วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สันดานผู้ชายนุ่งผ้าถุง


           โจรฟาตอนีทิ้งเพื่อนตายข้างถนน! หลังโดนทหารพรานสวนขณะก่อเหตุยิงพ่อตาเสียชีวิต พบประวัติโจรใต้ที่ตายเคยถูกจับกุมต้องสงสัยปล้นธนาคารกสิกรไทยสาขาปาลัส เมื่อปี 56 และถูกปล่อยตัวในเวลาต่อมา และสามารถจับกุมเพื่อนร่วมก่อเหตุได้อีก 1 คน...

          ความคืบหน้ายิงนายมะมือลี วามะ ชาวไทยมุสลิมเสียชีวิต เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 57 ที่ผ่านมา โดยกลุ่มโจรใต้เป็นวัยรุ่นจำนวน 4 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์จำนวน 2 คัน จอดหน้าบ้าน นาย มะมือลี วามะ ก่อนกราดยิง นาย มะมือลื หลายนัดกระสุนถูกบริเวณศรีษะ และลำตัวจนเสียชีวิต

          ขณะเกิดเหตุ ส.อ. อัครพงษ์ สะอะ เจ้าหน้าทีทหารพราน หน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 25 ซึ่งเป็นลูกเขยของนายมะมือลี อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุจึงได้ใช้อาวุธปืนประจำกาย 9 มม. ยิงตอบทำให้โจรใต้ทั้ง 4 หลบหนีไป  ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนคนร้ายตกอยู่ข้างกำแพงและรองเท้าฟองน้ำเปื้อนโคลน 1 คู่และคราบเลือดคนร้าย ข้างกำแพงบ้านจึงรู้ว่าคนร้ายได้รับบาดเจ็บแล้วพากันหลบหนี

           ต่อมาวันที่ 28 พ.ย. พบศบผู้ชายนุ่งผ้าถุง นายอับดุลการีม มะลา อายุ 22 ปี บริเวณถนนบ้านโตะบาลา-กะพ้อ หมู่ 5 ต.กะดุงนง อ.สายบุรี จ.ปัตตานี นอนตายเหมือนหมาโดนรถชน ตรวจสอบประวัติผู้ตายเคยถูกจับกุมต้องสงสัยเป็นผู้ก่อการร้าย ร่วมกันปล้นธนาคารกสิกรไทย สาขาปาลัส อ.มายอ และถูกปล่อยตัวเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 56

       โจรนุ่งผ้าถุง อับดุลการีม มะลา เป็นลูกชายของโต๊ะอิหม่ามในพื้นที่ ต.สุวารี อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส เคยเรียนที่โรงเรียนปอเนาะแห่งหนึ่งในอำเภอทุ่งยางแดง ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามชันสูตรศพ แต่ญาติของโจรใต้ไม่ยินยอมให้ทำการชันสูตรแต่อย่างใด

        ต่อมา นาย นิอัลวีย์ ดือราแม ผู้ชายนุ่งผ้าถุงที่ร่วมก่อเหตุ และได้ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ให้การซัดทอดว่า นาย อับดุลการีม มะลา เป็นผู้ร่วมลงมือยิงนายมมือลื  วามะ แต่ถูกยิงสวนกลับ ได้รับบชาดเจ็บเลือดไหลออกไม่หยุด จึงใช้ผ้าสี่แดงมัดเอวใว้เพื่อห้ามเลือด แต่นายนิอัลวีย์ฯ ทนพิษบาดแผไม่ไหวจึงได้ไปเฝ้าโอลันล้าในนรกซะก่อน และเพื่อนก็ได้นำซากศพไปทิ้งใว้ข้างทางเหมือนหมาโดนรถชน จนรุ่งเช้าชาวบ้านมาพบศพ ส่วนโจรผู้ชายนุ่งผ้าถุงอีก 2 ตัวหลบหนีไปได้ แต่เจ้าหน้าที่รู้ตัวหมดแล้วว่ามีหมาตัวไหนมั่ง


ผู้ชายนุ่งผ้าถุง ยิงข้าราชการมุสลิม ที่นราธิวาส



            เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2557 เวลา 18.40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบาเจาะ ได้รับแจ้งเหตุฆ่าผู้อื่น เหตุเกิดที่ หมู่ 6 บ้านยะลูตงดูวอ ตำบลกาเยาะมาตี อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส โดยคนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวนได้ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิด และขนาด ยิงผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน บ้านกูวิงทราบชื่อต่อมาชื่อ นาย อับดุลเลาะ อาแซ อายุ 51 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ที่ หมู่ 3 ตำบลไทรทอง อำเภอไม้แก่น ขณะเหตุเกิด นาย อับดุลเลาะ อาแซ เดินทางกลับจากไปร่วมงานมงคลสมรสของผู้คุ้นเคย คนร้ายก่อเหตุก่อนหลบหนี ได้นำอาวุธปืนขนาด .38 มม. ของผู้เสียชีวิต ไปด้วย



ไอ้ลูกหมาฟาตอนี เปิดศึกสงครามตอแหล บนโซเชี่ยลมีเดีย



            เพจ: Patani jurnal เพจแน่วร่วมโจรใต้ฟาตอนี ยังคงเดินหน้าบิดเบือนข่าวสาร กล่าวหาว่ารัฐบาลไทยพยายามสกัดกั้นการศึกษาของคนมลายูมุสลิมใน จชต.

           เรามาดูเนื้อหาการสร้างความแตกแยกของเพจ: Patani jurnal กัน ซึ่งได้มีการระบุว่า ในอดีตศูนย์การสอนและให้ความรู้เกี่ยวกับหลักคำสอนอัลกุรอาน และภาษามลายู จะตั้งขึ้นที่บ้านพักของครูสอนศาสนา ซึ่งมีอยู่ทุกหมู่บ้าน แต่ด้วยรัฐบาลไทยบังคับให้คนมลายูต้องศึกษาในระบบโรงเรียนของรัฐด้วยการใช้ภาษาไทย เป็นภาษาหลักในการเรียนการสอน รวมทั้งห้ามใช้ภาษามลายูในการสนทนาในโรงเรียนของรัฐ ดังนั้นโอกาสที่บุตรหลานชาวมลายูจะศึกษาเกี่ยวกับศาสนาและภาษามลายูก็ลดลง

          หากท่านที่เคยเดินทางมาในพื้นที่ จชต.หากนั่งรถผ่านหมู่บ้าน ชุมชน จะเห็นได้ว่าโรงเรียนปอเนาะ โรงเรียนตาดีกา (โรงเรียนสอนศาสนา) มีเยอะมาก อีกทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองนิยมให้บุตรหลานของตัวเองเข้าเรียนในโรงเรียนสอนศาสนาเหล่านี้ มีการเปิดโรงเรียนผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ด เนื่องจากในปัจจุบันโรงเรียนเอกชนได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลจ่ายให้นักเรียนต่อหัว ต่อคน ต่อปี

          ส่วนในเรื่องการกีดกันไม่ให้มีการเรียนการสอนเป็นการบิดเบือนอย่างหน้าด้านๆ และไม่มีการห้ามการใช้ภาษามลายูในการสนทนาในโรงเรียนของรัฐแต่อย่างใดเลย

         ความหลากหลายในการใช้ภาษา สามารถพูด อ่าน เขียนได้หลายภาษาเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากปีหน้าประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน มีการแข่งขันทางเศรษฐกิจ มีการติดต่อกับนานาประเทศในกลุ่ม หากนักเรียนยังคงยึดติดอยู่กับการใช้ภาษาเดียวก็ไม่สามารถไปแข่งขันกับประเทศใดได้เลยในเชิงธุรกิจ การติดต่อทำมาค้าขาย เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องมีการปรับเปลี่ยน เรียนรู้ กับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้

วิธีต้อนรับปีใหม่ของมุสลิมชีอะฮ์




          นี่คือวิธีต้อนรับปีใหม่ของพวกชีอะฮ์อิหร่าน โดยการฆ่าแขวนคอชายมุสลิมซุนนะฮคนหนึ่งในที่สาธารณะ ในเขตปกครอง Ahwaz แสดงให้เห็นถึงความไร้ซึ่งมนุษยธรรมและความละอายใดฯทั้งสิ้น ในหมู่ชีอะฮ์เหล่านั้น

        เขตปกครอง Ahwaz มีชาประชน 95% เป็นมุสลิมซุนนะฮ แต่ปัจจุบันประชากรมุสลิมซุนนะฮลดลง เนื่องจาก ลัทธิชีอะ จะจัดการสังหารอย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้ เมื่อมีผู้ใดต่อต้านชีอะฮ

        เขตปกครอง Ahwaz เป็นเขตปกครองที่เต็มไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน แต่ปัจจุบัน Ahwaz ได้ถูกยึดครองโดย ชีอะฮ อีห่ราน ซึ่งยึดทรัพยากรน้ำมันทั้งหมด โดยปล่อยให้เจ้าของแผ่นดินที่มีสิทธในทรัพยากร อดอยาก ปากแห้ง และทุกทรมานมากกว่า ชาวปาเลสไตน์อีก แต่เนื่องจากความเป็นไปของชาวซุนนะฮ ที่ Ahwaz ถูกปิดบัง จึงทำให้ชาวโลกไม่ค่อยได้รับรู้เรื่องราวของพวกเขามากพอ และนี่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวความชั่วร้ายของลัทธินี้


ควายไหมนั่น อิหม่าม ฟันเด็ก 4 ขวบ เรียกสวยหรู๋ว่า ทำมุตอะห์

http://korid2000.blogspot.com/2013/07/4-5.html


ถอดความภาษาอาหรับ : khalil Sorbir

          เด็กน้อยร้องไห้ขอความช่วยเหลือ "อย่าทำกับหนูเลยท่านอิหม่าม...พี่สาวของหนูก็มีให้เลือก....ทำไมจึงเลือกหนู....หนูแค่อายุ 4-5 ขวบเท่านั้น" 

          เพราะศาสนาของท่านหรืออารมณ์ตัณหาของท่าน อิหม่ามโคไมนีเอง...ที่กระทำกับหนูได้เช่นนี้..!!!
/span>

คือเรื่องของเรื่อง...........
          ในช่วงโคไมนีพักอาศัยที่อิรัก เราได้มาหาสู่กับโคไมนีเป็นประจำ และเราก็ได้เรียนรู้จากเขา จนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเขาเน้นแฟ้นยิ่งขึ้น 
         
          …ต่อมาโคไมนีได้รับการเรียกร้องให้เขาเผยแพร่ชิอะห์ที่เมืองหนึ่ง ซึ่งเมืองนี้อยู่ทางตะวันตกของเมืองโมเซล ระยะการเดินทางใช้เวลา 1 ชม. ครึ่ง โดยรถยนต์ และเขาก็ชวนฉันเดินทางไปกับเขาด้วย…ฉันก็ตกลงเดินทางไปกับเขาด้วย.

         เมื่อไปถึงที่เมืองนั้น มีครอบรคัวหนึ่งที่นั้น ออกมาตอนรับอย่างสุดเกียรติ ให้กับคณะโคไมนี และใช้เวลาระยะหนึ่งในการเผยแพร่ชิอะห์ในเขตนั้น.....

          เมื่อเสร็จสิ้นในทำภารกิจนั้น...พวกเราก็เดินทางกลับ ในระหว่างการเดินทางกลับเราได้ผ่านเมืองแบกแดดและอิหม่ามโคไมนีต้องการที่จะแวะพักผ่อนที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง โดยเขาสั่งให้ไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง...ซึ่งที่นั้นมีชายอีหร่านคนหนึ่งพักอาศัยอยู่ มีนามว่า ซัยยิด ซอเฮบ ซึ่งทั้ง 2 มีความรู้จักกันอย่างเน้นแฟ้น...

         พอไปถึงที่นั้นเวลาซุฮรี ซัยยิด ซอเฮบ จึงจัดทำอาหารเที่ยงอย่างสมเกียรติ.ให้กับคณะพวกเรา.
และเจ้าของบ้านได้ประสานกับญาติพี่น้องของเขาให้มาร่วมพบปะสร้างสรรค์กับคณะของเรา จนทำให้บ้านของเขาเต็มไปด้วยผู้คนที่มาในวันนั้นและซัยยิด ซอเฮบได้ขอจากอิหม่ามโคไมนีให้ค้างคืนที่บ้านเขา คืนนั้น , 

          โคไมนีก็ตอบรับ....เมื่อถึงเวลา อาซาอฺ พวกเราก็ได้รับประทานอาหารร่วมกัน...ผู้คนที่มานั้นต่างก็เข้ามาจูบมือโคไมนี และมีการถามตอบระหว่างโคไมนีกับพวกเขา...พอถึงเวลานอนแขกๆที่มานั้นต่างก็แยกย้ายกลับบ้าน...นอกจากครอบครับเจ้าของบ้าน ...ในขณะนั้น อิหม่ามโคไมนีได้เห็นเด็กหญิงน้อยอายุราว ๆ 4-5 ขวบและสวยด้วย จึงขอทำมุตอะห์กับเด็กคนนี้จากพ่อของเขานี้ ( ซัยยิด ซอเฮบ ) โดยพ่อของเด็กน้อยคนนี้...ได้อนุญาตทันที่...เต็มใจและมีความรู้สึกปลื้ม ปิติเป็นอย่างยิ่ง .

          และในค่ำคืนนั้นพวกเราก็ได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเด็กน้อย ( อายุ 4-5 ขวบ)  

         ในยามเช้า....ที่บริสุทธิ์พวกเรารับประทานอาหารเช้าร่วมกันแต่สีหน้าของฉันกลับเคร่งเครียดและไม่สบายใจเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กน้อยเมื่อคืน.....

       ทำไมต้องทำมุตอะห์กับเด็กน้อยนี้ด้วย ( อายุ 4-5 ขวบ ) ทั้ง ๆ ในบ้านนั้นมีหญิงสาวที่บรรลุนิติภาวะหลายคน....ที่อิหม่ามโคไมนี สามารถจะเลือกในจำนวนนั้นซักคนหนึ่งเพื่อทำมุตอะห์.....แต่เขากลับไม่ทำ ??

        มีคนหนึ่งได้ถามฉันว่า "ท่านซัยยิด ฮูเซ็น ท่านคิดอย่างไรกับการทำมุตอะห์ ?"
        ฉันจึงตอบเขาว่า "ท่านซัยยิด คำพูดและการกระทำของท่าน ฉันไม่อาจจะคัดค้านได้ เพราะท่านคือ อิหม่ามมุญตาฮิด"
        ฉันไม่สามารถจะแสดงความคิดเห็นได้นอกจากดูและฟังอย่างเดียว

         เวลานั้น..เขาก็กล่าวว่า " ท่าน ซัยยิด ฮุเซ็น , แท้จริงการทำมุตอะห์กับเด็กน้อย...เป็นที่อนุมัติ...บนเงื่อนไขด้วยการหยอกหล้อกัน , การจูบ , เล่นกันข้างนอกระหว่าง 2 ขาเท่านั้น แต่สำหรับการร่วมประเวณีกับเด็กน้อยนั้น..เขาไม่แข็งแรงพอ "

          แต่สำหรับทัศนะของอิหม่ามโคไมนี...คือ เป็นที่อนุมัติมุตอะห์กับเด็กน้อยแม้แต่เด็กที่อย่างกินนมอยู่ก็ทำมุตอะห์ได้. กล่าวคือ ( การทำมุตอะห์นั้นกับเด็กน้อยนั้นแม้แต่เด็กที่อย่างกินนมอยู่-โดยการ จูบ และประเวณี เป็นสิ่งที่กระทำได้ ) 

แปลจาก..หนังสือ لله..ثم للتاريخ ..ผู้เขียน : السيد حسين الموسوي (หน้า 35-37)

         ชาวชิอะห์เอ๋ย.....พวกท่านจะยอมไหมให้ทำมุตอะห์กับลูกหลานของท่านอายุ 4-5 ขวบหรือน้อยกว่านั้นตามที่อิหม่ามโคไมนีกระทำ...ผู้นำแห่งจิตวิญญาณของชาวชิอะห์...!!!!




มุตอะฮฺ หมายถึงอะไร ?

           มุตอะฮฺ เป็นคำศัพท์ภาษาอาหรับ มีความหมายว่า “ความสุขสำราญ” แต่มุสลิมโลกสวย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มุสลิมชีอะห์ ที่ได้ประโยชน์ จากการเล่นเสียวในเรื่องนี้ ก็จะอธิบายว่า  มุตอะฮฺนิซาอฺ หรือการแต่งงานที่มีกำหนดเวลา ( ฟาดกัน ชั่วคราว ) หมายถึง หญิงหรือตัวแทนของฝ่ายหญิงได้ตกลงแต่งงานกับฝ่ายชาย ตามกำหนดเวลา และมะฮัรฺ(สินสอด) ที่กำหนดแน่นอน ซึ่งต้องไม่มีอุปสรรคทางหลักชัรอีย์ (ข้อบังคับศาสนบัญญัติ) เป็นตัวขวางกั้น เช่นการเป็นเครือญาติทางสายเลือด หรือโดยสาเหตุ (สะบับบี) หรืออิดดะฮฺ (ช่วงระยะเวลาที่หย่าร้างกับสามีเดิม) หรือหญิงมีสามี หรือหญิงไม่ได้เป็นมุสลิม กรณีที่เคยร่วมหลับนอนเมื่อแยกทางกับสามีต้องรอให้รอบเดือนหมดถึงสองครั้ง ถ้าหญิงเป็นผู้ไม่มีกำหนดเวลาในการมีรอบเดือนแน่นอน และอายุไม่ถึงกำหนดเวลาที่รอบเดือนจะหมดต้องรอเวลาจนกว่าจะถึง ๔๕ วัน
         บุตรที่เกิดจากการแต่งงานที่มีกำหนดเวลา มีสิทธิทุกอย่างเหมือนกับบุตรที่เกิดจากการนิกาห์ และตามความเป็นจริงเรื่องนี้มีอยู่ในอิสลามหรือไม่?  แน่นอนเรื่องนี้มีอยู่ในอิสลามจริงตามหลักฐานของอัลกุรอานที่กล่าวว่า..

             فَمَا اسْتَمْتَعْتُم بِهِ مِنْهُنَّ فَآتُوهُنَّ أُجُورَهُنَّ فَرِيضَةً وَلاَ جُنَاحَ عَلَيْكُمْ فِيمَا تَرَاضَيْتُم بِهِ مِن بَعْدِ الْفَرِيضَةِ إِنَّ اللّهَ كَانَ عَلِيمًا حَكِيمً

         “ดังนั้นหญิงใดที่พวกเจ้าเสพสุขด้วย จากบรรดาหญิงเหล่านั้นก็จงให้แก่พวกนาง ซึ่งสินตอบแทนแก่พวกนางตามที่มีกำหนดไว้ และไม่เป็นบาปใด ๆ แก่พวกเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าต่างยินยอมกันในสิ่งนั้นหลังจากที่มีกำหนดนั้นขึ้นแท้จริง อัลลอฮฺเป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงปรีชาญาณ (บทอันนิซาอฺ / ๒๔)

           แปลความหมายกันตามสติปัญญานะครับ ส่วนใครจะเชื่อ โคมัยนี่ และทำตามนั้น ก็เชิญตามสะดวกละครับ เพียงแต่ว่าคงต้องตอบปัญหาทางสังคมมุสลิมด้วยกันเองว่า ควายไหมนั่น 


หลักฐานความระยำ ของการค้ากาม ที่เรียกกันว่า มุตอะฮฺ


            เพื่อนผม เรียนหนังสือห้องเตียวกัน เป็นมุสลิม หนองจอก มันอธิบายว่า มุตอะห์ หรือเรียกอีกอย่างว่าการแต่งงานชั่วคราว ซึ่งเรื่องนี้ มุสลิมสายซุน นี่มักจะบอกว่า เนี้ยมันเป็นความเชื่อของพวกชีอะห์ มันไม่ใช่อิสลาม !!!

               ผมก็งง ทำไหมเวลาอวดอ้างว่าตัวเองมีผู้นับถือเยอะ เสือกนับรวมทุกนิกาย แต่ทำไหมพอมีเรื่องเหี้ย ๆ ของนิกายอื่น ๆ เสือกบอกว่านิกายนั้นไม่ใช่อิสลาม

อิหม่ามเกย์แอบแต่งงานให้คู่รักเพศเดียวกัน


          แม้จะมีกฎหมายรับรองการแต่งงานระหว่างเพศเดียว แต่บางชุมชนโดยเฉพาะในสังคมมุสลิมไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ อิหม่ามอัฟริกัน อเมริกัน Daayiee Abdullah ดายิอี อับดุลเลาะฮฺ ซึ่งเข้ารับอิสลามและมีพฤติกรรมเป็นเกย์อย่างเปิดเผย ได้ช่วยทำพิธีแต่งงานให้คู่รักเพศเดียวกันคู่หนึ่ง และยังปิดบังไม่ให้ครอบครัวของพวกเขารู้เรื่องนี้

          อิหม่ามดายิอี จะได้รับการสรรเสริญยกย่องในหมู่มุสลิมที่มีรสนิยมไม้ป่าเดียวกัน แต่เขาก็ถูกเหยียดหยาม ทั้งยังมีการเปิดบล๊อกในอินเตอร์เน็ตที่มีข้อความแสดงความโกรธ

         ก่อนหน้านี้ ดายีอี เคยนำละหมาดญานาซะฮฺให้กับชายมุสลิมที่เสียชีวิตด้วยโรคเอดส์ ซึ่งอิหม่ามดายีอีกล่าวว่า "ชาวเกย์ถูกปฏิบัติต่ออย่างโหดและทารุณเมื่อเขามีชีวิต และต้องมีคนทำพิธีให้เมื่อเขาตาย และถึงแม้คนเหล่านี้จะละทิ้งศรัทธาไปแล้ว แต่ก็ยังคงมีความจำเป็นที่เขาจะต้องช่วยทำพิธีให้ เพราะไม่มีอิหม่ามคนไหนยอมทำ" - www.muslimthaipost.com


อิหม่ามหญิงในประเทศจีน ถูกปลดจากพันธนาการ

อิหม่ามหญิงในประเทศจีน




           สตรีสลิมในประเทศจีนเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปอย่างเงียบๆ ในประเทศจีน เพราะพวกเธอเป็นอิหม่ามได้ด้วยนะสิ!  ผู้คนในประเทศมุสลิมทั้งหลายคงจะนึกไม่ออกหรอกว่า มีเรื่องแบบนี้ในโลกด้วย!

         อู๋จง เป็นเมืองที่มีอิหม่ามหญิงมากที่สุดในประเทศจีน คือมากกว่า 20 คน พวกเธอนำละหมาดและให้คำปรึกษาแก่ผู้หญิงเรื่องของศาสนาอิสลามในอู๋จง ซึ่งเป็นเมืองที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม

         หวัง ซาน เคยเป็นพยาบาลมาก่อน และจนกระทั่งปีค.ศ.1985 นั่นแหละที่เธอเริ่มกระหายจะศึกษาอัล-กุรอานมากขึ้นและศึกษาเรื่องการปฏิบัติตัวตามหลักศาสนา เธอบอกว่า "ฉันไม่ได้วางแผนจะเป็นอิหม่ามหรอก ฉันต้องการแค่ศึกษาเพิ่มเติมและพัฒนาภาษาอารบิกของฉันให้ดีขึ้น แต่ต่อมาฉันก็พบว่า มีผู้หญิงมุสลิมจำนวนมากอ่านอัล-กุรอานไม่ออกและต้องการคำแนะนำในเรื่องศาสนา" หวัง ซาน สอบผ่านการเป็นอิหม่ามแล้ว และรับตำแหน่งอิหม่ามที่มัสยิดหญิงล้วนแห่งหนึ่งในอู๋จงใน ปี ค.ศ.2002

           อย่างไรก็ตาม ในประเทศอื่นๆ โอกาสแบบนี้ของผู้หญิงมุสลิมมีไม่มากนัก เพราะอิสลาม จำกัดสิทธิ์ของผู้หญิงในการเข้าอึงอัลกุรอาน เช่นในโมรอคโค เมื่อต้นเดือน มิ.ย.2006 ที่ผ่านมานี่เอง มีฟัตวาจากผู้นำศาสนาที่นั่นห้ามผู้หญิงดำรงตำแหน่งสูง ๆ และก่อนหน้านี้ที่บาห์เรน ในปีค.ศ.2004 มีรายงานว่า สตรีวัย 40 ผู้หนึ่งถูกจับกุมในข้อหาพยายามจะกล่าวคุตบะฮ์ในการละหมาดวันศุกร์ช่างต่างกันจริง ๆ กับที่ประเทศจีน ทั้ง หวัง ซาน และอิหม่ามหญิงคนอื่นๆ เช่น จิ้น เหมยฮัว ไม่พบการต่อ
ต้านจากบรรดาผู้ชายหรือผู้นำศาสนาเลย (ให้มันรู้ซ้า!!!!)" สามีฉันสนับสนุนฉันในเรื่องนี้อย่างมาก" หวัง ซาน กล่าว

         จริงๆ แล้วในเมืองจีนมีระบบอิหม่ามสตรีมาตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1950 แล้ว เมื่อผู้หญิงคนแรกรับตำแหน่งอิหม่ามในปีค.ศ.1951 หวัง ซาน กล่าวว่า "แต่ช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม (1966-1976) มีการกดขี่ทางศาสนา ทุกศาสนาโดนกันหมดแหละ อิหม่ามหญิงเลยไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไหร่ จนเมื่อหลังจีนเปิดประเทศ เสรีภาพด้านศาสนาถึงดีขึ้น ที่อู๋จงนี่มีอิหม่ามหญิงมานานกว่า 10 ปีแล้ว"

         นอกจากนี้ แถบตะวันตกของจีนก็ยังเกิดมัสยิดหญิงล้วนขึ้นมามากมาย มัสยิดเหล่านี้แยกต่างหากจากอาคารละหมาดของผู้ชาย ซึ่งไปๆ มาๆ อาคารมัสยิดหญิงล้วนบางแห่งใหญ่พอ ๆ กับหรือบางแห่งก็ใหญ่กว่ามัสยิดชายล้วนซะอีกนี่คือข้อแตกต่างของประเพณีที่เป็นคู่ขนานกันแพร่หลายในหลายๆ ส่วนของโลก 

         บางทีในบางมัสยิดก็ไม่ยอมให้ผู้หญิงเข้าไปละหมาด หรือไม่บางมัสยิดก็มีม่านกั้นระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง"   ในสังคมมุสลิมเนี่ย บางทีก็มีการกีดกันสิทธิของผู้หญิง ซึ่งทำให้ผู้หญิงทำผิดได้ง่าย เช่น ไม่ยอมละหมาดหลังคลอดลูก บางทีผู้หญิงก็มีความรับผิดชอบมากมายอยู่ที่บ้าน นี่คือเหตุผลที่ทำไมผู้หญิงต้องการความสนใจ และต้องการคำแนะนำในด้านศาสนา 

         อิหม่ามหญิงมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยเหลือในเรื่องเหล่านี้ได้" หวัง ซาน กล่าว เธอยังสำทับในตอนท้ายอีกว่า "ฉันอยากเห็นอิหม่ามผู้หญิงในโลกนี้มากกว่านี้""ฉันดีใจที่เห็นแนวโน้มของอิหม่ามผู้หญิง เพราะผู้หญิงรับผิดชอบครึ่งหนึ่งของผืนฟ้าบนหน้าแผ่นดินนี้ และพวกเธอควรมีผู้นำผู้หญิงของพวกเธอเอง" หยาง หวัน เป่า กล่าว เธอเป็นอิหม่ามหญิงอีกคนหนึ่ง มัสยิดหญิงล้วนที่เธอนำละหมาดอยู่ก็ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับมัสยิดที่นำโดย หวัง ซาน นั่นแหละ 

        นี่ในประเทศจีนนะครับ ถ้าเป็นสามจังหวัดชายแดนใต้ของเรา  แบบนี้ สงสัยจะโดนทำสงครามจีหอย แทน จีฮัด แหง๋ ๆ 

ที่มา: Women lead prayers, revolution in China. Times of India. 26 June 2006.
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม