แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เหตุการณ์สำคัญ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เหตุการณ์สำคัญ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

โจรใต้ ยิงพระสงฆ์ ขณะเดินบิณฑบาต


สุดอนาถ ! โจรใต้ ยิงพระสงฆ์ ขณะเดินบิณฑบาต 
มรณภาพ 1 รูป บาดเจ็บ 2
HTTP://NEWWEB.BPCT.ORG/CONTENT/VIEW/450/

วันนี้ (5 มี..2554) คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่พระภิกษุจำนวน 3 รูป ระหว่างนำอาหารที่รับบิณฑบาตเดินเท้ากลับวัดได้รับบาดเจ็บ โดยในระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ได้มรณภาพ 1 รูป ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของชาวบ้านที่เฝ้ารอหน้าโรงพยาบาล

โจรใต้เหิมเกริมขี่รถ จยย.ประกบยิง พระ 2 รูป และสามเณรอีก 1 รูป ล้ม ทรุด บาดเจ็บสาหัสทั้ง 3  รูป ขณะออกบิณฑบาต กลางย่านชุมชนในพื้นที่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เหยื่อกระสุนถูกหามส่ง รพ. ปรากฏพระถูกยิงเข้าศีรษะและลำตัวอาการโคม่ายื้อชีวิตไม่ไหวสิ้นใจมรณภาพไป 1 รูป อีกรายคนร้ายซุกระเบิดหน้าสำนักงานการไฟฟ้าเตรียมก่อเหตุร้าย เคราะห์ดีชาวบ้านมาพบก่อนแจ้งเจ้าหน้าที่มาเก็บกู้ได้ทัน ด้าน จ.ยะลา คนร้ายลอบบึมรถยนต์ทหาร ฉก.ยะลา 14 ขณะออกลาดตระเวน เคราะห์ดีรถวิ่งผ่านไปก่อนเลยรอดตายหวุดหวิด

โจรใต้โหดบุกยิงพระและสามเณรมรณภาพและบาดเจ็บขณะบิณฑบาต เกิดขึ้นเมื่อเวลา 06.40 น. วันที่ 5 มี.ค. พ.ต.อ.ระพีพงษ์ สุขไพบูล ผกก.สภ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี รับแจ้งมีพระถูกยิงบาดเจ็บบนถนนสายโคกโพธิ์ท่าเรือ หมู่ 7 เขตเทศบาล ต.โคกโพธิ์ จึงพร้อมด้วย พล.ต.ต.พิเชษฐ์ ปิติเศรษฐพันธ์ ผบก.ภ.จ.ปัตตานี พ.ต.อ.จิรวัฒน์ อุดมสุด รอง ผบก. พ.ท.สิทธิศักดิ์ เจนบรรจง ผบ.ฉก.ปัตตานี 24 สนธิกำลังไปตรวจสอบ พบภาพสลดใจพระและเณรถูกยิงนอนจมเลือด 3 รูป โดยมีชาวบ้านมาช่วยประคองร่างไว้ จึงรีบนำส่ง รพ.โคกโพธิ์ ทราบชื่อพระอภิชัย โรจน์รังสรรค์ อายุ 27 ปี พระลูกวัดวัดศรีมหาโพธิ์ ถูกยิงด้วยปืน 9 มม. เข้าศีรษะและลำตัว 2 นัด สามเณรสกล เสมสานต์ อายุ 17 ปี อยู่วัดเดียวกัน ถูกยิงเข้าศีรษะและลำตัว 2 นัด และพระสุชาติ อินขวัญแก้ว อายุ 36 ปี พระลูกวัดวัดโบราณประดิษฐ์ ถูกยิงเข้ากลางหลัง 1 นัด อาการสาหัส ปรากฏว่าพระอภิชัยมรณภาพในเวลาต่อมา 


ส่วนพระสุชาติและสามเณรสกลหลังแพทย์เยียวยาเบื้องต้นได้ส่งไปรักษาต่อที่ รพ.ปัตตานี

สอบสวนทราบว่า ขณะเกิดเหตุพระและสามเณรที่ถูกยิงทั้ง 3 รูป ออกบิณฑบาตตามปกติ ระหว่างกำลังเดินกลับวัด ถึงที่เกิดเหตุมีคนร้าย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบใช้ปืนพกกระหน่ำยิงใส่หลายนัดจนล้มฟุบทั้ง 3 รูป แล้วบึ่งรถหลบหนีไป โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้าประชาชนที่เดินพลุกพล่านเนื่องจากที่เกิดเหตุเป็นย่านชุมชน ส่วนคนร้ายเชื่อว่าเป็นกลุ่มแนวร่วมในพื้นที่ก่อเหตุสร้างสถานการณ์

ต่อมาเมื่อเวลา 09.30 น. พ.ต.อ.ระพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผกก.สภ.โคกโพธิ์ รับแจ้งว่าพบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดซุกอยู่โคนต้นไม้หน้าสำนักงานไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อ.โคกโพธิ์ ห่างจุดเกิดเหตุคนร้ายยิงพระประมาณ 500 เมตร จึงประสานชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดไปตรวจสอบ พบเป็นระเบิดแสวงเครื่องบรรจุกล่องเหล็กหนัก 3 กก. จึงใช้ปืนแรงดันน้ำยิงทำลายเพื่อตัดวงจร คาดว่าคนร้ายนำมาวางเตรียมก่อเหตุร้ายแต่โชคดีชาวบ้านมาพบแจ้งเจ้าหน้าที่มาเก็บกู้ได้เสียก่อน
ที่ จ.ยะลา เมื่อเวลา 02.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.อ.ภูมิเพ็ชร พิพัฒน์เพ็ชรภูมิ รอง ผบก.ภ.จ.ยะลา พ.ต.ท.อำไพ ชุมช่วย รอง ผกก.ป.สภ.รามัน พ.ท.อิศรา จันทะกระยอม ผบ.ฉก.ยะลา 12 สนธิกำลังไปตั้งจุดสกัดจับนายมานะ หรือโค้ก มะลาซอ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 52 หมู่ 1 บ้านกือเม็ง ต.อาซ่อง นักค้ายาบ้าและมีหมายจับ หลังสืบทราบจะนำยาบ้ามาส่งให้กับเอเย่นต์บริเวณถนนสายรามัน-มายอ บ้านกือเม็ง หมู่ 1 ต.อาซ่อง พบนายมานะกับพวกขับรถเก๋งโตโยต้า วีออส สีเทา ทะเบียน กจ 9775 นครศรีธรรมราช ผ่านมา จึงเรียกตรวจค้น แต่กลับใช้ปืนกระหน่ำยิงใส่แล้วบึ่งรถแหกด่านหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงใช้ปืนยิงตอบโต้กระสุนถูกคนขับรถบาดเจ็บจนรถเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ข้างทางแต่คนร้ายหลบหนีไปได้ ตรวจสอบในรถพบยาบ้า 4,593 เม็ด ยาไอซ์ 500 กรัม เงินสด 632,350 บาท และโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง สอบพบนายมานะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อความไม่สงบ โดยนำเงินส่วนหนึ่งจากการขายยาบ้าส่งให้กับนายหีพนี มะเละ และนายสาหูดิน โต๊ะเจ๊ะมะ แกนนำโจรใต้ระดับสั่งการ

ต่อมาเมื่อเวลา 08.00 น. พ.ต.ท.ธนสิทธิ์ มัทยาท สวญ.สภ.ลำใหม่ อ.เมืองยะลา รับแจ้งเหตุคนร้ายลอบระเบิดรถยนต์บนถนนสายบ้านเนียง-ยะหา บ้านยะลา หมู่ 3 ต.ยะลา ไปตรวจสอบพบหลุมระเบิดและชิ้นส่วนระเบิดแสวงเครื่องกระจายเกลื่อน สอบพบขณะที่ ส.อ.นันทสิทธิ์ ฤทธิ์โด เจ้าหน้าที่ทหารชุดร้อย ร.1544 สังกัด ฉก.ยะลา 14 ตั้งฐานอยู่ที่วัดยะหาประชาราม อ.ยะหา นำกำลังใช้รถปิกอัพโตโยต้า วีโก้ ออกลาดตระเวน มี ส.ท.สราวุธ แสนทวีสุข เป็นพลขับ ถึงที่เกิดเหตุคนร้ายที่ดักซุ่มในบริเวณใกล้เคียงได้กดระเบิดแสวงเครื่องประกอบในถังแก๊สปิกนิกระเบิดขึ้น แต่เป็นจังหวะที่รถยนต์เจ้าหน้าที่แล่นผ่านไปจึงรอดพ้นจากแรงระเบิดหวุดหวิด

ขณะเดียวกัน  นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  กล่าวว่า  ได้รับรายงานเหตุพระถูกยิงที่ จ.ปัตตานีแล้ว ได้สั่งการให้ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา  จ.ปัตตานีตรวจสอบเนื่องจากเมื่อวันที่  21 ก.พ.  ที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) เพิ่งมีมติไม่ให้พระสงฆ์ใน จ.ปัตตานีออกบิณฑบาตเป็นเวลา 1 เดือน ตามที่คณะสงฆ์ จ.ปัตตานี ทำเรื่องเสนอมา ขณะที่นายธีรชิต บวรนันทิวัฒน์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.ปัตตานี กล่าวว่า พระสงฆ์ที่ถูกยิงมรณภาพนั้นเดิมทีพระรูปนี้จะออกบิณฑบาตสายอื่น แต่พระที่เคยออกบิณฑบาตกับสามเณรรูปดังกล่าวเพิ่งสึกออกไป จึงออกมาบิณฑบาตเป็นเพื่อนสามเณรวันแรกก็มาถูกยิง สำหรับมติมหาเถรสมาคมที่ไม่ให้พระสงฆ์ใน จ.ปัตตานีออกบิณฑบาตนั้น ไม่ได้เป็นการบังคับ  หากว่าวัดใดเห็นว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัยก็งดออกบิณฑบาตได้โดยทางสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ จะมีปัจจัยถวายวันละ 100 บาทต่อรูป แต่หากวัดใดเห็นว่าในพื้นที่มีความปลอดภัยก็ออกบิณฑบาตได้ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นจะหารือกับเจ้าคณะภาค 18 เพื่อหาแนวทางรักษาความปลอดภัยให้กับพระสงฆ์ในพื้นที่ต่อไป



ที่มา : นสพ.ไทยรัฐฉบับพิมพ์
6 มีนาคม 2554http://www.thairath.co.th/today/view/153793

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

ได้ตัวแล้ว


สัญญาณความรุนแรง


ปล้นปืนทหาร สัญญาณแห่งความรุนแรงครั้งใหญ่

http://peace.chaotainews.com/index.php?option=com_content&view=article&id=2058:2011-01-31-08-20-50&catid=10:2008-07-22-05-57-22&Itemid=10
คำเตือน: ภาพถ่ายนี้เป็นลิขสิทธิ์ของช่างภาพ ห้ามทำซ้ำหรือนำไปเผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ
การโจมตีฐานที่นราธิวาสเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2554 เป็นตัวเตือนที่น่ากลัว ถึงกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ยังคงมีกำลังที่มีศักยภาพและมีความสามารถในการก่อเหตุขนาดใหญ่  และแสดงให้รัฐบาลเห็นว่า  การลดระดับความรุนแรงนั้นคงเป็นไปได้ยาก

น่าแปลก การโจมตีในฐานทหาร ในอำเภอระแงะนราธิวาส  ในครั้งนี้ต้องสงสัยว่าเป็น การย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีก่อน  เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547วันที่ 4 มกราคม 2547  "วันเสียงปืนแตก" โดยคนร้ายก่อเหตุเผาโรงเรียน 20 แห่ง ใน จ.นราธิวาส  ซึ่งเชื่อว่าเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ  เพื่อเข้าปล้นปืนจากกองพันพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส การจู่โจมครั้งนี้คนร้ายได้อาวุธปืนของทางราชการไปเป็นจำนวนมากอันมีปืนไรเฟิล 400 กระบอก ปืนพก 20 กระบอก ปืนกล 2 กระบอก


-
-
ซึ่งปัจจุบัน ก็ยังไม่สามารถเอาคืนกลับมาได้หมดและมีทหารเสียชีวิต 4 นาย นั่นทำให้รัฐบาลเสียหน้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ไม่พอใจเป็นอย่างมาก กล่าวตำหนิทหารที่ไม่ระมัดระวัง และถึงกับพูดว่า "ถ้าคุณมีกองทหารทั้งกองพันอยู่ที่นั่น แต่คุณก็ยังไม่ระวังตัว ถ้าอย่างนั้นก็สมควรตาย"
-
-
การดำเนินงานของคนร้ายที่ก่อเหตุในการโจมตีฐานทหารที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 19 ม.ค. ที่ผ่านมา คนร้ายได้มีการเตรียมการมาอย่างดี โดยน่าจะมีกลุ่มผู้กอ่เหตุในครั้งนี้ประมาณ 50 คนพร้อมอาวุธครบมือ และคาดว่าคนร้ายกลุ่มนี้น่าจะได้อาวุธไปกว่า 50 กระบอก คือ อาวุธปืนอูซี่ 14 กระบอก เอ็ม 16 A2 30 กระบอก ปืนกลสำหรับติดตั้งบนรถยนต์วีว่า 2 กระบอก  กระสุนชนิดต่างๆอีก 4 พันกว่านัด ถูกปล้นไป ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ทหาร 4 นายเสียชีวิตรวมทั้ง ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ ผบ.ร้อย ร.15121 ฉก.นราธิวาส ที่ 38 หัวหน้าฐาน  และยังมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
-
-
เจ้าหน้าที่กองทัพภาคที่ 4 ได้กล่าวถึงการโจมตีในครั้งนี้ว่า เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่ภายในฐานกำลังพักผ่อนหลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ  กลุ่มคนร้ายได้วางแผนการดำเนินงานมาอย่างดี  โดยกระจายกำลังและแบ่งการทำงาน  โดยคนร้ายประมาณ 10 คน ได้โจมตีบริเวณด้านฐานซึ่งมีทหารยามอยู่ หลังเกดเหตุพบว่าคนร้ายต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าหน้าที่ เพราะทหารส่วนใหญ่รีบมุ่งหน้าไปป้องกันทางด้านหน้าของฐานที่กำลังถูกโจมตี ขณะที่กลุ่มคนร้ายอีกส่วนประมาณ 20 คนเข้าจู่โจมอย่างรวดเร็วโดยบุกเข้ามาทางด้านหลังของฐาน ซึ่งไม่มีการป้องกันอะไรเป็นพิเศษ ทำให้คนร้ายสามารถเข้าโจมตีฐานและขโมยอาวุธปืนของทางการไปได้สำเร็จ

นอกจากนี้ กลุ่มคนร้ายยังได้ทำการสกัดเส้นทางการเดินทางเข้าไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่  โดยการตัดต้นไม่ขวางถนน โปรยตะปูเรือใบ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องจัดกำลังโดยใช้เฮลิครอปเตอร์บินไล่ล่าคนร้าย  หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้กระจายกำลังค้นหาไล่ล่ากลุ่มคนร้าย ซึ่งคาดว่าน่าหลบหนีและกบดานอยู่ในพื้นที่ รวมทั้งควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเข้ามาสอบปากคำ

เห็นได้ชัดเจนว่า  จุดประสงค์หลักของการโจมตีในครั้งนี้  คือ ความต้องการยึดอาวุธ  และการท้าทายอำนาจรัฐบาลโดยแสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบยังคงมีศักยภาพและพร้อมที่จะก่อเหตุในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้

-
-
ห่างจากเหตุการณ์คนร้ายถล่มฐานทหารที่  นราธิวาสไม่ถึงสัปดาห์ (25 มกราคม 2554)  ความรุนแรงของสถานการ์ใต้ดูจะวุ่นวายมากขึ้น เมื่อได้เกิดเหตุบนถนนสาธารณะระหว่างอ.ยะหาและอ.กาบัง  จ.ยะลา  แรงระเบิดอานุภาพสูงทำให้รถกระบะขาดสองท่อนมีผู้เสียชีวิตทันทีเจ็ดคนและต่อมาเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีกสอง คน รวมมีผู้เสียชีวิต 9 คน และบาดเจ็บอี ก 2 คน ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่เดินทางกลับจากไปหาของป่าในพื้นที่ ต.บาโร๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา จากการตรวจสอบทั้งหมดเป็นชาวไทยพุทธ ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย จ.ยะลา

ในขณะที่รัฐบาลก็ได้ออกมาประชาสัมพันธ์ ว่า สถานการณ์ดีขึ้น ขณะความรุนแรงที่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งสองอย่างดูจะเป็นเงาในทางกลับกันอย่างสิ้นเชิง

แอนโธนี เดวิส (Anthony Davis) นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคง ที่ทำงานให้แก่ ไอเอชเอส-เจนส์ (IHS-Jane''s) กล่าวว่า การโจมตีฐานทหารที่ระแงะนั้น ดูจะเป็นการเปิดเฟส การทำงานใหม่อีกครั้งของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งการก่อเหตุในครั้งนี้คนร้ายมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน ซึ่งนอกจากจะเป็นการปล้นอาวุธแล้ว นี่ยังถือการส่งสัญญาณบางอย่างถึงรัฐบาลว่าไม่ควรประมาทพวกเขา
-
-

ล่าสุดคนร้ายได้วางระเบิดชุดคุ้มครองพระที่ปัตตานี  เป็นเหตุเจ้าหน้าที่ทหารรวมทั้งพระสงฆ์  ต่างได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดในช่วงเช้า ของวันที่ 28 ม.ค.54 ที่ผ่านมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวกำลังปฏิบัติหน้าที่คุ้มครองพระสงฆ์ออกบิณฑบาตมาตามถนนโรงเหล้า ภายในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี  เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุคนร้ายได้จุดชนวนระเบิดขึ้น แรงระเบิดทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บดังกล่าว ซึ่งกล้องวงจรปิดบริเวณดังกล่าวสามารถจับภาพคนร้ายไว้ได้ แต่คนร้ายสวมหมวกกันน็อกปิดบังทำให้เป็นการยากต่อการติดตาม และรวมไปถึงเหตุการณ์ยิงฆ่ารายวันในพื้นที่ 3  จว.ภาคใต้ถี่เกิดขึ้นถี่ในเวลานี้

ท่ามกลางศึกทุกด้านที่เข้ามาประชิดรัฐบาล ดูเหมือนรัฐบาลเองก็ต้องตอบคำถาม  ของฝ่ายค้าน ที่ลงความเห็นว่า รัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหาภาคใต้ ...

โดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี  ได้กล่าวว่า สถานการณ์ในพื้นที่ดีขึ้น แต่ก็คงจะไม่สามารถยุติได้ในวันนี้ ``มันไม่ได้เป็นเช่นการปิดไฟ และการก่อความไม่สงบเกิดขึ้นเป็นเวลาหลายปี [ตั้งแต่ปี 2547]เราจะต้องใช้เวลาในการแก้ไขมัน.''

แนวทางการเจรจา  น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยบรรเทาสถานการณ์ลงได้บ้าง  บางคนบอกอาจเสียหน้าถ้าต้องเจรจากลุ่มผู้ก่อการร้าย  ที่จริงไม่รู้ว่ากลัวเสียหน้าที่ต้องเจรจา หรือเสียหน้าที่ยังตอบไม่ได้ว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายเป็นใคร....

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

ไทยพุทธออกไป


วิบากกรรมไทยพุทธปลายด้ามขวาน

จากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวพุทธ ในหมู่บ้านฮูแตยือลอ หมู่ ต.บาเร๊ะใต้ อ.บาเจาะจ.นราธิวาส ทำให้มีผู้เสียชีวิต จำนวน คน ประกอบด้วย1.นายชื่น คงเพ็ชร อายุ 83 ปี2.นายเจริญศีลป์ บุญทอง อายุ47 ปี 3.นางสมศรี บุญทอง อายุ58 ปี และ 4.นางห้อง คงเพ็ชร์ อายุ 76 ปี ผลการชันสูจน์ศพ พบว่า ศพของผู้เสียชีวิตทั้ง คน นอนเสียชีวิตในท่านั่งคุกเข่าหมอบฟุบร้องขอชีวิต แต่ถูกคนร้ายใช้ปืนจ่อยิงที่ศีรษะจนเสียชีวิตเหมือนกันทั้ง คน และมีเด็กน้อย คนที่หนีเอาชีวิตออกมาได้

ตลอดห้วงเวลาเกือบ ปีของสถานการณ์ไฟใต้จะคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 4,000 รายโดยเป้าหมายของความโหดร้ายทารุณ เกิดกับประชาชนคนไทยพุทธ และเหตุร้ายที่เกิดกับคนไทยพุทธแทบทุกครั้งล้วนมีนัยยะของการกดดันขับไล่ให้ พ้นแผ่นดินเกิด จึงทำให้ข่าวคราวการฆ่าสังหารคนไทยพุทธในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แท้จริงแล้วก็เป็นเรื่องราวเล่ห์เหลี่ยมของโจรใต้ ที่ได้รับการขยิบหู ขยิบตาจาก สส.ในพื้นที่ หรือแม้แต่ผู้ที่กุมอำนาจรัฐอยู่ในปัจจุบัน
ข้อมูลจากศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน กองบัญชาการผสมพลเรือนตำรวจทหาร (ศจฉ.พตท.) ณ สิ้นเดือน ส.ค.2553 ระบุว่า ยอดผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงนับตั้งแต่ ม.ค.2547 เป็นต้นมา มีผู้เสียชีวิตมากถึง 4,036 ราย แยกเป็นศาสนาพุทธ 1,658 ราย อิสลาม 2,263 ราย ไม่ระบุศาสนา 115 ราย บาดเจ็บรวม 7,085 ราย แยกเป็นศาสนาพุทธ 4,347 ราย อิสลาม 2,255 ราย และไม่ระบุศาสนาอีก 483 ราย
จากข้อมูลย่อมชัดเจนว่าคนทุกกลุ่ม ทุกศาสนาหนีไม่พ้นการตกเป็นเป้าสังหาร แต่หากคิดตามสัดส่วนของคนไทยพุทธที่มีอยู่ในสามจังหวัดซึ่งมีประชากรทั้งหมดราว 1,800,000 คนแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าอัตราความสูญเสียบนคราบเลือดและน้ำตาของชาวไทยพุทธพุ่ง สูงอย่างน่าตกใจจริง ๆ
และเหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธสงครามเอ็ม 16 บุกยิงชาวไทยพุทธเสียชีวิตถึง ราย ทั้งยังจุดไฟเผาบ้านจนวอดอีก หลัง เมื่อกลางดึกของคืนวันเสาร์ที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ในท้องที่บ้านฮูแตยือลอ หมู่ ต.บาเร๊ะใต้ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ก็ได้กระตุกให้สังคมไทยหันมาตื่นตระหนกกับชะตากรรมของพี่น้องไทยพุทธใน พื้นที่อีกครั้ง
ที่สำคัญทั้งหมดเป็นไทยพุทธครอบครัวสุดท้ายในหมู่บ้านฮูแตยือลอ...

ปฏิเสธ ไม่ได้ว่าสถานการณ์ของพี่น้องไทยพุทธในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้และ อำเภอของ จ.สงขลา อยู่ในภาวะวิกฤติอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในบริบทการตกเป็นเป้าของกลุ่มก่อความไม่สงบเพื่อขับไล่ให้พ้น พื้นที่ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งล่าสุดนี้ที่บ้านฮูแตยือลอไม่ใช่ครั้งแรก
ย้อนกลับไปเมื่อไม่นานมานี้ คือช่วงระหว่างเดือน พ.ค.-ก.ค.2553 หรือราวๆ เดือนกับ 11 วัน เกิดเหตุระเบิดในสวนยางพาราในท้องที่ อ.ธารโต จ.ยะลา ทั้งสิ้น ครั้ง ระเบิด ลูก มีผู้เสียชีวิตทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้านรวม ราย บาดเจ็บสาหัสถึงขั้นขาขาดอีก ราย โดยสวนยางพาราที่เกิดเหตุล้วนเป็นสวนของชาวไทยพุทธ
สุรชัย วงค์ศุภลักษณ์ นายอำเภอธารโต ยอมรับว่า สาเหตุของระเบิดถี่ยิบในท้องที่ อ.ธารโต มาจากเรื่องไล่ที่ ซึ่งมีมานานแล้ว เป็นการรังควาญคนไทยพุทธไม่ให้ทำมาหากินสะดวกด้วยวิธีกดดันหลายวิธี ทั้งใช้อาวุธปืนไล่ยิง เผาบ้านชาวบ้าน กระทั่งล่าสุดหันมาลอบวางระเบิด โดยใช้กับระเบิดแบบเหยียบ
อ.ธารโต ยังถูกบันทึกเอาไว้ด้วยว่า เมื่อปลายปี 2549 เคยเกิดเหตุรุนแรงในลักษณะยิงแล้วจุดไฟเผาทั้งบ้านทั้งคน ทำให้ชาวบ้านไทยพุทธนับร้อยชีวิตจากบ้านสันติ และ ท้องที่ ต.เขื่อนบางลาง อ.บันนังสตา และ ต.แม่หวาด อ.ธารโต ซึ่งเป็นเขตติดต่อกัน ต้องอพยพหนีตายไปอาศัยอยู่ที่วัดนิโรธสังฆารามในเขต อ.เมืองยะลา เป็นเวลานานหลายเดือน
ขณะที่เหตุการณ์ฆ่าหมู่ไทยพุทธในท้องที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ก็ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกที่บ้านฮูแตยือลอ แต่เมื่อวันที่ เม.ย.ปีเดียวกันนี้เอง คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธสงครามทั้งเอ็ม 16และอาก้าสังหารพรานป่า คนเสียชีวิตอย่างอนาถคารถกระบะบริเวณเชิงเขาบูโด ท้องที่บ้านบาดง หมู่ ต.บาเจาะ อ.บาเจาะ โดยทั้งหมดเป็นชาวไทยพุทธ
และเหตุการณ์ฆ่าหมู่ไทยพุทธในลักษณะคล้ายๆ กัน ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วที่ ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา เมื่อคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธสงครามโจมตีรถตู้โดยสารสายเบตง-หาดใหญ่ และสังหารคนไทยพุทธทั้งหมดที่นั่งมาในรถรวดเดียวถึง ศพ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 14 มี.ค.2550
สำรวจชุมชนไทยพุทธ..นับสิบ แห่งร่อยหรอ-ใกล้ร้าง
การ ก่อเหตุรุนแรงกับคนไทยพุทธครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งข่มขู่ คุกคาม เผา และสังหาร ทำให้พี่น้องไทยพุทธจำนวนไม่น้อยต้องอพยพออกจากพื้นที่ หลายชุมชนซึ่งเคยเป็นย่านการค้า หรือเป็นกลุ่มบ้านที่คนไทยพุทธกับมุสลิมเคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขเริ่มแปร เปลี่ยนไป บ้านเรือนและร้านรวงที่เป็นของคนไทยพุทธหรือคนไทยเชื้อสายจีนเริ่มร้าง บางชุมชนเหลืออีกไม่กี่ครอบครัวเป็นชุดสุดท้ายขณะที่บางชุมชนไม่เหลือเลย
ชุมชนในพุทธในพื้นที่ซึ่งถูกคุกคามอย่างหนักด้วยการก่อเหตุรุนแรงทุก รูปแบบ พบว่ามีนับสิบชุมชนที่คนไทยพุทธร่อยหรอเต็มที...
เริ่มจาก จ.ยะลา ได้แก่
1) ชุมชนสามแยกบ้านเนียง อ.เมืองยะลา ซึ่งเป็นสามแยกจุดตัดของถนนสายปัตตานี-ยะลาหากเดินทางมาจากปัตตานี เมื่อถึงสามแยกนี้ เลี้ยวซ้ายจะเข้าเขตเมืองยะลา เลี้ยวขวามุ่งหน้า อ.ยะหาทะลุออก อ.สะบ้าย้อย และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาได้ เดิมทีมีคนไทยพุทธเปิดร้านขายของอยู่หลายร้านแต่ปัจจุบันย้ายถิ่นฐานไปหมดแล้ว
2) หลายตำบลของ อ.บันนังสตา โดยเฉพาะ ต.เขื่อนบางลาง และ อ.ธารโต โดยเฉพาะ ต.แม่หวาด ซึ่งเกิดเหตุรุนแรงถี่ยิบ ทั้งลอบยิง ลอบวางระเบิด ดังที่กล่าวไปแล้วในตอนต้น
3) ต.ตะโล๊ะหะลอ อ.รามัน ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ของการคมนาคมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะจากจุดนี้สามารถเดินทางต่อไปได้ทั้ง จ.ปัตตานี และนราธิวาส ซึ่งอำเภอโดยรอบล้วนเป็นพื้นที่สีแดง ครอบครัวไทยพุทธแทบไม่มีเหลือ
จ.ปัตตานี ได้แก่
1) ต.บ้านนอก ต.บ้านกลาง และ ต.ปะนาเระ อ.ปะนาเระ ซึ่งคนไทยพุทธตกเป็นเป้าความรุนแรงหลายต่อหลายครั้ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ก.ค.2553 คนร้ายเพิ่งก่อเหตุยิง นางนฤมล ปราโมทย์ไพบูลย์ หรือ "พี่นิ้ง" เจ้าของร้านชำใน ต.ปะนาเระ เสียชีวิตคาร้าน ซ้ำรอยสามีซึ่งถูกสังหารในลักษณะเดียวกันเมื่อปลายปี 2549
2) ต.ปากล่อ อ.โคกโพธิ์ ซึ่งเป็นเขตติดต่อกับ จ.ยะลา จริงๆ แล้ว อ.โคกโพธิ์ เคยได้รับการกล่าวขวัญให้เป็นอำเภอสันติสุขอำเภอหนึ่งในสามจังหวัด และมีชาวไทยพุทธกับชาวไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากร่วมกับพี่น้อง มุสลิม ผู้นำระดับท้องถิ่นหลายรายก็เป็นคนไทยพุทธ แต่ระยะหลังเกิดเหตุรุนแรงบ่อยครั้ง โดยเฉพาะกับคู่สามีภรรยาสูงอายุ มักถูกดักยิงระหว่างเดินทางไปกรีดยางพารา
จ.นราธิวาส ส่วนใหญ่เป็นชุมชนย่านการค้า ได้แก่
1) ชุมชนบ้านต้นไทร ในเขตเทศบาลตำบลปะลุกาสาเมาะ อ.บาเจาะ
2) ชุมชนบ้านดุซงญอ อ.จะแนะ
3) ชุมชนบ้านลาโล๊ะ หลังสถานีรถไฟลาโล๊ะ ต.ลาโล๊ะ อ.รือเสาะ
4) ชุมชนในตลาดเทศบาลตำบลยี่งอ อ.ยี่งอ ร้านค้าหลายร้านของคนไทยพุทธแขวนป้ายขาย
ชาวบ้านสะอื้น...ต้องอยู่ เพราะไม่มีที่ไป
"ครอบ ครัวของผมเป็นครอบครัวชาวบ้านไทยพุทธชุดสุดท้ายที่อยู่ในหมู่บ้านฮูแตยือลอ ซึ่งมีเพียง หลังเท่านั้นที่ยังรักบ้านเกิดและยอมทนอยู่มานานมากกว่าคนอื่นที่เขาอพยพไป กันหมดแล้วหลังเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ หมู่บ้านนี้ก็จะไม่มีชาวไทยพุทธเหลือเลย ผมก็ไม่กล้าอยู่เหมือนกัน จะขอย้ายไปอยู่ที่อื่น และจะไม่กลับมาอีก เพราะไม่กล้าเอาชีวิตมาทิ้งให้เขาฆ่าเล่นแบบนี้" เป็นเสียงของ นายเจียม คงเพชร ลูกชายของ นายชื่น กับ นางห้อง คงเพชร สองใน ไทยพุทธที่ถูกจ่อยิงและเผาบ้านอย่างโหดเหี้ยมเมื่อคืนวันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา
แต่ความรู้สึกหวาดหวั่นถึงขั้นขวัญผวาเช่นนี้ ไม่ได้เกิดกับนายเจียมซึ่งเพิ่งประสบเหตุร้ายเข้ากับครอบครัวของตัวเองเป็น รายล่าสุดเท่านั้น ทว่าพี่น้องไทยพุทธในอีกหลายๆ พื้นที่ก็มีความรู้สึกเลวร้ายไม่ต่างกัน
นักธุรกิจสาวรายหนึ่งในพื้นที่ จ.ยะลา ซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ เล่าให้ฟังทั้งน้ำตาว่า ในช่วงเวลา 5-6 ปีมานี้ เธอต้องสูญเสียบิดา แม่เลี้ยง พี่ชาย อา น้า และลูกน้อง ไปกับเหตุการณ์ความรุนแรง
"ไทยพุทธที่ยังอาศัยอยู่ในพื้นที่ตอนนี้ บอกได้เลยว่าเหลือเฉพาะกลุ่มที่อ่อนแอ ไม่รู้ว่าจะย้ายไปไหนดี ถ้าจะไปจากพื้นที่บ้านเกิดตรงนี้ก็ไม่มีที่ไป ส่วนคนที่มีที่ไป เขาบินกันไปนานแล้ว โดยส่วนใหญ่จะย้ายไปเมื่อเหตุการณ์มาโดนเข้ากับตัวหรือคนในครอบครัว เช่น พ่อโดนยิง ลูก 3-4 คนก็จะย้ายและพาครอบครัวหนี ปล่อยบ้านทิ้งร้างเอาไว้ บ้างก็ประกาศขาย แต่บางรายก็ขายไม่ออก ต้องจำใจทิ้งเพราะกลัว ทุกคนเสียดายแต่ก็ไม่มีทางเลือก คิดว่าถ้าอยู่ก็ต้องเป็นฝ่ายโดนกับตัวเองเข้าสักวัน" นักธุรกิจสาวกล่าวพลางสะอื้น จนต้องหยุดพูดเป็นช่วงๆ
เธอเผยความรู้สึกอีกว่า ถ้าจะถามว่ากลัวไหม ขอบอกว่าสุดขีด เกินกว่าคำว่ากลัว แต่ก็ต้องทนอยู่เพราะเป็นคนในพื้นที่ ทำธุรกิจมานานหลายชั่วอายุในลักษณะรุ่นสู่รุ่น ทั้งยังต้องเป็นหลักให้กับพี่น้องคนอื่นๆ บอกตรงๆ ทุกวันนี้ต้องทำตัวให้ดูเข้มแข็ง ทั้งที่ข้างในแอบร้องไห้ตลอดเวลา
"อยากฝากถึงเจ้าหน้าที่ให้เร่งสำรวจพื้นที่เสี่ยง แล้วเข้าไปช่วยเหลือประชาชน วางมาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่งต้องทำตลอด ไม่ใช่ทำแค่เฉพาะตอนเกิดเหตุ หรือจ่ายเงินเยียวยาแล้วหายไปเลย ไม่เคยถามเลยว่าเราจะดำเนินชีวิตอย่างไร จะอยู่อย่างไร เวลานี้ประชาชนต้องการที่พึ่ง แต่ไม่รู้จะไปพึ่งใคร การส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองขอให้ส่งคนดีๆ ลงมา และต้องทำงานในพื้นที่จริงๆ ไม่ใช่พอเกิดเหตุขึ้น พี่น้องประชาชนตามหาไม่เคยเจอสักครั้งเดียว" เธอกล่าวและร้องไห้ออกมาอีก

วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

ข้อคิดจากดซงญอ


ข้อคิดจาก "ดุซงญอ"

           เหตุระเบิดที่ร้านขายของชำ หมู่ 1 ต.ดุซงญอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมาคนร้ายใช้วิธีการจี้ชิงทรัพย์และทำร้าย นางวิลาวัลย์ สันติตระกูล เจ้าของร้านจนสลบ

         จากนั้นวางระเบิดแสวงเครื่องที่บรรจุไว้ในถังแก๊สปิกนิค น้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัมซุกรอเจ้าหน้าที่!!! และ็เป็นตามแผน..ทันทีที่เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเหตุ็ ได้รีบนำกำลังไปตรวจสอบสถานทีุ่ พร้อมๆกับชาวบ้านที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุต่างมุงดูด้วยความสนใจ และในนาทีนั้นคนร้ายที่แฝงตัวอยู่ในบริเวณใกล้จุดเกิดเหตุ ฉวยโอกาสขณะที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังตรวจสอบสถานที่ กดรีโมทคอนโทรลจุดระเบิดขึ้นทันที ผลคือมีผู้เสียชีวิต 5 ศพ ผู้บาดเจ็บ 16 คน!! เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติงานทั้งชุด 12 นายได้รับบาดเจ็บกันถ้วนทั่ว มากบ้างน้อยบ้างอยู่ที่ใครใกล้จุดระเบิดมากกว่ากัน

         เจ้าหน้าที่เหล่านี้ได้ทำหน้าที่ดูแล ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อย่างเต็มความสามารถ เขาเหล่านี้ เสียสละเพื่อประชาชนทุกวินาที และอาจจะเกิดเหตุความรุนแรงได้ทุกขณะเขาย่อมรู้ดี

        แต่ที่สิ่งที่น่าสลดใจในเหตุการณ์ครั้งนี้ นั่นคือผู้ที่เป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ทั้งพุทธและมุสลิมเสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ถึง 5 ศพ ยิ่งไปกว่านั้นพบว่ามีเด็กๆ ที่เป็นลูกหลานพี่น้องมุสลิมที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระบิด 2 คน อาการสาหัส 1 คนคือเด็กชายสาริช มะรอนิง อายุเพียงแค่ 10 ขวบถูกสะเก็ดระเบิดฝังบริเวณศรีษะหมอต้องเร่งผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตอย่างเร่งด่วน และต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

         เหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบเมื่อต้นปี 2547 เป็นต้นมานับร้อยครั้งมีผู้บาดเจ็บล้มตายนับพันคนและผู้ที่ตกเป็น เหยื่อของเป้าโจมตีของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเป็นประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้ง พุทธและมุสลิมเกินกว่าครึ่งในจำนวนนี้เป็นเด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยที่โดนลูกหลง 

        เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็เช่นกันเชื่อว่าคนร้ายที่สังเกตการณ์ก่อนที่จะ ลงมือกดรีโมทจุดชนวนระเบิดต้องเห็นความเคลื่อนไหวโดยตลอดและก็เห็นด้วยว่ามี เด็กรวมอยู่ในสถานที่แห่งนั้นด้วยอย่างแน่นอนแต่ก็ยังทำได้ลงคอ!! จิตใจทำด้วยอะไรถึงได้เลือดเย็นและโหดเหี้ยมเหมือนคนไร้ศาสนา ทั้งๆที่พยายามสร้างภาพให้สังคมทั่วไปเห็นว่าเคร่งครัดในหลักศาสนา แต่กลับใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือบิดเบือนครอบงำเยาวชนให้หลงผิดแล้วใช้เป็น เครื่องมือทำร้ายผู้บริสุทธิ์ไม่เว้นแม้กระทั้งเด็ก สตรี หรือคนชรา..

        นี่หรือผู้ที่คิดจะมาแบ่งแยกดินแดนปกครองเองและสมมุติว่าหากเป็นไป ได้เช่นนั้นจริงๆ คงมิต้องใช้อำนาจเถื่อนไล่ฆ่าผู้คนที่เห็นแย้งกับหลักการของพรรคพวกกลุ่มตน อย่างงั้นหรือ

       คำถามลอยลมไปยังพี่น้องชายแดนใต้ว่ายังเห็นคนกลุ่มนี้มีความชอบธรรมอยู่อีกหรือ ที่เรียกร้องสิ่งที่ต้องการโดยใช้วิธีการสร้างความรุนแรง โดยไม่คำนึงว่าผู้ได้รับผลกระทบจะเป็นใคร..เด็กหรือผู้หญิง ครอบงำบุตรหลานของพี่น้องมุสลิม แล้วใช้เป็นเครื่องมือเข่นฆ่าพี่น้องมุสลิมด้วยกันเองอย่างไร้เหตุผล อย่างนี้เขาไม่เรียกว่านักรบ เพราะคำว่า "นักรบ" หมายถึงเป็นผู้ที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี จะกระทำการตอบโต้ก็เฉพาะผู้ที่เป็นศัตรูที่รุกรานเท่านั้น 

        แต่ในขณะเดียวกันเขาจะปกป้องผู้บริสุทธิ์ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่พฤติกรรมที่ผ่านมาของคนกลุ่มนี้ที่เรียกตัวเองว่า "นักรบฟาฏอนี" กลับมีค่าในสายตาของประชาชนสังคมชายแดนใต้ได้แค่โจรกลุ่มหนึ่งที่ก่อกวนชาวบ้านไปวันๆ ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า 

        ที่ผ่านมาพบว่ามีกลุ่มแนวร่วมที่เป็นเยาวชนบางคนติดยาเสพติดรับจ้างก่อเหตุแลกเศษเงินซื้อยาเสพเพียงเล็กน้อย และยิ่งร้ายไปกว่านั้น พวกนี้จะเสี้ยมสอนให้ทำร้ายคนทุกคนโดยไม่เลือกหน้า แม้ว่าคนเหล่านั้นอาจเป็นญาติพี่น้องตนเอง!!

       ถึงเวลานี้แล้วเราอย่าปล่อยให้สังคมชายแดนใต้ที่เคยมีแต่ความสงบสุขร่มเย็น เสียหายผู้คนล้มตายไปมากกว่านี้เลย เชื่อว่าไม่มีพลังใดที่จะต้านพลังความสามัคคีได้ และถ้าหากพวกเราพี่น้องชายแดนใต้ทุกผู้ทุกนามจะร่วมผนึกกำลังกันสร้างสันติสุข ให้คืนกลับมาอีกครั้งคงทำได้ไม่ยาก

       เพียงแต่ทุกคนมีเจตนาร่วมกันลดความหวาดระแวง" เลิกกลัวเกรงพวกโจรก่อกวนเหล่า"นี้แล้วช่วยกันดูแลบุตรหลานป้องกันไม่ให้ตกเป็น เครื่องมือของคนพวกนี้  ร่วมมือกันแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ดึงบุตรหลานที่หลงผิด ออกมาจากวงจรอุบาทว์ ก่อนที่จะถลำไปไกลเกินกว่าที่จะแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งทางราชการพร้อมและยินดีต้อนรับผู้ที่จะมาร่วมกันพัฒนา ร่วมสร้างสันติสุขตลอดเวลา พร้อมทั้งให้โอกาสในการประกอบอาชีพและความเป็นอยู่ในทุกด้านอย่างเท่าเทียม กันทุกคนเฉกเช่นคนไทยในผืนแผ่นดิน

      เมื่อสังคมเปิดโอกาสให้ถึงขนาดนี้แล้วเราจะเอาเลือดเนื้อชีวิตของลูกหลานไปเซ่นสังเวยเป็นสะพานให้คนเพียงหยิบมือที่มักใหญ่ใฝ่สูงก้าวย่ำไปเสพสุขกับสิ่งที่แลกมาด้วยชีวิตของลูกหลานเรา เราจะยอมอย่างนั้นหรือ...?

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

ทหารไทยล่อเป้าให้สอย

กลุ่มก่อไฟใต้ กดจักรยานยนต์บอมบ์ดักสังหารที่อ.บาเจาะ "จ.ส.อ.ประยูร ขุนสวัสดิ์-จ.ส.อ.จำลอง ภิรมย์สุข" บาดเจ็บ เมื่อเวลา 09.20 น. พ.ต.ท.ประทีป สุขสาร สารวัตรเวร สภ.บาเจาะ จ.นราธิวาส รับแจ้งเหตุคนร้ายวางระเบิด จักรยานยนต์บอมบ์ ดักสังหารทหาร สังกัดชุดสันติสุขที่ 405 บนถนนสายบ้านทอน-บาเจาะ ช่วงบ้านบือเร๊ะ ต.บาเร๊ะใต้ ทหารบาดเจ็บ 2 นาย จึงพร้อมด้วย น.ท.รัฐโรจน์ อภิรัชช์รัศมี ผบ.ฉก.นราธิวาส 32 พ.ต.ท.จันที แจ่มจันทร์ หน.กองพิสูจน์หลักฐานจ.นราธิวาส และกำลัง ตำรวจ ทหาร รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบซากรถจยย. ยามาฮ่า รุ่นเมท สีน้ำเงิน ไม่ติดป้ายทะเบียนที่คนร้ายใช้เป็นพาหนะแฝงระเบิด ชิ้นส่วนกระจายเกลื่อน และพบชิ้นส่วนระเบิดแสวงเครื่องประกอบในท่อเหล็กน้ำหนัก 10 ก.ก. จุดชนวนด้วยวิทยุสื่อสาร ตกบริเวณถนนและพงหญ้าริมทางอีกจำนวนหนึ่ง ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 2 นายเพื่อนทหารได้นำตัวส่งรักษาโรงพยาบาลบาเจาะไปก่อนหน้าแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมหลักฐานในที่เกิดเหตุ ต่อมา จึงไปดูอาการผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาล ทราบชื่อ คือ จ.ส.อ.ประยูร ขุนสวัสดิ์ อายุ 55 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณแขนซ้าย กับ จ.ส.อ.จำลอง ภิรมย์สุข อายุ 49 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณลำตัว จากการสอบสวนก่อนเกิดเหตุ ร.ต.พงศธร เฟื่องปาง หัวหน้าชุดนำกำลัง 5 นายนั่งรถยนต์กระบะและรถจักรยานยนต์ 2 คัน ออกจากฐานตั้งอยู่ภายในวัดอุไรฯ เพื่อเดินทางไปทำมวลชนและพบปะชาวบ้านในพื้นที่ตำบลบาเร๊ะใต้ อ.บาเจาะ เมื่อถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายซึ่งแฝงตัวอยู่ได้ใช้วิทยุสื่อสารจุดชนวนระเบิด ที่นำไปผูกไว้บริเวณตะแกรงด้านบนของตัวเครื่องรถ จยย. ซึ่งคนร้ายนำไปจอดไว้ริมถนน และเกิดระเบิดขึ้นขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารขับและขี่รถ จยย.ผ่าน ส่งผลทำให้เจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บดังกล่าว
**********************************************************
ทหาร-ตร .ปะทะเดือดโจรใต้ที่ระแงะ หลังกลุ่มโจรปฏิบัติการโหด ใช้อาวุธสงครามระดมยิงถล่มฐานทหารร้อย ร.15121 ฉก.นรา ธิวาส ที่ 38 บ้านมะรือโบตก ทำให้ทหารพลีชีพ 5 นาย บาดเจ็บอีก 6 นาย และยังยิงตอบโต้กันดุเดือดอีกหลายนาที ก่อนคนร้ายจะล่าถอยโดยมีแนวร่วมบาดเจ็บไป 2 ราย ขณะที่กำลังหนุนทหารเข้าพื้นที่ลำบากเพราะโดนตะปูเรือใบสกัดตลอดทาง ต้องนำเฮลิคอปเตอร์มาสนับสนุน มาร์คเตรียมฟื้นศอ.บต.เต็มรูปแบบ โดยจะให้อำนาจเลขาฯ ศอ.บต.ย้ายขรก.ที่มีปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ได้

เมื่อ เวลา 20.30 น. วันที่ 19 ม.ค. พ.ต.อ. สุชาติ อัศวจินดารัตน์ ผกก.สภ.ระแงะ จ.นราธิ วาส รับแจ้งมีเหตุกลุ่มคนร้ายไม่ต่ำกว่า 10 คน พร้อมอาวุธปืนสงครามครบมือ บุกเข้าไปทางด้านหลังฐานปฏิบัติการทหาร ร้อย ร.15121 ฉก.นราธิวาส 38 ริมถนนสายยี่งอ-รือเสาะ ม.1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นรา ธิวาส ก่อนที่จะใช้อาวุธปืนยิงถล่มเข้าใส่เจ้าหน้าที่ทหาร ทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายนาย จึงพร้อมด้วยนายศุภวริศ เพชรกาฬ นายอำเภอระแงะ และกำลังตำรวจทหารฝ่ายปกครองจำนวนหนึ่งรุดเดินทางเข้าตรวจสอบ

เมื่อ ไปถึงพบผู้เสียชีวิต 5 ราย สภาพถูกกระสุนปืนที่ลำตัวหลายนัด ทราบชื่อ 2 ราย คือ ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ ผบ.ร้อย ร.15121 ฉก.นราธิวาส 38 ซึ่งเป็นหัวหน้าฐานปฏิบัติการดังกล่าว ส่วนอีกศพคือส.ท.อับดุลเลาะห์ ตาหยี และมีทหารได้รับบาดเจ็บรวม 6 นาย ประกอบด้วย จ.ส.อ.จินตนะ นุชตะมา ส.อ.ณัฐกิจ โพธิจันทร์ ส.อ.สุพล ชูศรี พลทหารสุคนธ์ สามาบุตร พลทหารธันวา ยอดแก้ว และพลทหารอารีย์บูดิง สาลี ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันลำเลียงผู้บาดเจ็บทั้งหมดนำส่งรักษาที่ร.พ. นราธิวาสราชนครินทร์

จากการสอบสวนทราบว่าก่อนเกิดเหตุ ร.อ.กฤช หัวหน้าฐานปฏิบัติการกำลังนั่งคุยกับลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชา ภายหลังเสร็จจากการร่วมแข่งขันกีฬาภายในฐาน มีกลุ่มคนร้ายไม่ต่ำกว่า 10 คนพร้อมอาวุธสงครามครบมือ แฝงตัวเข้ามาบริเวณด้านหลังฐานซึ่งเป็นป่ารกทึบ ก่อนที่จะใช้อาวุธปืนยิงถล่มเข้าใส่เจ้าหน้าที่ทหาร จนเกิดการยิงปะทะกันนาน 5 นาที ทำให้ร.อ. กฤชและลูกน้องเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บอีก 6 นายดังกล่าว โดยคนร้ายถูกกระสุนปืนของเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย และวิ่งหลบหนีไปทางด้านหลังฐาน ก่อนที่กลุ่มคนร้ายจะได้มีการโปรยตะปูเรือใบและตัดต้นไม้ขวางถนน เพื่อสกัดกั้นการติดตามไล่ล่าของเจ้าหน้าที่ ทำให้การเข้าไปช่วยเหลือทำได้ลำบากและล่าช้า จนต้องนำเฮลิคอปเตอร์มาสนับสนุน

ก่อนหน้านั้นเวลา 00.20 น. พ.ต.อ.พรพันธุ์ ทิ่มขำ ผกก.สภ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส รับแจ้งเหตุคนถูกยิงเสียชีวิต บนถนนในหมู่บ้านกะดี ม.1 ต.เชิงคีรี อ.ศรีสาคร จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารจำนวนหนึ่งไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบศพผู้เสียชีวิตคือนายอิบรอเฮ็ง สาแม อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8 ม.1 ต.เชิงคีรี มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนไม่ทราบขนาดที่ศีรษะ 2 นัด จึงนำศพส่งร.พ.ศรีสาคร

สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ ขณะที่นายอิบรอเฮ็งขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้าน มาถึงที่เกิดเหตุมีคนร้าย 2 คน ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ขับไล่ตามประกบ เมื่อสบโอกาสคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายได้ใช้อาวุธปืนจ่อยิง 2 นัด กระสุนถูกนายอิบรอเฮ็งเสียชีวิตดังกล่าว

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่จะให้มีการทบทวนการมีตำรวจภูธรภาค 9 และภาค 10 ว่า เป็นการทบทวนประเด็นการพยายามสร้างแรงจูงใจแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในลักษณะทวี คูณ ซึ่งต้องยอมรับว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานจำนวนมากได้ท้วงติงมาใน ลักษณะที่ไม่สมกับเจตนารมณ์ ตนกำลังให้หลายฝ่ายช่วยพิจารณา เมื่อถามถึงข่าวที่จะให้ยุบหรือรวมกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 และศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนกำลังให้ดูในเรื่องเชิงโครงสร้างอยู่

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ในเรื่องการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เช้าวันนี้ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องตามพ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดน ภาคใต้ ฉบับใหม่ มาพบ และจะประชุมคณะกรรมการดังกล่าวในวันที่ 24 ม.ค.นี้ เพื่อออกระเบียบ ซึ่งหนึ่งในระเบียบที่จะออกโดยเร็วคือ ระเบียบว่าด้วยการที่จะให้นำข้าราชการผู้ใดที่ปฏิบัติหน้าที่แล้วเป็นปัญหา ออกไปจากพื้นที่ ซึ่งผู้มีอำนาจสั่งย้ายคือเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายเเดนภา คใต้ (ศอ.บต.) ที่ขณะนี้มีผู้รักษาการอยู่ คือนายภาณุ อุทัยรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยกระบวนการสรรหาเลขาธิการศอ.บต.หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตามกฎหมาย ดังกล่าว จะมีทั้งสภาที่ปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งจะมีการให้ความเห็นชอบการออกระเบียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ในวันที่ 24 ม.ค.นี้ด้วย โดยการคัดเลือกผู้ทำหน้าที่เลขาธิการ ศอ.บต.นั้น ตนจะดูจากบุคคลที่เห็นว่ามีความเข้าใจในพื้นที่เป็นอย่างดี

เมื่อ ถามว่าการจะออกระเบียบใหม่ ที่ให้อำนาจเลขาธิการศอ.บต.สามารถสั่งย้ายข้าราชการระดับ 10 ลงมา ที่ปฏิบัติหน้าที่แล้วเป็นปัญหา ออกไปจากพื้นที่ เป็นการให้อำนาจมากเกินไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กฎหมายใหม่นี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะให้เราสามารถบริหารจัดการตรงนี้ได้ อย่างเป็นเอกภาพมากขึ้น เพราะความละเอียดอ่อนในการทำหน้าที่ของข้าราชการในพื้นที่นั้นมีมาก เห็นได้ชัดว่าช่วงใดที่การปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการเป็นไปอย่างมีเอกภาพ ปัญหาก็จะมีน้อย เงื่อนไขที่ฝ่ายตรงข้ามไปใช้ขยายผลคือเวลาที่เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ ถูกต้อง หรือมีลักษณะที่ไปรังแกประชาชน ดังนั้นเราต้องให้ความสำคัญตรงนี้เป็นพิเศษ เราก็ต้องมีวิธีการจัดการที่อาจต้องแตกต่างจากพื้นที่อื่น จึงเป็นที่มาของการเพิ่มอำนาจตรงนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังควบคุมสถาน การณ์ได้ เจ้าหน้าที่ตรวจพบว่าคนร้ายได้ใช้เครื่องยิงลูกระเบิด M 79 ยิงใส่ฐานกว่า 20 ลูก และระดมยิงด้วยอาวุธปืนอาก้า และปาระเบิดผลิตเองบรรจุในปลากระป๋อง จำนวนกว่า 10 ลูก นอกจากนี้ คนร้ายได้จุดไฟเผาที่พักในฐานทั้งหมด 4 หลัง รวมทั้งได้งัดคลังที่เก็บอาวุธปืน นำปืนของทางการไปด้วยจำนวนหลายสิบกระบอก


ปะทะเดือด - เจ้า หน้าที่นำร่างทหารหน่วย ฉก.นรา ธิวาส 38 อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งถูกกลุ่มโจรใต้บุกยิงถล่มค่ายก่อนปะทะกันดุเดือด ทหารเสียชีวิต 


*******************************************


21 ม.ค. 54

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดบริเวณใกล้กับ โรงเรียนป่าบอน หมู่ที่ 1 ตำบลป่าบอน อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เป็นเหตุให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดรักษาความปลอดภัยครู ได้รับบาดเจ็บ อาการสาหัส จำนวน 2 นาย ยังไม่ทราบชื่อ ถูกนำตัวส่ง โรงพยาบาลโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี ซึ่งขณะนี้ เจ้าหน้าที่ ได้นำกำลังเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว พร้อมเพิ่มกำลังเข้มทั่วทั้งจังหวัด 

*************************************************************************************




วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

กรณีมัสยิดกรือเซะ

กรณีมัสยิดกรือเซะ

Filed under: เหตุการณ์สำคัญ — admin @ 4:07 am

กรณีมัสยิดกรือเซะ

 

ผู้เรียบเรียง อรอนงค์ และ รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์

เหตุการณ์ที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อกรณีมัสยิดกรือเซะเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 บริเวณมัสยิดกรือเซะ ตำบลตันหยงลูโละ อำเถอเมือง จังหวัดปัตตานี มัสยิดกรือเซะเป็นโบราณสถานและมัสยิดเก่าแก่ของจังหวัดปัตตานี ความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนในค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 ซึ่งเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องดังกล่าว

ความเป็นมา

ก่อนเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะในวันที่ 28 เมษายน 2547 นั้น ได้มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อการก่อนหน้านั้น โดยในวันที่ 26 เมษายน 2547 กลุ่มคนประมาณ 30 คนได้ประชุมวางแผนเตรียมการโจมตีจุดตรวจมัสยิดกรือเซะที่บ้านนายฮามะ สาและ ซึ่งตั้งอยู่ที่ ควนโนรี อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี โดยมีบุคคลระดับแกนนำเข้าร่วมประชุมหลายคนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ความไม่สงบในหลายพื้นที่ในเขตจังหวัดปัตตานี ในวันที่ 28 เมษายน 2547
ในระหว่างการประชุมเตรียมการได้มีการกำหนดพื้นที่โจมตีหลายจุด ซึ่งรวมถึงจุดตรวจมัสยิดกรือเซะด้วย

ลำดับเหตุการณ์

วันที่ 27 เมษายน 2547 เวลาประมาณ 15.00 น. กลุ่มบุคคลประมาณ 30 คนแต่งกายในลักษณะบุคคลทั่วไปที่เดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจ ได้เดินทางโดยรถกระบะและรถเก๋ง พร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระไปยังมัสยิดกรือเซะ และได้นำกระเป๋าสัมภาระเข้าไปไว้ในมัสยิด ต่อมาเวลาประมาณ 17.00 ถึง 20.00 น. กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ทำละหมาดร่วมกัน โดยอุสต๊าซโซ๊ะได้พูดปลุกระดมให้มุ่งมั่นในการปฏิบัติการประกาศเอกราช และได้ทำการนัดหมายอีกครั้งว่า จะโจมตีจุดตรวจกรือเซะในเวลา 05.00 น. ของวันที่ 28 เมษายน 2547 เพื่อแย่งชิงอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่และให้หลบหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ภายในมัสยิด
เวลาประมาณ 20.00-20.30 น. กลุ่มชายประมาณ 20 คนแต่งกายในชุดดะอ์วะฮ์ได้เข้าไปรับประทานอาหารที่ร้านชื่อ “มะกาแม” ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านข้างมัสยิดทางทิศเหนือ ซึ่งคนกลุ่มดังกล่าวเดินทางมาจากสถานที่ต่างๆ กัน จากจังหวัดสงขลาและจังหวัดยะลา เวลาประมาณ 23.00 น. ได้มีชาย 2 คน ออกมาจากมัสยิด และนำรถจักรยานยนต์ขี่วนเวียนไปมาตามเส้นทางระหว่างมัสยิดและจุดตรวจกรือเซะ และหลังจากที่ได้กลับเข้าไปในมัสยิดแล้วชายทั้งสองก็ไม่ได้ออกมาจากมัสยิดอีก
เช้าตรู่วันที่ 28 เมษายน 2547 เวลาประมาณ 02.30 น. กลุ่มบุคคลที่เดินทางไปยังมัสยิดเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2547 ประมาณ 15-18 คนได้ออกมานั่งรวมกลุ่มกันที่ลานหน้ามัสยิดด้านทิศตะวันออก โดยคนในกลุ่มได้พูดคุยและแสดงท่าทางในลักษณะของการวางแผน โดยคนอีกกลุ่มจำนวน 6-8 คน ได้รวมกลุ่มกันที่ระเบียงทางขึ้นมัสยิดด้านทิศใต้ จากนั้นได้มีรถกระบะไม่ทราบยี่ห้อ สีน้ำเงินดำได้แล่นเข้ามาจอดบริเวณมัสยิดและมีกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งลงมาจากรถโดยบางคนแต่งกายชุดดะอ์วะฮ์เดินเข้าไปในมัสยิด
เวลาประมาณ 04.50 น. มีกลุ่มบุคคลที่มัสยิดประมาณ 30 กว่าคนได้แยกออกเป็น 2 กลุ่มกลุ่มละประมาณเกือบ 20 คน โดยกลุ่มที่หนึ่งเดินทางไปทางถนนด้านสถานีอนามัย อีกกลุ่มหนึ่งเดินไปทางถนนด้านทิศเหนือฝั่งเดียวกับที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลตันหยงลูโละมุ่งหน้าไปทางจุดตรวจกรือเซะ
ต่อมากลุ่มบุคคลประมาณ 32 คน ได้เดินมุ่งไปยังจุดตรวจกรือเซะฝั่งป้อมยามด้านสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ขณะเดียวกันนั้น สิบตำรวจเอก อันวาร์ เบ็ญฮาวัน สังกัดกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน 444 ซึ่งปฎิบัติหน้าที่อยู่ ณ จุดตรวจฯ ได้รับแจ้งเตือนจากทหารจำนวน 3 คนที่วิ่งมาจากจุดตรวจฝั่งสถานีอนามัยว่าให้ระวังกลุ่มบุคคลดังกล่าวด้วย และต่อมาทหารที่เหลืออยู่อีก 1 คน ที่อยู่ ณ จุดตรวจได้ถูกฟันทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ
กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบดังกล่าว ได้โจมตีป้อมตำรวจที่อยู่ใกล้ๆ กับมัสยิดกรือเซะ และได้มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร ผลจากการปะทะทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเสียชีวิต 3 นาย และบาดเจ็บ 17 นาย
หลังจากนั้นกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบทั้ง 32 คน ได้หลบหนี้เข้าไปภายในมัสยิดกรือเซะ พลเอก พัลลภ ปิ่นมณี รองผอ.กอ.รมน. ได้เดินทางไปถึงที่เกิดเหตุ มีประชาชนประมาณ 2,000-3,000 คน รวมตัวกันอยู่ที่บริเวณมัสยิด
เจ้าหน้าที่ปิดล้อมมัสยิดอยู่นานราว ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถึง 14.00 น.
ทางตำรวจทหารตัดสินใจบุกเข้าไปในมัสยิด ใช้ระเบิดมือและอาวุธ จนเป็นเหตุให้กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่อยู่ภายในมัสยิดทั้ง 32 คนเสียชีวิต

ผลกระทบจากเหตุการณ์

ข่าวการบุกเข้าไปสังหารกลุ่มบุคคลภายในมัสยิดกรือเซะแพร่กระจายไปทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่รัฐถึงการกระทำปราบปรามเกินกว่าเหตุ ดังนั้นเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รัฐบาลจึงได้ตั้งคณะกรรมการอิสระไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีมัสยิดกรือเซะ ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 104/2547 ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 ซึ่งประกอบด้วยคณะกรรมการจากหลายภาคส่วนได้แก่
1. นายสุจินดา ยงสุนทร อดีตเอกอัครราชทูตและอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เป็นประธานกรรมการ
2. นายอารีย์ วงศ์อารยะ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ทรงคุณวุฒิประจำจุฬาราชมนตรี
3. นายจรัญ มะลูลีม นักวิชาการมหาวิทยาลัย เป็นรองประธาน
4. นายภุมรัตน ทักษาดิพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เป็นกรรมการ
5. นายมหดี วิมานะ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงเตหะราน เป็นกรรมการ
6. นายอาศิส พิทักษ์คุมพล ประธานกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัดสงขลา เป็นกรรมการ
7. นายศักดิ์ทิพย์ ไกรฤกษ์ อดีตเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน เป็นกรรมการ


หลังจากมีการดำเนินการไต่สวนหาข้อเท็จจริงกรณีเหตุการณ์ที่มัสยิดกรือเซะ นายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.) ได้แถลงผลการสอบสวนเหตุการณ์กรณีกรือเซะและตากใบ เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2548

วันอังคารที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2554

กรณีตากใบ



            กรณีตากใบ เป็นเหตุการณ์สังหารหมู่ที่เกิดขึ้นที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ประเทศไทย เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2547 เหตุการณ์เริ่มจากการชุมนุมเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับผู้ประท้วงที่ก่อความไม่สงบที่ถูกจับกุม 6 คน และต่อมารัฐได้ใช้มาตรการในการสลายการชุมนุม จนนำไปสู่การจับกุมผู้ประท้วงและมีผู้เสียชีวิตระหว่างขนส่งผู้ต้องหา 84 ศพ และสูญหายอีกจำนวนมากกว่า 60 คน

            คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 335/2547 ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547    แต่งตั้งคณะกรรมการอิสระสอบข้อเท็จจริงกรณีมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาสได้กำหนดให้คณะกรรมการอิสระมีอำนาจและหน้าที่ในการสอบข้อเท็จจริงถึงพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้ความว่า การใช้อำนาจรัฐเข้าควบคุมสถานการณ์และความสงบเรียบร้อย การสลายการชุมนุม การต่อต้านขัดขืนการใช้อำนาจรัฐ การควบคุมตัวผู้ชุมนุมและการเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุม ตลอดจนเหตุแห่งการบาดเจ็บและเสียชีวิตมีสาเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร มีพฤติการณ์ประการใด กระทำไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย ระเบียบ หลักวิชาหรือมาตรฐานในการควบคุมหรือเคลื่อนย้ายบุคคลในสถานการณ์เช่นนั้นหรือไม่ ประการใด หากไม่เป็นไปตามนั้น มีผู้สมควรต้องรับผิดชอบประการใดหรือไม่ และมีมาตรการป้องกันตลอดจนช่วยเหลือหรือแก้ไขเยียวยาเพื่อบรรเทาความเสียหายแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างไร
ประเด็นพิจารณาของคณะกรรมการอิสระฯ


          ในการดำเนินการตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีดังกล่าว คณะกรรมการอิสระฯจึงมีมติกำหนดประเด็นเพื่อพิจารณาดังนี้ คือ
  • 1.การชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 มีการจัดตั้งหรือไม่
  • 2.ผู้ชุมนุมพกพาอาวุธมาด้วยหรือไม่
  • 3.มาตรการที่เจ้าหน้าที่ใช้ก่อนการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาสเป็นไปตามมาตรฐานและเหมาะสมหรือไม่
  • 4.เหตุผลในการสลายและวิธีการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาสเหมาะสมหรือไม่
  • 5.การควบคุมตัวผู้ชุมนุมทั้งหมดเหมาะสมและกระทำได้ตามกฎหมายหรือไม่
  • 6.การเลือกใช้ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เพื่อควบคุมตัวผู้ถูกควบคุมเหมาะสมหรือไม่
  • 7.การเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมจาก สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี มีมาตรฐานหรือไม่
  • 8.การใช้เวลาในการเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมจาก สภ.อ.ตากใบ จนกระทั่งนำผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุก ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เหมาะสมหรือไม่
  • 9.การดูแลผู้ถูกควบคุม ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เป็นไปอย่างเหมาะสมหรือไม่
  • 10. มีผู้สูญหายจากเหตุการณ์ในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 หรือไม่
  • 11.ผู้รับผิดชอบการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส การขนย้ายผู้ถูกควบคุมตัวจาก สภ.อ.ตากใบไปที่อิงคยุทธบริหาร และการดำเนินการที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี
         รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 1การชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 มีการจัดตั้งหรือไม่
           ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า การมาชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ในวันที่ 25 ตลุาคม 2547 มีด้วยกันหลายสาเหตุ แต่มีอยู่ 2 สาเหตุที่มีการแจ้งหรือนัดหมายกันล่วงหน้า คือ การชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัว ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ทั้ง 6 คน และการมาละหมาดฮายัด(การขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้า) ให้แก่ ชรบ. ทั้ง 6 คน ประกอบกับก่อนวันที่ 25 ตุลาคม 2547 มีเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงเจ้าหน้าที่สองครั้ง ครั้งที่หนึ่งที่อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ครั้งที่สอง ชาวบ้านอำเภอสุไหงปาดี ไม่พอใจทหาร โดยกล่าวหาว่าทหารยิงปืนถูกขาหญิงไทยมุสลิมคนหนึ่ง แต่เมื่อแพทย์ตรวจแล้วพบว่ามีรอยถลอกเล็กน้อยและไม่ใช่เกิดจากรอยกระสุนปืน แต่การชุมนุมประท้วงดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้มีการถอนทหารออกจากฐานปฏิบัติการดังกล่าว

          คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงข้างต้นแล้วเห็นว่า การชุมนุมประท้วงที่หน้า สภ.อ.ตากใบ ไม่ว่าจะเป็นพิจารณาข้อมูลเชิงพฤติกรรมของผู้ชุมนุมบางส่วนในขณะเกิดเหตุ หรือหลังเกิดเหตุ เป็นการกระทำที่มีการวางแผนมาก่อนโดยคนกลุ่มหนึ่ง มีการจัดตั้งคล้ายกับการชุมนุมคัดค้านเจ้าหน้าที่ก่อนหน้านั้นสองครั้ง ที่อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี และที่อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส โดยเคลื่อนไหวตามสถานการณ์ มีความมุ่งหมายที่กำหนดไว้แน่นนอน การเรียกร้องให้ปล่อยตัว ชรบ. 6 คนเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างเท่านั้น

        แกนนำผู้ชุมชนดูเสมือนจงใจให้การชุมนุมเกิดขึ้นช่วงเดือนถือศีลอดของชาวไทยมุสลิม จงใจให้เกิดการยืดเยื้อ น่าจะมีเบื้องหลังมากกว่าการชุมนุมเรียกร้องตามปกติ มีการวางแผนยั่วยุเจ้าหน้าที่

          ในขณะที่กลุ่มคนมาชุมนุมประท้วง เจ้าหน้าที่ระบุได้เฉพาะแกนนำกลุ่มหนึ่งประมาณ 30 คนที่อยู่ด้านหน้าเท่านั้น ผู้ชุมนุมที่เหลือไม่สามารถแยกแยะได้ว่าผู้ใดบ้างที่มาร่วมชุมนุมเพราะคำชักชวนหรือได้รับแจ้งให้มาละหมาดฮายัดให้ ชรบ.หรือมาให้กำลังใจ ชรบ.หรือเป็นประเภทที่มาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น มาทราบชัดเจนเมื่อมีการควบคุมตัวและมีการซักถามในภายหลัง ซึ่งส่วนใหญ่มาเพราะอยากรู้อยากเห็นหรือถูกชักชวนให้มาร่วมละหมาดฮายัด หรือมาให้กำลังใจ ชรบ.ทั้ง 6 คน

รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 2 ผู้ชุมนุมพกพาอาวุธมาด้วยหรือไม่
           ปรากฏข้อเท็จจริงจากภาครัฐและกลุ่มผู้ชุมนุมซึ่งได้สอบถามในภายหลังสรุปได้ดังนี้ ภาครัฐ ทั้งรายงานของ กอ.สสส.จชต. ที่กราบเรียนนายกรัฐมนตรีและคำชี้แจงของ มทภ.4 (พล.ท.พิศาล วัฒนวงศ์คีรี) สรุปได้ว่าในกลุ่มชุมนุมมีการพกพาอาวุธมาด้วย ภาคประชาชน สำหรับกรณีที่ทางการได้ตรวจพบอาวุธสงคราม ระเบิด มีดดาบในแม่น้ำหลังสลายการชุมนุมในวันรุ่งขึ้น (วันที่ 26 ตุลาคม 2547) นั้น ผู้ถูกควบคุมซึ่งให้ข้อมูลในภายหลังทุกคนยืนยันว่า ในที่ชุมนุมไม่ได้พบเห็นว่า มีผู้ใดพกพาอาวุธเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุ และในการเดินผ่านด่านหรือจุดสกัดต่างๆ จะถูกตรวจค้นจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารอย่างละเอียด ผู้ให้ข้อมูลบางคนให้ปากคำว่าระหว่างสลายการชุมนุม ถ้ามีอาวุธคงมีการใช้อาวุธตอบโต้เจ้าหน้าที่อย่างแน่นอนและการสูญเสียของฝ่ายเจ้าหน้าที่คงมีมากกว่านี้

         คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงข้างต้นแล้ว เห็นว่าการที่ภาครัฐรายงานว่าผู้เข้าชุมนุมบางส่วนซุกซ่อนอาวุธมาด้วยนั้น โดยเฉพาะอาวุธสงครามและกระสุนจำนวนมากที่เจ้าหน้าที่ยึดได้หลังจากสลายการชุมนุมในวันนั้น และจากการที่งมอาวุธได้จากแม่น้ำต้องมีหลักฐานมาอ้างมากกว่านี้จึงจะทำให้เชื่อได้ อย่างไรก็ดี รอยกระสุนปืนที่โรงพัก ต้นไม้หรือที่พักในสวนสาธารณะมีทิศทางมาจากกลุ่มผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่ตำรวจรายหนึ่งได้รับบาดเจ็บจากกระสุนที่มีทิศทางมาจากกลุ่มผู้ชุมนุม ก็แสดงว่ากลุ่มผู้ชุมนุมมีอาวุธ ซึ่งคงมีจำนวนไม่มากและไม่กี่คนเท่านั้น เพราะถ้าแกนนำผู้ชุมนุมมีอาวุธมากจริงและใช้อาวุธยิงเจ้าหน้าที่แบบต่อสู้กัน เจ้าหน้าที่คงตายและบาดเจ็บอีกหลายคน

         รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 3  มาตรการที่เจ้าหน้าที่ใช้ก่อนการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส เหมาะสมหรือไม่
         ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ในช่วงเช้าของวันที่ 25 ตุลาคม 2547 เจ้าหน้าที่ได้ตั้งด่านสกัดผู้เดินทางไม่ให้ไปยัง สภ.อ.ตากใบ แต่ไม่สามารถสกัดกั้นได้ ข้อเท็จจริงปรากฏต่อไปด้วยว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงคือ รอง ผอ.สสส.จชต. (นายศิวะ แสงมณี) มทภ.4 ปลัดจังหวัดนราธิวาส และผู้นำศาสนาอิสลาม และบิดาของ ชรบ.ซึ่งต้องคดีคนหนึ่งและมารดาของ ชรบ.ซึ่งต้องคดีอีกคนหนึ่ง ได้พยายามเจรจาด้วยภาษาไทยและภาษามลายูท้องถิ่นหลายครั้งเพื่อขอให้กลุ่มผู้ชุมนุมแยกย้ายกลับไป รวมทั้งได้พูดผ่านเครื่องขยายเสียงว่าให้ผู้ชุมนุมแยกย้ายกลับไป มิฉะนั้นเจ้าหน้าที่จำต้องสลายการชุมนุม แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
          คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงข้างต้นแล้วเห็นว่า มาตรการที่เจ้าหน้าที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นการสกัดกั้นผู้เดินทางไม่ให้เข้าไปยัง สภ.อ.ตากใบ หรือการเจรจา 5 ถึง 6 ครั้ง ซึ่งดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ ผู้นำทางศาสนา และบิดามารดาของ ชรบ. 6 คน ที่ถูกจับกุมนั้น เป็นไปอย่างเหมาะสมแล้ว อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการอิสระมีข้อสังเกตว่า หากการสกัดกั้นมิให้ผู้เดินทางเข้าไปยัง สภ.อ.ตากใบประสบความสำเร็จ ผู้ชุมนุมอาจจะมีจำนวนน้อยกว่านี้

          นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงจากการสอบถามผู้ชุมนุมในภายหลัง ปรากฏว่า การพูดผ่านเครื่องขยายเสียง เพื่อให้ผู้ชุมนุมแยกย้ายกันกลับไปนั้น ผู้ชุมนุมบางส่วนไม่ได้ยิน เพราะมีแกนนำในการชุมนุมพยายามโห่ร้องส่งเสียงดังอยู่เสมอ คณะกรรมการอิสระจึงมีข้อสังเกตว่า ในการใช้เครื่องขยายเสียงเพื่อเจรจากับผู้ชุมนุมนั้น ควรคำนึงถึงกำลังของเครื่องขยายเสียงกับการโห่ร้องส่งเสียงดังของแกนนำในการชุมนุม เพื่อกลับเสียงจากเครื่องขยายเสียงและทิศทางที่ลมพัดพาด้วย

         รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 4เหตุผลในการสลายและวิธีการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส เหมาะสมหรือไม่
           ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ในการวางแผนสลายการชุมนุม ที่ประชุมของผู้บริหารระดับสุงในพื้นที่ได้ข้อสรุปว่า จะเจรจาขอร้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมแยกย้ายกันกลับไปและหากเวลา 17.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมยังไม่แยกย้ายกันกลับไป และเกิดเหตุจลาจลขึ้น มทภ.4 ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจตามประกาศกฎอัยการศึก จะเป็นผู้ใช้อำนาจสั่งสลายการชุมนุม โดยให้ ผบ.พล.ร.5 (พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร) เป็นผู้ควบคุมตามหลักสากลในการใช้กำลัง ซึ่งถือว่ากองพลทหารราบ เป็นหน่วยทางยุทธวิธีสูงสุด 

            และเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. การเจรจาเพื่อขอให้ผู้ชุมนุมแยกย้ายกันกลับไป ยังไม่ประสบความสำเร็จ สถานการณ์เริ่มตึงเครียด กลุ่มผู้ชุมนุมใช้สิ่งของต่างๆ ก้อนอิฐ เศษไม้ ขว้างปาใส่เจ้าหน้าที่และพยายามใช้กำภลังเข้ามาภายใน สภ.อ.ตากใบ ชุดปราบจลาจลจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษ (นปพ.) กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส เข้าผลักดันฝูงชน แต่สถานการณ์รุนแรงมากขึ้น ฝูงชนใช้กำลังโถมเข้าหาเจ้าหน้าที่ มทภ.4 จึงมีคำสั่งให้สลายการชุมนุม โดยการใช้น้ำจากรถดับเพลิงของเทศบาลตำบลตากใบฉีดน้ำเข้าใส่ฝูงชน ใช้แก๊สน้ำตา และขณะเดียวกันมีเสียงปืนดังขึ้นมาจากทางด้านผู้ชุมนุม ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บสาหัสหนึ่งนาย เจ้าหน้าที่จึงยิงปืนขึ้นฟ้าหลายชุด และใช้เวลาในการสลายการชุมนุมประมาณ 30 นาที จึงสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้

          การสลายการชุมนุมทำให้ฝ่ายผู้ชุมนุมเสียชีวิต 7 ศพ (5 ศพถูกกระสุนปืนที่บริเวณศีรษะ) เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 14 นาย (1 นายถูกกระสุนปืน) ผู้ชุมนุมถูกควบคุมตัว 1,370 คน คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงข้างต้นแล้วเห็นว่า เจ้าหน้าที่มีเหตุอันสมควรที่เชื่อได้ว่า หากปล่อยให้เหตุการณ์ยืดเยื้อออกไป ก็จะทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย จนมิอาจควบคุมได้ และอาจเกิดความเสียหายอย่างรุนแรง ต่อสถานที่ราชการ และเจ้าหน้าที่ เนื่องจากกลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนมาก และบางส่วนก็มีการวางแผนล่วงหน้า พร้อมทั้งมีไม้ ก้อนหินและอาจมีอาวุธอื่นๆ ซุกซ่อนอยู่ ประกอบกับภาวะความกดดันอย่างรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ ที่ต่อเนื่องมายาวนาน การตัดสินใจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม จึงถือได้ว่า เป็นไปตามเหตุผลและความจำเป็นของสถานการณ์

         อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงวิธีการสลายการชุมนุมที่ใช้กำลังติดอาวุธใช้กระสุนจริง โดยเฉพาะใช้กำลังทหารเกณฑ์และทหารพรานซึ่งมีวุฒิภาวะไม่สูงพอเข้าร่วมในการเข้าสลายการชุมนุมนั้นคณะกรรมการอิสระเห็นว่า เป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นไปตามแบบแผนและวิธีปฏิบัติที่ใช้กันตามหลักสากล อย่างไรก็ตาม การใช้กำลังทหารเข้าปฏิบัติการสลายการชุมนุมตลอดจนใช้อาวุธและกระสุนจริงเป็นความจำเป็นตามสถานการณ์ ดังนั้น เมื่อมีการเสียชีวิตและการบาดเจ็บเกิดขึ้นทั้งฝ่ายผู้ชุมนุมและฝ่ายเจ้าหน้าที่ จึงควรเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรในกระบวนการยุติธรรม ที่จะต้องดำเนินการพิสูจน์เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายต่อไป

        สำหรับกรณีที่มีข่าวว่า มีการจ่อยิงศีรษะผู้เข้าร่วมชุมนุมนั้น ผลจากการชันสูตรพลิกศพไม่ปรากฏว่ามีการใช้อาวุธปืนจ่อยิงผู้ร่วมชุมนุมแต่อย่างใด

         รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 5การควบคุมตัวผู้ชุมนุมทั้งหมดเหมาะสมและกระทำได้ตามกฎหมายหรือไม่

           ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ก่อนการสลายการชุมนุม เจ้าหน้าที่ประสงค์จะควบคุมตัว เฉพาะบุคคลที่เป็นแกนนำ ในการชุมนุมเท่านั้น แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป จึงตัดสินใจควบคุมตัวผู้ชุมนุมทั้งหมด และเมื่อมีคำสั่งให้ผู้ถูกควบคุมทั้งหมดถอดเสื้อออก จึงทำให้เจ้าหน้าที่ไม่อาจทราบได้ว่า ผู้ถูกควบคุมคนใดเป็นแกนนำในการชุมนุม

          คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ต้องการควบคุมเฉพาะกลุ่มแกนนำประมาณ 30 ถึง 40 คน เท่านั้น จึงเตรียมใช้รถบรรทุกที่ขนส่งทหารพราน จำนวน 4 คัน เพื่อขนส่งผู้ถูกควบคุมตัว แต่เมื่อมีการควบคุมตัวผู้ร่วมชุมนุมจำนวนมากขึ้น เพราะไม่สามารถจำแนกแกนนำจากผู้ร่วมชุมนุมได้ จำเป็นต้องปรับแผนเอาตัวผู้ชุมนุมทั้งหมดไว้ก่อน แล้วค่อยคัดออกในภายหลัง เป็นเหตุให้เกิดความบกพร่อง ในการเตรียมการและการปฏิบัติหลายประการ

         สำหรับการกักตัวผู้ชุมนุมนั้น มทภ.4 มีอำนาจกักตัวผู้ชุมนุมไว้ได้ไม่เกิน 7 วัน ตามมาตร 15 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457

         รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 6การเลือกใช้ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เพื่อควบคุมตัวผู้ถูกควบคุมเหมาะสมหรือไม่

        คณะกรรมการอิสระพิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า การเลือกใช้ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เพื่อควบคุมตัวผู้ถูกควบคุมเป็นการเลือกที่เหมาะสมแล้ว เพราะมีผู้ถูกควบคุมจำนวนมาก สถานที่ที่จะใช้ควบคุมตัวในจังหวัดนราธิวาส มีไม่เพียงพอ และไม่เหมาะสม จึงตัดสินใจใช้ค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เนื่องจากมีเรือนจำทหารที่จะใช้ควบคุมตัวผู้ชุมนุมได้ และมีโรงพยาบาลทหาร ที่จะรักษาพยาบาลผู้ถูกควบคุมตัวที่ป่วยและบาดเจ็บได้

           รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 7การเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมจาก สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหารจังหวัดปัตตานี มีมาตรฐานหรือไม่
          ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า จำนวนรถบรรทุกที่ใช้ขนส่งเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมจำนวน 1,370 คน มีไม่เพียงพอ จึงได้สั่งให้นำรถบรรทุกทั้งของทหารและตำรวจมาเพิ่ม

        คณะกรรมการอิสระพิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วเห็นว่า การเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมจากตากใบไปค่ายอิงคยุทธบริหาร ค่อนข้างจะเป็นไปด้วยความสับสนและฉุกละหุกภายใต้สถานการณ์ขณะนั้น เมื่อความเสียหายอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นเพราะมีคนตายมาก จึงต้องทบทวนหาข้อบกพร่องในทุกขั้นตอน
การเตรียมรถในช่วงเวลาฉุกละหุก แม้จำนวนรถจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่ถ้าเชื่อตามเอกสารที่ทหารจัดส่งมาให้ คือมีรถของตำรวจ ทหาร และนาวิกโยธิน รวม 28 คัน และจำนวนผู้ถูกควบคุมซึ่งขณะนั้นยังไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน เพิ่งมาทราบทีหลังว่ากว่า 1,300 คน คิดเฉลี่ยคันละกว่า 50 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่บรรทุกได้ แต่เมื่อรถคันแรกๆ บรรทุกไม่ถึง 50 คน คันหลังต้องบรรทุกมากกว่า 50 คน โดยแน่แท้ เพราะเจ้าหน้าที่ต้องพยายามบรรทุกให้หมด อีกทั้งต้องมารับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกสกัดและควบคุมตัวไว้ที่สามแยกตากใบก็ต้องพยายามบรรทุกคนขึ้นไปให้หมด ผลจึงปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิตจำนวนมากอยู่ในรถบรรทุกคันหลังๆ

การกระท่าของผู้ถูกควบคุมบนรถบรรทุก
            สำหรับวิธีการเคลื่อนย้ายนั้น ผู้ถูกควบคุมส่วนใหญ่อ้างว่าถูกบังคับให้นอนคว่ำหน้าทับซ้อนกันหลายชั้น บางคนพูดถึง 3-4 ชั้น ในขณะที่ทางเจ้าหน้าที่อ้างว่าให้นั่งไปและยืนไป มีรถคันหนึ่งในสี่คันแรกที่มีการนอนทับซ้อนกัน และต้องมาขนลงหลังจากที่ ผบช.ภ.9 และ มทภ.4 มาพบและสั่งให้เอาลง ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มติชนซึ่งถ่ายภาพรถบรรทุกผู้ควบคุมคันหนึ่ง ซึ่งนอนทับซ้อนกันหลายชั้นได้ชี้แจงว่าได้ยิน ผบช.ภ.9 และ มทภ.4 สั่งให้เจ้าหน้าที่เอาคนลงมา แต่ไม่ได้อยู่ดูว่ามีการปฏิบัติตามคำสั่งหรือไม่

            คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่า น่าจะฟังได้ว่ามีการเอาผู้ชุมนุมนอนทับซ้อนกันจริงในรถบรรทุกคันแรกของขบวนแรกจนผู้บังคับบัญชามาเห็น จึงสั่งให้เอาคนลงมาและจัดขึ้นไปใหม่ ซึ่งต่อมาไม่น่าจะมีการสั่งให้เอาคนนอนทับซ้อนกันหลายชั้นเช่นนั้นอีก

          อย่างไรก็ดี คงปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีการทับซ้อนในรถคันหลังๆ เพราะจากรายงานของคณะอนุกรรมการแสวงหาข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานด้านการแพทย์และพยาบาล ซึ่งพิจารณาผลชันสูตรพลิกศพ และจากการสอบถามแพทย์ผู้รักษาผู้บาดเจ็บ และการเยี่ยมผู้บาดเจ็บล้วนสรุปได้ว่า การเสียชีวิตส่วนใหญ่ของผู้ถูกควบคุมอยู่ในสถาวะอ่อนแอ ช่วยตัวเองไม่ได้เต็มที ขาดอาหารและน้ำประกอบกับได้รับอากาศหายใจน้อย เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจอ่อนแรงลงและจากการกดทับ ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้ง “แนวนอน แนวดิ่ง และแนวเฉียง” เพราะการบรรทุกที่แน่นเกินไป หลายรายตายจากสาเหตุจากการถูกกดทับ ที่หน้าอก หลายรายมีภาวะเสียสมดุลของสารในเลือด มีภาวะการทำลายกล้ามเนื้อเกิดขึ้น (Rhabdomyolysis) และอาจมีอาการไตวายชนิดเฉียบพลัน(Acute renal fallure) ซึ่งเป็นสาเหตุของการตายทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การทับกันคงมีจริง แต่ทับแบบไหน แนวนอน แนวดิ่ง หรือแนวเฉียง ซึ่งทุกแนวทำให้เกิด Compression Syndromeทำให้กล้ามเนื้อขาดเลือดไปเลี้ยงได้ทั้งนั้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ถึงแก่ความตายได้หากเกิดขึ้นเป็นเวลานาน

           เหตุผลอีกประการหนึ่งคือรถบรรทุกคันหลังเสียเวลาการลำเลียงคนลงนานกว่าคันแรกๆ ประกอบกับการอัดทับ และความอ่อนเพลียจากการอดอาหารและน้ำ เสียแรงตลอดทั้งวัน ความต้านทานของร่างกายจึงน้อยลง

           นอกจากนี้ ผลการชันสูตรพลิกศพยืนยันว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 78 คน ไม่มีผู้ใดเสียชีวิตมาจากสาเหตุคอหัก และไม่มีร่องรอยของการรัดคอหรือการครอบถุงพลาสติค

           คณะกรรมการเห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นต้องถือว่าผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องขาดการใช้วิจารณญาณเป็นอย่างมาก ละเลยไม่ดูแลการลำเลียงและเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมให้แล้วเสร็จ แต่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารระดับชั้นผู้น้อย ที่มีข้อจำกัดด้านประสบการณ์ และมุ่งแต่เพียงปฏิบัติภารกิจให้ลุล่วงไปเท่านั้นโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่นประกอบ เนื่องจากเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนจึงไม่อาจคาดได้ว่าจะเกิดการตายเช่นนี้

          รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 8การใช้เวลาในการเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมจาก สภ.อ.ตากใบ จนกระทั่งนำผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุก ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เหมาะสมหรือไม่

            ปรากฏข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า รถบรรทุกผู้ถูกควบคุมขบวนที่สอง(จำนวน 22 คัน หรือ 24 คัน) ซึ่งพบผู้เสียชีวิต 77 รายใช้เวลาเดินทางจาก สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี ประมาณ 5 ชั่วโมง โดยมีการหยุดระหว่างทางเนื่องจากมีการวางเรือใบหรือการเปลี่ยนเวรหรือรับผู้ถูกควบคุมเพิ่มขึ้น และใช้เวลาลำเลียงผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุกอีกนานจนแล้วเสร็จคันสุดท้ายเมื่อเวลาประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 26 ตุลาคม 2547 เนื่องจากสภาพถนนหน้าเรือนจำทหารบกในค่ายอิงคยุทธบริหารมีขนาดเล็ก รถบรรทุกไม่สามารถเข้าไปพร้อมๆ กันได้หลายคัน

          คณะกรรมการอิสระได้พิจารณาข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า เนื่องจากระยะเวลาการเดินทางจาก สภ.อ.ตากใบ ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหารซึ่งห่างประมาณ 150 กิโลเมตร มีการหยุดระหว่างทางและขบวนรถเป็นขบวนที่ยาว 22 คัน หรือ 24 คัน การเดินทางเป็นไปอย่างล่าช้า เพราะเป็นเวลากลางคืนมีฝนตกหนัก มีการวางสิ่งกีดขวาง ประกอบกับมีข่าวว่าจะมีการชิงตัวผู้ถูกควบคุมตัว ทำให้การเดินทางไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเท่าที่ควร ระยะเวลาที่ใช้มายังค่ายอิงคยุทธบริหาร 5 ชั่วโมง จึงเป็นระยะเวลาเหมาะสมภายใต้วิสัย และพฤติการณ์ในสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว

           สำหรับระยะเวลาที่ใช้ในการลำเลียงผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุก ณ เรือนจำทหารบกในค่ายอิงคยุทธบริหารนั้น คณะกรรมการอิสระเห็นว่า ด้วยสภาพถนนหน้าเรือนจำทหารบกแคบรถบรรทุกไม่สามารถเข้าไปพร้อมๆ กัน หรือสวนกันได้ทำให้การลำเลียงคนลงเป็นไปอย่างล่าช้าระยะเวลาที่ใช้ในการลำเลียงคนลงจากรถบรรทุก จึงเหมาะสมตามเหตุการณ์และสภาพของสถานที่แล้ว

          อย่างไรก็ตาม แม้การใช้เวลาในการลำเลียงผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุก ณ เรือนจำทหารบก จะเป็นไปอย่างเหมาะสม ตามสถานการณ์ก็ตาม คณะกรรมการอิสระเห็นว่า เมื่อมีการพบผู้เสียชีวิตในรถบรรทุกแล้ว เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมดูแลการลำเลียง มิได้สั่งให้ดำเนินการใดกับรถบรรทุกที่จอดรออยู่หรือแจ้งให้ผู้ควบคุมรถของรถบรรทุกคันอื่นๆ ทราบ เพื่อดำเนินการใดๆ เช่น รีบนำผู้ถูกควบคุมลงพื้นด่วนเพื่อบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น การละเลยไม่คำนึงถึงการบรรเทาความเสียหายดังกล่าวนี้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น และเป็นการกระทำที่ไม่รับผิดชอบ

           รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 9 การดูแลผู้ถูกควบคุม ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี เป็นไปอย่างเหมาะสมหรือไม่
             ผู้ถูกควบคุมตัวและเจ้าหน้าที่ต่างให้ถ้อยคำสอดคล้องกันว่าการดูแลผู้ถูกควบคุมที่บริเวณเรือนจำจังหวัดทหารบก ที่โรงพยาบาล ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร เป็นไปอย่างดี ซึ่งยังรวมไปถึงการช่วยเหลือของแพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลแห่งอื่นๆ ทั้งของจังหวัดปัตตานี และจังหวัดข้างเคียง ซึ่งได้รับผู้ป่วยจากโรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหารไปรักษาพยาบาลต่อ คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่าผู้ถูกควบคุมและผู้เจ็บป่วยได้รับการดูแลอย่างดีมีประสิทธิภาพและเหมาะสมแล้ว

รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 10 มีผู้สูญหายจากเหตุการณ์ในวันที่ 25 ตุลาคม 2547 หรือไม่

          ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ณ ขณะนี้มีบุคคลซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา ได้หายไปจำนวน 7 คน โดยมีการแจ้งเรื่องราวไว้ต่อคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสแล้ว

           คณะกรรมการอิสระเห็นว่าหน่วยงานภาครัฐโดยเฉพาะหน่วยงานพื้นที่ ต้องเร่งสืบหาข้อเท็จจริงเป็นการด่วน และประสานไปยังทายาทของผู้สูญหาย พร้อมทั้งจัดการเยียวยา บำรุงขวัญในเบื้องต้น เพื่อให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่มิได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเจ้าหน้าที่มีความห่วงใยในความเป็นอยู่ และทุกข์สุขของประชาชนโดยทั่วถึงเป็นอย่างดียิ่งตลอดมา

         รายระเอียดประเด็นพิจารณาที่ 11ผู้รับผิดชอบในการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส การขนย้ายผู้ถูกควบคุมตัวจาก สภ.อ.ตากใบ ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร และการดำเนินการที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี

            ในการพิจารณาว่าผู้ใดควรรับผิดชอบในเหตุการณ์นี้ คณะกรรมการอิสระ เห็นว่าเมื่อ มทภ.4 ได้ออกประกาศเมื่อวันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2547 เรื่อง การใช้กฎอัยการศึกในเขตอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส มทภ.4 จึงมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน ในสถานที่เกี่ยวกับยุทธ์ การระงับปราบปราม หรือการรักษาความสงบเรียบร้อย และเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน ต้องปฏิบัติตามความต้องการของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร (มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พุทธศักราช 2457) ข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่าในการวางแผนการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ มทภ.4 ได้สั่งให้ ผบ.พล.ร.5 (พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร) เป็นผู้ควบคุมกำลังและเป็นหน่วยภาคยุทธวิธีในการดำเนินการ

           ผู้รับผิดชอบในการสลายการชุมนุมใน สภ.อ.ตากใบ จังหวัดนราธิวาส และการเคลื่อนย้ายผู้ถูกควบคุมไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี

           คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่า พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร ผบ.พล.ร.5 เป็นผู้รับผิดชอบในการสลายการชุมนุมที่ สภ.อ.ตากใบ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 คน และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งรับผิดชอบในการควบคุมตัวผู้ชุมนุม การลำเลียงผู้ชุมนุมขึ้นรถบรรทุก และการเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมซึ่งถูกควบคุมตัวบนรถบรรทุกไปยังเรือนจำจังหวัดทหารบก ค่ายอิงยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี และปรากฏข้อเท็จจริงว่า พล.ต.เฉลิมชัย วุรุฬห์เพชร ไม่ได้อยู่ควบคุมดูแลภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ลุล่วง แต่ได้ออกจากพื้นที่ไปพบนายกรัฐมนตรีที่อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส เมื่อเวลาประมาณ 19.30 น. โดยไม่มีเหตุผลและความจำเป็น คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่า พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไม่ครบถ้วนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา

ผู้รับผิดชอบที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี

            ปรากฏข้อเท็จจริงว่า พล.ต.สินชัย นุตสถิตย์ รอง มทภ.4 ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบงานการข่าวและสายงานยุทธการได้รับคำสั่งจาก มทภ.4 ให้จัดเตรียมทั้งน้ำ อาหาร และพื้นที่ เพื่อรองรับผู้ถูกควบคุมที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี ดังนั้น เมื่อการลำเลียงผู้ถูกควบคุมลงจากรถบรรทุกที่เรือนจำจังหวัดทหารบกปัตตานี ณ ค่ายอิงคยุทธบริหาร และพบว่าในรถบรรทุกมีคนตาย แต่กลับมิได้มีคำสั่งหรือดำเนินการใดๆ กับผู้ควบคุมรถบรรทุกหรือผู้ถูกควบคุมที่จอดรออยู่ เพื่อบรรเทาความเสียหายที่เห็นว่าน่าจะเกิดขึ้น จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไม่ครบถ้วนตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา

ผู้รับผิดชอบในสถานการณ์โดยรวม

           โดยที่ พล.ท.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี มทภ.4 เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเมื่อประกาศกฎอัยการศึก แม้จะได้มอบหมายให้ พล.ต.เฉลิมชัย วิรุฬห์เพชร ผบ.พล.ร.5 และ พล.ต.สินชัย นุตสถิตย์ รอง มทภ.4 เป็นผู้รับผิดชอบตามที่กล่าว ใน 11.1 และ 11.2 แล้วก็ตาม มทภ.4 ก็ยังคงต้องรับผิดชอบในการติดตาม ควบคุม และสอดส่องดูแลว่าภารกิจที่ได้มอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ปฏิบัติประสบความสำเร็จ หรือมีปัญหาความยุ่งยากประการใด แม้จะมีข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อเวลาประมาณ 01.30 น. ของวันที่ 26 ตุลาคม 2547 มทภ.4 ก็ได้ทราบข่าวว่ามีคนตายที่ค่ายอิงคยุทธบริหารประมาณ 70 คน แล้ว แต่ก็มิได้ดำเนินการอะไร จนถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2547 มทภ.4 จึงเข้ามาที่ค่ายอิงคยุทธบริหาร เพื่อมาตอบข้อสอบถามของคณะกรรมาธิการวิสามัญวุฒิสภา ซึ่งเดินทางมายังค่ายอิงคยุทธบริหาร เพื่อหาข้อมูลการตายของผู้ชุมนุม 78 คน คณะกรรมการอิสระจึงเห็นว่า พล.ท.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี มทภ.4 ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ขาดความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา ซึ่งมีหน้าที่ติดตามดูแลภารกิจที่ได้มอบหมาย ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติอย่างใกล้ชิด

บทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

          จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้เริ่มก่อเหตุการณ์คือกลุ่มแกนนำบางคนที่ต้องการให้สถานการณ์ยืดเยื้อ เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นฝ่ายเข้าไปดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย แต่ละคนได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนภายใต้ข้อจำกัดหลายประการ ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อบกพร่องไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ไม่มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดการเสียชีวิต บาดเจ็บ อนึ่ง ในเหตุการณ์นี้มีข้อสังเกตว่าข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่หลายท่านได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่อย่างเสียสละ กล้าหาญ จึงต้องนำเหตุการณ์นี้มาศึกษาเสนอแนะเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเช่นนี้ขึ้นอีก และการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมจำนวนมากระหว่างการเคลื่อนย้ายจาก สภ.อ.ตากใบมายังค่ายอิงคยุทธบริหารนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึงและไม่มีเจตนาที่จะให้เกิดเหตุการณ์ที่เศร้าสลดเช่นนี้ ภาคที่ 4

ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระฯ

1.ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการสลายการชุมนุม

เพื่อป้องกันมิให้เกิดการเสียชีวิตในกรณีมีการชุมนุมประท้วงเช่นนี้อีก ให้ชุดปราบจลาจลของตำรวจที่ได้รับการฝึกอบรม และมีความพร้อมในเรื่องอุปกรณ์การปฏิบัติงานในพื้นที่เป็นหลัก สำหรับชุดปราบปรามจลาจลของฝ่ายทหาร จะใช้เป็นกองหนุนในกรณีที่กำลังตำรวจมีไม่พอเท่านั้น และห้ามติดอาวุธ

2.ข้อเสนอแนะในการควบคุมตัวและการเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุม

  • 2.1 ในการควบคุมตัวผู้ชุมนุม ควรควบคุมเฉพาะแกนนำในการชุมนุม หรือผู้ต้องสงสัยเท่านั้น และในกรณีที่มีความจำเป็นต้องควบคุมตัวผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก ควรจัดให้มีการสอบสวนเบื้องต้น เพื่อแยกประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ ควรต้องมีมาตรการเพื่อเปิดทางให้ประชาชนผู้มาร่วมชุมนุมถอนตัวออกจากที่ชุมนุมได้
  • 2.2 ยานพาหนะที่ใช้ต้องจัดให้มีจำนวนมากเพียงพอ และต้องมีเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรควบคุมขบวน
  • 2.3 หากระยะทางที่ไกล ควรจัดให้ผู้ถูกควบคุมตัวทุกคนได้นั่งไป

3.ข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

  • 3.1 การจัดตั้งองค์กรบริหารราชการ ควรจัดตั้งให้มีลักษณะพลเรือนมากขึ้น โดยให้องค์กรประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น
  • 3.2 ควรใช้นโยบายการเมืองนำการทหาร และน้อมนำแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ว่า “เข้าถึง เข้าใจ และพัฒนา″
  • 3.3 ควรนำองค์กรเครือข่ายอาสาสมัครภาคประชาชนในระดับตำบล และหมู่บ้านทุกองค์กรมาสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที
สังคมต้องเรียนรู้ความจริงกรณีตากใบ
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2547

            ในสังคมอารยะ การเรียนรู้ความผิดพลาดร้ายแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในรัฐ เป็นความจำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ กับประชาชน เพราะจะทำให้สังคมเข้าใจรากเหง้าของความผิดพลาด และสามารถที่จะมองเห็นแนวทางในการร่วมกันแก้ไขปัญหา หรือปรับปรุงกลไกต่างๆ เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความผิดพลาดครั้งต่อไปอีก

            หากถือกันตามที่คนในรัฐบาลกล่าวอ้างว่า เหตุโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นที่ตากใบ เป็นเพียงความผิดพลาดในการปฏิบัติราชการ ข้ออ้างที่ไม่ยอมให้เผยแพร่วีซีดีบันทึกเหตุการณ์รุนแรงที่ตากใบ ก็ไม่สมเหตุสมผล เพราะระบบราชการเป็นกลไกรับใช้ประชาชน และต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลใกล้ชิดของประชาชน สังคมจึงต้องรับรู้และเรียนรู้ความผิดพลาดในการปฏิบัติราชการ จึงจะสามารถช่วยกันหาทางไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีก

            การที่นายกรัฐมนตรีกล่าวอ้างความมั่นคงของรัฐในการปกปิดวีซีดีกรณีตากใบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การปกปิดกลับจะทำให้สังคม และรัฐสูญเสียความเชื่อมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่มั่นคงของรัฐมากยิ่งกว่าการเปิดเผยความจริงเสียอีก

         แท้จริงแล้ว การอ้างความมั่นคงของรัฐ เป็นเพียงเพื่อจะปกปิดความผิดพลาดของการสั่งการในระดับสูง และความผิดพลาดของกรอบความคิดในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเท่ากับการปกปิดเพื่อความมั่นคงทางการเมืองของรัฐบาล มิหนำซ้ำ การอ้างไม่สมเหตุสมผลยังเป็นการปิดกั้นการเรียนรู้ของสังคม และอาจจะส่งผลให้เกิดความรุนแรงในอนาคต

          การที่รัฐบาลไม่เห็นสมควรให้มีการเปิดเผยวีซีดีนั้นเป็นเพียงความเชื่อ ซึ่งไม่มีทางที่จะปกปิดได้ ในเมื่อการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารทุกวันนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องของอำนาจสั่งการจากรัฐบาลอันไม่ชอบด้วยเหตุผล จะสามารถควบคุมได้ ในที่สุดก็เชื่อได้ว่า ระยะอีกไม่นาน วีซีดีชุดนี้จะได้รับเผยแพร่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในวงกว้าง

            แม้ว่ารัฐบาลนี้อาจมั่นใจว่า นโยบายประชานิยมจะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่พึงพอใจ แต่เมื่อวีซีดีชุดนี้แพร่หลายออกไปกว้างขวางมากขึ้น ก็จะส่งผลให้คนไทยสูญเสียความไม่ไว้วางใจ ในการตัดสินใจใช้อำนาจของภาครัฐ เพราะไม่มีใครจะมั่นใจได้ว่า รัฐบาลอาจจะใช้ความรุนแรงดังเช่นกรณีที่ตากใบ

           สิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องทำในวันนี้ จึงไม่ใช่การปกปิดข้อมูลข่าวสารด้วยการใช้อำนาจรัฐ หากแต่ต้องเปิดเผยต่อสังคม เพื่อสังคมจะได้รับรู้ความจริงด้วยความเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

            ในวันนี้ ทางออกเพื่อความมั่นคงของสังคมและเสถียรภาพของภาครัฐในเรื่องวีซีดีตากใบนี้ อาจเหลือทางเลือกที่ทำให้รัฐบาลต้องนำมาเปิดเผยและถ่ายทอดวีซีดีบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านทางโทรทัศน์ โดยมีคนกลางสรุปให้เห็นความผิดพลาดและนำเสนอทางแก้ปัญหาที่เป็นสมานฉันท์ และร่วมกันคลี่คลายความตึงเครียดที่ดำรงอยู่ในสังคมวันนี้ให้มากที่สุด

           หากทำได้ รัฐบาลนี้คงได้เป็นรัฐบาลอีกครั้งจากการเลือกตั้งที่จะมาถึง แต่หากไม่กล้าจะเปิดเผยความจริงในกรณีตากใบ การปกปิดครั้งนี้นอกจากจะเป็นข้อวิพากษ์ติดหลังรัฐบาลไปตลอด ซึ่งไม่เป็นผลดีทั้งต่อภาครัฐและสังคม

             มีการตั้งคำถามว่า เหตุการณ์ตากใบที่เกิดขึ้น หากยังมีความจริงอะไรที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่สังคมต้องใส่ใจกับเสรีภาพในการรับรู้ และนำไปซึ่งการตรวจสอบของสังคมที่เกี่ยวกับชีวิตของแต่ละผู้คน เพื่อให้มีความรู้สึกถึงความปลอดภัย โดยไม่ตกอยู่ในความไม่แน่นอน หรืออยู่ในความเสี่ยงต่อการถูกละเมิดที่ปราศจากขอบเขตของภาครัฐ

           ส่วนกรณีที่ยังมีการตายเกิดขึ้นรายวันในสามจังหวัดชายแดนใต้นั้น เป็นเรื่องที่สังคมยอมรับไม่ได้ และเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการจัดการให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากอ่านข้อเสนอของนักสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย ก็จะไม่พบเลยว่ามีใครเห็นด้วยกับเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นรายวันเลย

         การเรียกร้องให้รัฐบาลเปลี่ยนท่าทีแก้ปัญหาภาคใต้ จึงไม่ใช่เพราะต้องการจะปล่อยให้มีการฆ่ากันรายวันได้อย่างสะดวก หากแต่เล็งเห็นแล้วว่า การปล่อยให้รัฐบาลใช้วิธีอย่างเช่นที่ทำมาหนึ่งปีนั้น รังแต่จะก่อปัญหาให้รุนแรง ซับซ้อนจนยากแก่การแก้ไขมากขึ้นเรื่อยๆ และยังบ่งบอกอีกว่า หนึ่งปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์สิ่งที่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “มาถูกทางแล้ว” นั้นเป็นจริงหรือ?

         ข้อเสนอให้เปิดเผยความจริงกรณีตากใบ เป็นส่วนหนึ่งที่จะนำไปสู่การร่วมมือกันของทุกฝ่าย เพื่อคิดหาแนวทางในการแก้ปัญหาที่เหมาะสมนั่นเอง
           หากความตึงเครียดในสังคมไทยที่ทวีมากขึ้นนี้ รังแต่จะก่อความไร้เสถียรภาพมากขึ้น และหากผลกระทบนั้นมีต่อเราทุกคนแล้ว การเผยแพร่ความเป็นจริงอาจจะช่วยลดทอนปัญหาความตึงเครียดเหล่านี้ลง และยังอาจช่วยกันบอกต่อเพื่อเป็นพลังให้รัฐบาลได้ดำเนินการในสิ่ง “คิดถูก-ทำถูก” ต่อไป

ปากคำของผู้ได้รับบาดเจ็บ กรณีตากใบ

         หลังเกิดเหตุการณ์ตายหมู่ จากการสลายการชุมนุมที่หน้าโรงพักตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 สถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เวลานี้ ก็เป็นไปตามความคาดหมายของผู้คนที่ติดตามเหตุการณ์ในพื้นที่นี้มาตลอด อันปรากฏให้เห็นจากปรากฏการณ์ฆ่ารายวัน ที่เพิ่มความถี่ยิบและรุนแรงมากยิ่งขึ้นทุกที

           ในขณะที่ความลับดำมืดเกี่ยวกับการชุมนุมและการตายหมู่เกือบ 100 ศพ ยังคงค้างคาอยู่ในความรู้สึกของผู้คนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้โดยตรง คำถามที่ว่า ขนคนกันอย่างไร ถึงได้ตายกันมากมายอย่างนี้ ไปจนถึงคำถามเกี่ยวกับจำนวนคนสูญหาย จึงยังปรากฏอยู่ทั่วไป ในสังคมชาวมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

        ถึงแม้ตลอดเวลาที่ผ่านมา จะมีผู้คนพยายามเข้ามาช่วยกันคลี่คลายปมต่างๆ มากมายหลายคณะ และวันเวลาผ่านไปกว่า 21 สัปดาห์แล้วก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่ยังคงมีคำถามเช่นนี้ ปากคำของ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 108/1 หมู่ 9 ตำบลไพรวัลย์ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการขนย้ายผู้ชุมนุม จากหน้าที่ว่าการอำเภอตากใบ ไปยังกองทัพภาคที่ 4 ส่วนหน้าค่ายอิงคยุทธบริหาร ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี จึงยังคงมีคุณค่ามากพอที่ควรจะบันทึกไว้

          ขณะนี้ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ตึกอายุรกรรมชาย 1 เตียง 31 ชั้น 9 โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (โรงพยาบาล มอ.) อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในสภาพมีผ้าพันแผลที่แขนซ้ายและบั้นท้าย ตั้งแต่ต้นแขนทั้งสองข้างถึงปลายมือ และปลายเท้าบวม มีรอยเจาะที่ลำคอข้างขวา มีสายยางสอดอยู่ตามลำตัว ใบหน้า และขาเต็มไปด้วยรอยถลอก

           ถึงวันที่ “ประชาไท” มีโอกาสเข้าไปเยี่ยมถามไถ่อาการ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ถูกนำฟอกไตมาแล้ว 3 ครั้ง ภายใต้การดูแลของ “นายแพทย์ณปกรณ์ แสงฉาย” คำบอกเล่าของ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ที่น่าสนใจอย่างยิ่งอยู่ตรงที่เขาถูกคลุม “ถุงดำ″ หลังจากถูกมัดแขน มัดขา นำขึ้นรถมายังค่ายอิงคยุทธบริหาร

          บ้านของ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” อยู่ห่างจากโรงพักตากใบ ซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุม 6 กิโลเมตรโดยประมาณ หลังจากได้ยินเพื่อนบ้านหลายคนบอกว่า มีคนชุมนุมกันที่โรงพักตากใบ เวลาประมาณ 11.00 น. “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ก็ขับมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้าน มาดูว่ามีคนชุมนุมกันกี่คน ชุมนุมกันเรื่องอะไร ถึงที่เกิดเหตุก็นำรถไปจอดแถวหัวสะพานเกาะยาว เยื้องกับโรงพักตากใบ เข้าไปดูใกล้ๆ ที่ชุมนุม แล้วก็ติดอยู่ในนั้น จนกระทั่ง เวลาประมาณ 15.00 น. ทหารก็ฉีดน้ำ

         “ตอนนั้น ผมอยู่ตรงหน้าโรงพัก พอได้ยินเสียงปืน ผมเลยวิ่งหนีไปที่สะพาน จะเอารถมอเตอร์ไซด์ออก แต่ไม่ทัน ก่อนจะถึงสะพานมีบ้านไม้ร้าง ผมจึงวิ่งหนีเข้าไปหลบในนั้น ทั้งที่หายใจไม่ออกและแสบตา ผมอยู่ในนั้นไม่ถึง 10 นาที พื้นบ้านหักขา ผมโผล่ลงใต้ถุน ทหารที่อยู่ใกล้ๆ ก็เลยมาจับขาผมดึงลงใต้ถุน พอทหารจับได้ตัว เขาก็เตะๆๆ ที่เจ็บที่สุด คือ เตะเข้าข้างหลังผม ทหารเตะจนผมทรุด เขาก็จับถอดเสื้อ แล้วเอาเชือกมามัดมือไขว้หลัง และมัดขา

         เชือกที่ใช้มัดเส้นเล็กมาก ขนาดเล็กกว่าปากกาอีก ตรงนี้มีรถทหารจอดอยู่ใกล้กัน คันหนึ่ง มีรั้วสูงแต่ไม่มีผ้าใบคลุม ตอนนั้น มีคนกูกจับแล้วหลายคน พอทหารมัดผมเสร็จ เขาเอาถุงดำมาสวม ขนาดพอดีกับหัว แต่ไม่ได้มัดปากถุง ผมยังหายใจได้อยู่ จากนั้น ก็จับผมยกแล้วก็ดันขึ้นรถ ผมมองอะไรไม่เห็นแล้ว ไม่รู้ว่า บนรถมีใครอยู่บ้าง แต่พอขึ้นไปข้างบน ผมยังยืนอยู่ได้

          ต่อมา มีคนมาผลักแล้วสั่งให้นอนคว่ำหน้า ผมพยามแข็งขืนไม่ยอมนอนคว่ำ จึงถูกเตะเข้าสีข้างอีก จนต้องยอม ผมนอนคว่ำหน้าอยู่ติดฝากระบะรถด้านในสุด นอนขวางทางยาวของรถ ผมอยู่ล่างสุด ตอนนั้นมองอะไรไม่เห็น ได้ยินแต่เสียง บางคนร้องโอดโอย ขอความช่วยเหลือ แต่ก็ถูกเตะ ผมได้ยินเสียงคนแก่คนหนึ่ง กล่าวปฏิญาณตน เพื่อระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า ก็ถูกเตะด้วย

          พอมีคนมาทับข้างหลังหลายๆ คน ผมก็ถามว่า ถูกคลุมถุงดำด้วยหรือเปล่า มีคนบอกว่า ถูกคลุมด้วย คนที่บอกว่าไม่ถูกคลุมก็มี พอขึ้นไปบนรถไม่นาน ผมรู้สึกกระหายน้ำมาก เลยตะโกนบอกทหารว่า ขอน้ำหน่อย ก็มีเสียงตอบมาว่า “จะเอาน้ำหรือ, เอาตีนไปดีกว่า″ พูดจบ ก็เอาเท้าย่ำไปที่กลางหลัง ผมต้องเงียบ คนอื่นที่ขอน้ำ ก็จะโดนแบบเดียวกัน หรือไม่ก็โดนตีด้วยด้ามปืน

       รถเริ่มออกจากตรงนั้น ประมาณ 6 โมงเย็นน่าจะได้ ผมร้อนมาก เหงื่อเต็มหัว อึดอัดมาก หายใจไม่ออก เหนื่อยมาก แต่ยังไม่ถึงกับสลบ ขยับตัวไม่ได้เลย ไม่มีแรง ผมไม่รู้ตัวเลยว่า คนที่นอนอยู่ข้างๆ กับคนที่อยู่ข้างบนผม ตายตั้งแต่ตอนไหน เพราะไม่มีเสียงอะไรเลย มารู้ตอนที่ผมเรียกเขาว่า พี่ๆ ขยับหัวนิดหนึ่งได้มั้ย แต่ไม่มีเสียงตอบรับ

         ระหว่างทาง รถจอดหลายครั้ง บางครั้งจอดนานมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่รถจอด ผมรู้สึกตัวขึ้นมา ก็มีคนที่ถูกจับมาด้วยกัน เชือกที่มัดมือเขาหลุด เลยช่วยถอดถุงดำที่คลุมหน้าออกให้ แล้วช่วยแก้เชือกที่มัดมือไขว้หลัง และเชือกที่มัดเท้า ทิ้งข้างทาง

           พอถอดถุงออก ผมมองอะไรไม่ชัด ตาพร่าไปหมด ผมถามว่า เราอยู่ที่ไหน เขาบอกว่า ปาลัส (เทศบาลตำบลปาลัส อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี) ผมถามคนที่ถูกจับมาด้วยกันว่า พวกเขาทำอะไรอยู่ มีคนบอกว่า ทหารกินข้าวกันอยู่ ผมบอกว่า หายใจไม่ออก เขาก็ช่วยกดหน้าอก ช่วยบีบท้องให้ เพื่อนๆ ที่ถูกจับมาด้วยกัน พยายามยกผมลุกขึ้นนั่ง เป็นคนสุดท้าย แต่ผมนั่งไม่ได้ เพราะเจ็บหลัง เพื่อนๆ เลย ต้องจับเอาไว้

          พวกที่ถูกจับมาด้วยกัน ขอทหารลุกขึ้นนั่งยองๆ เพราะคนแน่นมาก เขาไม่ว่าอะไร แต่ไม่ยอมให้ยืน
ส่วนคนที่ตายในรถ เพื่อนๆ ช่วยกันจัดศพให้เรียบร้อย มีคนบอกผมว่า มีคนตาย 8 คน เพื่อนๆ เอาไปตั้งซ้อนๆ กันตรงกลาง 3 – 4 ชั้น คนที่ยังไม่ตายก็นั่งลงข้างๆ บางคนนั่งบนศพ จนถึงค่ายอิงคยุทธบริหาร

           ตอนรถจอดที่ปาลัส มีทหารคุมอยู่ 3 คน แต่มองเห็นไม่ชัดว่า เขาใส่ชุดอะไร รถหยุดที่นี่ประมาณ 40 นาที หรือเกือบ 1 ชั่วโมง มีคนถามว่าอีกนานมั้ย จะได้ไป ทหารที่อยู่บนรถบอกว่า “ตามใจกู กูจะไปตอนไหนก็ได้ พวกมึงอยู่นิ่งๆ แล้วกัน ไม่ต้องมาสนใจ”

         พอรถออก ก็มีทหารขึ้นมาอีก 3 – 4 คน ขึ้นไปอยู่บนหลังคาตรงห้องคนขับรถ 1 คน อยู่ที่ฝากระบะหลัง 2 – 3 คน ที่เหลือเกาะอยู่ข้างรถ รถออกจากปาลัสมาก็ไม่จอดอีกเลย มาถึงค่ายอิงคยุทธบริหาร น่าจะประมาณตี 1 ตี 2 เพราะตอนที่อยู่ที่ปาลัส ผมถามกี่โมงแล้ว คนที่ถูกจับมาด้วยกัน บอกว่าเที่ยงคืนแล้ว

          พอมาถึงค่ายอิงคยุทธบริหาร ขณะที่คนอื่นทยอยลงไปได้ ผมต้องให้คนที่ถูกจับมาด้วยกัน ช่วยประคองลงจากรถ ตอนนั้นผมเห็นทหารให้คนที่ถูกจับมาด้วยกันนั่งเป็นแถว บนพื้นปูนในเต้นท์ แถวละ 5 คน เพื่อนๆ นำผมไปวางไว้บนพื้นหญ้า เพราะต้องนอน นั่งไม่ได้ ทั้งเจ็บหลัง ทั้งหมดแรง

         จากนั้น ก็มีหมอคนหนึ่ง ใส่ชุดขาว แล้วก็มีอีก 2 – 3 คน มายกผมไปไว้ที่ห้อง ใกล้กับเต้นท์ที่กางไว้ เขาให้ดื่มน้ำ แต่ไม่ได้รักษาพยาบาลอะไรเลย ไม่ได้ให้ยา ต่อมา เขาเอาผมไปโรงพยาบาลปัตตานี มีทหารมาคุมอยู่หลายคน ผมบอกว่าขอยาด้วย ผมเจ็บ ทหารคนหนึ่ง บอกว่า “จะเอาเอานี่มั้ย” เขายกด้ามปืนยาวขึ้นมาให้ดู… อยู่ที่โรงพยาบาลปัตตานีหนึ่งวัน ผมก็ถูกนำมารักษาตัวที่โรงพยาบาบาลสงขลานครินทร์”

          กว่า “นางแมะดะห์ มีนา″ อายุ 47 ปี มารดาของ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” จะทราบว่า มีการสลายการชุมนุมกันที่ตากใบ ก็ตกเย็นของวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ตกกลางดึกวันเดียวกัน เพื่อนบ้านก็มาบอกว่า คนที่ถูกจับยังไม่มีใครกลับมาบ้าน

           รุ่งเช้าวันที่ 26 ตุลาคม 2547 เพื่อนบ้านที่ไปตามหาญาติที่ถูกจับ กลับมาบอก “นางแมะดะห์ มีนา″ ว่า มีชื่อลูกชายของนางถูกจับ นำไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลปัตตานี วันที่ 27 ตุลาคม 2547 ญาติๆ ชวนกันไปเยี่ยม แต่แพทย์บอกว่า ส่งตัวไปโรงพยาบาลสงขลานครินทร์

           วันที่ 28 ตุลาคม 2547 พ่อของ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ไปหาที่โรงพยาาบาลสงขลานครินทร์ แต่ไม่เจอ จนวันที่ 29 ตุลาคม 2547 ผู้เป็นพ่อ กลับไปหาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์อีกครั้ง จึงได้พบ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ผู้เป็นลูกนอนรักษาตัวอยู่ในสภาพบอบช้ำหนัก

        “ตอนนี้ยังมีใครมาบอกว่า จะช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล หรือจะให้ความช่วยเหลืออะไรบ้าง ฉันยังไม่รู้เลยว่า จะทำอย่างไร รายได้ของครอบครัวก็น้อย” เป็นคำพูดที่หล่นออกจากปากผู้เป็นแม่ “นางแมะดะห์ มีนา″

ประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง สำหรับกรณีของ “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ก็คือ …

  • ถ้ามีการนำถุงดำมาคลุมศีรษะผู้ถูกจับกุมจริง ผู้กระทำมีเจตนาแอบแฝงอะไรหรือไม่,
  • ทำไม “นายอับดุลเลาะ เจะฮะ” ถึงถูกคลุมถุงดำ, ทำไม ถึงคลุมถุงดำเฉพาะบางคน,
  • ทำไม ถึงคลุมถุงดำ เฉพาะผู้ถูกจับกุมในรถบางคัน, อันนำมาสู่ คำถามที่ว่า… 

เป็นไปได้หรือไม่ ที่ผู้เสียชีวิตระหว่างขนย้ายบางคน ขาดอากาศหายใจ ด้วยสาเหตุถูกคลุมถุงดำ ถึงแม้จะไม่มัดปากถุงก็ตาม

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม