วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประชาชนสหรัฐอเมริกา 20 เมือง นัดวันรวมตัวต่อต้านอิสลาม



        สำนักข่าว MSNBC รายงานว่าวันที่ 17-18 ตุลาคม 2558 นี้จะมีกลุ่มต่อต้านอิสลาม ออกมาประท้วงบริเวณหน้าสุเหร่าของ 20 เมืองในสหรัฐอเมริกา บางกลุ่มประกาศพกอาวุธออกมาด้วย การประท้วงครั้งนี้ใช้ชื่อว่า “การประท้วงของโลกเพื่อมนุษยชาติ” (Global Rally for Humanity) พร้อมด้วยสโลแกนว่า “โลกนี้ปฏิเสธอิสลาม” (The world is saying no to Islam) โดยหวังว่าจะเป็นพลังขับชาวมุสลิมออกจากอเมริกา

       ในเฟซบุ๊กของกลุ่มต่อต้านระบุว่า “ทุกคนจงลุกขึ้นมาต่อต้านอิสลาม การกระทำครั้งนี้ไม่ถือว่าเป็นการเหยียดผิว แต่เป็นความหมายง่ายๆว่าคุณไม่ใช่คนปัญญาอ่อนและมองเห็นความเป็นจริงของอิสลามทั่วโลก....โลกนี้ปฏิเสธอิสลาม”  เฟซบุ๊กของกลุ่มต่อต้านอิสลามยังเขียนไว้อีกว่าการรณรงค์ต่อต้านสุดสัปดาห์นี้ด้วยเหตุผลที่ว่าอิสลามหัวรุนแรงเปิดโจมตีมนุษยชาติทุกวัน และการต่อต้านจะเกิดขึ้นในทุกประเทศ ทุกสุเหร่า

          รายงานข่าวเปิดเผยว่ากำหนดการประท้วงจะมีขึ้นใน 20 เมืองของสหรัฐอเมริกา เป้าหมายคือการประท้วงบริเวณหน้าสุเหร่า  ขณะที่สภาความสัมพันธ์อเมริกัน-อิสลาม (the Council on American-Islamic Relations =CAIR) เป็นกลุ่มนำด้านสิทธิมนุษยชนมุสลิมได้ติดต่อเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายท้องที่เพื่อรักษาความสงบเพราะกลุ่มประท้วงระบุว่าจะมีการพกพาอาวุธออกมาประท้วงด้วย พร้อมกับเรียกร้องให้ชุมชนมุสลิมอยู่ในความสงบเพียงให้จับตาดูการประท้วง

การประท้วงอิสลามเมื่อเดือนพฤษภาคม

        เมื่อเดือนพฤษภาคม 2015 มีคนอเมริกันประมาณ 200 คนรวมตัวกันประท้วงอิสลามและพระมะหะหมัด ศาสดาของอิสลามบริเวณหน้าสุเหร้าเมืองฟีนิกซ์ รัฐอริโซนา จัดโดยนายจอน ริทซ์ไฮเมอร์ ( Jon Ritzheimer) อดีตทหารผ่านศึกสงครามอิรัก เขาปรากฎตัวขึ้นสวมเสื้อยืดสีดำเขียนไว้ว่า “F—k Islam.”

        นายริทซ์ไฮเมอร์เปิดเผยว่าเขาได้แรงจูงใจนี้มาจากการประท้วงมุสลิมที่เท็กซัส ในสุดสัปดาห์นี้เขาก็จะเข้าร่วมโดยใช้แนวเดียวกับที่เคยประท้วงที่ฟีนิกซ์ มีการโบกธงต่อต้านอิสลามด้วย เป็นการเปิดเผยผ่านทวิตเตอร์ โดยไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของบัญชีทวิตเตอร์นี้

       ขณะที่ CAIR ออกคำแถลงผ่าน Newsweek ว่ากลุ่มผู้จัดการต่อต้านอิสลามเป็นเรื่องของการจงเกลียดจงชัง (hate rallies) พร้อมกับแจ้งว่าจะพกพาอาวุธที่ถือว่าทำถูกกฎหมาย และอาจจะมีการนำหมูและคัมภีร์อัล-กุรอานออกมาดำเนินการด้วย

       “ขบวนการต่อต้านอิสลาม เกิดขึ้นในช่วงนี้มีแรงจูงใจเป็นเรื่องอาชญากรรมของความจงเกลียดจงชัง (hate-motivated crimes)ที่เพิ่มขึ้น เป็นเรื่องของความอคติที่มีเป้าหมายไปทั่วประเทศทั้งในส่วนบุคคลและทรัพย์สินที่กระทำต่ออิสลามและชุมชนมุสลิมอเมริกัน” คำแถลงกล่าว

        ในขณะที่วันที่ 17 ตุลาคมนี้ นายเบน คาร์สัน ผู้สมัครชิงชัยเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2016 เปิดเผยว่าเขาจะแสดงให้เห็นว่าทำไมเขาต่อต้านมุสลิมอเมริกันไม่ต้องการให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ พร้อมทั้งยังอ้างอิงไปยังคณะ“บิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐ” (the Founding Fathers) ที่ประกาศห้ามไม่ให้บุคคลบางกลุ่มขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี โดยมีความกลัวว่าจะทำให้ความซื่อสัตย์ต่อสหรัฐนั้นแตกต่างไป

         ไม่เพียงเฉพาะนายคาร์สันเท่านั้น แต่ผู้สนใจเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันอีกคนคือนายดอนัลด์ ทรัมพ์ กล่าวเมื่อเดือนกันยายนในระหว่างการหาเสียงที่รัฐนิว แฮมเชอร์ ประกาศว่า “เรามีปัญหาของประเทศ ที่เรียกว่ามุสลิม”

          นายดอนัลด์ ทรัมพ์ เคยตั้งคำถามเกี่ยวกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา นับถือศาสนาอะไรและมีพันธกรณีต่ออเมริกาอย่างไร

        “เขาไม่มีใบเกิด แต่อาจมีใบหนึ่ง และมีอะไรอยู่ในนั้น อาจจะเป็นเรื่องศาสนา เขาอาจเป็นมุสลิม”ทรัมพ์ให้สัมภาษณ์ผ่านทีวีฟ็อกซ์ เมื่อปี 2011 “ผมไม่รู้ บางทีเขาก็อาจไม่ต้องการอะไร”

         ขณะที่สถานีทีวี CBS Detroit รายงานจากเมืองเดียร์บอร์น รัฐมิชิแกนรายงานว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดียร์บอร์น ,เอฟบีไอและ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของกระทรวงความมั่นคงสหรัฐพร้อมที่จะรับมือการเดินขบวนประท้วงที่เรียกว่าGlobal Rally for Humanity โดยเฉพาะช่วงบ่ายวันเสาร์ที่ 17 จะมีการประท้วงที่สุเหร่าชื่อ the Islamic Center of America ซึ่งเป็นสุเหร่าใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือบนถนน Ford

         เมืองเดียร์บอร์น รัฐมิชิแกนเป็นเมืองหนึ่งที่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวยุโรปและตะวันออกกลาง สืบเนื่องมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ชนชาติยุโรปประกอบด้วยเยอรมัน,โพลิส,ไอริช,และอิตาเลียน ส่วนชาวตะวันออกกลางที่มารวมตัวกันเป็นชุมชนใหญ่ประกอบด้วย ชาวเลบานอน,เยเมน,อิรัก,ซีเรียและปาเลสไตน์

         เฉพาะชาวอาหรับ-อเมริกันมีประมาณ 40,000 คน เป็นเจ้าของห้องอาหารและธุรกิจต่างๆ ใช้ภาษาอังกฤษและอาหรับ เมืองเดียร์บอร์นมีประชากรอาหรับเพิ่มมากขึ้นเมื่อปี 2003 เป็นต้นมา หลังจากสหรัฐไปทำสงครามในอิรักเป็นเหตุให้เกิดผุ้อพยพชาวอิรักที่จะต้องเลี้ยงดู ทำให้เดียร์บอร์นกลายเป็นเมืองใหญ่สุดของชาวอาหรับ-อเมริกันและนับถือศาสนาอิสลาม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม