วันศุกร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2554

เสียงกบในกะลา

หรือว่า เราก็คือ กบ ในกะลาอีกตัวหนึ่ง


ทำไม อดีตแม่ทัพภาค 4 ต้องเล่าเรื่อง กบในกะลา

คำเตือน: ภาพถ่ายนี้เป็นลิขสิทธิ์ของช่างภาพ ห้ามทำซ้ำหรือนำไปเผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มี กบ ตัวหนึ่ง ชอบโอ้อวด ว่าตนเป็นผู้ที่มีความรู้ในทุกเรื่องบนโลกนี้เป็นอย่างดี ใครทำอะไร ที่ไหนอย่างไร ตนสามารถบอกได้หมดทุอกย่าง แต่สิ่งเดียวที่ไม่รู้ นั่นคือ โลกที่เขาอาศัยอยู่ โลกที่เขาบอกว่า เขารู้ดีทุกอย่าง มันเป็นเพียง กะลา ที่ครอบตัวเขาอยู่เท่านั้นเอง....” เสียงชายระดับพลเอก อดีตแม่ทัพภาค 4 ท่านหนึ่ง ที่เล่าเรื่องนี้หลังจากได้มีโอกาสอ่านงานเขียนของผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

โดยเรื่องราวดังกล่าวได้ มีการพาดพิงถึงคนในจังหวัดหนึ่งในพื้นที่โดยชัดเจน “ปี 47 ผมเป็นรองแม่ทัพ อยู่จนเป็นแม่ทัพ อ่านงานเขียนของคนที่เพิ่งลงไปทำงานในพื้นที่ไม่ถึงปี เสียซะว่าปีนึง เพิ่งเคยเห็นว่า กบในกะลา ที่เป็นนิทานเล่ากันมานานนั้น มันยังมีอยู่บนโลกใบนี้ ที่สำคัญ ยังเป็นข้าราชการที่มีอำนาจในการใช้กฎหมาย ซ้ำร้ายหนักไปกว่านั้น บุคคลนี้กลับถูกจัดสรรให้ต้องลงไปทำงานแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ที่มีความละเอียดอ่อน ปัญหาที่มีความต่อเนื่องยาวนานเป็น 5-6ปี ความรู้แบบกบในกะลา ที่สื่อออกมา มันแสดงให้เห็นถึงอะไรหลายๆอย่าง แต่ที่แน่นอน คือ งานเขียนชิ้นนี้ บอกได้เลยว่า เจ้าหน้าที่คนนี้ยังคงต้องเรียนรู้และศึกษาอะไรอีกมากมายเกี่ยวกับในพื้นที่ อะไรคือ “การเติมเชื้อไฟ” และอะไร คือ “การพยายามสร้างความแตกแยกระหว่างประชาชนในพื้นที่กับเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะ ตำรวจ ....”

เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 10 กรกฎาคม 2552 ผ่านมา ระหว่างที่ผู้เขียนกำลังนั่งเกลานานเขียนให้กับนิตยสารหัวใจเดียวกัน เจ้าของงานเขียนก็ได้ส่ง link(ลิ้งค์) หรือ ที่อยู่ของบนอินเตอร์เนตบางอย่างมาให้ เมื่อเปิดอ่าน ยอมรับเลยว่า “อึ้ง ทึ่ง เสียว” ที่ต้องบอกว่าถึงกับ อึ้ง นั้น เพียงแค่ชื่อเรื่อง ก็ทำเอานิ่งไปพักใหญ่ คนเขียนเรื่องนี้คิดได้อย่างไร (ง่าย ๆ เอาอะไรคิด) ส่วนที่ว่า ทึ่ง นั้น คงเป็นเพราะ ผู้เขียนงานเรื่องนี้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยศ อยู่ในระดับ พันตำรวจ บุคคลที่จะทำหน้าที่ได้จนมาอยู่ในระดับนี้ คงมีความรู้ประกอบกับทั้ง IQ และ EQ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีพอ สำหรับ คำว่า เสียว ผู้เขียนรู้สึกตั้งแต่เริ่มอ่านเรื่องจนจบ ต้องยอมรับว่า เสียว จริง ๆ เพราะกลัวว่า เจ้าของบล็อกงานชิ้นนี้ อาจเจอกระแส คนในจังหวัดที่ท่านว่า ลุกขึ้นมาสู้ แต่ไม่ใช่ สู้กับโจรอย่างที่ท่านต้องการ (เพียงแต่จะลุกขึ้นมาสู้กับเจ้าหน้าที่ที่ลงมาทำงานในพื้นที่แล้วมีความคิดแบบเจ้าของบล็อกแทน)

ระหว่างที่อ่านเรื่องอยู่นั้น ก็มีการแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ มากมาย รวมทั้งความคิดของผู้เขียนและพี่ผู้ที่ส่ง link มาให้ การแนะนำให้ใช้คำบางคำ ในงานเขียน กลับถูกเจ้าของงานเขียนตอกกลับมาด้วยประโยคที่ว่า “โอเค ครับ เพิ่มเติมให้แล้วครับ ว่าคนที่ยะลา บางคน เพื่อว่าคนอ่านบางคน ไม่มีสมองที่จะแยกแยะว่าหมายถึง "โจร"” 

โอ้โห..ก็ท่านเขียนมาว่า “ในช่วงเดือนที่ผ่านมาคนยะลา เค้ากับทำตรงกันข้าม กับที่คนปกติเค้าทำกัน”
ในฐานะคนยะลาที่มีโอกาสได้อ่านเรื่องก่อนที่ท่านจะเติมคำที่เราแนะนำ และลบกระทู้การตอบคำถามของตนเองออกไป บอกได้คำเดียวว่า “โกรธ และไม่ พอใจ เป็นอย่างมาก” การใช้อารมณ์ตอบกระทู้ การแสดงออกถึงความไม่รับผิดชอบต่อคำพูด ได้ท่านได้ต่อว่า กลุ่มนักเขียนที่ลงมาทำงานในพื้นที่โดยการฝึกอบรมเยาวชนให้มีความรู้ความสามารถ ท่านกลับใช้ คำว่า “พวกที่ลงมาหากินในพื้นที่ และ คำที่ดูจะไม่เหมาะสมคือ คำว่า แ_ก ไปเท่าไหร่แล้วล่ะกับโครงการนี้” นี่คือ คำพูดของคนที่มีหน้าที่รับใช้ประชาชนหรือผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในประเทศไทยหรือ

การพูดจา ดูถูกโครงการที่ถูกจัดขึ้นโดย ศอ.บต. , Blog OK Nation, คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา, คลื่นวิทยุชุมชน 97.5 และยังอีกมีอีกหลายหน่วยงานที่ต้องการส่งเสริมให้เยาวชนในพื้นที่มีความรู้ความสามารถ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

“หัวใจเดียวกัน” เป็นชื่อของกลุ่มคนที่มีความตั้งใจที่อยากให้พื้นที่กลับมามีความสงบสุขอีกครั้ง โดยไม่ได้หวังว่าตัวเองจะต้องมีชื่อเสียง หลายครั้งที่ทีมงานกลุ่มหัวใจเดียวกัน กลุ่มนี้ทำงานด้วยงบประมาณของตัวเอง หากแต่โชคดีมีผู้สนับสนุนและเห็นความสำคัญ โดยเฉพาะงานเปิดตัวหนังสือใต้ความทรงจำ และ เกาะติดวิกฤติไฟใต้ เมื่อช่วงเดือน ตุลาคม ๒๕๕๑ ที่ผ่านมาดูเหมือนจะเป็นการเปิดตัว “กลุ่มหัวใจเดียวกัน” อย่างชัดเจน เพราะงานเปิดตัวในวันนั้น ดูเหมือนเป็นงานเล็ก ๆ แต่คนที่เห็นความสำคัญกลับไม่เล็กเลย

การได้รับความกรุณาจาก ฯพณฯ สวัสดิ์ วัฒนายากร องคมนตรี ให้เกียรติ เป็นประธานกล่าวเปิดงานและอีกหลายท่านที่ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณกับทีมงานหัวใจเดียวกัน

พล.ท.สมชาย วิรุฬหผล ประธานกรรมการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย

พล.ต.อ.สุนทร ซ้ายขวัญ วุฒิสมาชิก, นายกสมาคมชาวปักษ์ใต้ฯ

พิมพ์ปฏิภาณ พึ่งธรรมจิตต์ ประธานชมรมชาวนราธิวาส

ดร.มนูญ อร่ามรัตน์ นายกสมาคมชาวปัตตานี

ฟุ้ง ฟุ้งเฟื่องเชวง นายกสมาคมชาวยะลา

วิรัตน์ ทองใบเพชร นายกสมาคมชาวสงขลา

คุณวุฒิ มงคลประจักษ์ นายกเทศมนตรีเมืองเบตง

จอม เพชรประดับ ผู้ดำเนินรายการ 'ถามจริง ตอบตรง' ช่อง NBT

เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ กวีซีไรต์, ศิลปินแห่งชาติ ป่อง ต้นกล้า ชูเกียรติ ฉาไธสง และอีกมากมาย

หลังจากนั้น กลุ่มหัวใจเดียวกัน ก็เริ่มทำงานกันมากขึ้น โดยอาศัยกำลังใจที่ได้รับจากคนที่เห็นคุณค่าว่า คนกลุ่มนี้ทำงานเพื่ออะไร และหวังอะไรจากสิ่งที่ทำ งานนี้เรียกได้ว่าเป็นพลังจาก คนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ตั้งใจทำงานให้กับพื้นที่อย่างจริงจังและจริงใจ เพราะทีมงานส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่ว่ารู้แค่งูๆปลาๆ แล้วเอามาเล่ามาบอกต่อ โดยไม่คิดถึงผลกระทบที่จะตามมาอีกมากมาย

คำพูดที่ว่า “พวกที่ลงมาหากินในพื้นที่ และ คำว่า แ_ก ไปเท่าไหร่แล้วล่ะกับโครงการนี้” เป็นคำพูดที่ไม่เพียงจะ ดูถูก คนที่ทำงานเพื่อสังคมเท่านั้น แต่ท่านกำลัง ดูถูก คนที่เห็นคุณค่าของคนกลุ่มนี้ด้วย

"เชื่อว่า หัวใจสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ที่จะนำมาซึ่งความสงบสุขสันติและความสมานฉันท์ ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือการน้อมนำพระราชดำรัส "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" มาเป็นหัวใจในการทำงานและแก้ไขปัญหา กิจกรรมที่เกิดขึ้นในวันนี้คือการดำเนินตามวิถีทางนี้โดยแท้ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลจากกิจกรรมสร้างสรรค์ที่พวกเราทุกคนได้มาร่วมกัน จักสานต่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมอย่างยิ่งยวด" ฯพณฯ สวัสดิ์ วัฒนายากร องคมนตรี กล่าวในงานเปิดตัวหนังสือและนิทรรศการภาพถ่าย 'ใต้ความทรงจำ' ณ ห้องประชุมวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชั้น ๒๕ อาคารกรุงเทพประกันภัย ถ.สาธรใต้ กรุงเทพฯ เวลา ๑๔.๐๐ น. วันพุธที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑

น่าจะเป็นความโชคดีของผู้เขียนที่ได้มีโอกาส ได้เจองานเขียนบางชิ้นที่ถูกกลั่นกรองออกมาจากความคิด ของคนที่บอกว่าทำงานเพื่อประเทศชาติ เป็นข้าราชการผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไทย และงานของเขาก็ได้รับการพิจารณาจากบุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 จนท่านต้องเล่าเรื่อง กบในกะลา ให้ฟัง ท่านบอกว่า ท่านได้อ่านหนังสือทั้งใต้ความทรงจำ และ เกาะติดวิกฤติไฟ ซึ่งก็สามารถสะท้อนอะไรหลาย ๆ อย่างในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งในการเปิดงาน สิ่งที่ท่านองคมนตรีได้กล่าวนั้น คือ สิ่งที่ดีและถูกต้อง อยู่ที่ว่า เราจะเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้นอย่างไร

ก่อนจะจบการสนทนานิทานเรื่อง กบในกะลา ที่ท่านเปรียบเทียบให้ฟัง ท่านยังบอกว่า

“ อดุลย์ (พล.ต.ท.อดุลย์ แสงสิงห์แก้ว ผช.ผบ.ตร.) ยังอยู่ในพื้นที่รึเปล่านะ แล้วจะมีโอกาสได้อ่านงานชิ้นนี้รึยัง คนที่มีมุมมองดี ๆ อย่างอดุลย์ น่าจะอธิบายและพิจารณาบุคคลที่เขียนเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี สมัยนี้เจอแต่ กบนอกกะลา ไม่ยังกะรู้ว่า กบในกะลา ก็ยังมีอยู่ หากแต่จะอยู่ในกะลาแล้วไม่เดือนร้อนใครก็ดี แต่นี่กำลังสร้างความเดือนร้อนให้บ้านเมืองโดยไม่รู้ตัว…อย่างว่านะเขาคงไม่รู้ตัวหรอกก็เพราะเขาเป็น กบในกะลา...” เสียงหัวเราะของชายวัย 60 ก่อนจะถอนใจแล้วพูดว่า “น่าสงสารประเทศไทย แต่ที่น่าสงสารกว่าใครก็คือ คนในพื้นที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากคนที่ลงไปแก้ปัญหาเป็น กบในกะลา แล้วจะทำยังไงกัน”

ผู้เขียนนั่งคิดอยู่นานหลายวัน ก่อนที่จะตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ แม้เรื่องที่ได้อ่านเป็นงานเขียนที่เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่เมื่อสิ่งนั้นเข้าไปอยู่ในสื่อ ก็กลับกลายเป็นงานสาธารณะที่เราจะต้องใคร่ครวญแล้วว่า เหมาะสมหรือไม่ หรือจะนำเสนอให้ผู้อื่นได้รู้ แล้วสิ่งที่เราบอกเล่านั้นเรารู้จริงมากน้อยแค่ไหน

บอกได้เลยว่า ขณะนั่งเขียนเรื่องนี้ คำว่า “อภัย” และ “ยกโทษ” ในฐานะ คนยะลา ที่ถูกพาดพิงถึง เขียนไปก็ขำไป เพราะหลังจากฟังเรื่อง กบในกะลา จากอดีตแม่ทัพภาค4 แล้ว ผู้เขียนก็คิดได้ว่า ถึงจะเป็นคนมีตำแหน่งระดับ สารวัตร ก็ใช่ว่าจะฉลาดทุกคนนี่นา...

บุหงา ลังกาวี 
- -
- -
- 

****************************************
ดูละครแล้วย้อนดูตัว
เอ.......หรือหว่า เราจะเป็นกบอีกหนึ่งตัวในกะลา
มีแต่พวกท่านท่านนั้นที่รู้จริง........................
คนอื่นไม่มีใครรู้เท่าท่าน..............................

ท่านไปทำอะไรให้คนเหล่านั้น คิดไม่เหมือนท่าน
ไทยพุทธ โดนอะไรไปเท่าไหร่ ?
เหลือวัดอยู่เท่าไหร่ ?
เหลือพระอยู่เท่าไหร่ ?

คนที่จบรั้วแดงกำแพงเหลือง คิดแบบนี้หมด
กูเท่านั้นที่รู้จริง  ...............ถ้าท่านรู้ ก็ใช่แต่ว่ารู้
ลงมือทำกันจริง ๆ จัง ๆ ซะที
ไอ้ที่คนเค้าออกมาบ่น ออกมาพูด เพราะอะไร ?

เวลาจะเถียง เวลาจะถกกับใคร แล้วก็ยกเอาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมาอ้าง
ยุทธศาสตร์ ปิดปากคนอื่นไม่ให้พูด เพราะถ้าไปพูดแย้งเข้า ก็มีปัญหาอีก

ไอ้ที่คนเขาทำบล๊อก ทำเวปพวกนี้ 
แม้มันจะไม่ถูกใจท่าน เห็นไม่เหมือนท่าน
แต่เค้าก็ไม่ได้ไปวางระเบิดที่ไหน
ไม่ได้ไปไล่ยิงเจ้าหน้าที่ 
ไม่ได้ไปไล่ฟันหัวกระบาลพระ

ท่านมัวไปวิ่งอยู่นอกกะลา บรรยายที่นู่น บรรยายที่นี่
เพราะท่านเข้าใจ 
ท่านเข้าถึง

ลองทำอะไรให้ประชาชนชาวพุทธ ได้รู้สึกอุ่นใจได้สักหน่อย
หน้าที่ท่าน คือ ป้องกันประเทศ
ไม่ใช่วิทยากรเดินสาย
ลูกน้องตายไปเท่าไหร่ พระมรณภาพไปเท่าไหร่

ผมนะ โกรธยิ่งกว่าท่าน โมโหยิ่งกว่าท่าน
แล้วผมก็ไม่มีวันให้อภัยท่านเด็ดขาด  หากท่านไม่ทำหน้าที่ของท่าน
แม่ทัพ.........
นำทัพ.........
กรมพระราชวังบวร รบใต้ 2 เดือนจบ
ท่านรบกันมากี่ปีแล้ว........................................

โกรธ มั่งแล้วเว้ย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม