วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อันตรายใต้ผ้าคลุมสีดำ


อันตรายใต้ผ้าคลุมสีดำ


อันตรายใต้ผ้าคลุมสีดำ



อันตรายใต้ผ้าคลุมสีดำ

       ผมมีเพื่อนชาวไทยมุสลิมหลายคน ทั้งหญิงและชาย คบหาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถมวัย จนเติบใหญ่ต่างคนต่างแยกย้ายไปตามวิถีทาง

     กระทั่งเมื่อเวลาอันควรก็มีโอกาสมาบรรจบพบปะและปะทะความคิดฉันท์เพื่อนอีกครั้งบนโต๊ะกาแฟ

     มิตรภาพ และคำว่าเพื่อทลายกำแพง เชื่อศาสนา หรือวัฒนธรรมเสียสิ้น มีเพียงเสียงเอะอะมะเทิ่งจากความเห็นที่ไม่ตรงกันในบางเรื่องเท่านั้น แต่ทุกอย่างก็จบลงด้วยรอยยิ้มเสมอมา

       แม้แต่ อุไรน๊ะ เพื่อนสาวที่คร่ำเคร่งและยึดหลักปฏิบัติทางศาสนาอย่างเคร่งครัดแต่ไหนแต่ไรมาก็ยังคงยังมีรอยยิ้มพิมพ์ใจต่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนในอดีตทุกครั้งภายใต้ผ้าคลุมฮีญาบ

       แต่วันที่นี้ปักษ์ใต้บ้านเรา ความงดงามที่เคยเห็นจากเพื่อน ถูกม็อบสตรีชุดดำทำลายความคุ้นเคยเดิมๆในอดีตเสียมิด ด้วยการแสดงออกผ่านการชุมนุมกดดันเจ้าหน้าที่ใน 3จังหวัดนับครั้งไม่ถ้วน

           รอยยิ้มแทบไม่ปรากฎ สายตาไร้ซึ่งความเป็นมิตร มีแต่ท่าทีรุกฆาต ตามคำสั่งใครบางคนผู้อยู่เบื้องหลัง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

            ที่น่าเป็นห่วงคือสิ่งที่ถูกเก็บงำอยู่ใต้ชุดคลุมและฮีญาบสีดำ ของอิสตรีชายแดนใต้นับร้อยทุกครั้งที่ออกมาชุมนุมทุกครั้งคืออะไร 

            มีโอกาสพูดคุยกับ ดร.วัลลภ ปิยมโนธรรม นักจิตวิทยา ศูนย์ให้คำปรึกษาสุขภาพจิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.)ประสานมิตร ด้วยความมักคุ้นส่วนตัวเมื่อครั้งตะลุยช่วยผู้ประสบภัยสึนามิ 

            นักจิตวิทยา ชื่อกระฉ่อน วิเคราะห์ผ่ายปลายสายว่า ในแง่จิตวิทยานอกจากกลุ่มผุ้ชุมนุม ต้องการใช้สตรีและเด็กเป็นเครื่องมือในการต่อรองกับภาครัฐแล้ว ยังเป็นแผนเชิงซ้อนที่พยายามเอาเงื่อนไขทางวัฒนธรรมและศาสนาเป็นตัวเร่งอุณภูมิให้พื้นที่เกิดการแตกหักเร็วยิ่งขึ้น 

           เพราะตามหลักทางศาสนาแล้วสุภาพบุรุษไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวสตรีมุสลิมเพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ชายเกิดการประจันหน้ากันเมื่อไหร่ แนวร่วมที่เคลื่อนไหวหลังกันชนซึ่งเป็นสตรีก่อจะออกมาโจมตีทันทีด้วยการอ้างต่อสังคมโลกว่ารัฐมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับผุ้หญิงมุสลิมและจะนำไปสู่การเรียกร้องในระดับหนานาชาติเพื่อกดันให้ถอนกำลังเจ้าหน้าที่ออจากพื้นที่ ทันทีที่ข่าวถูกนำเสนอผ่านสื่อมวลชน

            นักจิตวิทยารายนี้ บอกว่า สำหรับการใช้เด็กเล็กวัยไม่ถึงขวบปีออกมาเป็นเครื่องมือในการชุมนุม สำหรับแผนนี้ถือเป็นไพ่เด็ดใบสุดท้ายในการกดดันรัฐ เพราะไม่ว่าเด็กจะเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม และยิ่งได้รับผลจากการกระทบกระทั่งในการชุมนุมจะยิ่งเป็นชนวนเหตุที่ชอบธรรมให้กลุ่มแนวร่วมชายลุกฮือโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐได้ง่ายขึ้นด้วยการอ้างว่ารัฐกระทำรุนแรงกับเด็ก ซึ่งเป็นหลุมพลางที่เขาขุดล่อเอาไว้

            จารย์วัลลภ บอกว่า ขณะนี้เขาพยายามกวนสติเจ้าหน้าที่รัฐให้แตก และควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ ที่สำคัญการใช้เด็กอายุ2-3 เดือน มาเป็นกลไกต่อรองจะกลายเป็นปัญหาน้ำผึ้งหยดเดียวและลุกลามจนเป็นเงื่อนไขใหม่ที่เขาจะใช้อ้างความไม่ชอบธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ ฉะนั้นจำเป็นที่จะต้องเร่งแก้ไขโดยการจัดกองกำลังเจ้าหน้าที่หญิงเพื่อรอรับมือกับเหตุการณ์ลักษณะนี้เพื่อทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยโดยเฉพาะ

              ความงามใต้ฮีญาบวันนี้ที่ปล่ายด้ามขวานดูเหมือนถูกใครแปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังจนแทบจะหารอยยิ้มเหมือนวันวานไม่เจอเสียแล้ว

http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม