วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

“จรวดแสวงเครื่อง-ไอเอส” กับ “ภัยแทรกซ้อน” และการชิงพื้นที่ข่าวบนแผ่นดินไฟใต้





ไชยยงค์ มณีพิลึก โดย MGR Online
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้

         สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยเฉพาะ “กลุ่มสุดโต่ง” ที่ถูกบ่มเพาะให้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐไทย ยังคงใช้ยุทธวิธีสร้างสถานการณ์ในหลายพื้นที่ เพื่อให้เป็น “ข่าวรายวัน” ให้สาธารณะเห็นว่า ขบวนการยังมีความเคลื่อนไหวในการต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อการแบ่งแยกดินแดน

        มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจ คือ การจัดทำรูปแบบ “ระเบิดแสวงเครื่อง” ให้เป็นเหมือนกับ “จรวด” ในท้องที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่ง “แนวร่วม” พยายามที่จะทำให้เหมือนกับจรวดแสวงเครื่องที่กลุ่มก่อการร้าย “ไอเอส” ใช้ในการยิงถล่มฝ่ายตรงข้ามในประเทศแถบตะวันออกกลาง   ซึ่งล่าสุด เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จรวดในรูปแบบเดียวกับที่พบที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ก็ไปปรากฏขึ้นเป็นคำรบสองที่ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส

       แน่นอนว่าข่าว และภาพที่นำเสนอโดยสื่อมวลชนถึงการพบ “จรวดแสวงเครื่อง” เป็น “ข่าวใหญ่” ที่ประชาชนให้ความสนใจ เพราะ 12 ปีของการเกิดเหตุความรุนแรงระลอกใหม่ในแผ่นดินปลายด้ามขวาน ยังไม่เคยพบระเบิดแสวงเครื่องที่มีลักษณะที่มีรูปแบบคล้ายกับจรวดอย่างที่พบเห็น

       แม้ว่าสุดท้ายจะมีการสรุปว่า การทำระเบิดที่มีลักษณะคล้ายกับจรวดที่เป็นเพียงท่อเหล็กบรรจุดินระเบิด และมีสะเก็ดเป็นตัวทำลายล้าง ใช้วิทยุสื่อสารในการจุดระเบิด แต่ไม่ได้มีกลไกในการขับดินระเบิดอย่างที่กลุ่มไอเอสใช้ในการก่อวินาศกรรมต่อเป้าหมายในประเทศอิรัก และซีเรียแต่อย่างใด

         ระเบิดจรวดแสวงเครื่องที่พบใน อ.หนองจิก อาจจะเป็นการพยายามเคลื่อนไหวตามกลยุทธ์ในการ “ชิงพื้นที่ข่าว” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งถือเป็นความ “ช่ำชอง” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน ทุกขบวนการที่เคลื่อนไหวอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้

        ต่อมา มีผู้แสดงความรับผิดชอบผ่านเว็บไซต์ของ “ขบวนการพูโล เอ็มเคพี” ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าพูโลกลุ่มนี้มี “คัสตูรี มะโกตา” เป็นผู้นำ และเป็นหนึ่ง “นักรบเพาเวอร์พอยส์” ที่ไม่มีกองกำลังติดอาวุธในพื้นที่เหมือกับ “ขบวนการบีอาร์เอ็น โคออดิเนต” ที่มีกลุ่มติดอาวุธที่เรียกว่าแนวร่วมปฏิบัติการก่อวินาศกรรมและโจมตีเจ้าหน้าที่ และทำเรื่องอื่นๆ ในพื้นที่

      การที่พูโล เอ็มเคพี ที่มี นายคัสตูรี เป็นผู้นำ ซึ่งในอดีตมีฐานที่มั่นในการเคลื่อนไหวทางสื่อออนไลน์ที่ประเทศสวีเดน ออกมาปฏิบัติการในพื้นที่ จ.ปัตตานี ด้วยการประกอบจรวดแสวงเครื่อง เพื่อให้เป็นข่าวในสื่อทั้งไทย และต่างประเทศ อาจจะเป็นการสร้าง “เงื่อนไข” ให้เห็นถึงความสำคัญของกลุ่มพูโลทั้ง 3 กลุ่ม ซึ่งได้รวมเป็น 6 กลุ่มในเวที “การพูดคุยสันติสุข” ระหว่างขบวนการแบ่งแยกดินแดนทั้ง 6 กลุ่ม กับตัวแทนของรัฐไทยที่มี “พล.อ.อักษรา เกิดผล” เป็นประธานการพูดคุย โดยมีรัฐบาลมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยแต่ละรอบแต่ละครั้ง

      เผอิญว่าการออกมาเคลื่อนไหวของพูโล เอ็มเคพี เป็นการเคลื่อนไหวที่ “ได้จังหวะ” เพราะกำลังจะมีการพูดคุยอย่างเป็นทางการเป็นครั้งที่ 3 ในเร็วๆ นี้

      การออกมาเคลื่อนไหวด้วยการ “สร้างสีสัน” ของขบวนการพูโลกลุ่มนายคัสตูรี ด้วยการใช้ “จรวดแสวงเครื่อง” เป็นเครื่องจุดประกาย เพื่อที่จะให้รัฐไทย รู้ว่า พูโลกลุ่มนี้ก็มีกองกำลังติดอาวุธเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ และมีความก้าวหน้าในการก่อวินาศกรรมด้วยระเบิดแสวงเครื่องในรูปแบบใหม่ที่เหมือนกับระเบิดแสวงเครื่องของกลุ่มไอเอส

        เพราะแค่คำว่า “ไอเอส” เท่านั้น วันนี้ประชาชนก็รู้สึกถึงความ “สยอง” ที่เห็นจากข่าวในทุกวี่วัน รวมทั้งข่าวที่เข้ามาก่อการร้ายในประเทศอินโดนีเซีย และมีการจับกุมในประเทศมาเลเซียใกล้กับบ้านเรา ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

        จึงเชื่อว่าหากมีการนั่งโต๊ะเพื่อ “พูดคุยสันติสุข” เริ่มต้นเมื่อไหร่ คนในพื้นที่ปลายด้ามขวานอาจจะเห็นปรากฏการณ์อีกหลายรูปแบบขอบกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน เพื่อที่จะ “สร้างราคา” ในการเดินเกม เพื่อประโยชน์ของแต่ละกลุ่ม แต่ละขบวนการ

        โดยเฉพาะอาจจะได้เห็น “อิทธิฤทธิ์” ของขบวนการ ของกลุ่มที่ “ตกขบวนรถสันติภาพ” และกลุ่มที่ “ต้องการทุบโต๊ะ” การพูดคุยให้พังพาบ เพราะไม่ต้องการให้จังหวัดชายแดนภาคใต้เกิดความสงบสุขตามความต้องการของประชาชน

       เพราะการ “ยุติสถานการณ์ความไม่สงบ” หากเป็นไปได้จริง ขบวนการแบ่งแยกดินแดน และเครือข่ายที่เป็นแนวร่วมผลประโยชน์ ทั้งผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และกลุ่มผู้ทำธุรกิจนอกกฎหมาย ต่างล้วนคือกลุ่มที่ต้องสูญเสียประโยชน์อย่างใหญ่หลวง

       วันนี้ในขณะที่สถานการณ์ความรุนแรงดีขึ้นในระดับหนึ่ง สิ่งที่ “กอ.รมน.” ต้องเร่งดำเนินการ นอกจากการพุ่งเป้าหมายไปที่ “แกนนำ” และ“แนวร่วม” ในพื้นที่ ทั้งในการบีบพื้นที่ให้อยู่ไม่ได้ ให้ก่อการร้ายไม่ได้ และให้เข้าสู่ขบวนการ “พาคนกลับบ้าน” เพื่อเป็นการลดการก่อเหตุ และการเร่งระดมงานการเมืองในเรื่องของ “มวลชน” และ “การพัฒนา” อย่างถึงครัวเรือนแล้ว

         สิ่งที่ กอ.รมน.ต้องทำคือ เรื่องของ “ภัยแทรกซ้อน” ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ทั้งในเรื่องสังคม และเศรษฐกิจ อย่างที่ กอ.รมน.ใน จ.สงขลา ได้เข้าตรวจสอบการทำธุรกรรมของบริษัทต่างชาติที่เข้ามากว้านซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพื่อประกอบธุรกิจหลายหมื่นล้าน ซึ่งอาจจะเป็นภัยต่อเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งการจับกุม และตรวจสอบกระบวนการทำธุรกิจผิดกฎหมายขบวนการใหญ่ๆ ที่ค้าสินค้าเถื่อน ทั้งที่ชายแดนปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา และที่ อ.ควนโดน จ.สตูล

       แม้ว่าการปฏิบัติการของ กอ.รมน.จะเป็นการ “ทุบหม้อข้าว” ของหน่วยงานอื่นๆ เช่น ศุลกากร ตำรวจ เป็นต้น ซึ่งต่างมีผลประโยชน์ต่อธุรกิจผิดกฎหมาย และอาจจะส่งผลให้การสะพัดของเงินในพื้นที่หดหายไป แต่ก็ทำให้ขบวนการการทำธุรกิจผิดกฎหมายหยุดลงอย่างได้ผล

      หาก กอ.รมน.สามารถปฏิบัติการทั้งในด้านการทหาร การเมือง และภัยแทรกซ้อนในพื้นที่ไปพร้อมๆ กัน นั่นก็จะเข้าสู่ยุทธวิธี “ทุบทีละนิ้ว” หรือ “กินทีละคำ” ซึ่งนอกจากจะทำให้คนในพื้นที่เห็นถึงผลงาน เห็นถึงความตั้งใจจริงในการแก้ปัญหาของกองทัพ รวมถึงของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ได้อย่างเด่นชัดขึ้นแล้ว ยังทำให้มองเห็นอนาคตข้างหน้าของแผ่นดินปลายด้ามขวานว่าจะกลับมาสู่ความสงบสุขได้จริง ไม่ใช่เป็นแค่การ “โฆษณา ชวนเชื่อ” อย่างที่ผ่านๆ มา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม