วันอังคารที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2560

ผู้ต้องต้องสงสัย ป่วนเมือง ระเบิดเสาไฟฟ้า





เมื่อคืนวันที่ (10 เม.ย.60) เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ ร่วมกับ ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี 22 ร่วมกันสนธิกำลังปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายบริเวณร้านขายของชำ บ้านนัดกูโบร์ ม.2 ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี สามารถควบคุมตัว นายปัญญา อายุ 33 ปี ภูมิลำเนา อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เป็นบุคคลตามหมาย ป.วิ อาญา ของศาลจังหวัดยะลา ในคดีความมั่นคง 1 หมาย เจ้าหน้าที่ได้ใช้อำนาจกฎอัยการศึกควบคุมตัว และนำตัวส่งไปยังศูนย์ซักถาม ค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เพื่อทำการขยายผล และตรวจหาดีเอ็นเอ ว่าจะมีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดเสาไฟฟ้า เมื่อกลางดึกวันที่ 6 เมษายน 2560 ที่ผ่านมาหรือไม่




สำหรับ นายปัญญา ถูกออกหมายจับในคดีลอบวางระเบิดในพื้นที่ จ.ยะลา เมื่อปี 2557 เป็นมือประกอบระเบิด ของกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ อยู่ในเครือข่าย นายอับดุลเลาะ ปุลา และ นายอิสมะแอ ปุลา แกนนำในพื้นที่ จ.ยะลา



ส่วน บริเวณ พื้นที่ ต.คอลอตันหยง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย 3 คน คือ นายมะยากี อายุ 37 ปี มีหมายจับ ป.วิอาญา คดีความมั่นคง 1 หมาย นายซอมะ อายุ 45 ปี มีหมายจับ ป.วิอาญา คดีความมั่นคง 3 หมาย และ นายอัสมี อายุ 41 ปี เป็น ลูกจ้างตามโครงการจ้างงานเร่งด่วน 4,500 เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัว ทั้งหมดไปสอบสวนที่หน่วยซักถามค่ายอิงคยุทธบริหาร อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี

วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2560

“พาคนกลับบ้าน” หรือ “พาโจรกลับบ้าน”?



“พาคนกลับบ้าน” หรือ “พาโจรกลับบ้าน”?! 
คำตอบอยู่ที่การก่อวินาศกรรมของ “นักรบรุ่นใหม่” 

            สถานการณ์การโจมตีตำรวจ ที่ สภ.ระแงะ จ.นราธิวาส เมื่อปลายเดือน มี.ค.ของโจรใต้ ซึ่งทำให้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต 1 ศพ และบาดเจ็บอีก 4 ราย และตามติดมาด้วยการโจมตีจุดตรวจหน้าตลาดกรงปีนัง อ.กรงปีนัง จ.ยะลา อันเป็นการโจมตีเพื่อสร้างความสูญเสียให้กับ “หน่วยงานและเจ้าหน้าที่รัฐ” เป็นด้นหลัก

         ทั้งนี้โจรใต้ได้เลือกเป้าหมายที่ง่ายต่อการโจมตี เพราะที่ตั้งของโรงพักและที่ตั้งของจุดตรวจทั้ง 2 แห่งดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่เป็น “จุดอับ” เนื่องจากอยู่ติดกับบ้านเรือนของประชาชน จึงทำให้โจรใต้ได้เปรียบในการทำสงครามแบบ “อสมมาตร” ใช้กำลังน้อยเข้าโจมตีและล่าถอยอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียกว่าการรบแบบ “กองโจร” เมื่อสร้างความสูญเสียให้กับฝ่ายตรงข้ามแล้วก็ล่าถอยในทันที

         สำหรับการโจมตีจุดตรวจที่ตลาดกรงปีนังยังถือเป็นโชคดีที่นายตำรวจระดับ “สารวัตร” สภ.กรงปีนัง ที่นำลูกน้อง 4 คนขับรถหุ้มเกราะบุกตะลุยเข้าช่วยเหลือกองกำลังที่ถูกปิดล้อมอยู่ได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จุดตรวจหรือฐานปฏิบัติการจะถูกโจรใต้ “ละลาย” และเก็บอาวุธไปได้

        การโจมตีเป้าหมายจุดตรวจ หรือฐานปฏิบัติการ และที่ทำการของราชการที่ผ่านมา แม้จะสร้างความสูญเสียให้เกิดขึ้นก็จริง แต่เป็นการสูญเสียที่เป็น “ปัจเจก” กล่าวคือ ตำรวจตายก็เป็นความสูญเสียของตำรวจ ทหารตายก็เป็นความสูญเสียของทหาร ผลการโจมตีจึงไม่ได้กระทบเป็นวงกว้าง

       ไม่เหมือนการโจมตีสิ่งสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ เช่น การระเบิดเส้นทางรถไฟ ที่ทำให้การคมนาคม หยุดชะงัก ประชาชนผู้อาศัยการเดินทางด้วยรถไฟได้รับความเดือดร้อนเป็นวงกว้าง แต่ก็ยังมีทางเลือกที่จะใช้รถประจำทางในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะลำบากขึ้น แต่ก็ยังสามารถใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติได้

         แต่การก่อวินาศกรรม “เสาไฟฟ้าแรงสูง” ที่เกิดขึ้นเมื่อกลางดึกของคืนวันที่ 6 เม.ย.ต่อเนื่องถึงวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา นั่นเป็นการก่อวินาศกรรมสิ่งสาธารณูปโภคและสาธารณูปการที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อเกิดความสูญเสียขึ้น ผลกระทบจะเกิดเป็น “วงกว้าง” โดยเดือดร้อนทั้งแต่คนระดับ “รากหญ้า” ไปจนถึงพวกที่อยู่บน “หอคอยงาช้าง” เพราะ “ระบบไฟฟ้า” คือสิ่งสำคัญทั้งต่อการดำรงชีวิตของผู้คนและวงการอุตสาหกรรม

         “ไฟฟ้าดับทั้งเมือง” จึงเป็นเรื่องที่ต้องตื่นตกใจและสร้างความโกลาหลให้เกิดขึ้นกับประชาชน นอกจากนั้นในการป้องกันหรือการแก้ไขสถานการณ์ รวมถึงการเคลื่อนกำลังเข้าต่อสู้และช่วยเหลือประชาชนของเจ้าหน้าที่รัฐก็ยากลำบากมากขึ้นด้วย

           อย่าแค่ไฟฟ้าดับจนกลายเป็นคืน “กาฬปักษ์” เลย แม้แต่คืนที่ระบบไฟฟ้าไม่ได้ถูกก่อวินาศกรรม แต่มีเหตุโจมตีหน่วยงานต่างๆ เกิดขึ้น กำลังชุดต่างๆ ที่จะเข้าไปให้การสนับสนุนหรือช่วยเหลือก็ยังไม่กล้าที่จะ เคลื่อนพลจากที่ตั้ง เพราะกุมสภาพของพื้นที่ไม่ได้ว่า โจรใต้จะมีการซุ่มโจมตี หรือวางระเบิดแสดงเครื่อง และโปรยตะปูเรือใบไว้ที่ไหนบ้าง

          การออกมาช่วยเหลือหรือสนับสนุนฐานปฏิบัติการที่ถูกโจมตี ถ้าทำแบบ “สุ่มสี่สุ่มห้า” เมื่อไหร่ นั่นหมายถึงความสุ่มเสียงในการสูญเสียแบบ “ยกกำลัง 2” เพราะฉะนั้นในหลายครั้งจะเห็นว่าหน่วยงานความมั่นคงยอมที่จะถูก “ละลายฐาน” ที่ถูกโจมตี ดีกว่าการส่งกำลังออกไปสนับสนุนแล้วสูญเสียซ้ำสอง

          การโจมตีสิ่งสาธารณูปโภค-สาธารณูปการ คือการก่อวินาศกรรม “เสาไฟฟ้าแรงสูง” ครั้งนี้ของโจรใต้ จึงเป็นการทำสงครามอย่างเต็มรูปแบบของ “สงครามประชาชน” ที่หมายมุ่งในการสร้างความสูญเสียให้กับธุรกิจการค้า การท่องเที่ยว การลงทุน และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทุกหย่อมย่าน ที่ต้องผจญกับเกิดไฟฟ้าดับ

        แม้ว่าการโจมตีในครั้งนี้จะไม่มีการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน แต่มีแต่ความสูญเสียของรัฐคือ “การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ” ที่จะต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมให้สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้ากลับคืนมาได้

        ดังนั้น เมื่อโจรใต้มีเป้าหมายในการก่อวินาศกรรมระบบไฟฟ้าแรงสูงได้ ในอนาคตโจรใต้ก็อาจจะก่อวินาศกรรมสิ่งสาธารณูปโภค-สาธารณูปการอื่นๆ ได้เช่นกัน เพื่อที่จะได้สร้างความเดือดร้อนให้ทุกภาคส่วนในพื้นที่ และแสดงถึง “ศักยภาพ” ของการทำ “สงครามกองโจร” เพื่อทำลายความเชื่อมั่นของผู้คนในพื้นที่ ต่อ “อำนาจรัฐ” และเป็นการข่มขวัญ “มวลชน” ที่ไม่ใช่แนวร่วมของขบวนการแบ่งแยกดินแดน

        หลังการก่อวินาศกรรมเสาไฟฟ้าแรงสูงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ในครั้งนี้ แม้ทางหนึ่งประชาชนจะ “ก่นด่า” และอาจจะ “สาปแช่ง(ในใจ )” ต่อโจรใต้ที่สร้างความเสียหายและความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นก็จริงอยู่ แต่เสียงเหล่านั้นบางส่วนก็ทำให้ทั้ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศอ.บต. ต้องรับฟังไว้ให้ดี และฟังแล้วก็ต้อง “สำเหนียก” ด้วย

          อย่างไรก็ตาม มีเสี่ยงก่นด่า “หน่วยงานความมั่นคง” ที่ไม่สามารถป้องกันเหตุมิให้เกิด ขึ้น แถมหลังเกิดเหตุก็ไม่สามารถที่จะตอบโต้เพื่อสร้างความสูญเสียให้กับโจรใต้ได้ด้วย

          โดยเชื่อว่ากำลังของโจรใต้ที่ก่อเหตุในครั้งนี้ต้องมีกว่า 100 คน ซึ่งการเคลื่อนไหวของคนจำนวนนี้ในกว่า 20 อำเภอของพื้นที่ 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลาและนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ เทพา นาทวี สะบ้ายย้อยและจะนะนั้น ต้องถามว่า “งานการข่าว” ในพื้นที่ไม่มีที่จะรู้เรื่องแม้แต่ “สักแอะเดียว” เลยล่ะหรือ

          และมีคำถามที่ติดตามมาว่า ที่ว่าสถานการณ์พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ “ดีขึ้น” โดยฝ่ายการข่าวได้รับความร่วมมือจากคนในพื้นที่มากขึ้นนั้น 

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่?!
         รวมทั้งที่บรรดา “นายพล” บางคนเคยให้สัมภาษณ์ว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดนอ่อนแอลง ทั้งในเรื่อง อุดมการณ์และกองกำลัง เรื่องราวเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่?!

        เนื่องเพราะเท่าที่รู้ๆ กันนั้น เรารู้แต่เพียงว่าในขณะที่โครงการ “พาคนกลับบ้าน” ได้ผลในระดับที่ “ผู้ใหญ่ในกองทัพพอใจ” ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่ “ล้มเหลว” คือการที่หน่วยงานความมั่นคงยังไม่สามารถสกัดกั้นมิให้คนรุ่นใหม่เข้าไปเป็นโจรใต้ได้

         นั่นจึงยังไม่ใช้คำตอบที่ถูกต้องว่า เมื่อมีการ “พาโจรกลับบ้าน” ได้แล้ว เหตุการณ์จะ “ลดน้อย” เพราะจำนวนผู้ที่ถูกนำเข้าสู่ขบวนการเพื่อเป็น “โจรใต้” อาจจะมากกว่า “โจรที่ถูกพากลับบ้าน”

         สังเกตได้จากการสอบถามชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์การเผายางรถยนต์ การวางเพลิง การวางระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งได้บอกรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายว่าเป็น “คนอายุประมาณ 20-30 ปี” แต่งกายด้วยชุดดำทั้งชุด นั่นคือลักษณะของ “นักรบ” ที่ถูกฝึกมาอย่างดีเพื่อให้เป็นโจรโดยเฉพาะ

        และที่สำคัญคือ เป็นโจรที่ไม่กลัวตาย ไม่กลัวความสูญเสีย ไม่กลัวการถูกวิสามัญ และพร้อมที่จะเดินเข้าคุกเมื่อถูกจับกุม

        แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่ “ผู้มีอำนาจ” ไม่กล้าบอกว่า สาเหตุของการก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ใน 4 จังหวัดมาจากสาเหตุอะไร!!

        เป็นสาเหตุมาจากเรื่อง “วิสามัญโจรใต้ 2 ศพ” ที่บ้านโคกสะตอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส หรือเป็นการแสดงข้อเท็จจริงของสถานการณ์ให้ “อาคันตุกะ” ที่เป็นมุสลิมจากประเทศอียิปต์ที่เดินทางมาเยือนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือเป็นการสร้างสถานการณ์ในเดือนที่มี “วันสัญลักษณ์” ของรัฐไทย หรือเป็นการแสดง “อารมณ์ร่วม” ในเรื่อง ม.44 ที่สั่งห้ามนั่งในแค็ปรถยนต์กระบะและนั่งท้ายกระบะ

         หรือแท้จริงแล้วเป็นเพราะ “คำตอบ” ของ “โจทย์” นี้อาจจะ “ถูกทุกข้อ” ก็ได้ และอาจจะ “ผิดทุกข้อ” ก็ได้ เนื่องจากสาเหตุการก่อการร้ายของจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่อง “กำปั้นทุบดิน” 

ที่จะเอากำปั้นไปทุบลงตรงไหนก็เจอคำตอบตรงนั้น

        แต่สิ่งที่อยากบอกคือ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะ “เล็ก” หรือ “ใหญ่” อย่าวัดกันที่ “ไม่มีคนตาย” และถือว่าเป็นเรื่องจิ๊บๆ แต่ต้องดูที่วิธีการของโจรใต้ ต้องดูที่ความเสียหายที่ได้รับ อย่างการก่อวินาศกรรมครั้งนี้ไม่มีคนตาย ทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชน และสรุปว่าโจรไต้แค่ต้องการเพียง “ก่อกวน” หรือสร้างสถานการณ์เพื่อแสดง “ตัวตน” ท่านั้น

         เพราะโดยข้อเท็จจริง 13 ปีที่ผ่านมา โจรใต้ไม่เคยแสดงตัวตนมาก่อนว่าเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนไหนระหว่าง “พูโล” หรือ “บีอาร์เอ็น” หรือ “บีไอพีพี” ฯลฯ

         สิ่งสำคัญที่สุดคือ หน่วยงานที่รับผิดชอบจะสร้างความมั่นใจให้คนในพื้นที่ได้อย่างไรว่า เหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ทั้งในส่วนของการก่อวินาศกรรม “เสาไฟฟ้า” และ “สิ่งสาธารณูปโภค-สาธารณูปการ” อื่นๆ

         วันนี้คนในพื้นที่ไม่ได้ต้องการขออะไรมากไปกว่า “ขอความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน”!!!!

           ส่วนโครงการอื่นๆ เช่น “โครงการสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง” หรืออะไรทำนองนี้ สิ่งเหล่านี้ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ดี เพราะ ถ้าชีวิตยังเอาตัวไม่รอด ประชาชนก็มองไม่เห็นว่าจะ “มั่นคง มั่งคั่ง” ได้อย่างไร?!?!

วันจันทร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2560

ภาพจากกล้องวงจรปิด! วินาทีกลุ่มคนร้ายบุกก่อเหตุยิงถล่มจุดตรวจ กลางตลาดใน อ.กรงปินัง

               ภาพจากกล้องวงจรปิด! วินาทีกลุ่มคนร้ายบุกก่อเหตุยิงถล่มจุดตรวจ กลางตลาดใน อ.กรงปินัง จ.ยะลา เมื่อคืนที่ผ่านมา ก่อนจะวิ่งเข้าด้านหลังอาคารริมถนนหลบหนีไป

           จากกรณีเกิดเหตุคนร้ายไม่ต่ำกว่า 30 คน พร้อมอาวุธปืนสงคราม ระเบิดแสวงเครื่องชนิดขว้าง (ไปป์บอมบ์) บุกเข้าโจมตีป้อมจุดตรวจร่วม 3 ฝ่าย บนถนนสาย 410 หมู่ที่ 7 ต.กรงปินัง อ.กรงปินัง จ.ยะลา ก่อนเกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างคนร้ายกับเจ้าหน้าที่ จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บรวม 12 นาย โดยเหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 01.15 น. ของวันที่ 3 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา


            ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (3 เม.ย.) เมื่อเวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน ได้นำภาพจากกล้องวงจรปิด ที่สามารถบันทึกภาพเอาไว้ได้มาตรวจสอบ พบว่ากลุ่มคนร้ายเป็นชายแต่งชุดดำ รวม 8 คน สวมหมวกปิดบังใบหน้า พร้อมอาวุธปืนยาว วิ่งออกมาจากฝั่งตรงข้าม วิ่งข้ามไปฝั่งป้อมจุดตรวจ ซึ่งในขณะวิ่งข้ามถนน ก็ใช้อาวุธปืนกราดยิงใส่ป้อมจุดตรวจจำนวนหลายสิบนัด ก่อนที่จะวิ่งเข้าด้านหลังอาคารริมถนนหลบหนีไป ซึ่งล่าสุดเจ้าหน้าที่ยังได้นำภาพจากกล้องวงจรปิดจากกล้องตัวอื่นในบริเวณใกล้เคียงกันมาตรวจสอบด้วยว่า สามารถบันทึกภาพกลุ่มคนร้ายเอาไว้ได้หรือไม่

           หลังเกิดเหตุ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ต.พุทธิชาต เอกฉันท์ รอง ผบช.ศชต. พล.ต.ต.คัชชา ธาตุศาสตร์ รอง ผบช.ศชต. พล.ต.ต.ทีป ราญสระน้อย ผบก.สส.ศชต. ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลยะลา เพื่อเข้าเยี่ยมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บ พร้อมมอบกระเช้าและเงินเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2560

หากไม่เข้าอิสลาม ก็ต้องย้ายตัวเองออกไป!





เมื่อวานนี้ เวลา 14:42 น.


... ประท้วง เรียกร้องให้ถอดกางเขน ออกจากธงชาติสวิสเซอร์แลนด์
... พวกเขาเอาความมั่นใจแบบนี่มาจากไหน? ไปอาศัยบ้านเขาอยู่ แต่กลับแสดงท่าทีต่อเจ้าบ้านเช่นนี้!


... คำตอบคือ เพราะเขาเชื่อกันว่า หากชาวมุสลิมคนใดต้องจบชีวิตลงในสถานการณ์เช่นนี้ พระเจ้าจะรับเขาเข้าสวรรค์ทันที

... ด้วยจิตวิทยา และการสะกดจิตตนเองแบบนี้ หากคนนอกศาสนาไปทำร้ายเขา กลับเป็นการช่วยให้เขาได้ขึ้นสวรรค์ในทันที!

... ด้วยตรรกะในการดำเนินชีวิตแบบนี้. มีหรือที่คนไม่ใช่มุสลิมจะอยู่รอดในชุมชนมุสลิมได้ 
... หากไม่เข้าอิสลาม ก็ต้องย้ายตัวเองออกไป!

วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560

หนี้เสียธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ระเบิดเวลาที่รอหาคนรับผิดชอบ ???




         แฉเบื้องหลังหนี้เสียแบงก์อิสลามพุ่งไม่หยุด ชี้ชัดผู้บริหารไร้ความสามารถส่งผลกระทบการจัดการหนี้ ทั้งยกเลิกโครงสร้างเดิม ลอยแพลูกหนี้เก่า ระงับปล่อยสินเชื่อรายใหม่ แถมโบ้ยความผิดเป็นเรื่องทุจริตยุคก่อน สร้างภาพกลบเกลื่อนความล้มเหลวแก้ปัญหา เผยตัวเลขน่าตกใจสินเชื่อหดตัวกว่าหมื่นล้าน เอ็นพีแอลทะยานเกือบ 50% แล้ว

         ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือไอแบงก์ เป็นรัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่กว่า 49% ประกอบกิจการตามหลักศาสนาอิสลาม เริ่มเปิดดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2546 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 พันล้านบาท วันนี้ภายใต้การบริหารงานของบอร์ดชุดปัจจุบันที่มี นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ปัญหาหนี้เสียเข้าขั้นวิกฤต กระทบต่อฐานะการเงินของธนาคารอย่างน่าเป็นห่วง ทั้งนี้ ตัวเลขผ่านการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน งวดไตรมาสที่ 2 สิ้นสุดเดือนมิถุนายน ระบุว่า ธนาคารขาดทุนสะสมเพิ่มจาก 20,092 ล้านบาทในเดือนนธันวาคม 2557 เป็น 25,511 ล้านบาท

เปิดตัวเลขน่าตระหนก

          ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได หรือหนี้เสีย หรือเอ็นพีแอล ตรวจสอบล่าสุดเดือนกรกฎาคม 2558 ได้ทะยานขึ้นจากระดับ 43% ในเดือนธันวาคม 2557 มาอยู่ที่ 49% ขณะที่หนี้เสียเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ความเสี่ยงของธนาคารก็ยิ่งสูงมากขึ้น โดยอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) เท่ากับติดลบ 22% นั่นหมายถึงการกันสำรองเป็นกองทุนเพื่อป้องกันความเสียหายจากสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารอาการหนัก ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้อย่างน้อยต้อง 8.5% หรือทุกๆ สินทรัพย์เสี่ยง 100 บาท แบงก์จะต้องกันสำรองไว้ 8.5 บาท

เบื้องหลังวิกฤตแบงก์-ปัญหาหนี้
          แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยต่อ “ASTVผู้จัดการ” ถึงเบื้องหลังปัญหาไอแบงก์ ว่า ต้นตอที่แท้จริง คือ คนที่บริหารแบงก์นับตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ขาดความเข้าใจ ไม่มีความสามารถในการบริหารงานธนาคาร เห็นได้จากการสั่งระงับการปล่อยสินเชื่อรายใหญ่ และรายย่อยทำให้เกิดภาวะชะลอตัวอย่างรุนแรงของสินเชื่อ พร้อมกับการสั่งยกเลิกโครงสร้างการติดตาม และการดูแลลูกค้ารายย่อยที่ถูกวางรากฐานไว้มานาน ทำให้ลูกหนี้ขาดการติดต่อ ธนาคารไม่สามารถติดตามหนี้

        “เมื่อเกิดปัญหาก็ไม่พยายามแก้ปัญหาหนี้เสีย แต่กลับโยนไปเป็นปัญหาการทุจริตการปล่อยสินเชื่อในอดีต ขณะนี้มีเรื่องที่ตั้งไว้กว่า 40-50 เรื่องที่จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน” แหล่งข่าว กล่าว

          ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นมาในยุคของ นายธานินทร์ อังษุวรังสี เข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคาร หนี้เสียที่เคยมีแค่ 8% ในปี 2554 จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็น 2 เท่าในปี 2555 ต่อเนื่องจนถึงยุคของ นายชัยวัฒน์ ซึ่งยังคงนโยบายเดิมของนายธานินทร์ หนี้เสียจึงไต่ระดับขึ้นมาดังกล่าว ขณะที่การปล่อยสินเชื่อหดตัวจาก 110,00 ล้านในเดือนธันวาคม 2557 เหลือ 100,000 ล้าน จากตัวเลขล่าสุดเดือนกรกฎาคม 2558

“นี่เป็นผลงานที่เกิดขึ้นในสมัยนายชัยวัฒน์” แหล่งข่าว กล่าว



ชัยวัฒน์-ธานินทร์ ความล้มเหลวที่สืบทอดกันมา

         นายชัยวัฒน์ อยู่ในแวดวงสถาบันการเงินมาตลอด 40 ปี ผ่านงานธนาคารมา 9-10 แห่ง ความชำนาญที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเป็นด้านการปิด/ควบ/ขาย กิจการ เช่น AIG ธนาคารนครหลวงไทย โดยไม่มีผลงานเรื่องการพัฒนา หรือการทำธุรกิจธนาคาร

       ทั้งนี้ จากข้อมูลของปลัดกระทรวงการคลังในช่วงนั้นให้ข้อมูลว่า นายธานินทร์ ให้นายชัยวัฒน์ เป็นที่ปรึกษาในการบริหารงาน และนายธานินทร์ ตอบแทนโดยสนับสนุนให้นายชัยวัฒน์ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการโรงแรมสุวรรณภูมิ ในขณะที่นายธานินทร์ เป็นกรรมการ บริษัทการท่าอากาศยาน หรือ AOT นอกจากนี้ นายธานินทร์ ยังเป็นบุคคลที่ คสช. สั่งให้ไปรายงานตัวภายหลังการรัฐประหาร

        เมื่อนายชัยวัฒน์ เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการไอแบงก์ คนใกล้ชิดนายชัยวัฒน์ มักกล่าวอ้างต่อผู้บริหาร และพนักงานภายในมาโดยตลอดว่า เป็นเพื่อนร่วมรุ่น วปอ.50 กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงได้รับมอบหมายให้มาเป็นประธานฯ

คลังเกาะติดสถานการณ์แบงก์


         รูปแบบการทำงาน นายชัยวัฒน์ จะทำงานเฉพาะที่ปรึกษา 3 คนที่เป็นลูกน้องเก่า ซึ่งไม่มีความรู้ความสามารถอะไร โดยให้เงินเดือนสูงคนละ 200,000 บาท และให้มีอำนาจสั่งการเหนือพนักงาน และผู้บริหารทั้งหมด และทำงานร่วมกับพนักงานระดับ ผอ. 4-5 คน ในการบริหารธนาคารขนาด 1 แสนล้าน เพราะระแวงในตัวผู้บริหารทุกคนของธนาคาร

          แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังยังวิเคราะห์การทำงานของนายชัยวัฒน์ ว่า มีนโยบายระงับการปล่อยสินเชื่อ แต่ระดมเงินฝาก ส่วนการแก้หนี้ หรือให้สินเชื่อจะให้ที่ปรึกษาเป็นผู้เจรจากับลูกค้า ซึ่งไม่มีความโปร่งใส

        ขณะเดียวกัน การแก้หนี้ (TDR) เป็นในลักษณะเอื้อประโยชน์ต่อลูกค้าบางราย แต่ทำให้ธนาคารเสียหาย เช่น ธนาคารเกิดส่วนสูญเสีย (PV loss) โดยที่ลูกค้ามิได้มีความสามารถในการชำระหนี้ หรือผ่อนปรนเงื่อนไข เช่น พักเงินต้น และให้ผ่อนแต่อัตรากำไรในอัตราต่ำๆ เพื่อให้ดูเหมือนว่าแก้ไขหนี้ได้ แต่ในอนาคตลูกค้าเหล่านี้ก็จะกลับมาตกชั้นอยู่ดี (re-entry)

        “นอกจากนี้ ในลูกค้ารายใหญ่จะกำหนดให้มี third party ทำหน้าที่ Cash monitoring ซึ่งล้วนเป็นพรรคพวกของนายชัยวัฒน์ และเรียกเก็บค่าบริการจากลูกค้าในอัตราที่สูง ทำให้ลูกค้าเดือดร้อน และต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงโดยไม่จำเป็น แทนที่จะเอาเงินจำนวนนั้นมาชำระหนี้ธนาคาร” แหล่งข่าวกล่าว และว่า ปัจจุบันธนาคารมีผลการดำเนินงานที่แย่ลง หนี้เสีย (NPFs) 49% สินเชื่อหดตัว บางเดือนที่มีกำไรจากสำรองตีกลับ เพราะเกิดจากการแก้หนี้ที่ไม่มีคุณภาพ พนักงานทยอยลาออก สะท้อนว่า แผนการแก้ไขปัญหาไม่สามารถปฏิบัติได้

        สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาของนายชัยวัฒน์ มี 2 แนวทาง ที่คลังกำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แนวทางแรก นายชัยวัฒน์ เชื่อว่าจะหาผู้ร่วมทุนได้ และสอง ตรวจสอบการทุจริตสินเชื่อที่ไม่เกิดรายได้ (NPFs) เพื่อกลบความล้มเหลวการแก้ไขปัญหา



       ทั้งนี้ กระบวนการพิจารณาสินเชื่อภายในธนาคารได้วางระบบตรวจสอบ และถ่วงดุล (check & balance ) โดยเจ้าหน้าที่สินเชื่อ (RM) เป็นผู้ดูแลลูกค้า ฝ่ายวิเคราะห์ (CM) ทำหน้าที่วิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ และความเสี่ยงด้านต่างๆ และฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อ (CR) พิจารณาก่อนนำเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณาตามลำดับชั้น

          การพิจารณาว่าสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPFs) นั้นเป็นการทุจริตของพนักงาน หรือกรรมการธนาคารนั้นเป็นการตั้งสมมติฐานที่มิได้อยู่บนมาตรฐานการอำนวยสินเชื่อ หากต้องพิจารณาถึงกระบวนการทำงาน ตลอดจนปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงมาตรการในการป้องกันความเสี่ยงของทางธนาคาร หากแต่มีข้อเท็จจริงบางประการที่ส่งผลต่อลูกค้าโดยตรง นั่นคือ นโยบายธนาคารในสมัยนายธานินทร์ (พ.ย.55-มิ.ย.56) และสมัยนายชัยวัฒน์ (พ.ค.57-ปัจจุบัน) ที่ระงับการปล่อยสินเชื่อใหม่ ชะลอการดูแล หรือเจรจากับลูกค้าเดิม ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในลักษณะเอื้อประโยชน์ต่อลูกค้าบางราย และทำให้ธนาคารเสียหาย บริหารงานผ่านที่ปรึกษา รวมทั้งไม่มีความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของพนักงาน จึงสร้างความเสียหายต่อลูกค้า และธนาคารมากกว่าหรือไม่

“เนื่องจากธุรกิจส่วนใหญ่มีลักษณะหมุนเวียนต่อเนื่องต้องถูกระงับ โดยเห็นได้จากสินเชื่อที่ตกชั้นจะเกิดในช่วงของทั้ง 2 คนนี้”

วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

“บังแอ”ตำนานตำรวจกล้าแห่ง”แม่ลาน”






       เป็นข่าวหน้า 1 คอลัมน์เล็ก ๆ   ในหน้าหนังสือพิมพ์ หลัง2โจรใต้ ลอบกัดย่องยิงหัวอดีตรองสวป.ขณะเดินไปละหมาดเสียชีวิต ซ้ำยังฉกปืน9มม.คู่กายคนตายไปด้วย เหตุเกิดที่อ.ยะรัง จ.ปัตตานีเมื่อเที่ยงครึ่งวันที่24มี.ค.ที่ผ่านมา


          คนทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้อง คงแค่ดูข่าวเผินๆ แทบจะไม่อ่านรายละเอียด เพราะข่าวโจรใต้ลอบกัดนั้นมีมารายวัน ใหญ่บ้างเล็กบ้างตามสถานการณ์


          แต่สำหรับครอบครัว ญาติมิตรของ ร.ต.ท.สรายุทธ บากา อดีตรองสวป.สภ.แม่ลาน จ.ปัตตานี เหยื่อโจรใต้วัย 63ปีผู้นี้ นี่คือการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเขา โดยเฉพาะสหายเลือดสีกากี ที่โพสต์รำลึกถึงวีรกรรมเมื่อครั้งยังร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ กากีกลาย ขออนุญาตนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้กล้าสีกากีผู้นี้




         “ขอพื้นที่ไว้อาลัยแด่บังแอ-ร.ต.ท.สรายุทธ บากา เพื่อนนักรบผู้เสียสละตัวจริง บังแอเคยเป็นทั้งสเกาท์หน้า นักข่าว พาพวกเราเข้าตี ปะทะ สร้างความสูญเสียแก่ฝ่ายตรงข้ามมานับครั้งไม่ถ้วน


         28 เม.ย.2547 ครั้งที่เกิดการปะทะที่กรือเซะ และหลายจุดรวม10แห่ง บังแอแต่ผู้เดียวดวลกับฝ่ายตรงข้ามที่เข้าตี สภ.แม่ลาน สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ 5คน จนรักษาสภ.ไว้ได้ บังแอไม่ได้รับการเลื่อนยศเป็นกรณีพิเศษตามที่พวกเราขอไป คำตอบที่ได้รับคือ ไม่มีระเบียบกำหนดไว้


         เคยหยอกบังแอว่า ถ้าวันนั้นบังโดนยิงตายก็คงได้เลื่อนยศไปแล้ว บังแอตอบว่า ผมขออยู่เลี้ยงหลานดีกว่า


        บังแอแม้จะระวังตัวมาตลอด เพราะเป็นที่หมายของฝ่ายตรงข้ามมานาน สุดท้ายก็ไปตามวิถีของนักรบผู้กล้า ขอคารวะเพื่อนนักรบที่

        รักด้วยใจ ขอให้เพื่อนได้พบกับพระเจ้าและพบกับความสุขสงบชั่วนิรันดร์


           ขอร่วมสดุดี “บังแอ”นักรบผู้กล้าแห่ง สภ. แม่ลาน อีก1ในวีรบุรุษสีกากีที่ฝังร่างฝากชื่อไว้ในปลายแดนด้ามขวานครับ

วันจันทร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2560

พระพุทธรูปโบราณในอัฟกานิสถาน รอดสงคราม ฝังซ่อนใต้ดิน เกือบ 2 พันปี




            พระพุทธรูปโบราณในอัฟกานิสถาน ถูกนำมาประดิษฐานที่พิพิธภัณฑ์ในกรุงคาบูล หลังขุดพบถูกฝังใต้ดิน นักโบราณคดีคาดถูกซ่อนไว้ใต้ดินป้องกันหัวขโมย มาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 3-5 ซ้ำยังสามารถรอดพ้นจากภัยสู้รบในพื้นที่สุดอันตรายมาได้




           เมื่อ 19 มี.ค.60 สื่อต่างประเทศรายงานข่าวฮือฮา พระพุทธรูปโบราณในอัฟกานิสถาน ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน และถูกฝังซ่อนไว้ใต้ดินเพื่อป้องกันหัวขโมย รวมทั้งยังรอดปลอดภัยขณะอยู่ในพื้นที่สู้รบที่อันตรายที่สุดในประเทศอัฟกานิสถาน ในที่สุดได้รับการบูรณะและนำมาประดิษฐานไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ในกรุงคาบูล เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสได้ชมพระพุทธรูปองค์นี้กันแล้ว ขณะที่บรรดานักโบราณคดีคาดว่า มีอายุเก่าแก่และถูกซ่อนไว้ใต้ดินตั้งแต่ช่วงราวศตวรรษที่ 3-5


            ข่าวแจ้งว่า พระพุทธรูปโบราณองค์นี้ถูกซ่อนไว้ในชั้นดิน ที่เมืองเมส อัยนัค ห่างจากกรุงคาบูล เมืองหลวงอัฟกานิสถาน ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 40 กิโลเมตร โดยได้ถูกค้นพบเมื่อปี 2555 ขณะที่บริษัทชาวจีนได้เข้ามาทำเหมืองแร่ทองแดงในบริเวณดังกล่าว และได้ขุดพบพระพุทธรูปโบราณใต้ผืนดินอย่างไม่คาดฝัน โดยบริเวณที่พบพระพุทธรูปองค์นี้อยู่ในกลุ่มวิหารโบราณบนพื้นที่กว้างขวาง 4 ตารางกิโลเมตร ในเขตจังหวัดโลการ์ ซึ่งปัจจุบันเป็นเขตฐานที่มั่นของกลุ่มตาลีบัน



          นายเออร์มาโน คาร์โบนารา ผู้เชี่ยวชาญด้านการบูรณะโบราณวัตถุ ชาวอิตาลี กล่าวว่า พระพุทธรูปโบราณองค์นี้ยังอยู่ครบเกือบหมดทั้งองค์ และเศียรของพระก็ยังอยู่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก โดยพระพุทธรูปโบราณองค์นี้อยู่บริเวณช่องโพรงในดิน ซึ่งโดยรอบมีการวาดประดับตกแต่งเป็นลวดลายดอกไม้ และเป็นศูนย์กลางของการประกอบพิธีสวดมนต์


          นายคาร์โบนารา กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีกว่าในการย้ายพระพุทธรูปขึ้นมาจากโพรงดิน โดยพระพุทธรูปองค์นี้ทำจากดินเหนียว ซึ่งนำมาจากแม่น้ำเมส อัยนัค อีกทั้งนายคาร์โบนารายังกล่าวด้วยความทึ่งว่า การลงสีพระพุทธรูป โดยมีมวยผมสีดำ พระปรางค์สีชมพู และดวงตาสีฟ้า ถือเป็นเทคนิคที่ซับซ้อนอย่างแท้จริงของช่างฝีมือโบราณที่ปั้นพระพุทธรูปองค์นี้.
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม