วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โจรคุ้มกันน้ำมันเถื่อน

โจรคุ้มกันน้ำมันเถื่อน
ข่าวเชิงลึก ยิง 3 ศพ หน้ามัสยิด ฝีมืออดีตแนวร่วม RKK

ผู้สื่อข่าวปัตตานีรายงานว่า   เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 12 เมษายน    พ.ต.ท.มานิตย์ ปานทอง  หัวหน้าชุดพิสูจน์หลักฐานพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานปัตตานี  ร.ต.ท.ปริญญา ขวัญแก้ว  ร้อยเวร สภ.ปะนาเระ จ.ปัตตานั พร้อมกำลังตำรวจ ทหาร เข้าไปตรวจสอบพิสูจน์หลักฐานในที่เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามอาก้ากราดยิง ชาวบ้านหลังออกจากมัสยิดทำให้เสียชีวิต 3 ศพ   บริเวณในมัสยิดในหมู่บ้าน  บ้านนาพร้าว ม.2 ต.ปะนาเระ อ.ปะนาเระ เหตุเกิดเมื่อเวลา 21.40 น.วันที่ 11  เมษายน  ที่ผ่านมา  


จาการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบกองเลือดจำนวนมาก 3 กอง บริเวณลานหน้ามัสยิด และรองเท้าแตะ 1 คู่ ส่วนบริเวณยอดรั้วหน้ามัสยิดพบรอยกระสุนเป็นรูที่รั้วกำแพง และพบปลอกกระสุนอาก้าจำนวน 16 ปลอก  และรถยนต์ฟอร์ดสีบอนล์เงิน ทะเบียน บท 673 ปัตตานี ถูกยิงล้อยางด้านหน้าแตก 2 ล้อ มีรูกระสุนปืนข้างรถ และกระสุนปืนยังถูกบ้านชาวบ้านอีก 2 หลัง  และต้นมะพร้าวหลายต้น ส่วนสาเหตุอยู่ในระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่




กลุ่มอูลามะในพื้นที่ เพื่อซี้ย่ำปึ๊กของลุงคำต๋า ส่งขาวมาว่า ชาวบ้านในพื้นที่รับรู้กันว่า แท้จริง กลุ่มที่กราดยิงชาวบ้านเป็นอดีตแนวร่วม RKK ที่เข้ามอบตัวกับภาครัฐเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งในปัจจุบัน ทำหน้าที่เป็นกองกำลังคุ้มกันขบวนการค้าของหนีภาษีและน้ำมันเถื่อน และ มีเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง

มุสลิม กำลังถูกทำให้แปดเปื้อน
โดยขบวนการโจรอ้างศาสนา
โดยขบวนการน้ำมันเถื่อน โดยขบวนการนักการเมืองในพื้นที่

ขอบคุณ กลุ่มฮุลามะ ที่นำความจริงออกมาให้โลกรับรู้

http://narater2010.blogspot.com/

อย่าริอ่านไปขับรถ


จำไว่าว่า ผู้หญิง อย่าริอ่านไปขับรถ



ตามรายงานสำนักข่าวบูรน่า :ศาล ซาอุดิอาระเบียทำทั่วโลกอึ้ง หลังมีคำสั่งให้โบยสตรี 10 ครั้ง ฐานท้าทายคำสั่งห้ามผู้หญิงขับรถ เนื่องจากเพิ่งประกาศปฏิรูปให้สิทธิสตรีเลือกตั้งเมื่อสองวันที่ผ่านมา.

สตรีคนหนึ่ง ซึ่งถูกระบุชื่อว่า ไชม่า จัสไตน่า วัย 30 ปีเศษ มีความผิดฐานขับรถโดยไม่ได้รับอนุญาต และสั่งลงโทษโบย 10 ครั้ง

 ศาลตัดสิน ว่ามีความผิดในข้อหาขับรถโดยไม่ได้รับอนุญาตที่เมืองเจดดาห์ เมื่อดือน กรกฎาคมที่ผ่านมา
ด้าน องค์กร Women2drive ซึ่งพยายามเรียกร้องให้สตรีชาวซาอุดิอาระเบียสามารถขับรถได้อย่างถูกต้องตาม กฎหมาย กล่าวว่าสตรีคนดังกล่าวได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินต่อศาลแล้ว

โซ ฮิลา เอล อาไบดีน หนึ่งในสมาคมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ถึงกับร่ำไห้ขณะให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ และกล่าวว่า พระองค์ไม่ควรได้รับการตอบโต้เช่นนี้ และรู้สึก ช็อค มากกับคำตัดสิน แม้คาดการณ์อยู่แล้วว่าฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยอาจมีปฏิกริยาบางอย่าง

ใน ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีผู้หญิงจำนวนมากที่พยายามแสดงความกดดัน โดยการออกไปขับรถตามสถานที่ต่างๆ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อกดดันให้มีการแก้ไขกฎหมาย โดยมานาล อัล-เชอริฟ ผู้ก่อตั้งกลุ่ม Women2drive ได้โพสต์วิดีโอการขับรถของตนลงในเฟซบุ๊ค ก่อนที่จะถูกควบคุมตัวเป็นเวลานานกว่า 10 วัน และได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา หลังเธอให้สัญญาว่าจะไม่ขับรถอีกและไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆต่อสื่อมวลชน

โดย การตัดสินลงโทษครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่คิงส์  อับดุลลอห์ ประกาศให้สิทธิสตรีในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ในปี 2015
ขณะเดียวกัน ยังคงมีสตรีอีก 2 คน ที่มีกำหนดให้การต่อศาลในช่วงปลายปีนี้ ในข้อหาเช่นขับรถ.

ตาม ปกติแล้ว ตำรวจจะเพียงแต่เข้าตักเตือนสตรีที่ขับรถเท่านั้น และปล่อยตัวไปหากพวกเธอให้สัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก ขณะที่ผู้หญิงอีกจำนวนหนึ่งยังคงละเมิดข้อบังคับดังกล่าว

ซา อุดิอาระเบียเป็นเพียงประเทศเดียวในโลกที่ยังคงไม่อนุญาตให้ผู้หญิงขับรถ หากมีความจำเป็นต้องออกไปธุระ พวกเธอต้องจ้างคนขับรถ และหากว่าไม่สามารถจ่ายค่าจ้างซึ่งตกราว 300-400 ดอลลาร์ต่อเดือนได้ พวกเธอต้องร้องขอให้ญาติที่เป็นผู้ชายมาขับรถให้

ซา อุดิอาระเบียเป็นประเทศเดียวในโลกที่ห้ามสตรีทั้งชาวซาอุฯและต่างชาติขับรถ ข้อห้ามนี้ทำให้ครอบครัวต้องจ้างคนขับรถประจำบ้าน แต่หากไม่มีกำลังทรัพย์มากพอจ่ายค่าจ้างเดือนละกว่าหมื่นบาท ก็จะต้องอาศัยไหว้วานญาติผู้ชายขับรถพาสตรีไปทำงาน ไปเรียน ซื้อของหรือพบแพทย์
 
ซาอุฯไม่มีกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรห้าม ผู้หญิงขับรถ แต่ข้อห้ามนี้มาจากมุมมองทางศาสนาและขนบประเพณีที่ว่า จะต้องควบคุมเสรีภาพในการเดินทางไปไหนมาไหนของสตรี เพื่อไม่ให้พวกเธอเสี่ยงต่อการทำบาป
http://narater2010.blogspot.com/

มุสลิมคิดอย่างไรกับโปรแกรมเถื่อน

มุสลิมคิดอย่างไรกับโปรแกรมเถื่อน
เป็นคำถาม ถามตอบ ของเวปไซท์หนึ่ง  
หัวข้อกระทู้ : มุสลิมกับการใช้โปรแกรมเถื่อนนำมาให้อ่านกันครับ
http://www.muslimthaipost.com/mnet/index.php?p=a&bNo=59&qNo=2107

ถาม : ใครทราบบ้างครับว่า การใช้โปรแกรมเถื่อน หรือการแครกโปรแกรมต่างๆให้ใช้ได้นานๆ ซึ้งรวมทั้ง window เถื่อน ที่ใช้กันเต็มบ้านเต็มเมืองนี่ อิสลามมีฮูกมอย่างไร ครับ จากที่ผมได้ติดตามกระทู้ต่างๆในบอร์ดนี้ ก็คาดว่ามีผู้รู้ อาเล็ม อุละมะ หลายท่าน และเงินที่ได้จากการทำงานซึ่งใช้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลักในการทำงาน เช่น งานตัดต่อวิดิโอ รับพิมพ์งานต่างๆ และคอมฯเครื่องนั้น วินโดว์ก็เถื่อน โปรแกรมก็แครกเอา(ไม่ได้ซื้อของแท้) จะเป็นเงินที่ฮารอมหรือไม่อย่างไร ช่วยชี้แจงหน่อยครับ 

ตอบ :  อัลบัยหะกี ได้บันทึกรายงานว่า แท้จริงท่านรอซูล ศ๊อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า...

ความว่า " ผู้ใดได้ซื้อของที่ถูกลักขโมยมา โดยทราบดีว่ามันเป็นของที่ถูกขโมยมา ความจริงเขาก็มีส่วนร่วมในบาป และความน่าละอายด้วย "
http://narater2010.blogspot.com/

มุสลิมเขมร สินค้านำเข้า ก่อการร้ายภาคใต้

มุสลิมเขมร สินค้านำเข้า ก่อการร้ายภาคใต้

 รวบ 69 เขมรมุสลิมเถื่อน ซุกซ่อนตัวในป่าละเมาะ รอไปทำงาน 3 จว.ชายแดนใต้

ตม.สระแก้ว บุกรวบ 69 เขมรมุสลิมวัยฉกรรจ์ ลักลอบเข้ามาซุกซ่อนตัวในป่าละเมาะ รอรถยนต์มารับไปส่งชายแดนภาคใต้ของไทย นำตัวมาสอบเข้ม

     วันที่ 17 พ.ค.2555 พ.ต.อ.สังคม  ตัดโส ผกก.ตม.จว.สระแก้ว (ผู้กำกับการตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว) ได้รับแจ้งจากชาวบ้าน ในหมู่บ้าน ต.ผักขะ อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ว่ามีชาวเขมรจำนวนมากกว่า 50 คน ส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาววัยฉกรรจ์ เข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าละเมาะเขตรอยต่อพื้นที่ หมู่ที่ 3 และหมู่ที่ 8 ต.ผักขะ อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ทำให้ชาวบ้านที่ผ่านไปมา เกิดความกลัว เกรงเป็นพวกกระทำผิดกฎหมาย ขอให้ไปตรวจสอบด้วย

     หลังรับแจ้ง จึงพร้อมด้วย พ.ต.ท.สมศักดิ์ เจียมกรกต และ พ.ต.ต.นที ทองสุกแก้ว สว.ตม.จว.สระแก้ว นำกำลัง จนท.ตม.จว.สระแก้ว กว่า 20 นาย เดินทางไปตรวจสอบบริเวณป่าละเมาะเขตรอยต่อ พื้นที่ ม.3 และ ม.8 ต.ผักขะ อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว เมื่อ จนท.เดินทางไปถึง พบว่าบริเวณป่าสาธารณะ ระหว่างพื้นที่ ม.3 และ ม.8 ต.ผักขะ ซึ่งเป็นป่าละเมาะอยู่ด้านหลังหมู่บ้าน พบว่าภายในป่าละเมาะซึ่งเป็นป่าสาธารณะ มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ จึงนำกำลังเข้าทำการปิดล้อม แล้วบุกเข้าตรวจสอบ

     พบภายในป่าละเมาะ มีชาวเขมรทั้งชายหญิง ส่วนใหญ่อายุระหว่าง 18-30 ปี นั่งหลบซ่อนตัวอยู่ภายในป่าละเมาะ พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า จนท.จึงเข้าตรวจพบไม่มีเอกสารการเดินทางแต่อย่างใด จึงควบคุมตัวไว้ได้ทั้งหมดรวม 69 คน เป็นชาย 46 คน หญิง 23 คน สอบถามเบื้องต้นชาว เขมรรับสารภาพว่าเป็นชาวเขมรที่นับถือศาสนามุสลิม เป็นชาว จ.กัมปงจาม ประเทศกัมพูชา จะเดินทางไปทำงานที่ 3 จว.ชายแดนภาคใต้ของไทย คือ สงขลา นราธิวาส และ ปัตตานี

     หลังทราบว่าเป็นชาวเขมรมุสลิม และจะเดินทางไปชายแดนภาคใต้ของไทย พ.ต.อ.สังคม  ตัดโส ผกก.ตม.จว.สระแก้ว จึงสั่งให้ จนท.ตม.ทำการตรวจสอบและตรวจค้นอย่างละเอียด พร้อมนำตัวมาสอบสวนที่ห้องกักกัน สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสระแก้ว ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

     จากการสอบสวนนาย หญิง อายุ 32 ปี ชาวเขมรมุสลิม รับสารภาพว่า ชาวเขมรทั้ง 69 คน เดินทางมาจาก จ.กัมปงจาม ประเทศกัมพูชา และเป็นชาวมุสลิม ได้รับการติดต่อจากแก๊งค้าแรงงานชาวไทย ในชายแดนภาคใต้ ให้ไปทำงานใน 3 จว.ชายแดนภาคใต้ ของไทย คือ สงขลา นราธิวาส และ ปัตตานี แต่ยังไม่รู้ว่าไปทำงานอะไร โดยคิดค่าเดินทางจากชาวเขมรคนละ 6000-6500 บาท โดยนายหน้าชาวกัมพูชา ได้พาเดินเท้าข้ามเขตแดนเข้าไทยแบ่งเป็น 2 เส้นทาง

     โดยเดินทางเข้ามาทางบริเวณจุดผ่อนปรนบ้านหนองปรือ ต.ผ่านศึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จำนวน 32 คน และพามารอขึ้นรถที่บริเวณป่าละเมาะดังกล่าว ส่วนอีก 37 คน ได้ติดต่อแก๊งนำพาจะเดินทางเข้าด้านหลังตลาดโรงเกลือ แต่แก๊งนำพาในตลาดโรงเกลือ ไม่กล้ารับ เนื่องจากเป็นชาวเขมรมุสลิม และจะเดินทางไปชายแดนภาคใต้ของไทย ทำให้นายหน้าชาวเขมรต้องนำ 37 ชาวเขมร ลักลอบเข้าประเทศไทยทางด้านชายแดน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว แล้วนำมารวมกันไว้ที่บริเวณป่าละเมาะ ต.ผักขะ เพื่อรอรถยนต์จากขบวนการดังกล่าวนำรถมารับไปส่ง 3 จว.ชายแดนภาคใต้ของไทย กระทั่งมาถูก จนท.ไทยจับได้

      หลัง จนท.ตม.จว.สระแก้ว สอบ 69 ชาวเขมรมุสลิมอย่างเข้มงวด พบว่าชาวเขมรมุสลิมทั้ง 69 คน ยังไม่รู้ว่าจะไปทำงานอะไรที่ไหน รู้แต่เพียงว่าไปทำงานที่ สงขลา นราธิวาส และ ปัตตานี โดยมีนายหน้าชาวไทยติดต่อผ่านนายหน้าชาวเขมรเท่านั้น คิดค่าหัวชาวเขมรคนละ 6,000-6,500 บาท ซึ่งหลังจากสอบสวนเสร็จไม่พบความผิดปกติ หรือไปมีส่วนร่วมกับขบวนการโจร 3 จว.ชายแดนใต้ของไทย จึงควบคุมตัวส่งดำเนินคดีข้อหาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฏหมายเท่านั้น
http://narater2010.blogspot.com/

อัตลักษณ์ของใคร ?


อัตลักษณ์ของใคร ?

       วันที่ 6 ต.ค. เวลา ประมาณ 10.30 น. เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บนถนนสายบ้านเนียง - ยะหา ม.3 ต.ยะลา อ.ยะหา จ.ยะลา มีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บหลายนาย ที่เกิดเหตุ คนร้ายได้โปรยตะปูเรือใบพร้อมวางกล่องต้องสงสัยไว้ในเส้นทางบ้านเนียง - บ้านยะลา ที่เกิดเหตุผู้ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยได้นำตัวส่งโรงพยาบาลยะลา แล้ว ทราบชื่อคือ 

1.ร.ต.ท.ธนวัฒน์ บุญมาก
2.ส.ต.อ.เปาซี สาแม
 

        โดยทั้ง 2 นายได้รับบาดเจ็บจากเศษสะเก็ดระเบิดบริเวณลำตัว นอกจากนั้น ยังมี นายอัซมิง อาดี อายุ 20 ปี ได้รับบาดเจ็บจากเศษสะเก็ดระเบิด อีก 1 รายด้วย 

        ในที่เกิดเหตุพบรถยนต์ตราโล่ สีแดง ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปะแต พลิกคว่ำ ได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดทั้งคัน ห่างจากรถยนต์ไปประมาณ 100 เมตร พบหลุมที่เกิดจากแรงระเบิดกว้าง 3 เมตร และลึก 2 เมตร และยังพบเศษสะเก็ดระเบิดตกกระจายอยู่ทั่วบริเวณ รวมทั้งเศษสายไฟและเศษชิ้นส่วนถังดับเพลิง พบว่าระเบิดที่คนร้ายใช้เป็นระเบิดแสวงเครื่องบรรจุไว้ในถังดับเพลิง น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 20 กก. โดยจุดชนวนด้วยการลากสายไฟไปข้างทาง 

       ก่อนเกิดเหตุทราบว่า ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปะแต จำนวน 2 นาย เดินทางออกจาก สภ.ปะแต เพื่อนำนายอัซมิง อาดี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาไปฝากขังที่ สภ.เมืองยะลา เมื่อขับมาถึงที่เกิดเหตุ คนร้ายซึ่งได้นำระเบิดมาซุกซ่อนในท่อน้ำใต้ผิวถนนไว้ก่อนหน้าแล้ว ได้จุดชนวนระเบิดขึ้นทันที เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 



  


http://narater2010.blogspot.com/

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

มุสลิมโจรใต้ ยังไม่หยุดคลั่้งไคล้มาเลเซีย


มุสลิมแบ่งแยกดินแดนโจรใต้ ยังไม่หยุดคลั่้งไคล้มาเลเซีย

http://narater2010.blogspot.com/

มุสลิมเผาวัดพุทธวอดวายที่บังกลาเทศ


มุสลิม บุกเผาวัดพุทธในบังกลาเทศ โดยข้ออ้างแบบเดิม ๆ 

นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่าง ของ อัตลักษณ์มุสลิม

สลด!เผา'วัดพุทธ'บังคลาเทศวอด

ชาวมุสลิมในบังกลาเทศนับหมื่นชุมนุมประท้วง-เผาวัดพุทธวอด 5 แห่ง อ้างเหตุมีภาพชายหนุ่มชาวพุทธเหยียบคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ในเฟซบุ๊ก แนะใช้ขันติธรรมแก้ขัดแย้ง

            สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันอาทิตย์( 30 ก.ย.) ว่าชาวมุสลิมบังกลาเทศราว 2.5 หมื่นคนร่วมชุมนุมประท้วงก่อนลุกลามเป็นการจราจลจนเกิดการเผาวัดพุทธ 5 แห่งและบ้านเรือนร่วม 100 หลังคาเรือนในเมืองรามูและหมู่บ้านใกล้เคียง  โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้ที่มีภาพชายหนุ่มผู้นับถือศาสนาพุทธโพสท์ภาพตนเองกำลังเหยียบย่ำคัมภีร์อัลกุรอานบนเฟซบุ๊ก



             นายจอยนูล บารี ผู้บริหารท้องถิ่นอธิบายว่าการประท้วงลุกลามจนกลายเป็นการจราจลที่ไม่สามารถควบคุมได้และทำลายบ้านเรือนของชาวพุทธ เผาทำลายวัด ตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนวันเสาร์ (29 ก.ย.) ต่อเนื่องจนถึงเช้าวันอาทิตย์ (30 ก.ย.) โดยมีบ้านเรือนอย่างน้อย 100 หลังถูกทำลาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ร้องขอกำลังทหารและกองกำลังรักษาชายแดนเข้าระงับเหตุการจราจลดังกล่าว และได้ออกคำสั่งห้ามการชุมนุมในที่สาธารณะเป็นการชั่วคราวเพื่อป้องกันการเกิดเหตุจราจลขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังยืนยันว่าเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว


        

                   เมืองรามูอยู่ห่างจากกรุงธากา เมืองหลวงของบังกลาเทศราว 350 กิโลเมตรและเป็นเมืองชายแดนติดต่อกับประเทศพม่า ซึ่งเป็นพื้นที่อาศัยของชาวพุทธที่เป็นชนกลุ่มน้อยในบังกลาเทศ โดยมีประชากรที่นับถือศาสนาพุทธเพียง 0.7% จากจำนวนประชากร
ทั้งหมด 170 ล้านคนของบังกลาเทศ

                   กลุ่มผู้ประท้วงและก่อจราจลได้เรียกร้องให้ทางการจับกุมเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า อัตตาม บารัว ที่เป็นผู้โพสท์ภาพดูหมิ่นชาวมุสลิมดังกล่าว

                   ทั้งนี้พื้นที่ชายแดนตะวันออกเฉียงใต้ของบังกลาเทศที่ติดต่อกับรัฐยะไข่ของพม่า กลายเป็นพื้นที่ซึ่งมีความตึงเครียดในด้านการแบ่งแยกดินแดน ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากเกิดเหตุการปะทะระหว่างกลุ่มมุสลิมโรฮิงญากับชาวพุทธในรัฐยะไข่ของพม่า แม้ที่ผ่านมาจะมีเหตุการปะทะระหว่างชาวพุทธกับมุสลิมเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก



                   นอกจากนั้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาชาวมุสลิมในบังกลาเทศหลายหมื่นคนยังได้ร่วมชุมนุมประท้วงต่อต้านภาพยนตร์เรื่องอินโนเซนท์ออฟมุสลิมส์ และรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ปล่อยให้มีการสร้างและเผยแพร่ภาพยนตร์ดูหมิ่นศาสดาในศาสนาอิสลามเรื่องนี้

                  จากเหตุการณ์ดังกล่าวพระมหาหรรษา ธัมมหาโส  ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) นักศึกษาหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับ สูง (ปปร.) รุ่นที่ 15 สถาบันพระปกเกล้า เตือนสติผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว (Hansa Dhammahaso) ความว่า "สังคมโลกของเราในยุคปัจจุบันนี้ ขาดขันติธรรมทางศาสนามากเหลือเกิน!!! ขันติธรรมในความเป็นพหุวัฒนธรรมจึงมีความสำคัญต่อการอยู่ร่วมกันในฐานะมนุษย์ที่รักความสุข เกลียดกลัวความทุกข์เฉกเช่นเดียวกัน สงครามโลกครั้งที่ ๓ จะเป็นสงครามที่เกิดจากขาดขันติธรรมทางศาสนา!!!! อานุภาพของการขาดจะนำไปสู่การทำลายล้างมนุษยชาติอย่างน่าสยดสยอง....

                    การเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาคือทางรอดของมนุษยชาติ มนุษยชาติควรกลับไปศึกษา และทำความเข้าใจแก่นแท้ของศาสนาตัวเองให้แจ่มชัด เพื่อจะได้อยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมโลกได้อย่างมีความสุขท่ามกลางความแตกต่างทางความเชื่อ และวัฒนธรรมที่หลากหลาย  




ชาวมุสลิมบุกเผาวัด-บ้านเรือนชาวพุทธในบังกลาเทศ ไม่พอใจโพสต์ภาพหมิ่น “คัมภีร์กุรอ่าน”

                    ขันติธรรมทางศาสนา (Religious Tolerance) จึงเป็นหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกันกับกลุ่มคนต่างๆ ที่มีความความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่างกัน แนวทางเช่นนี้ จะนำไปสู่ความอดทดต่อความแตกต่างกันทางศาสนา ภาษา ชาติพันธุ์ ความเชื่อ และอุดมการณ์ทางความคิด เพราะจะก่อให้เกิดความเคารพ และการยอมรับนับถือศาสนา ความเชื่อ วัฒนธรรมที่หลากหลาย วิธีคิด วิถีการแสดงออก และวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป โดยพร้อมที่จะรับฟัง และปฏิบัติต่อบุคคลที่มีความแตกต่างกันอย่างมีสติ บนฐานของความรักและปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกถ้วนทั่วตัวคน"


นี่่คือสิ่งที่ คัมภรีอ้าง หรือศาสดาของคนเหล่านี้อนุญาตให้ทำได้ หรือ ?


เอเอฟพี/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ทางการบังกลาเทศเผยเกิดเหตุกลุ่มชาวมุสลิมจำนวนกว่า 25,000 คนก่อเหตุจุดไฟเผาวัดพุทธอย่างน้อย 5 แห่งและบ้านเรือนของประชาชนอีกอย่างน้อย 100 หลังคาเรือน ที่เมืองรามู ทางภาคตะวันออกของประเทศใกล้พรมแดนพม่าในวันนี้ (30) คาด สาเหตุเกิดจากความไม่พอใจ หลังมีข่าวว่าชายหนุ่มชาวพุทธรายหนึ่งในพื้นที่อัพโหลดรูปภาพที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อดูหมิ่นพระคัมภีร์กุรอ่านของศาสนาอิสลาม ผ่านทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ชื่อดัง “เฟซบุ๊ก” 
       
        เหตุเผาวัดพุทธและบ้านเรือนของประชาชนดังกล่าวเกิดขึ้นที่เมืองขนาดเล็กที่มีชื่อว่ารามู ทางภาคตะวันออกของบังกลาเทศ ห่างจากกรุงธากาเมืองหลวงของประเทศราว 350 กิโลเมตร โดยเหตุการณ์ซึ่งได้ลุกลามอย่างรวดเร็วจนเจ้าหน้าที่ไม่อาจควบคุมสถานการณ์ได้นี้ เกิดขึ้นตั้งแต่เวลาประมาณเที่ยงคืนที่ผ่านมา ต่อเนื่องมาจนถึงตอนเช้าตามเวลาท้องถิ่น เป็นเหตุให้มีวัดพุทธซึ่งบางแห่งมีอายุเก่าแก่หลายร้อยปี ตลอดจนบ้านเรือนของชาวพุทธถูกเผาได้รับความเสียเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุรุนแรงครั้งนี้หรือไม่ และไม่มีการเปิดเผยว่า มีการจับกุมผู้ก่อเหตุหรือไม่เช่นกัน
       
       ทางด้านชายชาวพุทธผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นชนวนทำให้เกิดการจลาจลคราวนี้ ได้บอกกับสื่อมวลชนท้องถิ่นว่า ตัวเขาไม่ได้เป็นผู้โพสต์ภาพดังกล่าว แต่มีใครบางคนที่ "แท็ก" (tag) ภาพนั้นในแอคเคานต์ (account) เฟซบุ๊ก ของเขา ทั้งนี้เวลานี้ชายผู้นี้ได้หลบหนีไปซ่อนตัวแล้ว ขณะที่พวกเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ตำรวจยังได้เข้าอารักขาคุ้มครองมารดาและน้าของชายผู้นี้ด้วย
       
        ล่าสุดทางการบังกลาเทศได้ส่งกำลังทหารและเจ้าหน้าที่พิทักษ์ชายแดนเข้ามารักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่และมีการประกาศห้ามการชุมนุมในที่สาธารณะในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุรุนแรงเพิ่มเติม ขณะที่รัฐมนตรีมหาดไทย รัฐมนตรีอุตสาหกรรม และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของบังกลาเทศ ได้เร่งเดินทางลงพื้นที่เกิดเหตุตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาเพื่อควบคุมสถานการณ์
       
        ขณะเดียวกันมีข้อมูลว่า มีหมู่บ้านชาวพุทธไม่ต่ำกว่า 15 แห่งถูกบุกโจมตีเมื่อคืนที่ผ่านมา และมีนับร้อยหลังที่ถูกปล้นชิงทรัพย์สิน
       
        ทั้งนี้ กว่าร้อยละ 90 ของประชากร 153 ล้านคนในบังกลาเทศเป็นชาวมุสลิม ขณะที่ชาวพุทธมีสัดส่วนน้อยกว่าร้อยละ 1

Attacks on Buddhists were 'planned'


Sun, Sep 30th, 2012 5:48 pm BdST
 
Mintu Chowdhury
Chittagong correspondent


Ramu/Cox's Bazar, Sep 30 (bdnews24.com)—Home Minister Mohiuddin Khan Alamgir on Sunday alleged the attacks on a pre-dominantly Buddhist village in Cox's Bazar's Ramu Upazila was "planned" and vowed to bring the perpetrators to justice.

"The attack was conducted in a coordinated manner. Temples and houses were set on fire using patrol and gun powder. It would have been impossible if the attacks were not planned," he said after visiting the affected locality.

The minister sought everyone's assistance in capturing the culprits. "We came here on the orders of the Prime Minister. All that is needed to be done will be done to swiftly bring the culprits to justice."

Alamgir said the government will provide financial assistance for reconstruction of the damaged temples and houses

Local residents alleged that the attacks and damages were mostly caused due to the negligence of the police and Fire Service. The Home Minister said a committee headed by an Additional Divisional Commissioner of Chittagong will investigate whether negligence on anybody's part was behind the mayhem.

A mob had torched and vandalised the Buddhist village in one of the worst religious attacks in Bangladesh which appeared to have been triggered by a Facebook posting allegedly defaming the Quran.

Seven Buddhist Viharas, around 30 houses and shops were torched in the attacks that started at 11:30pm on Saturday and lasted until around 4am on Sunday. More than a hundred houses and shops were also reportedly attacked, vandalised and looted.

Alamgir and Industries Minister Dilip Barua have visited the spot. Inspector General of Police (IGP) Hasan Mahmood Khandaker and other top officials were also present during the visit.

They visited the damaged 300-year old Ramu Sima Vihara of Merong Loa Barua at around 1:30pm on Sunday.

The ministers visited the affected areas and spoke to the Buddhist monks and members of the temple managing committee. They also talked to the people whose houses were damaged in the attacks.

At a short rally held at the Ramu Bazar, Dilip Barua alleged a 'group of conspirators' was behind the attack but did not take any names.

Like Alamgir, he too vowed to bring the culprits to book. "The perpetrators will be tried no matter how powerful they are."

Barua requested everyone's assistance to restore communal harmony in the area.

Prime Minister Sheikh Hasina, who is now in New York, expressed dismay over the incident and ordered action against those responsible for the attack.

Bangladesh's Permanent Representative to the United Nations A K Momen told bdnews24.com Hasina had told the authorities that the government will not tolerate any activity that hampered the communal harmony.

The United People's Democratic Front (UPDF) has condemned the attack and appealed to everyone to stand by those harmed.

bnews24.com/mc/zk/bd/1720h
 
 
 



ชาวมุสลิมในบังกลาเทศนับหมื่นชุมนุมประท้วง-เผาวัดพุทธวอด 5 แห่ง อ้างเหตุมีภาพชายหนุ่มชาวพุทธเหยียบคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ในเฟซบุ๊ก แนะใช้ขันติธรรมแก้ขัดแย้ง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันอาทิตย์( 30 ก.ย.) ว่าชาวมุสลิมบังกลาเทศราว 2.5 หมื่นคนร่วมชุมนุมประท้วงก่อนลุกลามเป็นการจราจลจนเกิดการเผาวัดพุทธ 5 แห่งและบ้านเรือนร่วม 100 หลังคาเรือนในเมืองรามูและหมู่บ้านใกล้เคียง  โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้ที่มีภาพชายหนุ่มผู้นับถือศาสนาพุทธโพสท์ภาพตนเอง กำลังเหยียบย่ำคัมภีร์อัลกุรอานบนเฟซบุ๊ก

นายจอยนูล บารี ผู้บริหารท้องถิ่นอธิบายว่าการประท้วงลุกลามจนกลายเป็นการจราจลที่ไม่สามารถ ควบคุมได้และทำลายบ้านเรือนของชาวพุทธ เผาทำลายวัด ตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนวันเสาร์ (29 ก.ย.) ต่อเนื่องจนถึงเช้าวันอาทิตย์ (30 ก.ย.) โดยมีบ้านเรือนอย่างน้อย 100 หลังถูกทำลาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ร้องขอกำลังทหารและกองกำลังรักษาชายแดนเข้าระงับเหตุการ จราจลดังกล่าว และได้ออกคำสั่งห้ามการชุมนุมในที่สาธารณะเป็นการชั่วคราวเพื่อป้องกันการ เกิดเหตุจราจลขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งยังยืนยันว่าเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว
เมืองรามูอยู่ห่างจากกรุงธากา เมืองหลวงของบังกลาเทศราว 350 กิโลเมตรและเป็นเมืองชายแดนติดต่อกับประเทศพม่า ซึ่งเป็นพื้นที่อาศัยของชาวพุทธที่เป็นชนกลุ่มน้อยในบังกลาเทศ โดยมีประชากรที่นับถือศาสนาพุทธเพียง 0.7% จากจำนวนประชากรทั้งหมด 170 ล้านคนของบังกลาเทศ
      
กลุ่มผู้ประท้วงและก่อจราจลได้เรียกร้องให้ทางการจับกุมเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊ก ที่ใช้ชื่อว่า อัตตาม บารัว ที่เป็นผู้โพสท์ภาพดูหมิ่นชาวมุสลิมดังกล่าว
      
ทั้งนี้พื้นที่ชายแดนตะวันออกเฉียงใต้ของบังกลาเทศที่ติดต่อกับรัฐยะไข่ของ พม่า กลายเป็นพื้นที่ซึ่งมีความตึงเครียดในด้านการแบ่งแยกดินแดน ตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หลังจากเกิดเหตุการปะทะระหว่างกลุ่มมุสลิมโรฮิงญากับชาวพุทธในรัฐยะไข่ของ พม่า แม้ที่ผ่านมาจะมีเหตุการปะทะระหว่างชาวพุทธกับมุสลิมเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก
      
นอกจากนั้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาชาวมุสลิมในบังกลาเทศหลายหมื่นคนยัง ได้ร่วมชุมนุมประท้วงต่อต้านภาพยนตร์เรื่องอินโนเซนท์ออฟมุสลิมส์ และรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่ปล่อยให้มีการสร้างและเผยแพร่ภาพยนตร์ดูหมิ่นศาสดา ในศาสนาอิสลามเรื่องนี้
   
จากเหตุการณ์ดังกล่าวพระมหาหรรษา ธัมมหาโส  ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) นักศึกษาหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับ สูง (ปปร.) รุ่นที่ 15 สถาบันพระปกเกล้า เตือนสติผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว (Hansa Dhammahaso) ความว่า "สังคมโลกของเราในยุคปัจจุบันนี้ ขาดขันติธรรมทางศาสนามากเหลือเกิน!!! ขันติธรรมในความเป็นพหุวัฒนธรรมจึงมีความสำคัญต่อการอยู่ร่วมกันในฐานะ มนุษย์ที่รักความสุข เกลียดกลัวความทุกข์เฉกเช่นเดียวกัน สงครามโลกครั้งที่ ๓ จะเป็นสงครามที่เกิดจากขาดขันติธรรมทางศาสนา!!!! อานุภาพของการขาดจะนำไปสู่การทำลายล้างมนุษยชาติอย่างน่าสยดสยอง....
   
การเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนาคือทางรอดของมนุษยชาติ มนุษยชาติควรกลับไปศึกษา และทำความเข้าใจแก่นแท้ของศาสนาตัวเองให้แจ่มชัด เพื่อจะได้อยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมโลกได้อย่างมีความสุขท่ามกลางความแตกต่าง ทางความเชื่อ และวัฒนธรรมที่หลากหลาย
   
ขันติธรรมทางศาสนา (Religious Tolerance) จึงเป็นหัวใจสำคัญของการอยู่ร่วมกันกับกลุ่มคนต่างๆ ที่มีความความเชื่อทางศาสนาที่แตกต่างกัน แนวทางเช่นนี้ จะนำไปสู่ความอดทดต่อความแตกต่างกันทางศาสนา ภาษา ชาติพันธุ์ ความเชื่อ และอุดมการณ์ทางความคิด เพราะจะก่อให้เกิดความเคารพ และการยอมรับนับถือศาสนา ความเชื่อ วัฒนธรรมที่หลากหลาย วิธีคิด วิถีการแสดงออก และวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป โดยพร้อมที่จะรับฟัง และปฏิบัติต่อบุคคลที่มีความแตกต่างกันอย่างมีสติ บนฐานของความรักและปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกถ้วนทั่วตัวคน"
http://narater2010.blogspot.com/
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม