วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

การไม่ยอมรับความจริง

การไม่ยอมรับความจริง เรื่อง การก่อการร้าย

                เป็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่ง ที่หน่วยข่าวกรองของเราไม่เคยยอมรับความจริงว่าบ้านเรามีการก่อการร้ายที่เชื่อมโยงกับขบวนการก่อการร้ายสากล
     
             อันที่จริงมีรายงานข่าวของสื่อมวลชนต่างประเทศมานานหลายปีแล้วว่า บ้านเราเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณชายแดนภาคใต้ เป็นแหล่งพบปะซ่องสุมของขบวนการก่อการร้ายสากลในภูมิภาคนี้
     
             แม้แต่กลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ซึ่งเป็นผู้เข้ายึดเครื่องบินโดยสารแล้วขับชนตึกเวิลด์เทรดในนครนิวยอร์กและตึกเพนตากอนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ก็ได้เคยเดินทางมาพบกันในภาคใต้ของไทย แล้วไปประชุมวางแผนการก่อการร้ายครั้งนั้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ก่อนที่จะลงมือทำการวินาศกรรมใหญ่ครั้งนั้น
     
             เมื่อหลายปีมาแล้ว ฝ่ายทหารอินโดนีเซีย ได้เคยกล่าวหาว่า ภาคใต้ของไทยเป็นแหล่งส่งอาวุธให้ขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชของแคว้นอาเจะห์ ในสุมาตรา
     
             เรื่องนี้ฝ่ายรัฐบาลทั้งชุดก่อนและชุดปัจจุบัน และบรรดาหน่วยงานด้านความมั่นคงของเรา ก็ไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้ยอมรับ คงวางเฉยเรื่อยมา จนเกิดการปล้นปืนที่ค่ายกองพันพัฒนา ที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เมื่อต้นปีที่แล้ว ฝ่ายเราจึงเริ่มเอะใจ
     
             ต่อมาหน่วยสืบราชการลับของสิงคโปร์ ได้เคยเตือนว่าในเมืองไทยมีการดำเนินการพวกเจมาห์ อิสลามิยาห์ หรือที่เรียกย่อๆ ว่า กลุ่มเจไอ ซึ่งเป็นขบวนการมุสลิมหัวรุนแรงในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายสากลอัลกออิดะห์
     
             ฝ่ายไทยเราก็ปฏิเสธว่าเรื่องเช่นนี้ไม่มีจริง!
     
             แต่ในที่สุดเราก็ใช้ข้อมูลของฝ่ายสิงคโปร์ จับตัวพวกเจไอได้ ซึ่งเป็นคนของสิงคโปร์ พร้อมทั้งจับกุมคนไทยอีกสามคนซึ่งถูกดำเนินคดีด้วย
     
             ต่อมาเราก็จับกุมรองหัวหน้าใหญ่ของกลุ่มเจไอ ซึ่งเป็นตัวเชื่อมติดต่อกับกลุ่มอัลกออิดะห์ ชื่อนายฮัมบาลี
     
             สถานที่ที่จับกุมได้คือห้องชุดเช่าในอาคารที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้ความว่านายฮัมบาลีผู้นี้หมกตัวอยู่ที่นั่นมาหลายเดือนแล้ว และตามหลักฐานปรากฏว่าเขาเข้าเมืองไทยทางชายแดนด้านพม่า!
     
             นี่แสดงว่า บุคคลชั้นนำของขบวนการก่อการร้ายระหว่างประเทศ สามารถเดินเข้าออกและหลบซ่อนอยู่ทั่วเมืองไทย!
     
             แต่หน่วยสืบราชการลับของเราคงยืนกรานว่า เหตุการณ์รุนแรงในบ้านเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อการร้ายระหว่างประเทศเลย!
     
             ขอให้สังเกตว่า เราไม่ยอมเรียกเหตุการณ์รุนแรงที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่าเป็นพวก "โจรก่อการร้าย!" เรานิยมเรียกเหตุการณ์รุนแรงเหล่านั้นว่าเป็นการกระทำของพวก "โจรแบ่งแยกดินแดน"
     
              มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงผู้หนึ่งได้เคยพูดให้ฟังว่า ที่เรียกว่าเป็นพวก "โจรแบ่งแยกดินแดน" นั้น เพราะเป็นถ้อยคำที่มีกระแสปลุกอารมณ์ได้ดีกว่าใช้คำว่า "โจรก่อการร้าย" ซึ่งมีความหมายดาษดื่นเกินไป!
     
             เจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้อธิบายต่อไปว่า ความจริงแล้วทุกวันนี้พวกที่มีความคิดเรื่องแบ่งแยกดินแดนเป็นรัฐปัตตานีนั้น ได้เหลือเชื้อน้อยเต็มทีแล้ว แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นปฏิกิริยาของคนหนุ่มคนสาวมุสลิมรุ่นใหม่ ซึ่งไม่ยอมรับการปฏิบัติแบบไม่เป็นธรรมต่อชาวมุสลิม อย่างเช่นการอุ้มฆ่า
     
             คนหนุ่มมุสลิมเหล่านี้ ส่วนใหญ่เคยไปศึกษาวิชาศาสนาในต่างประเทศ เช่นที่ปากีสถาน อียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น จึงได้รับอิทธิพลของแนวคิดของฝ่ายมุสลิมจารีตนิยมมาอย่างเต็มที่
     
             เฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยผ่านสถานศึกษาศาสนาที่ปากีสถานมาแล้ว มักได้สัมผัสกับพวกตอลิบาน ซึ่งมีความคิดรุนแรงทางศาสนา และบางคนก็เคยเข้าไปฝึกอาวุธกับขบวนการมูจาฮีดีนเพื่อต่อสู้กับฝ่ายทหารของโซเวียตในอัฟกานิสถานในสมัยนั้นมาแล้ว ขบวนการมูจาฮีดีนในครั้งนั้นก็คือกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ในปัจจุบัน นั่นเอง
     
             ฉะนั้นมุสลิมรุ่นใหม่เหล่านี้ จึงมีแนวคิดต่อต้านการปฏิบัติที่ไม่ชอบธรรมและไม่ถูกต้องต่อชาวมุสลิม ทั้งยังรู้จักการใช้วิธีการรุนแรงต่างๆ และได้เคยสัมผัสกับกลุ่มต่างๆ ที่ทำงานด้านก่อการร้ายระหว่างประเทศอีกด้วย
     
             เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงระดับกลางผู้นี้ ได้บอกว่า เขาเองเคยวิเคราะห์สถานการณ์หลังเกิดเหตุที่ตากใบแล้วว่า จะต้องมีการตอบโต้ด้วยการก่อวินาศกรรมอย่างรุนแรง เช่น การวางระเบิดที่ท่าอากาศยาน หรือห้างสรรพสินค้า ตามเมืองใหญ่ๆ
     
             เขาได้เขียนรายงานถึงผู้บังคับบัญชา เสนอว่าควรมีการแจ้งเตือนให้มีการกวดขันอย่างเข้มงวดถึงมาตรการต่างๆ ที่ป้องกันการก่อการร้ายตามเมืองใหญ่อย่างเช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และหาดใหญ่ เป็นต้น
     
             แต่ผู้ใหญ่กลับเห็นว่า เป็นเรื่องกระต่ายตื่นตูม จะทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนกตกใจไปเปล่าๆ จึงให้ระงับเรื่องไว้
     
             เจ้าหน้าที่ผู้นั้นยอมรับว่าเขาเองก็คาดผิดเหมือนกัน เพราะหลังจากกรณีตากใบแล้วก็ไม่มีเหตุรุนแรงเป็นการก่อการร้ายในเมืองใหญ่ๆ นอก 3 จังหวัดภาคใต้ อย่างที่เขาคาดการณ์เอาไว้
     
             เขาวิเคราะห์ว่าที่เกิดเหตุวางระเบิดที่ท่าอากาศยานและห้างขายสินค้าที่หาดใหญ่ และที่โรงแรมที่สงขลานั้น คงเป็นปฏิกิริยาของฝ่ายก่อการร้ายที่แสดงอาการอาละวาดครั้งนี้ออกมา เพราะรัฐบาลเริ่มเปลี่ยนแนวทางใหม่ โดยตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติขึ้นมา
     
             เขาบอกเสริมด้วยว่า โรงแรมที่สงขลานั้น เป็นแหล่งที่ผู้ทำงานชาวต่างประเทศที่เข้ามาสำรวจน้ำมันเชื้อเพลิงในอ่าวไทย หมุนเวียนกันมาพักผ่อน
     
              การวางระเบิดที่โรงแรมนั้น ฝ่ายก่อการร้ายคงหวังที่จะสร้างความหวั่นวิตกในหมู่ชาวต่างประเทศ จะได้ถอนการลงทุนออกไป
     
             นี่เป็นการวิเคราะห์ของเจ้าหน้าที่ระดับกลางคนหนึ่งของฝ่ายข่าวกรองด้านความมั่นคงทางภาคใต้
     
             แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เหตุร้ายแรงครั้งนี้ได้สร้างความสูญเสียและความเสียหายมิใช่น้อย ที่สำคัญที่สุดเป็นเรื่องกระเทือนความรู้สึกของประชาชน ทำให้เห็นว่าเหตุร้ายที่เคยจำกัดอยู่ในเฉพาะ 3 จังหวัดภาคใต้เท่านั้น บัดนี้ได้ลุกลามใกล้ตัวเข้ามาแล้ว!
       
                อันที่จริง เหตุร้ายที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เป็นเพราะความหย่อนยานของฝ่ายรักษาความปลอดภัยของสนามบินมากกว่า
     
             ภาพที่เห็นในโทรทัศน์วงจรปิดของท่าอากาศยาน ซึ่งสถานีโทรทัศน์บางช่องนำมาแสดง ได้เห็นภาพชายคนหนึ่งเดินถือกระเป๋าเข้ามาในห้องผู้โดยสารขาออก เอากระเป๋าวางแล้วก็เดินกลับไป สักครู่ก็เกิดระเบิดขึ้น!
     
             แสดงว่าการเข้าออกในท่าอากาศยานแห่งนั้นในวันเกิดเหตุ สามารถเดินเข้าออกกันได้อย่างสบายทีเดียว แทบจะไม่มีการตรวจตรารักษาความปลอดภัยกันเลย
     
             อันที่จริงในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคของการก่อการร้าย ต้องมีการตรวจตราผู้คนที่เข้าออกสถานที่สาธารณะอย่างสม่ำเสมอและเข้มงวดตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสำคัญระดับใดก็ต้องผ่านการตรวจตราเสมอหน้ากันด้วย
     
             เราจะต้องละเลิกความประพฤติแบบไทยๆ ที่คนมีอำนาจหรือมีตำแหน่งสูงหรือมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษ ชอบแสดงความสำคัญของตนเอง โดยสามารถผ่านไปได้โดยไม่ต้องรับการตรวจตราเช่นคนอื่นๆ
     
       ความประพฤติเช่นนั้นต้องละเลิกเสียให้หมด! ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหม หรือเป็นเทวดาระดับไหนก็ตามที ก็ต้องผ่านการตรวจสอบเสมอหน้ากันหมด!
     
              เมื่อเกิดเหตุร้ายครั้งนี้ที่หาดใหญ่และที่สงขลาได้มีการพูดกันว่าให้นำมาตรการตรวจตราเข้มงวด ซึ่งเคยใช้กันเมื่อคราวมีการประชุมเอเปกที่กรุงเทพฯ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว นำมาใช้อีก
     
             การพูดเช่นนี้ส่อให้เห็นถึงวิธีการปฏิบัติของบ้านเรา ซึ่งมีลักษณะเป็นดับเบิลสแตนดาร์ด!
     
             มาตรฐานหนึ่งมีไว้สำหรับรับแขกบ้านแขกเมือง จึงต้องเข้มงวดและเอาจริงเอาจัง ส่วนอีกมาตรฐานหนึ่งเป็นสภาพอันแท้จริงของบ้านเรา ซึ่งหย่อนยานและลักลั่น!
     
             เราได้เห็นตัวอย่างแล้วในต่างประเทศ ไม่ว่าเหตุร้ายที่เกิดในอเมริกาในวันที่ 11 เดือน 9 เมื่อสี่ปีก่อนก็ดี เหตุระเบิดที่บาหลี อินโดนีเซียก็ดี หรือการวางระเบิดรถไฟสี่ขบวนกลางกรุงมาดริด สเปนก็เช่นกัน ผู้ก่อการร้ายสามารถทำการได้ในเวลาเผลอ หรือเมื่อไม่มีการตรวจเข้มงวดจริงจังเท่านั้น!
     
             เหตุร้ายที่เกิดขึ้นที่หาดใหญ่และสงขลาคราวนี้ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุเช่นนั้นเหมือนกัน!
     
              อนึ่งผู้ก่อการร้ายคงประสงค์ก่อเรื่องวินาศกรรมครั้งนี้ เพื่อจะทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีปฏิกิริยารุนแรง ซึ่งจะเป็นการเสียหลักของความสมานฉันท์
     
             แต่ต้องชมนายกรัฐมนตรีว่า ครั้งนี้คุณทักษิณสามารถควบคุมอารมรณ์และวาจาไว้ได้ดีทีเดียว! ไม่ได้แสดงอาการฉุนเฉียว หรือพูดจาเป็นการระบายอารมณ์ร้อนอย่างที่เคยเป็นมาแต่ก่อน! เพียงแต่กล่าวว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการท้าทายคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ!
     
             คำพูดเช่นนี้อันที่จริงก็ผิดเป้าหมาย! การก่อการร้ายครั้งนี้ไม่ได้ท้าทายคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ เพราะกรรมการชุดนี้ยังไม่ได้ลงมือทำงานเลย จะถูกท้าทายได้อย่างไร!
     
             อันที่จริงการก่อการร้ายครั้งนี้ เป็นการท้าทายรัฐบาลทักษิณโดยตรง ที่ตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติต่างหาก!
     
             แต่ถึงอย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ต้องยึดหลักการของความสมานฉันท์ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องอ่อนแอนุ่มนิ่มไปเสียทีเดียว!
     
             รัฐบาลจะต้องดำเนินการอย่างเข้มแข็งเด็ดขาดในการหาตัวผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ มาขึ้นศาลสถิตยุติธรรม ให้ได้รับโทษตามกฎหมายต่อไป
     
             รัฐบาลต้องใช้มาตรการตามกฎหมาย ตามหลักนิติธรรมหรือ Rule of Law กับการก่อการร้ายอย่างเคร่งครัดและจริงจัง! สำคัญเจ้าหน้าที่อย่าไป "จับแพะ" หรือใช้ "วิธีอุ้มฆ่า" กันอีกก็แล้วกัน!
     
             ในเรื่องการก่อการร้าย เราต้องใช้มาตรการตรวจตราป้องกันที่แน่นหนาและสม่ำเสมอ ถ้าเราตั้งอยู่ในความประมาทเมื่อใด ก็เท่ากับเป็นการเปิดช่องให้ผู้ก่อการร้ายสามารถแทรกตัวเข้ามาก่อเหตุร้ายได้!
     
             เมื่อเกิดเหตุวินาศกรรมขึ้นแล้ว ก็ย่อมมีการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งแก้ไขอะไรไม่ได้เสียแล้ว นอกจากมานั่งเสียใจร่วมกันเท่านั้นเอง!



อ้างอิง : เกษม ศิริสัมพันธ์.2548.การก่อการร้าย.[Online] Available URL ; http://www.manager.co.th/ Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9480000049590 .[Online] Available

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม