อ พ.ศ. ๒๒๐๐ เศษนั้นแล้ว
มาคราวนี้เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐ คือ 12 ปีมาแล้ว พวกทาลีบันตอนนั้นก็กำลังรบ เขาเรียกว่าเป็นกบฏเพื่อชิงอำนาจรัฐบาล พวกทาลีบันตอนนั้นก็เข้าไปอยู่ในเขตแถบนี้ ก็ได้ขู่ว่าจะทำลายพระพุทธรูปนี้ ชาวพุทธในศรีลังกาเป็นต้น ก็ได้ออกมาเรียกร้องขอให้ระงับการทำลาย เรื่องเลยเงียบไป นั่น ก็เมื่อ ๔ ปีที่แล้ว จนกระทั่งมาคราวนี้แหละ ที่เป็นครั้งสุดท้ายที่ว่าได้ ก็ทำลายกันไป
เมื่อเขาทำลายอย่างนี้ ก็เป็นธรรมดาที่จะก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่ชาวพุทธ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่ชาวพุทธหรอก ชาวโลกทั้งหมด คือผู้ที่มีอารยธรรมก็ไม่พอใจทั้งนั้น ดังที่จะเห็นว่านานาประเทศได้แสดงออก เรียกร้องบ้าง ประณามบ้าง ในการกระทำของทาลีบันครั้งนี้ สำหรับชาวพุทธเรานี้ก็มีสิทธิที่จะไม่พอใจ แต่ในฐานะเป็นชาวพุทธ เรามีหลักพระพุทธศาสนาอยู่
ในพุทธศาสนานั้นก็สอนว่าให้มีเมตตาประจำใจ ก็คือมีความรักความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหมด เราก็ถือหลักว่าไม่รุนแรง ไม่แก้แค้นอะไรทำนองนี้ ก็ถือหลักกันมา มีขันติ มีความอดทน เพราะฉะนั้นชาวพุทธจึงไม่มีสงครามศาสนากับผู้ใด ก็อยู่มาอย่างนี้ แต่ว่าการที่จะมีเมตตานั้น ก็ไม่ใช่ว่ามีเมตตาไปเฉยๆ มิฉะนั้นเดี๋ยวกลายเป็นเมตตาแบบเรื่อยเฉื่อย ไม่ใช้ปัญญา ก็กลายเป็นโมหะไป ทางพระพุทธศาสนาท่านสอนให้มีเมตตาประจำใจ แต่พร้อมกันนั้น ก็ให้มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาและความไม่ประมาท ตรงนี้ที่ว่าให้อยู่ด้วยปัญญาและมีความไม่ประมาทนี้เป็นเรื่องสำคัญ คือเราต้องรู้ต้องเข้าใจว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่ว่าใครเขามาทำร้ายเรา แล้วเราก็อดทน ไม่แก้แค้น ไม่ทำร้ายตอบแล้วก็จบไป หรือว่ายอมไปเรื่อย ๆ อย่างนั้น
แต่มันเป็นเรื่องของส่วนรวม เป็นเรื่องของการมองไกลไปข้างหน้าว่า สังคมมนุษย์หรือโลกนี้จะอยู่กันด้วยสันติสุขได้อย่างไร คือในกรณีที่มีการกระทำแบบนี้ ถ้าทำกันต่อไปข้างหน้า มันจะเป็นอย่างไร มนุษย์ทำอย่างไรจะอยู่กันได้ด้วยสันติสุข
ฉะนั้นก็ให้คำนึงในข้อนี้เป็นสำคัญ เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนธรรมะไว้นี้ ก็เห็นได้ชัดเจนว่าทรงมีจุดหมายเพื่อให้ชาวโลกนี้อยู่กันร่มเย็นเป็นสุข คือจุดหมายนี้เพื่อประโยชน์สุขของชาวโลกทุกคน โดยเฉพาะชาวพุทธต้องมาคิดกันว่า เราจะทำอย่างไรให้โลกหรือสังคมมนุษย์นี้อยู่ด้วยดีมีสันติสุข โดยใช้วิธีการที่เป็นธรรมคือวิธีการที่เป็นสันติ สงบ ไม่รุนแรง ถ้าหากว่ามนุษย์ใช้วิธีเอาแต่ใจตัว ไม่คำนึงถึงผู้อื่นแล้ว โลกนี้จะอยู่สงบสุขได้หรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่ต้องคิดระยะยาว ว่าเราจะเอาวิธีการทางธรรมะนี้มาใช้แก้ปัญหาของโลกให้สำเร็จได้หรือไม่
มองกันในแง่หนึ่งก็เป็นเรื่องท้าทายทีเดียว ท้าทายความสามารถ สติปัญญาของมนุษย์ ที่จะต้องคิดพิจารณาเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่ว่าปล่อยไปเรื่อย มีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาทีก็ตื่นเต้นกันที
เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มาเตือนใจชาวพุทธ การตื่นตัวนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่าตื่นตัวแล้วก็ไม่ใช่ว่ามีความโกรธรุนแรงไปแล้วก็จบ ไม่ใช่อย่างนั้น ก็คือการที่ต้องคิดเอาจริงเอาจัง ที่จะนำเอาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ หรือมาใช้ประยุกต์กับสถานการณ์โลกปัจจุบันว่า จะให้โลกนี้อยู่เป็นสุขในระยะยาวได้อย่างไร
ถ้าเราไปมองในแง่ว่าการทำลายครั้งนี้ ทำไมนานาอารยประเทศ จนกระทั่งยูเอ็นเขาจึงได้ออกมาประณาม มีการเรียกร้อง มีการส่งทูตไปเจรจาเอาจริงเอาจังกันมากมาย ก็เพราะว่าเขาเห็นเป็นเรื่องใหญ่ที่มีความหมายต่ออารยธรรมของมนุษย์ อย่างพวกทาลีบันเขาบอกว่า พระพุทธรูปนี้เป็น Insult to lslam เป็นการดูถูกต่อศาสนา อิสลาม เขาจะพูดดังนั้นได้อย่างไร
เพราะว่าไม่ใช่เขาเป็นดินแดนอิสลามแล้วก็มีใครไปสร้างพระพุทธรูปขึ้นมา แต่ว่าพระพุทธรูปนี้ท่านมีอยู่ก่อนแล้วในดินแดนนี้ ซึ่งแต่ก่อนนี้เป็นดินแดนพระพุทธศาสนา เป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองมากเกิดขึ้นก่อนศาสนาอิสลามเกิด
ศาสนาอิสลามนั้นเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๑๖๕ ก็หมายความว่าพระพุทธรูปนี้เกิดมีขึ้นก่อนศาสนาอิสลามเกิดตั้ง ๒๐๐-๓๐๐ ปี หลังจากศาสนาอิสลาม กองทัพมุสลิมบุกเข้ามา ก็มาทำลาย กลายเป็นว่ากองทัพเหล่านั้นแหละที่มาดูถูกทำลายท่าน ไม่ใช่ว่าพระพุทธรูปไปดูถูกอะไรชาวอิสลามหรอก เป็นเรื่องที่เขาไม่มีสิทธิที่จะพูด
เมื่อเป็นอย่างนี้ เขาอาจจะอ้างในแง่ศาสนาบัญญัติ คือตัวหลักการที่บอกว่าไม่ให้นับถือ idol รูปเคารพ รูปบูชา หรือเทวรูป ความจริงข้ออ้างนี้ก็ไม่ถูก เพราะว่าเมื่อตนนับถือศาสนาอิสลาม ก็ตัวเองก็ไม่นับถือรูปเคารพบูชาของศาสนาอื่น ก็ไม่เป็นโทษแก่ตนเอง ก็ไม่เป็นบาป เพราะตัวเองก็ปฏิบัติตามหลักศาสนาของตัวเอง ก็คือว่าตัวเองเป็นมุสลิม ตัวเองก็ไม่นับถือ แต่ว่าคนอื่นเขานับถือก็เป็นเรื่องของเขา เราก็ไม่ไปยุ่งด้วยก็เป็นการให้เกียรติแก่กัน และก็เป็นหลักของการอยู่ร่วมกันด้วยดี
โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันนี้จะต้องเน้นเรื่องนี้มาก เพราะว่าโลกนี้มันแคบเข้า แล้วมนุษย์จะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ในเมื่อมนุษย์มีความแตกต่างกัน เช่น ความเชื่อถือทางศาสนา เขาก็ใช้หลักการนี้ ก็คือว่าตัวเองก็ปฏิบัติไปตามหลักของตัวเอง ไม่ไปรุกรานไปทำร้ายผู้อื่น อันนั้นก็เป็นการให้เกียรติแก่กัน หรือแม้แต่ถ้าจะบังคับคนไหนเป็นมุสลิมก็ไปบังคับได้ เธอเป็นมุสลิมแล้วเธอต้องปฏิบัติตามศาสนาบัญญัติ เธอต้องไม่นับถือรูปเคารพบูชาของศาสนาอื่น อย่างนั้นได้ ก็มีสิทธิบังคับ ถ้าจะบังคับก็มีสิทธิบังคับได้แค่คนมุสลิมด้วยกัน แต่จะไปบังคับคนศาสนาอื่นไม่ได้
ดังนั้น เมื่อตัวเองไม่นับถือแล้ว ตัวเองก็ไม่มีโทษ เพราะว่าไม่ได้ปฏิบัติผิดศาสนาบัญญัติ หรือแม้แต่ว่า ถ้าเห็นว่าการนับถือรูปเคารพนี้เป็นสิ่งไม่ดี ตัวเองมีสิทธิที่จะไปแนะนำชักจูงอธิบายด้วยเหตุด้วยผล เพื่อให้เขาเห็นด้วย ก็ใช้วิธีพูดจาด้วยสติปัญญา จะไปทำร้ายบังคับเขา ก็ไม่ถูกต้อง
ถ้าว่ากันไปตามหลักพระพุทธศาสนา พระพุทธรูปก็ไม่ใช่ไอดอล อย่างที่เขาบัญญัติไว้ไม่ให้นับถือ เพราะว่าพระพุทธรูปของเรานี้ไม่ใช่เทวรูป ไม่ใช่รูปศักดิ์สิทธิ์แบบที่ศาสนาต่างๆ เขานับถือกัน แต่ว่าเป็นอุทเทสิกเจดีย์ เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธเจ้า สำหรับเตือนใจให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ ระลึกถึงธรรมะ ระลึกถึงความดี เราจะได้มาประพฤติหรือปฏิบัติธรรมหรือนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาดำเนินชีวิต
ฉะนั้น การที่ทางทาลีบันทำการครั้งนี้ นานาอารยชาติก็เลยประณามกัน ถือว่าเป็นการทำลายมรดกอารยธรรมมนุษย์ ที่มนุษย์มีความเจริญ มีความคิดสร้างสรรค์ในทางศิลปะ เป็นต้น และก็สร้างสรรค์ขึ้นมา บางรัฐบาลเขาประณามพวกทาลีบันแรง เขาประณามว่าการกระทำของทาลีบันนี้เป็นการลบหลู่มนุษยชาติ มนุษยชาติเขามีความเจริญงอกงาม มีวิถีของความเป็นอยู่ที่ดี อยู่ด้วยกันด้วยสันติสุข แบบนี้แกไม่เอาด้วย การกระทำของทาลีบันก็เป็นการลบหลู่ อย่างน้อยก็เป็นการที่แสดงว่า ไม่คำนึงถึงจิตใจของเพื่อนมนุษย์ที่เขานับถือศาสนาอื่นหรือเป็นพวกอื่น จะเอาแต่ใจตัวอย่างเดียว ในกรณีนี้ก็เป็นการที่มีจิตใจคับแคบและโหดร้าย ทำให้เพื่อนมนุษย์มีสิทธิที่จะหวาดระแวง
เพราะฉะนั้นข้อสำคัญก็คือ จะแก้ปัญหากันอย่างไรในระยะยาว ถ้าจะว่าถึงในเฉพาะหน้าก็คือว่า ประเทศต่างๆ มีสิทธิที่จะประณาม ซึ่งก็ได้ประณามกันไปแล้ว ก็เป็นการประณามอย่างชอบธรรม เพื่ออย่างน้อยให้รู้ว่าการกระทำอย่างนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ ให้รู้กันไปก่อนว่าประเทศทั้งหลายไม่ยอมรับการกระทำอย่างนี้ นี่เรียกว่าเป็นการประณาม เมื่อประณามไปแล้วก็ไม่ควรจะหยุดอยู่แค่นั้น ก็ต้องคิดทำอย่างไร เราจึงจะรักษาอารยธรรมของมนุษยชาติไว้ได้ ไม่ใช่ให้มีการทำลายกันอยู่อย่างนี้ แล้วก็คิดกันให้จริงจังอย่างที่บอกเมื่อกี้ ก็คือมาคิดในแง่อนาคตยาวไกลว่า โลกหรือสังคมมนุษย์นี้ จะอยู่กันด้วยดีมีสันติสุขได้อย่างไร และชาวพุทธก็จะต้องตื่นตัวไม่ประมาท มีภัยอันตรายต่างๆ เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ เกิดขึ้นครั้งหนึ่งก็ตื่นขึ้นมาทีหนึ่งกลายเป็นตื่นเต้นแล้วก็เงียบกันไป
การตื่นตัวที่จริงก็ คือต้องมาเรียนรู้หลักพระศาสนา แล้วก็มองถึงประโยชน์ส่วนรวม ว่าเราจะปฏิบัติตามหลักการของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนธรรมะไว้ เพื่อให้ชีวิต สังคม ดีงาม ต้องการให้เกิดประโยชน์สุข แก่ชาวโลก ให้โลกนี้มนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขนี้ เขาจะทำอย่างไร เอาธรรมะมาใช้แก้ปัญหาของโลกให้ได้ เป็นการป้องกันภัยในอนาคต แล้วก็ทำประโยชน์แก่สังคมมนุษย์ทั้งหมด
ในส่วนหนึ่งที่น่าชม ก็คือชาวมุสลิม ในหลายประเทศที่มาแสดงออก ได้มาประณามพวกทาลีบันด้วย ก็เป็นการแสดงท่าทีของชาวมุสลิม ที่แสดงให้เห็นว่ามีชาวมุสลิมที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของพวกทาลีบันนี้ และก็ยินดีที่จะอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์โดยสันติสุข
ซึ่งอันนี้ถ้าชาวมุสลิมได้แสดงออกมากก็ยิ่งดี โดยเฉพาะระยะยาว ก็เพื่อจะรักษาสันติสุขของมนุษย์ ว่าเราอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ก็อาจจะออกมาอธิบายหลักการของศาสนาอิสลามให้เห็นว่า ศาสนาอิสลามนั้นต้องการให้อยู่กันสันติอย่างนี้ แนวทางปฏิบัติที่แท้จริงเป็นอย่างนี้ ถ้าอย่างนี้แล้วมันก็จะเป็นทางที่จะมาร่วมกันสร้างสรรค์ สังคมมนุษย์ให้โลกนี้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขได้
สำหรับชาวพุทธก็ขอย้ำว่า ต้องตื่นตัวขึ้นมาศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา รู้เท่าทันสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นในเรื่องของกิจการพระศาสนา ทำอย่างไรจะให้พระศาสนาดำรงอยู่ได้มั่นคงยั่งยืน และนำหลักพระศาสนานี้มาใช้ประโยชน์ เพื่อจะให้ชีวิตและสังคมอยู่ร่มเย็นเป็นสุข และก็เอาธรรมวิธี คือที่เป็นธรรมชอบธรรมนี้ มาแก้ปัญหาของโลก
โดยเฉพาะปัญหาปัจจุบันที่มันมีความเลวร้ายเกิดขึ้นมากเหลือเกิน มีความรุนแรง มีสงคราม มีการเบียดเบียนกันทั่วไปหมด เราทำอย่างไรจะแก้ไขได้อย่างที่บอกเมื่อกี้ว่าเป็นการท้าทายชาวพุทธก็ว่าได้ ว่าจะสามารถนำหลักการของพระศาสนามาสร้างสันติสุขให้แก่โลกมนุษย์ได้หรือไม่
หวังว่าทุกคนจะช่วยกัน ขอให้การตื่นตัวที่เกิดขึ้นนี้ กลายเป็นการตื่นตัวที่นำไปสู่การสร้างสรรค์ความดีงาม และการเอาจริงเอาจังในทางที่จะเกิดประโยชน์สุข ความเจริญมั่นคงของพระพุทธศาสนา ประเทศชาติ สังคม และแก่ชาวโลกทั้งหมด
จาก
มองไกล กรณี “ทาลีบัน” ทำลาย “พระพุทธรูป” ล้ำค่า
พระธรรมปิฎก : นสพ.มติชนรายวัน ๒๗ มี.ค. ๒๕๔๔
ธรรมานุรักษ์ ฉบับที่ ๒๑ , เมษายน ๒๕๔๔
Create Date : 10 เมษายน 2552 | ||
Last Update : 10 เมษายน 2552 17:11:55 น. | 3 comments | |
Counter : 329 Pageviews. |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)