เหตุการณ์ที่สาธารณชนทั่วโลกติดตามข่าวสารผ่านสื่อสาธารณะต่างๆ
มีข่าวที่น่าสนใจอยู่มากมาย ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ
และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่แต่ละคนสนใจ
เหตุการณ์ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นที่สนใจของบุคคลทั่วโลก
โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่กำลังเจริญเติบโตที่เปิดเป็นประชาคมอาเซียน
หรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East Asian Nations : ASEAN)
ประกอบด้วย 10
ประเทศโดยเฉพาะประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากประชาคมโลกไม่
น้อย ทั้งด้านเศรษฐกิจ การลงทุน การท่องเที่ยว และเหตุการณ์ใน ๓
จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ได้แก่ พื้นที่จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา
จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดสงขลาบางส่วน คือ อำเภอจะนะ, อำเภอนาทวี,
อำเภอสะบ้าย้อย และอำเภอเทพา
ที่ทั่วโลกก็ติดตามข่าวสารถึงความเป็นไปในปัจจุบัน
และจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต
สถานการณ์ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
ตั้งแต่ พ.ศ.2547 (ค.ศ.2004) เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่
จนเป็นเหตุให้มีผลกระทบต่อสวัสดิภาพด้านชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน
ส่วนราชการ และภาครัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาอิสลามที่มี 80% ในจำนวน 2 ล้านคนในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งปัญหาความไม่สงบดัง
กล่าวมีพื้นฐานมาจากปัญหาเดิมซับซ้อนหลายมิติตั้งแต่ สังคมจิตวิทยา ศาสนา
และอุดมการณ์ความเชื่อที่มีมาตั้งแต่ พ.ศ.2503 (ค.ศ.1960)
ที่ทางรัฐบาลได้พยายามแก้ไขด้วยแนวทางสันติวิธีมาโดยตลอด
จนเมื่อขบวนการที่มีกลุ่มบุคคลพยายามสร้างสถานการณ์การต่อสู้ด้วยการใช้ความ
รุนแรง และการก่อการร้ายตามวิถีทางของพวกสุดโต่งที่นิยมการก่อการร้าย
และการปกครองแบบเผด็จการมุสลิมใช้ชื่อว่ากลุ่มขบวนการ BRN – Co – Ordinate ซึ่ง
เริ่มใช้ยุทธศาสตร์ครองมวลชนในหมู่บ้านตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 (ค.ศ.2004)
อาศัยการบ่มเพาะในสถานศึกษา, สถานที่ปฏิบัติกิจทางศาสนา (มัสยิด)
จัดตั้งสมาชิก
และผลิตกำลังรบในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อเป้าหมายการจัดตั้งรัฐปัตตานีดารุสลาม โดยมีกองกำลัง ทหาร หรือฝ่ายปฏิบัติการเรียกว่า RKK ทำการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ที่รุนแรง
บั่นทอนอำนาจรัฐรวมทั้งป้องกันมวลชนด้วยความหวาดกลัว
แบบลัทธิเผด็จการสุดโต่ง
ของจักรวรรดินิยมอิสลามอีกทั้งเผยแพร่คำสอนที่บิดเบือน
ปลุกระดมให้มุสลิมที่หลงผิดไม่รู้สึกว่าตนเองกำลังทำบาป
จึงสามารถก่อเหตุลงมือสังหารพวกพ้องมุสลิมด้วยกันเอง
ด้วยการหลงเชื่อคำสอนที่ผิดจากกลุ่มขบวนการ
และเป็นการป้องกันไม่ให้กำลังมวลชนของขบวนการมีใจออกห่างหรือออกจากกลุ่ม
เพราะหลงเชื่อคำกล่าวอ้างทางศาสนาที่บิดเบือนจากกลุ่มขบวนการนั่นเอง
รัฐบาลไทยได้ทุ่มเทความพยายามทั้งกำลังทรัพย์ กำลังบุคลากร
และเทคโนโลยีเข้าดำเนินการแก้ไขอย่างเต็มขีดความสามารถตลอดเวลา 8 ปี
ในทุกสมัยของรัฐบาล
ซึ่งแน่วแน่ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ส่วนมากนับถือศาสนาอิสลาม
โดยกำหนดยุทธศาสตร์กระบวนการ และวิธีการแก้ปัญหาที่ให้สอดคล้อง
และไม่ขัดต่อหลักศาสนาอิสลาม ไม่ฝืนอัตลักษณ์
ใช้สันติวิธีรวมถึงการเปิดโอกาส
และให้อภัยกับกองกำลังทหารของกลุ่มก่อความไม่สงบหรือ RKK ได้
เข้ามาร่วมแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งร่วมกัน
อีกทั้งยังพร้อมรับฟังผู้ที่เห็นต่าง
และมีความคิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรมได้ออกมาพูดคุยจนเป็นที่ประจักษ์แก่
สายตาประชาคมโลกในที่สุดว่ายุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยได้ผล
และนำมาซึ่งสันติภาพใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แก่ ปัตตานี, ยะลา,
นราธิวาส และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา
ในที่สุดด้วยการดำเนินการด้านการเมืองโดยใช้สันติวิธีนี้เอง
ทำให้กลุ่มขบวนการที่ก่อเหตุด้วยความโหดร้าย เข่นฆ่าพี่น้อง
ประชาชนมุสลิมอย่างไม่ปราณี และใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทย
ซึ่งล้วนแต่ใส่ร้ายป้ายสี จนประชาชนมุสลิม
พี่น้องชาวมลายูปัตตานีในประเทศไทย ไม่อาจทนต่อการบิดเบือน
และหลอกลวงของกลุ่มขบวนการ BRN – Co- Ordinate อีกต่อไป จึงได้ออกมาต่อต้าน และขับไล่กลุ่มก่อความรุนแรงที่เรียกว่า RKK ที่
หลบซ่อนตัวแฝงตัวในหมู่บ้านออกจากสังคมโดยไม่เกรงกลัวอีกต่อไป
พี่น้องประชาชนมลายูมุสลิมปัตตานี
และพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกศาสนาต่างออกมาร่วมต่อต้านกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง
ด้วยการแสดงออกทางกิจกรรมต่างๆ ในสังคมอย่างกว้างขวาง ในที่สุดกลุ่ม RKK หรือผู้ที่หลงผิด และผู้ที่เคยร่วมขบวนการก่อเหตุต่างทยอยออกมาแสดงตน
พร้อมร่วมพูดคุยเพื่อสันติกับทางรัฐบาลอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายทำให้ขบวนการ
ไม่เห็นหนทางที่จะชนะรัฐบาลไทยอีกต่อไป หากยังใช้วิธีการที่สุดโต่ง
และรุนแรงจนประชาชนมุสลิมต้องตายด้วยน้ำมือของตนเองมากขึ้น
แม้แต่การบิดเบือนศาสนาก็จะไม่มีมุสลิมผู้ใดหลงเชื่ออีกต่อไป
3
จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย
ยุทธวิธีหนึ่งที่กลุ่มขบวนการนิยมความรุนแรงจักรวรรดิมุสลิมที่มีความสุด
โต่ง พยายามบิดเบือนศาสนาและกล่าวร้ายต่อรัฐบาลไทยประการหนึ่ง คือ
ใช้ระบบเครือข่าย Social Network ที่ยั่วยุส่งเสริมให้มุสลิมหลงเชื่อศาสนาที่ผิดหลักที่อัลลอฮ์ประทานมาแก่มนุษยชาติ อีกทั้งพยายามใส่ร้ายป้ายสีโจมตีรัฐบาลไทยบิดเบือนประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ ศาสนา เช่น สื่อ Ambranews.com จากประเทศเพื่อน
บ้านของไทย ที่นิ่งเฉยต่อการกระทำที่แทรกแซงประเทศไทยของสื่อดังกล่าว
และล่าสุดเว็บไซต์ต่างประเทศโดยกลุ่มขบวนการที่ใช้นามผู้โพสต์โดย Khattabjadid 1 จากประเทศเพื่อนบ้านของประเทศไทยเช่นเคย ที่นำเสนอบทความอ้างอิงศาสนาโดยเชื่อได้ว่าเป็นกลุ่มคนของกลุ่มขบวนการ BRN – Co – Ordinate ที่เพิ่มแนวต่อสู้ในโลกออนไลน์ เพื่อหวังจูงใจไม่ให้คนในกระบวนการของตน, กลุ่ม RKK และ
มวลชนเอาใจออกห่าง และ ตีตนออกจากขบวนการ
ที่ทนไม่ได้กับการที่ขบวนการสั่งสังหาร พี่น้องมุสลิมรายวัน
ซึ่งเนื้อหาในบทความได้กล่าวถึง
1. ประชาชนชาวไทยที่กล่าวว่าชาติสยามได้รุกรานดินแดนปัตตานี ซึ่งเป็นดินแดนมุสลิมมลายู แท้จริงแล้วแถบภูมิภาคแหลมมลายูโดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศไทยมีประวัติศาสตร์มายาวนานมามากกว่า 1,000 ปีจน
มาถึงปัจจุบัน ต่างมีการค้าขาย
ทำศึกสงครามตามยุคที่ผ่านเปลี่ยนตามประวัติศาสตร์จนอยู่ร่วมกันได้ทุกเชื้อ
ชาติ ศาสนา ทั้งพุทธ อิสลาม ฮินดู คริสต์
ในพื้นที่แถบแหลมมาลายูทั้งในประเทศไทย
และมาเลเซีย ที่ผู้คนล้วนอยู่อาศัยพึ่งพากันอย่างสันติ
โดยเฉพาะประเทศไทยที่ให้เสรีกับประชาชนมุสลิมได้ปฏิบัติศาสนกิจได้ศึกษาวิชาการทางศาสนาจนได้ชื่อว่า 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเมกกะห์แหล่งที่ 2 ของพี่น้องมุสลิมทั่วโลก แล้วผู้บิดเบือนที่มีความคิดสุดโต่งอ้างคัมภีร์อัลกุร – อ่าน ซูเราะฮ์ อัต – เตาบะฮ์ (Al-Touba) โองการที่ 13 – 14 ที่ไม่ได้กล่าวไว้เลยว่าสยาม (ประเทศไทย) เป็นศัตรู
2. ประเทศไทยตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน ทุกยุคสมัยปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง
เป็นประมุข
และมีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ดูแลอุปถัมภ์ทุกศาสนามิได้ขาดตั้งแต่อดีต
ประชาชนชาวไทย (สยาม) ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธเป็นผู้มีจิตใจอ่อนน้อม
ยินยอม เอื้อเฟื้อ ต่อบุคคลทุกชาติ
ทุกภาษาเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนทั่วโลก
ประเทศไทยไม่เคยกีดกันในด้านศาสนา
พร้อมยินดีปรีดากับทุกศาสนาได้อย่างกลมกลืนแม้นศาสนาอิสลามเองก็มีประมุขของ
ศาสนาอิสลามในประเทศไทยคือจุฬาราชมนตรีที่ดูแลพี่น้องมุสลิมทั่วประเทศอย่าง
ทั่วถึง, รัฐบาลยังสนับสนุนศาสนสถานของพี่น้องมุสลิม (มัสยิด),
ให้งบประมาณอุดหนุนต่อคณะกรรมการอิสลามในทุกๆเดือน, สนับสนุนกิจการฮาลานใน 3
จังหวัดภาคใต้,
รวมถึงสนับสนุนการศึกษาสำหรับเด็กเยาวชนที่โรงเรียนสอนศาสนาถึงคนละ
7,920บาท ต่อคนต่อปี
รวมถึงส่งเสริมธนาคารสำหรับประชาชนมุสลิมโดยไม่หวังผลกำลังเพื่อประชาชน
มุสลิม (ISLAMIC BANK OF THAIL AND) หรือ (I - BANK) ดังนั้นหากขบวนการ BRN – CO – Ordinate หรือ
กลุ่มมุสลิมสุดโต่งอ้างว่าประเทศไทย (สยาม) เป็นมุชริกีน
(ผู้ตั้งภาคีต่อองค์อัลลอฮ์) ตามอ้างอิงในซูเราะห์ อัต – เตาบะฮ์ โองการที่
28 – 29 ที่อัลลอฮ์ อนุญาติให้มุสลิมต่อสู้ และลงโทษนั้น
เป็นการบิดเบือนที่ไม่อาจยอมรับได้จากพี่น้องมุสลิมทั่วโลก
3. ขบวนการ BRN – Co – Ordinate และ
ผู้ที่สนับสนุนการก่อเหตุรุนแรงที่เป็นมุสลิมสุดโต่งนิยมการก่อการร้ายล้วน
เป็นพวก มุชริกเสียเองที่เชื่อถือไม่ได้
ประพฤติตนของกลุ่มประดุจพวกไร้ศาสนา
บิดเบือนได้แม้กระทั่งคำบัญชาของเอกองค์อัลลอฮ์ในคัมภีร์ อัล – กรุอาน
ประหนึ่งไม่เกรงกลัว และเชื่อในวันอาคีร์เลาะฮ์ที่จะเข้าสู่ปรโลก
โดยไม่ได้รับการอภัย สถานการณ์ใน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยที่ขบวนการ BRN – Co – Ordinate สั่งการให้ก่อเหตุร้ายโดยไม่คำนึงถึงพี่น้องประชาชนมุสลิมมลายูอย่างเห็นได้ชัดเจน เช่น
-
การเผาโรงเรียนที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งโรงเรียนของรัฐ
โรงเรียนสอนศาสนา ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการบริจาคดูแลจากพี่น้องมุสลิมด้วยกัน
ที่บางครั้งผู้ก่อเหตุหลายคนทนไม่ได้กับการกระทำอย่างนี้
ที่ทำร้ายจิตใจลูกหลานมลายูของพวกเขาเอง
จนไม่อาจมีความก้าวหน้าทางการศึกษานี่เองเป็นเหตุผลที่ประชาชนมุสลิมออกมา
ต่อต้านการกระทำกลุ่มมุสลิมสุดโต่งอย่างกว้างขวาง
-
การใส่ร้ายป้ายสีเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไร้เหตุผล เช่น
อ้างว่าทหารพรานเป็นทหารรับจ้างแท้จริงแล้ว ทหารพรานทั้งหญิง และชาย
ล้วนเป็นประชาชนในท้องถิ่น
เป็นลูกหลานของพี่น้องมลายูมุสลิมที่อาสามาทำงานเพื่อดูแลปกป้องท้องถิ่น
แต่กลับกลายเป็นเป้าหมายของขบวนการ
- การสังหารครู
และอุสตาซที่สุดท้ายแล้วผู้ที่ต้องรับเคราะห์กรรมจากการกระทำของกลุ่มขบวน
การ ที่สุดโต่งหวังเพียงใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น คือ
นักเรียนเด็กๆที่ต้องขาดโอกาสทางการศึกษา และกรณีเมื่อ 30 ตุลาคม 2012
ผู้ก่อเหตุของขบวนการ BRN – Co – Ordinate ลอบ
ยิง นายมาหะมะ มะแอ ครูโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา
หวังปลุกกระแสความเกลียดชังของประชาชนแต่พี่น้องมุสลิมต่างรับไม่ได้กับการ
กระทำดังกล่าวของกลุ่มมุสลิมสุดโต่ง
-
การลอบวางระเบิดในเขตเมืองยะลา เมื่อ 17 พฤศจิกายน ค.ศ.2012
มีเด็กมุสลิมอายุ 4 ขวบ และเยาวชนบาดเจ็บถึง 2 คน
โดยเฉพาะการลอบวางระเบิดรางรถไฟสายยะลา – สุไหงโก – ลก เมื่อวันที่ 18
พฤศจิกายน ค.ศ.2012 อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส
อย่างไม่คำนึงถึงชีวิตพี่น้องชาวมุสลิมผู้บริสุทธิ์มีเยาวชนมุสลิมบาดเจ็บ
ถึง 3 คน
- การก่อเหตุร้ายตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 (ค.ศ.2004) มีประชาชนพี่น้องทั้งมุสลิม และประชาชนชาวไทยพุทธ เสียชีวิตกว่า 4,000 ราย ล้วนเป็นการกระทำของมุสลิมสุดโต่งกลุ่มขบวนการ BRN – Co – Ordinate การก่อเหตุร้ายราย
วันโดยหลอกลวงเยาวชนกลุ่มวัยรุ่นโดยใช้ยาเสพติด
และการบิดเบือนศาสนาให้ก่อเหตุรายวัน
ทำร้ายผู้บริสุทธิ์เพื่อสร้างความแตกแยกของประชาชนในพื้นที่
และใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐโดยแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่รวมถึงการปล่อยข่าวลือ
ล้วนเป็นการกระทำที่ขบวนการ BRN – Co – Ordinate กลุ่ม
มุสลิมสุดโต่ง ที่หน้าไหว้หลังหลอก
เป็นกลุ่มมุสลิมที่เชื่อถือไม่ได้ประพฤติตนเยี่ยงมุชริกที่ตั้งภาคีต่อองค์
อัลลอฮ์เสียเองที่ทุกฝ่ายที่เป็นมุสลิมต้องออกห่าง
และผลักใสออกจากสังคมมุสลิมผู้รักสันติทั้งมวล
4. ภาพเหตุการณ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยที่กลุ่มขบวนการมุสลิมสุดโต่งนิยมการก่อเหตุร้าย BRN – Co – Ordinate ที่มักนำเสนอให้สังคมมุสลิมทั่วโลก โดยมีขบวนการ PULO คอย
เสริมเติมแต่งเพื่ออ้างสิทธิของความเป็นผู้นำมลายูปัตตานีทั้งที่ไม่มีอำนาจ
บริหารแม้แต่น้อย แต่หวังเพียงเงินบริจาค เช่นกัน ซึ่งความจริงองค์กรอิสระ
และองค์กรอิสลามบางกลุ่มที่หลงเข้าใจผิดที่ให้เงินบริจาคสนับสนุนกลุ่มเหล่า
นี้ต้องทบทวน และพิจารณาในเรื่องต่อไปนี้
-
ภาพเหตุการณ์ตากใบที่กลุ่มขบวนการมุสลิมสุดโต่ง
และองค์กรสิทธิมนุษยชนมักหยิบยกมาอ้างเสมอว่าเป็นการสังหารหมู่ซึ่งแท้จริง
แล้วเหตุการณ์ตากใบ
กลุ่มขบวนการเป็นผู้เริ่มวางแผนให้มีการจับกุมแนวร่วมของขบวนการตั้งแต่
เริ่มแรกจำนวน 6 คน
เพื่อเป็นเงื่อนไขในการระดมมวลชนเข้าสู่เขตการประท้วงชุมนุม
และหลอกลวงมวลชนโดยกักมวลชนไม่ให้ออกจากเขตการชุมนุม
พยายามยั่วยุเจ้าหน้าที่โดยให้เจ้าหน้าที่ใช้กำลัง
การหลอกลวงของขบวนการต่อประชาชนครั้งนั้นขบวนการรู้แล้วว่าเป็นช่วงที่ถือ
ศีลอดแต่ก็ยังพยายามสร้างเหตุการณ์ให้บานปลายร้ายแรง
จากความผิดพลาดของการแก้ปัญหาเหตุการณ์ตากใบที่รัฐบาลในยุคสมัยของ
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ก้มหัวน้อมขอโทษผู้สูญเสีย และชาวไทยมุสลิม 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งน้ำตาด้วยความจริงใจ
และรัฐบาลทุกสมัยได้ทุ่มเทเยียวยาจิตใจ
และสวัสดิภาพของชีวิตผู้สูญเสียครอบครัวในเหตุการณ์ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยครอบครัวผู้เสียชีวิตรัฐบาลไทยเยียวยาเป็นจำนวนเงิน 7,500,000 บาท ผู้
พิการทุพลภาพรัฐบาลไทยเยียวยา จำนวน 4,500,000 บาท
ทั้งให้สิทธิ์เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ที่เมกกะฮ์ ได้ครอบครัวละ 2 คน
ทุกปี
ปัจจุบันประชาชนมุสลิมที่ได้รับการสูญเสียในเหตุการณ์ตากใบทุกคนไม่ต้องการ
ให้ใครมารื้อฟื้นเหตุการณ์อีกต่อไป
- มัสยิดกรือเซะในจังหวัดปัตตานีเป็นสถานที่สำคัญของประชาชนชาวไทยทุกคนทุกเชื้อชาติในประเทศไทยควบ
คู่กับศาลเจ้าแม่ลิ้มก่อเหนี่ยวเป็นสัญลักษณ์ของ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย แต่มักถูกขบวนการก่อเหตุรุนแรง
และองค์กรสิทธิ์มนุษยชนบางกลุ่มที่หวังผลประโยชน์บิดเบือนเหตุการณ์
การเข้าควบคุมเหตุรุนแรงในมัสยิดกรือเซะ เมื่ออดีต 28 เมษายน พ.ศ.2547
(ค.ศ.2004)
สร้างความเข้าใจผิดกับองค์กรมุสลิมมาโดยตลอดทั้งที่เหตุการณ์วันดังกล่าว
กลุ่มขบวนการได้ใช้ยาเสพติดควบคู่กับการปลุกระดมตามหลักศาสนาหลอกให้เยาวชน
ถือมีด และอาวุธเข้าโจมตีหวังสังหารเจ้าหน้าที่มากกว่า 80 แห่ง
ในวันดังกล่าว และจุดหนึ่งที่มีกลุ่มชายฉกรรจ์ถืออาวุธมากกว่า 20 คน
เข้าโจมตีคือจุดตรวจใกล้มัสยิดกรือเซะจนทำให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ จำนวน 2
นาย และต่อสู้จนกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวหลบหนีเข้าไปในมัสยิดกรือเซะ
และไม่ยอมมอบตัวทั้งข่มขู่ไม่ให้มุสลิมผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ด้านในออกมาจาก
มัสยิด
จนที่สุดแล้วเจ้าหน้าที่จึงมีความจำเป็นต้องใช้วิธีตามหลักสากลเข้าจับกุม
จนทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 1 คน
และกลุ่มชายฉกรรจ์ที่มีอาวุธครบมือเสียชีวิต
แต่ต่อมารัฐบาลก็เยียวยาให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้งหมดในจำนวนเดียวกัน
กับเหตุการณ์ตากใบ
และเจ้าหน้าที่ซึ่งควบคุมการปฏิบัติการครั้งนั้นถูกดำเนินคดี
โดยขณะนี้คดีอยู่ในการพิจารณาของศาล และครอบครัวมุสลิม
ผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ต่างให้อภัยกับเหตุการณ์ครั้งนั้น
รวมทั้งไม่ต้องการให้ฝ่ายใดมาใช้มัสยิดกรือเซะที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของ 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ถูกใช้เป็นเครื่องมือของกลุ่มใดอีกต่อไป
-
ข้อเท็จจริงสำหรับเหตุการณ์มัสยิดอัล – ฟุรกอน พ.ศ.2552 (ค.ศ.2009)
ประชาชนมุสลิมใน 3 จังหวัดภาคใต้ต่างรู้ดีว่าพื้นที่ตั้งของมัสยิด อัล –
ฟูรกอน บ้านไอร์ปาแย หมู่ที่ 8 ตำบลจวบ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส
ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว พี่น้องประชาชนชาวไทยพุทธ
และประชาชนมุสลิมอยู่เคียงข้างกัน 2 หมู่บ้านอย่างกลมกลืน แต่ขบวนการ BRN – Co – Ordinate กลับสั่งการให้กลุ่ม RKK เข้า
ไปสังหารประชาชนในมัสยิดเพื่อป้ายสีว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่
ซึ่งเป็นการกระทำที่มุสลิมยอมรับไม่ได้กลับพวกมุสลิมสุดโต่ง ที่หลอกลวงชาวบ้าน ซึ่งปัจจุบันประชาชนในหมู่บ้านต่างเข้าใจ
และกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขโดยมีเจ้าหน้าที่ทหารพรานประจำหมู่บ้านคอยดูแล
ด้วยความอบอุ่น
5.
จากความพยายามของรัฐบาลไทยตลอดระยะเวลา 8 ปี จนถึงปัจจุบันด้วยความจริงใจ
และศึกษาเข้าใจปัญหาอย่างรอบด้านทั้งทางสังคมวิทยา ศาสนา เชื้อชาติ
รวมถึงการปฏิบัติตามหลักกฎหมาย การดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชน
ดูแลพัฒนาอย่างรอบด้านต่อประชาชนชาวไทย
และชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูอย่างรอบด้าน
ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เกิดความเข้าใจ
และออกห่างจากขบวนการที่สร้างแต่ความทุกข์ และทำลาย อีกทั้ง RKK ผู้ปฏิบัติการทางทหารของขบวนการเริ่มถอนตัว และออกมาพูดคุยกับรัฐบาลมากขึ้น ขบวนการ BRN – Co – Ordinate จึง
พยายามใช้ศาสนาเผยแพร่โดยบิดเบือน ซูเราะห์ อัต – เตาบะฮ์ โองการที่ 14 –
15 และไม่ให้ยอมรับการช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาลไทย
ทั้งที่ขบวนการที่อ้างว่าทำเพื่อคนมลายูปัตตานีแต่กลับฆ่าพี่น้องมุสลิม
มลายูรายวัน สร้างแต่ความทุกข์ร้อน แต่ขบวนการเองรับเงินบริจาคจากองค์กร ที่เข้าใจเหตุการณ์ภาคใต้ผิด
และองค์กรที่สนับสนุนการก่อการร้ายปีละมากกว่า 500 ล้านบาท
ในปี พ.ศ.2558 (ค.ศ.2015)
ประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียน
ความต้องการของพี่น้องประชาชนมลายูมุสลิมที่ต้องการสันติภาพ
และติดต่อค้าขายกับประชาคมมุสลิมสันติทั่วโลก
ไม่มีมุสลิมคนใดกลุ่มใดต้องการสงครามการเข่นฆ่า และคัมภีร์ อัล – กุรอ่าน
ก็มิได้สั่งสอนให้มนุษยชาติเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน
แต่แท้จริงแล้วองค์
อัลลอฮ์ทรงพระประสงค์ให้มนุษยชาติอยู่ร่วมกันอย่างสันติทุกชาติพันธุ์
เหล่ากอ ทุกศาสนา โดย
ยึดหลักสันติแห่งอิสลามที่ได้กำหนดให้มุสลิมทุกคนปฏิบัติ
ไม่ได้ให้ทำสงครามเข่นฆ่าโดยมุสลิมหัวรุนแรงที่บิดเบือนศาสนาด้วยความสุด
โต่ง หวังอำนาจจากการเข่นฆ่า ทำให้มุสลิมทั่วโลกถูกเกลียดชัง
และหลอกลวงมุสลิมด้วยกัน ด้วยคำว่าญิฮาดที่ผิดไปจากคัมภีร์ อัล – กรุอ่าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น