โดย...ศูนย์ข่าวหาดใหญ่
จันทร์เสี้ยวในคืนข้างขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3
ให้แสงส่องสว่างแก่พื้นที่สวนยางพาราบนแผ่นดินสุดปลายด้ามขวานของไทยได้
เพียงเล็กน้อย
แต่นั่นไม่เป็นอุปสรรคต่อปฏิบัติการกลางท่ามกลางความมืดสลัวในดื่นดึก
เนื่องเพราะมีการเตรียมความพร้อมไว้อย่างเสร็จสรรพทุกขึ้นตอน
แม้ไม่มีการบันทึกเป็นภาพไว้ในห้วงเวลาปฏิบัติการไว้ให้ดูชม
แต่ตามเสียงบอกเล่านั้นประมาณว่า ไม่ต่างจากฉากในหนังฮอลลีวูดเท่าใดนัก
|
เริ่มจากเวลาประมาณ 01.30 น. ของคืนวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา
กลุ่มคนราว 100 คนแต่งกายด้วยชุดลายพรางทหาร สวมเสื้อเกราะรัดกุม
อาวุธปืนสงครามครบมือ
ได้ร่วมกันบุกกรูกันเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการทหารร้อยปืนเล็กที่ 2
หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณบ้านยือลอ ม.3 ต.บาเร๊ะเหนือ
อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส แล้วเกิดการปะทะกันนับชั่วโมง สุดท้าย
ฝ่ายรุกกลับต้องกระเจิงล่าถอยกลับไป
โดยทิ้งร่างผู้ร่วมขบวนการไว้ให้ดูต่างหน้า 16 ศพ
โดยระหว่างหลบหนี กลุ่มคนร้ายได้ตัดต้นไม้ขวางถนน และโปรยตะปูเรือใบ
รวมถึงวางกับดักที่เป็นระเบิดแสวงเครื่องประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุงต้มหนัก
50 กก. จุดชนวนด้วยแบตเตอรี่แบบลากสายไฟยาวไปในป่ารกทึบริมทางไว้ด้วย
เพื่อสกัดกั้นไม่ให้เจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าสนับสนุน และรุกไล่ติดตาม
โดยเจ้าหน้าที่ที่จะเข้าไปเสริมกำลัง
และให้การช่วยเหลือต้องใช้เวลาเคลียร์จุดต่างๆ นานนับชั่วโมง
จึงสามารถเข้าไปยังฐานปฏิบัติการทหารที่เกิดเหตุได้
ช่วงเช้ามีการเข้าเคลียร์ที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นสวนยางพารา
พบศพคนร้ายนอนกระจายเกลื่อนกลาดรวม 16 ศพ ซึ่งแต่ละศพสวมหมวกไหมพรม
มีอาวุธปืนอาก้า หรือไม่ก็เอ็ม 16 ประจำกาย สวมเสื้อเกราะ
โดยส่วนใหญ่บนร่างกายมีร่องรอยลักษณะรูพรุนไปทั่ว
จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า ผู้เสียชีวิตเป็นระดับแกนนำกองกำลังติดอาวุธ
หรือ RKK ที่เคลื่อนไหวก่อเหตุร้ายในพื้นที่ อ.บาเจาะ อ.รือเสาะ
จ.นราธิวาส และ อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี
|
โดยในเบื้องต้น 3 ในจำนวน 16 ศพถูกระบุว่าคือ 1.นายมะรอโซ จันทราวดี
ผู้ต้องหาตามหมาย ป.วิอาญา ในคดีความมั่นคง 11 หมาย
และเป็นผู้ต้องสงสัยตามหมาย พ.ร.ก.อีก 3 หมาย
เคยร่วมก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง และเป็นผู้สั่งการบุกสังหารครูชลธี เจริญชล
ครู คศ.2 โรงเรียนบ้านตันหยง ต.บาเร๊ะใต้ อ.บาเจาะ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23
ม.ค.ที่ผ่านมา 2.นายซาอูดี อาลี และ 3.นายซาบีรี โลตาเซะ
ส่วนศพที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่
ห่างจากถนนทางเข้าฐานปฏิบัติการประมาณ 50 ม.
เจ้าหน้าที่พบรถยนต์กระบะยี่ห้อ โตโยต้า สีบรอนซ์ ทะเบียน บค 7968 ยะลา
ซึ่งเป็นของคนร้ายจอดอยู่ในสภาพถูกกระสุนปืนพรุนไปทั้งคัน
และในกระบะหลังพบเป้สนาม 8 ใบ ภายในบรรจุอาวุธปืนพกสั้น
ระเบิดแสวงเครื่องชนิดขว้าง โทรศัพท์มือถือ เสื้อผ้า
และเครื่องยังชีพในป่าของคนร้าย โดยสรุปสิ่งของที่เจ้าหน้าที่ยึดได้
ประกอบด้วย ปืน เอ็ม 16 12 กระบอก ปืน AK-47 3 กระบอก ปืนพก 3 กระบอก
ลูกระเบิดแสวงเครื่อง 6 ลูก เลื่อยโซ่ยนต์ 1 เครื่อง รถยนต์กระบะ 1 คัน
และรถจักรยานยนต์ 2 คัน
ข้างต้นคือภาพที่มีรายงานผ่านสื่อต่างๆ ไปแล้ว
แต่ยังมีเรื่องราวเล่าขานของคนวงในเพิ่มเติมด้วยว่า
เหตุที่ผู้รุกรานปฏิบัติการไม่สำเร็จ
เป็นเพราะนาวิกโยธินที่ประจำอยู่ในฐานปฏิบัติการดังกล่าวรู้ข่าวการจะถูกบุก
โจมตีมาก่อน จึงจัดหนักไว้รองรับแขกผู้มาเยือนในยามวิกาลแบบสาสม
และต้องจัดว่าครบเครื่องทุกกระบวนความ
โดยเฉพาะการวางกับดักไว้ต้อนรับด้วยระเบิดเคโม (Claymore)
พร้อมวางกำลังประจำจุดต่างๆ ไว้อย่างเสร็จสรรพ
|
จากคำบอกเล่าที่เจือไปด้วยข้อสังเกตมีว่า
ท่าทางของกลุ่มผู้ไปเยือนทุกคนเหมือนมากมายไปด้วยความเชื่อมั่น
ซึ่งไม่ต่างอะไรกับปฏิบัติการเมื่อครั้งเหตุปล้นปืนค่ายปิเหล็งใน
จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547
อันเป็นเหตุการณ์ที่ถูกกำหนดให้เป็นยุคไฟใต้ปะทุขึ้นระลอกใหม่
หรือเหตุการณ์ 106 ศพกรือเซะ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2547 ที่ว่ากันว่า
มีการนำผู้เข้าร่วมปฏิบัติการไปผ่านพิธีซุมเปาะห์มาก่อน
ซึ่งสังเกตได้จากการเข้าโจมตีเป็นไปแบบฮึกเหิม
แล้วเดินเรียงหน้ากระดานเข้าไปหาฐานปฏิบัติการทหารแบบไม่หวั่นไหว
จนดูเหมือนจะคิดไปว่า ไม่มีใครมองเห็นเรืองร่างของตนเองก็เป็นได้
ทั้งนี้ ปฏิบัติการในคืนข้างขึ้น 2 ค่ำ เดือน 3
จึงเป็นที่ฉงนสนเท่ห์ของผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศ และไม่เพียงเท่านั้น
ยังเป็นที่กังขาสำหรับชาวต่างชาติที่สนใจติดตามข่าวสารบนแผ่นดินชายแดนใต้
ด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม
ดูเหมือนบทสรุปของปฏิบัติการจะเป็นที่พออกพอใจของผู้คน และในทางตรงกันข้าม
ก็มีกระแสเสียงระบุว่า
เป็นไปตามประสงค์ของฝ่ายที่ยังความสูญเสียด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะเป็นความประสงค์ของกลุ่มคนที่อยู่หลังฉากคอยชักใยให้เกิดไฟใต้ระลอก
ใหม่ขึ้นมา
|
ทำไมจึงเป็นเช่นกัน ณ วันนี้อาจจะยังไม่มีคำตอบที่แจ้งชัด
แต่หากประมวลจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงข้อมูลข่าวสารในด้านความมั่นคง
อย่างน้อยก็น่าจะทำให้เข้าใจได้ในระดับหนึ่ง
โดยเหตุผลที่ทำให้ฝ่ายทหารเตรียมตัวตั้งรับการโจมตีในครั้งนี้ไว้
เป็นอย่างดีนั้น ประเด็นหนึ่งมีการเปิดเผยว่า เป็นผลจากภายหลังการวิสามัญ
นายสุไฮดี ตะเห อายุ 31 ปี หนึ่งในคนร้ายที่ก่อเหตุบุกยิงครูชลธีเสียชีวิต
เจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดแผนผัง และเอกสารต่างๆ
เกี่ยวกับการวางแผนบุกโจมตีฐานปฏิบัติการทหารได้
ทำให้สามารถวางแผนรับมือการแก้แค้นให้แก่นายสุไฮดีได้
แต่ในทางการข่าวก็มีการระบุด้วยว่า
หนึ่งในลูกศิษย์ครูชลธีที่เป็นแนวร่วมได้กลับใจนำข่าวการวางแผนโจมตีไปบอก
ต่อเจ้าหน้าที่
ซึ่งสาเหตุที่ครูชลธีถูกยิงเสียชีวิตกลางโรงเรียนก็เพราะพยายามดึงบรรดา
ศิษย์ที่หลงผิดทั้งไปติดยาเสพติด
และร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนให้หวนกลับมามีชีวิตปกติด้วยกีฬา
หรือกิจกรรมต่างๆ
การกระทำเช่นกันจึงเป็นเหมือนการย้อนศรระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับขบวนการนั่น
เอง
ทว่านั่นยังไม่น่าสนใจเท่าในทางการข่าวของหน่วยข่าวกรองระบุว่า
ช่วงก่อนตรุษจีนแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนระดับสั่งการ
ซึ่งเป็นเจ้าของโรงเรียนปอเนาะแห่งหนึ่ง ได้เรียกสมาชิกระดับแกนนำ RKK
ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 12 คนประชุมที่บ้านสมาชิกคนหนึ่งย่านตลาดเก่า
เขตเทศบาลนครยะลา และได้สั่งการให้ RKK
ที่รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ก่อเหตุรายวันอย่างต่อเนื่อง
โดยเน้นให้แต่งชุดคล้ายเจ้าหน้าที่รัฐออกปฏิบัติการเพื่อยึดอาวุธฝ่ายตรง
ข้ามสะสมไว้ทำการใหญ่หลังช่วงตรุษจีน
โดยปลุกระดมให้เชื่อว่าจะสามารถตั้งรัฐปัตตานีได้สำเร็จภายในปี 2558
|
จากการข่าวนี้เอง
ส่งผลให้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายควบคุมดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะสถานที่ราชการ ย่านธุรกิจการค้า และที่สำคัญคือ ฐานปฏิบัติการ
หรือค่ายกองกำลังของฝ่ายรัฐต่างๆ
จึงนำไปสู่การต้อนรับแขกผู้ไปเยือนแบบจัดหนักดังกล่าว
ต้องไม่ลืมว่ากว่า 9 ปีของการโชนเปลวของไฟใต้ระลอกใหม่
มีเพียงไม่กี่ครั้งที่เจ้าหน้าที่รัฐสามารถเล่นงานกลับกลุ่มผู้ก่อความไม่
สงบได้ชนิดถูกอกถูกใจคนจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่แล้วดูเหมือนจะเป็นรอง
เป็นผู้ถูกลอบกัด หรือคือผู้ถูกกระทำเสียมากกว่า
ดังนี้แล้วจึงเป็นเรื่องที่ต้องจับตากันใกล้ชิดต่อไปว่า
นับแต่นี้ต่อไปจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นตามมา
แม้จะไม่เป็นที่เอิกเกริกเปิดเผย
แต่เวลานี้เสียงเตือนจากฝ่ายความมั่นคงก็ก้องกังวานในกลุ่มเป้าหมาย
ซึ่งเชื่อว่าคือกลุ่มที่จะตกเป็นเหยื่อของการโจมตีจากขบวนการผู้ก่อการร้าย
บนแผนดินปลายด้ามขวานอย่างหนักต่อไปในภายหน้านี้
โดยเฉพาะเป้าหมายที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่ “อ่อนแอ”
ไม่ว่าจะเป็นครู สาธารณสุข เกษตร รวมถึงข้าราชการ
และพนักงานในฟากฝ่ายพลเรือนต่างๆ เป็นต้น |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น