กรณีวันสันติภาพสากลเมื่อ 21 ก.ย.58 เครือข่ายภาคีกลุ่ม PerMAS โดยชมรมนักศึกษาปาตานี ในประเทศอินโดนีเซีย จัดกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากเหตุรุนแรงใน จชต. และอ่านแถลงการณ์ระบุปัญหาสันติภาพเป็นปัญหาของชาวปาตานีทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ใดและชาวปาตานีต้องการกำหนดชะตากรรมของตัวเอง ซึ่งกลุ่มดังกล่าวอ้างว่า ตราบใดปัญหาในปาตานียังไม่เป็นปัญหาระหว่างประเทศ ความทุกข์ทรมานของคนปาตานีก็ยังมีอยู่ต่อไป พร้อมจะนำแถลงการณ์ยื่นต่อองค์กรระหว่างประเทศ
กลุ่มนักศึกษา PerMAS ทำการปลุกระดมในการกำหนดใจตนเอง (Self-determination) อย่างต่อเนื่อง มีหลายคนสงสัยกระทำได้หรือไม่? หรือมีความเป็นไปมากน้อยแค่ไหน เพื่อนำไปสู่การลงประชามติ ในการกำหนดใจตนเอง แยกตัวเป็น “เอกราช” จากรัฐบาลไทย
การกำหนดใจตนเอง (Self-determination)
กฎกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางการเมืองข้อ 1 ระบุว่า “ประชาชนทั้งปวงมีสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองโดยอาศัยสิทธินั้น ประชาชนจะกำหนดสถานะทางการเมืองอย่างเสรี รวมทั้งดำเนินการอย่างเสรี ในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของตน”
สิทธิในการกำหนดใจตนเอง (Self-determination) ข้อนี้ไม่สามารถกระทำได้ตามที่มีการรณรงค์และปลุกกระแสมาอย่างต่อเนื่องขององค์กรภาคประชาสังคม เนื่องจากประเทศไทยได้ทำข้อแถลงตีความ (ข้อสงวน) สิทธิในการกำหนดใจตนเองไม่ได้กระทำได้ในทุกๆ เรื่อง และมีข้อสงวนไว้ว่า “มิให้ตีความว่าอนุญาต หรือสนับสนุนการกระทำใดๆ ที่จะเป็นการแบ่งแยก หรือทำลายบูรณภาพแห่งดินแดน หรือเอกภาพทางการเมืองของรัฐ เอกราชอธิปไตย ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน”
การเคลื่อนไหวขององค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่ จชต. ไม่ได้พูดทั้งหมด แต่มีการนำเอาเนื้อหาเพียงบางส่วน แล้วนำไปปลุกกระแส ปลุกระดม มีการจัดเวทีเสวนาโน้มน้าวให้มีผู้เห็นด้วยนำไปสู่การสนับสนุนฝ่ายตนเอง จะไม่มีการกล่าวถึงข้อสงวน และกล่าวถึงกรณีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ผ่านมาได้บัญญัติการออกเสียงประชามติไว้ว่า “ต้องเป็นเรื่องที่กระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและของประชาชนส่วนใหญ่ จึงจะให้มีการออกเสียงประชามติ”
จะเห็นได้ว่าประเด็นการกำหนดใจตนเอง (Self-determination) มิได้เป็นการขัดแย้งกันในแง่ของกฎหมาย หรือมีความคิดเห็นที่ต่างกัน แต่ปัญหาเกิดจากการนำกฎกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางการเมือง มาทำการเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ฝ่ายตน แต่ไม่ได้มีการกล่าวถึงข้อแถลงตีความ (ข้อสงวน) ที่รัฐบาลไทยได้กระทำไว้ต่างหาก
ดังนั้นการกำหนดใจตนเอง (Self-determination) จึงกระทำไม่ได้ในพื้นที่ จชต. ภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมามิได้เปิดช่องให้มีการทำประชามติในเรื่องปัญหา จชต. เมื่อไม่มีการเปิดช่องการทำประชามติเอาไว้ หรือฟังเสียงคนทั้งประเทศเท่ากับว่ากระบวนการที่จะนำไปสู่การกำหนดใจตนเองก็ไม่สามารถกระทำได้ตามที่ได้มีการปลุกกระแสดังกล่าวขึ้นมาแต่อย่างใด
สิทธิในการกำหนดใจตนเอง (Self-determination) ข้อนี้ไม่สามารถกระทำได้ตามที่มีการรณรงค์และปลุกกระแสมาอย่างต่อเนื่องขององค์กรภาคประชาสังคม เนื่องจากประเทศไทยได้ทำข้อแถลงตีความ (ข้อสงวน) สิทธิในการกำหนดใจตนเองไม่ได้กระทำได้ในทุกๆ เรื่อง และมีข้อสงวนไว้ว่า “มิให้ตีความว่าอนุญาต หรือสนับสนุนการกระทำใดๆ ที่จะเป็นการแบ่งแยก หรือทำลายบูรณภาพแห่งดินแดน หรือเอกภาพทางการเมืองของรัฐ เอกราชอธิปไตย ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน”
การเคลื่อนไหวขององค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่ จชต. ไม่ได้พูดทั้งหมด แต่มีการนำเอาเนื้อหาเพียงบางส่วน แล้วนำไปปลุกกระแส ปลุกระดม มีการจัดเวทีเสวนาโน้มน้าวให้มีผู้เห็นด้วยนำไปสู่การสนับสนุนฝ่ายตนเอง จะไม่มีการกล่าวถึงข้อสงวน และกล่าวถึงกรณีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ผ่านมาได้บัญญัติการออกเสียงประชามติไว้ว่า “ต้องเป็นเรื่องที่กระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและของประชาชนส่วนใหญ่ จึงจะให้มีการออกเสียงประชามติ”
จะเห็นได้ว่าประเด็นการกำหนดใจตนเอง (Self-determination) มิได้เป็นการขัดแย้งกันในแง่ของกฎหมาย หรือมีความคิดเห็นที่ต่างกัน แต่ปัญหาเกิดจากการนำกฎกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางการเมือง มาทำการเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ฝ่ายตน แต่ไม่ได้มีการกล่าวถึงข้อแถลงตีความ (ข้อสงวน) ที่รัฐบาลไทยได้กระทำไว้ต่างหาก
ดังนั้นการกำหนดใจตนเอง (Self-determination) จึงกระทำไม่ได้ในพื้นที่ จชต. ภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมามิได้เปิดช่องให้มีการทำประชามติในเรื่องปัญหา จชต. เมื่อไม่มีการเปิดช่องการทำประชามติเอาไว้ หรือฟังเสียงคนทั้งประเทศเท่ากับว่ากระบวนการที่จะนำไปสู่การกำหนดใจตนเองก็ไม่สามารถกระทำได้ตามที่ได้มีการปลุกกระแสดังกล่าวขึ้นมาแต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น