วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

PerMAS กับความต่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์


              เหตุการณ์แรก 3 ก.พ.57 กรณีสองอดีตทหารพรานบุกยิงลูกชายเจ๊ะมุ มะมัน เสียชีวิต 3 ศพ นายเจ๊ะมุ และภรรยาได้รับบาดเจ็บ ต่อมาผู้ต้องหาถูกจับกุมและยอมรับสารภาพเป็นการล้างแค้นในเรื่องส่วนตัว แต่กลุ่ม PerMAS พยายามโยงให้เห็นว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ สุดท้ายศาลตัดสินยกฟ้องเนื่องจากไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็น กลุ่มและองค์กรแนวร่วมต่างออกมาเคลื่อนไหว และประกาศวันเชิงสัญลักษณ์ ให้วันที่ 3 ก.พ.ของทุกปีเป็นวันมนุษยธรรมปาตานี(ทั้งที่เป็นความขัดแย้งในเรื่องส่วนตัวไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐเลย)

            เหตุการณ์ที่สอง เมื่อ 05 ก.พ.58 เวลา 02.00 น. นายหนึ่ง ทองพูลดี (มุสลิม) อายุ 38 ปี บ้านเลขที่ 1/1 ม.2 ต.ปะกาฮะรัง อ.เมือง จ.ปัตตานี ได้บุกเข้า รร.มูฮัมมาดียะห์ 124 ม.4 ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี (โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา) และได้ทำการลักทรัพย์จนกระทั่งโดนจับและได้มีกลุ่มนักเรียนชายรุมทำร้ายอาการสาหัส สุดท้ายไม่รอดมาเสียชีวิตที่ รพ.ศูนย์ยะลา

            ที่น่าตกใจคือ กลุ่มนักเรียนที่รุมทำร้ายนายหนึ่งฯ จนบาดเจ็บสาหัสและได้เสียชีวิตนั้น มีความเข้าใจว่านายหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารพราน (เนื่องจากตัดผมสั้นเกรียน) ด้วยความแค้นที่โดนปลูกฝังมาให้เกลียดชังเจ้าหน้าที่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงรุมทำร้ายอย่างบ้าคลั่งกระทำตัวเป็นผู้พิพากษาตัดสินด้วยการเอาชีวิต แล้วทำการกุข่าวขึ้นมาเจ้าหน้าที่ทหารพรานลอบขึ้นหอพักหญิงปอเนาะ พร้อมทั้งกล่าวหาข่าวเงียบ สื่อเงียบ

            อย่าให้กฎหมู่ อยู่เหนือเหนือกฎหมาย อย่าให้ครอบครัวเขา ต้องทนทุุกข์กับสิ่งที่พวกคุณได้กระทำลงไปคนผิดต้องถูกลงโทษ อย่าให้เขาว่าดินแดนปาตานีไม่มี “มนุษยธรรม” ปกป้องคนกระทำผิดไม่ต้องรับโทษ

          แต่เขาต้องตายโดยการกระทำของมนุษย์ทีเป็นปัญญาชน การทำร้าย หรือการก่อให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แล้วอ้างความผิดให้ ผู้อื่นเสียหาย ศาสนาอิสลามไม่เคยมีหรือสนับสนุนให้กระทำดังกล่าว แต่พอเกิดเรื่องมีการแชร์ต่อในโลกออนไลน์ ผลสุดท้าย ผู้ตายยังไม่ได้เอ๋ยปาก หรือ รับโทษทางกฎหมาย ต้องมาเสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนที่ปากบอกว่ามี “การศึกษา”

         ฝากถามไปยังกลุ่มนักศึกษา PerMAS ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือยัง..ได้ไปช่วยเหลือครอบครัวนายหนึ่งฯ บ้างมั๊ย...มันช่างแตกต่างกับครอบครัวมะมันโดยสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่ตัวนายเจ๊ะมุฯ เคยเป็นผู้ร้าย เคยมีส่วนพัวพันฆ่าคน แต่พวกคุณกลับสนับสนุนคนเลว...เห้อ!!มนุษยธรรม..ปาตานี..

ไม่มี "ความลับ" ในหมู่โจร สุดท้าย "ก็ยอม" ขายเพื่อน


             จากกรณี วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2558 กอ.รมน.ร่วม 3 ฝ่าย แถลงสถานการณ์ในพื้นที่ พร้อมความคืบหน้าคดี ผู้ก่อการร้าย ใช้อาวุธปืนลอบยิง จนท.อส. อ.รามัน จ.ยะลา ขณะปฏิบัติหน้าที่ รปภ. บริเวณตลาดนัดบ้านบาโล๊ะ ม.3 ต.บาโงย อ.รามัน จ.ยะลา เป็นเหตุให้ จนท.อส.เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ จำนวน 2 นาย ประกอบด้วย
  • 1. นายรอพา มะ อายุ 32 ปี ที่อยู่ 47 ม.1 ต.บาโงย อ.รามัน จ.ยะลา
  • 2. นายอิสมาแอ วายูโซะ อายุ 28 ปี ที่อยู่ 15 ม.4 ต.บาโงย อ.รามัน จ.ยะลา
ชาวบ้าน ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 1 คน คือ
  • นางสาวไซตง แวโดะ อายุ 27 ปี ที่อยู่ 35/5 ม.2 ต.บาโงย อ.รามัน จ.ยะลา
จากนั้น ผกร. ได้นำเอาอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ อส. ไปด้วย จำนวน 4 กระบอก ประกอบด้วย
  • - อาวุธปืนยาว HK - 33 จำนวน 1กระบอก
  • - อาวุธปืนยาว AK - 102 จำนวน 1 กระบอก
  • - อาวุธปืนพกสั้น ขนาด 9 มม. จำนวน 2 กระบอก
        จากกรณีดังกล่าวเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันสืบสวนสอบสวนอย่างต่อเนื่องจนสามารถพิสูจน์ทราบตัว ผกร. ได้จำนวนหลายราย ประกอบกับมีผลการตรวจพิสูจน์วัตถุพยานและหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในคดีซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มบุคคล อาวุธปืนและเครือข่ายต่างๆ จนนำไปสู่การปฏิบัติการตามกฎหมายและดำเนินคดีกับ ผกร.

         ผลการตรวจเปรียบเทียบปลอกกระสุนปืนที่เก็บได้จากบริเวณที่เกิดเหตุเป็นปลอกกระสุนปืนที่ใช้ยิงมาจาก อาวุธปืน จำนวน 3 ขนาด ประกอบด้วย
  • (1.) ปลอกกระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 12 ปลอก ใช้ยิงมาจากอาวุธปืน จำนวน 4 กระบอก ผลการตรวจไม่พบประวัติการก่อเหตุ จำนวน 2 กระบอก และตรวจพบประวัติการก่อเหตุ จำนวน 2 กระบอก คือ ปืนกระบอกที่ 1 ใช้ก่อเหตุมาก่อนแล้ว จำนวน 3 เหตุการณ์ ปืนกระบอกที่ 2 ใช้ก่อเหตุมาก่อนแล้ว จำนวน 1 เหตุการณ์
  • (2.) ปลอกกระสุนปืน ขนาด .38 super จำนวน 8 ปลอก ใช้ยิงมาจากอาวุธปืน จำนวน 2 กระบอก ผลการตรวจไม่พบประวัติการก่อเหตุ จำนวน 1 กระบอก
  • และตรวจพบประวัติการก่อเหตุ จำนวน 1 กระบอก ซึ่งใช้ก่อเหตุมาก่อนแล้ว จำนวน 3 เหตุการณ์
  • (3.) ปลอกกระสุน ขนาด .45 จำนวน 2 ปลอก ใช้ยิงมาจากอาวุธปืน จำนวน 1 กระบอก ผลการตรวจไม่พบประวัติการก่อเหตุแต่อย่างใด
         จากการตรวจความเชื่อมโยงของปลอกกระสุนปืนที่ ผกร. ใช้ในการก่อเหตุในคดีนี้พบว่า เคยใช้ในการก่อเหตุในเขตพื้นที่ อ.รามัน จ.ยะลา มาแล้วหลายคดี จึงเชื่อว่าคนร้ายที่ก่อเหตุน่าจะ "เป็นกลุ่ม ผกร.ที่รับผิดชอบพื้นที่ อ.รามัน จ.ยะลา และ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส"  ซึ่งเคยก่อเหตุ ลอบวางระเบิด และ ยิง จนท.ตร. สภ.ท่าธง จ.ยะลา เสียชีวิต จำนวน 5 ราย และได้รับบาดเจ็บ จำนวน 1 ราย ขณะปฏิบัติหน้าที่ รปภ.ครู บนถนนสายบ้านปากาซาแม-สาเม๊าะ ม.7 ต.วังพญา อ.รามัน จ.ยะลา เมื่อวันที่ 25 ก.ค.2555 ซึ่งต่อมาถูกออกหมายจับ ป.วิ.อาญา จำนวน 5 ราย ดังนี้ คือ
  • 1. นายอิสมาแอ ลิงแล (หลบหนี)
  • 2. นายรุสลี แบรอสะแม (เสียชีวิต)
  • 3. นายมามุ บอรอดายา (หลบหนี)
  • 4. นายกามัน ชัยชนะ (จับกุม)
  • 5. นายอับดุลรอฮิง ดาอีซอ (เสียชีวิต)
           จากการสอบปากคำพยานในคดีนี้ ปรากฏว่ามี "ประจักษ์พยานให้การชี้ยืนยันว่า นายอะบูดิลล๊ะ ดอเลาะเจ๊ะแต อายุ 26 ปี ที่อยู่ 29/6 ม.6 ต.เนินงาม อ.รามัน จ.ยะลา เป็นผู้ร่วมก่อเหตุในคดีนี้"  และจากการสืบสวนทางเทคนิคพบว่า "นายมัสรอน สะหมะ อายุ 33 ปี ที่อยู่ 121/3 ม.6 ต.เนินงาม อ.รามัน จ.ยะลา มีการติดต่อสื่อสารแบบผิดปกติอย่างมีนัยยะกับ นายอะบูดิลล๊ะ ดอเลาะเจ๊ะแต"  เจ้าหน้าที่จึงได้สืบสวนติดตามและสามารถควบคุมตัวทั้ง 2 ราย ไว้เพื่อดำเนินกรรมวิธี ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างถูกควบคุม ณ ศพส.ศปก.ตร.สน. กกล.ตร.จชต. จะได้ดำเนินกรรมวิธีและดำเนินการสืบสวนสอบสวน ติดตามขยายผลต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ชะตากรรมใต้...โจรใต้ ผู้มีอิทธิพล ยาเสพติดเกี่ยวข้องไหม ?


ชบา สีขาว....
http://pulony.blogspot.com/2015/02/blog-post_12.html

         “ โจรใต้พวกบิดเบือนศาสนา พวกมีอิทธิพล ยาเสพติด เชื่อไหมว่าคือต้นเหตุความรุนแรงจนถึงทุกวันนี้...”

         ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกภาคส่วนต่างมีเป้าประสงค์เพื่อส่งเสริมและผนึกกำลังโดยเฉพาะพลังจากภาคประชาสังคม และพลังจากประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและร่วมกันอย่างจริงจังซึ่งในความร่วมมือนี้เองที่ฝ่ายความมั่นคงมองเห็น แต่ประชาชนตาดำๆทั้งไทยพุทธ และไทยมุสลิมในพื้นที่ต่างรู้แก่ใจดีว่านั่นคือการแก้ปัญหาในปัจจุบัน แต่ปัญหาที่หมักหมมกันมานาน นานจนลุกเป็นไฟนั่นคือการที่ผู้นำท้องถิ่นทรงอิทธิพลและมีการสืบทอดอำนาจกันอย่างเป็นระบบในเครือญาติ รวมถึงการเมืองระดับท้องถิ่นถึงระดับประเทศ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วว่าฐานเสียงส่วนใหญ่ของนักการเมืองในพื้นที่จังหวัดภาคใต้มาจากผู้ใหญ่บ้านและกำนัน หากผู้นำเหล่านี้ร่วมมือเป็นอย่างดีกับฝ่ายความมั่นคง พร้อมสนับสนุนอย่างจริงใจในการแก้ปัญหา ไม่เกรงกลัวการข่มขู่จากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง มีจิตสำนึกของความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่อยู่ใกล้ชิดชาวบ้านที่สุด ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่หมู่บ้านและตำบลนั้นคงเงียบสงบ ประชาชนนอนหลับอย่างเป็นสุข




            แต่ก็อีกนั่นแหละทุกชีวิตย่อมกลัวตายเป็นธรรมดา เพราะฝ่ายกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงใช้การข่มขู่ ทำร้าย หรือสังหารผู้ที่ร่วมมือกับรัฐ ทำให้ผู้นำท้องถิ่นอยู่ในความหวาดกลัว หากให้ความร่วมมือกับรัฐ ซึ่งก็น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ที่จะยอมรับไม่ได้ คือการสร้างอิทธิพล และสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงโดยหวังผลประโยชน์ในการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง ธุรกิจเถื่อน ผลผลิตทางการเกษตรรวมถึงการขยายที่ดินและยาเสพติด โดยผู้นำท้องถิ่นเหล่านี้มีอำนาจ อิทธิพลล้นเหลือในพื้นที่ ทั้งยังสามารถควบคุมพื้นที่ของตนไม่ให้มีเหตุร้ายได้ แต่หากใครมาขวางทางการค้ายาเสพติด แจ้งข่าวสารให้รัฐ มักถูกฆ่าโดยโยนความผิดให้เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคง หรือที่รู้กันดีว่าเลี้ยงโจรไว้ใช้งาน ตื้นลึกหนาบางของเครือข่ายยาเสพติด ผู้ทรงอิทธิพล ผู้ก่อเหตุรุนแรง ชาวบ้านตาดำๆต่างรู้ดีนี่คือปัญหาที่ต้องสะสาง

           ในเงามืดของเหตุการณ์ความไม่สงบที่ผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ซุกปีกของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงอย่างขบวนการ BRN หรือแทรกตัวอยู่ในกลุ่มองค์กรต่างๆ

             ผู้มีอิทธิพลพวกนี้... ทำร้ายพี่น้องมุสลิมมาลายูด้วยกันเอง ซึ่งสิ่งที่ชาวบ้านหวาดกลัวที่สุดคือ ยาเสพติด ที่คืบเข้าหาตัวลูกหลานในบ้าน ในโรงเรียน ในชุมชน ซึ่งแม้แต่อิหม่ามเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเดี่ยวนี้ลูกหลานของเขาไม่เข้ามัสยิดแล้ว แต่กลับไปมั่วสุมกันเพื่อเสพยาเสพติด และกลายเป็นช่องทางที่บรรดาเหล่าโจรใต้ที่บิดเบือนศาสนาได้อาศัยโอกาสนี้ชี้นำลูกหลานเยาวชนเหล่านั้นเข้ามาร่วมขบวนการ โดยแลกกับยาเสพติดและคำยกย่องชมเชย พร้อมบิดเบือนว่าดีได้ขึ้นสวรรค์ พระเจ้าทรงยินดีต่อการกระทำนี้


          ที่ผ่านมา... ภาครัฐมองการแก้ปัญหาตามแนวทางของภาครัฐ ซึ่งเชื่อว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่เราในฐานะชาวบ้านผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ เกิดและจะตายที่นี้มองว่า “โจรใต้พวกบิดเบือนศาสนา พวกมีอิทธิพล ยาเสพติด คือต้นเหตุความรุนแรงตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้...”

          ผมและประชาชนทั้งพี่น้องไทยพุทธ พี่น้องไทยมุสลิมเชื่อน่ะว่า หากทุกภาคส่วนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะผู้นำศาสนา อิหม่าม และประชาชน ยังปล่อยให้กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงเคลื่อนไหวได้อย่างเสรีในหมู่บ้านของตนเอง และให้ขบวนการค้ายาเสพติดพึ่งประโยชน์ซ่อนตัวในเงามืดของขบวนการก่อเหตุรุนแรง ก็พึงรู้ได้เลยว่าคนมาลายูผู้เป็นพ่อ แม่ ต้องมานั่งสูญเสียน้ำตาจากการที่ลูกต้องตกเป็นทาสของยาเสพติด สุดท้ายเข้าสู่วังวนของขบวนการผู้ก่อเหตุรุนแรงแล้วเมื่อไรล่ะที่แผ่นดินปลายด้ามขวนผืนนี้จะสงบ สันติ เสียที ถ้ายังปล่อยให้คนชั่วลอยนวล อยากบอกว่าการแก้ปัญหา “ชะตากรรมใต้”

         ต้องเร่งแก้ไข ป้องกัน และปราบปราม “โจรใต้ที่มักบิดเบือนหลักศาสนา ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ยาเสพติดทุกประเภท”

--------------------------

ภรรยา ‘อันวาร์’ ร้อนตัวเมื่อเจ้าหน้าที่เชิญน้องชายมาซักถาม

ลมหายใจที่ปลายด้ามขวาน

ภรรยา ‘อันวาร์’ ร้อนตัวเมื่อเจ้าหน้าที่เชิญน้องชายมาซักถาม

            น.ส.รอมละห์ แซเยะ ภรรยาของนายมูฮัมมัดอัณวัร หะยีเต๊ะ (อันวาร์) ที่ถูกจำคุกในข้อหาคดีความมั่นคงที่เรือนจำจังหวัดปัตตานี อ้างว่า เมื่อ 9 ก.พ.58 ตนเองได้เดินทางไปรับตัวนายซุลกิฟลี แซเยะ (น้องชาย) ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.นราธิวาส ๓๒ เชิญตัว ตามกฎอัยการศึก และถูกส่งไปกักตัวที่ ค่ายจุฬาภรณ์ อ.เมือง จ.นราธิวาส เพื่อสอบถามข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อทางราชการ ตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก แม้ว่าน้องชายของตนเองจะปลอดภัย แต่จะถูกเชิญตัวอีกเมื่อไหร่ไม่รู้ ไม่มีใครรับรองได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัว ทำให้ไม่มีความเชื่อมั่นกับคำพูดของทหาร

          เจ้าหน้าที่ได้ได้ปฏิบัติภายใต้กรอบของกฎหมาย โดยใช้กฎหมายพิเศษในการเชิญตัวบุคคลต้องสงสัย ซึ่งไม่ได้เป็นการเหวี่ยงแหในการเชิญตัว หรือโดยวิธีการกลั่นแกล้งเจาะจงต่อคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ ก่อนที่จะมีการเชิญตัวหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องมีข้อมูลความเชื่อมโยงที่รัดกุมพอสมควร มิฉะนั้นแล้วจะขาดความน่าเชื่อถือ และเมื่อเข้าสู่กระบวนการซักถามไม่ได้มีการบีบบังคับขู่เข็ญ ซ้อมทรมานแต่ประการใด ที่สำคัญเมื่อพิสูจน์แล้วว่าบุคคลผู้นั้นไม่มีความผิดและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการ หรือมีความเชื่อมโยงในการก่อเหตุ ก็จะได้รับการปล่อยตัว

          การที่ น.ส.รอมละห์ แซเยะ ภรรยาของนายมูฮัมมัดอัณวัร หะยีเต๊ะ (อันวาร์) ได้ออกมากล่าวอ้างไม่เชื่อมั่นคำพูดของทหารนั้น ใช้ความเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อดิสเครดิตต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งนายซุลกิฟลีฯ เป็นน้องชายของตนเองในเมื่อบริสุทธิ์ไม่ได้กระทำความผิดใด ๆ ก็อย่าเพิ่งร้อนตัว...มิฉะนั้นแล้วต่อไปหากยังเป็นอยู่เช่นนี้ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเตะต้องใครได้อีกมีแต่เรียกร้องขอความเป็นธรรม กล่าวหามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่มีที่สิ้นสุด...แล้วจะแก้ปัญหาให้สงบได้อย่างไรกัน!!!

รายได้ของเรามาจาก CKP ไม่ได้มาจากอัลลอฮฺ”


          มาตรการใหม่ของทางการจีนในการควบคุมเสรีภาพทางศาสนาของประเทศจีนต่อเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เมื่อทางการจีนออกคำสั่งให้อิหม่ามต้องออกมาเต้นประกอบเพลงบนถนน และต้องสาบานว่าจะไม่สอนศาสนาให้กับเด็กๆ

         สำนักข่าว World Bulletin ของตุรกีรายงานเมื่อวันจันทร์ที่(9 กุมภาพันธ์)ผ่านมาว่า เหล่าบรรดาอิหม่ามที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางการจีนถูกบังคับให้ออกมาร่วมกิจกรรมที่เรียกว่าที่ว่า “รายได้ของเรามาจาก CKP ไม่ได้มาจากอัลลอฮฺ”

         สือของทางการจีนรายงานว่า อิหม่ามที่ได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลจีนถูกนำตัวมารวมกันบนถนน แล้วบังคับให้เต้นประกอบเพลงที่เป็นคำขวัญสนับสนุนรัฐบาลจีน  คำขวัญดังกล่าวรวมถึงการยกย่องความสำคัญของประเทศชาติ เหนือความสำคัญของศาสนาเช่น ‘ความสงบสุขของประเทศเป็นที่มาของความสงบสุขในจิตวิญญาณ’  บรรดาอิหม่ามเหล่านี้ยังถูกบังคับให้สาบานว่า จะทำให้เยาวชนออกห่างจากมัสยิด และสถานที่ละหมาดซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพวกเขา และจะเชิญชวนพวกเขาสู้การเต้นประกอบเพลงเพื่อสุขภาพแทน

           ขณะที่ครูสอนศาสนาที่เป็นสตรี ถูกสั่งให้สอนเด็กๆให้ออกห่างจากการเรียนรู้เรื่องศาสนา และยังถูกบังคับให้สาบานว่าพวกเขาจะทำให้เด็กห่างไกลจากศาสนา  ชาวมุสลิมอุยกูร์เป็นชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษาเติร์ก มีจำนวนสูงถึง 8 ล้านคน อยู่ในภูมิภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน  ซินเจียงซึ่งเรียกร้องเอกราชในการก่อตั้งรัฐ Turkestan ตั้งแต่ 1955 แต่ยังคงถูกปราบปรามอย่างหนักจากทางการจีน กลุ่มสิทธิมนุษยชนกล่าวว่าทางการจีนใช้ข้อ้างเรื่องการก่อการร้ายในการเดินหน้าริดรอนสิทธิทางศาสนาของชาวมุสลิมอุยกูร์

           เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาซินเจียงห้ามปฏิบัติศาสนกิจในสถานที่ราชการ และห้ามสวมใส่เสื้อผ้าที่มีสัญลักษณ์หรือแสดงออกถึงความเชื่อทางศาสนา  นอกจากนี้ในเดือนสิงหาคมในเมือง Karamay ทางตอนเหนือของซินเจียง ผู้ชายที่มีเครา และผู้หญิงที่สวมบุรเกาะถูกห้ามขึ้นรถโดยสารสาธารณะ  ขณะที่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทางการจีนได้มีคำสั่งห้ามนักศึกษาและบุคลากรภาครัฐจากการถือศีลอดในเดือนรอมฎอน ขณะที่เจ้าหน้าที่ทางการจีนได้ออกรณรงค์ให้ชาวบ้านในเขตซินเจียงเลิกการคลุมฮิญาบ

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บทพิสูจน์“ปอเนาะสีเทา”(ภาค 2)


โดย : ‘อิมรอน’  http://pulony.blogspot.com/2015/02/2.html

             ยังไม่ทันก้าวข้ามครบรอบขวบปีกับสิ่งดีๆ ที่ทุกคนต่างชื่นชมมาวันนี้บทพิสูจน์ “ปอเนาะสีเทา” เรื่องสั้นรางวัลชมเชยกับโครงการ “เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา ประจำปี 2557” โดยกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเขียนโดย อับดุลเลาะ วันอะฮ์หมัด เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าโชยมา...งามหน้ามั๊ยล่ะท่าน!! 

           ไม่สมราคาเลยกับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ได้รับมา..ในเมื่อความจริงเรื่องราวในพื้นที่มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับงานเขียน...

         9 มกราคม 2558 เจ้าหน้าที่ได้ทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้านหลังหนึ่ง บริเวณโรงเรียนยุวอิสลาม บ้านน้ำใส ต.ลุโบะยิไร อ.มายอ จ.ปัตตานี โดยเป็นการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี ได้สนธิกำลังร่วมอีกหลายฝ่าย เหตุการณ์นี้ส่งผลให้โจรใต้ฟาตอนีเสียชีวิต 3 ราย อาศัยความชุลมุนเล็ดลอดหลบหนีไปได้ 2 ราย และสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้อีก 3 ราย นำตัวไปทำการซักถามขยายผล

         ก่อนหน้านั้นได้มีข่าวร่ำลือกันหนาหูว่าโรงเรียนสอนศาสนาเป็นแหล่งบ่มเพาะของกลุ่มขบวนการโจรใต้ แต่ได้มีการตอบโต้กลับมาจากแนวร่วมเครือข่ายว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้ปล่อยข่าวเพื่อต้องการใส่ร้าย ป้ายสี มุ่งทำลายสถาบันสอนศาสนาของพี่น้องมลายูปาตานี

         หลังจากการรวบรวมหลักฐานแน่นหนา เจ้าหน้าที่ได้ทำการเข้าตรวจสอบปอเนาะเป้าหมาย ถึงกับอึ้ง!! พบอุปกรณ์ประกอบระเบิด ชุดวงจรไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เอกสารเชื่อมโยงการก่อเหตุ เอกสารขั้นตอนสู่ความสำเร็จ แผนบันได 7 ขั้นสู่ความสำเร็จ ซึ่งเนื้อหาเป็นแผนงานการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนปาตานี รวมไปถึงหนังสือประวัติศาสตร์ และการต่อสู้ของรัฐปัตตานีภาษามลายู การดำเนินการสั่งปิดโรงเรียนปอเนาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการดังกล่าวจึงเกิดขึ้น หลังจากการเข้าทำการตรวจค้นจำนวน 2 โรง คือ 
  • โรงเรียนญิฮาดวิทยา หรือปอเนาะญิฮาด ตั้งอยู่ที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ถูกสั่งปิดเมื่อ 19 พฤษภาคม 2549 และ 
  • “ปอเนาะสะปอม” หรือ “โรงเรียนอิสลามบูรพา” หมู่ที่ 5 ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส ถูกสั่งปิดเมื่อ 5 กรกฎาคม 2550
        นั่นคือปฐมบท “ปอเนาะสีเทา” ความกังขาข้องใจของเจ้าหน้าที่ต่อโรงเรียนปอเนาะ หรือโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการโจรใต้ฟาตอนียังไม่จบ เนื่องจากข่าวสารความเคลื่อนไหวในการใช้สถานศึกษาเหล่านี้เป็นแหล่งปลุกระดม ซ่องสุมกำลัง ซุกซ่อนอาวุธปืน และใช้สถานศึกษาเป็นแหล่งกบดานของ ผกร. ยังมีข่าวความเคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่อง




             การปลูกฝังแนวความคิดบิดเบือนประวัติศาสตร์ การปลุกกระแสความรักชาติปาตานี ในลักษณะบิดเบือนภายในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม หรือโรงเรียนปอเนาะ ตาดีกา เพื่อให้เยาวชนมุสลิมมีความเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ และชาวไทยพุทธยังคงดำเนินต่อไป จากหลักฐานที่ได้จากการเปิดเผยของอาจารย์ท่านหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ-นามสกุล เพื่อความปลอดภัย) ของศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา)บุกอาตุนนูร บ้านควนหรัน ม.2 ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัว นายซอบรี หลำโสะ เจ๊ะฆูของศูนย์การศึกษาดังกล่าว ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจเยี่ยมศูนย์ฯ และได้บันทึกการตรวจเยี่ยมลงในสมุด พบข้อความที่แสดงถึงความไม่พอใจในการควบคุมตัว นายซอบรีฯ ซึ่งได้เขียนต่อจากบันทึกการตรวจเยี่ยมของ พ.อ.พิเชษฐ์ ชุติเดโช ว่า “เอาครูไปด้วยโดยไม่มีเหตุผลใดๆ คราวหน้าไม่ต้องมาก็ได้นะเกรงใจ”



            การแสดงออกของนักเรียนสถาบันปอเนาะที่ก้าวร้าว เกลียดชังต่อคนต่างศาสนาซึ่งแน่นอนเด็กนักเรียนเหล่านี้เป็นผ้าขาว ย่อมถูกระบายสีเทาจากเจ๊ะฆู, โต๊ะครู และอุสตาซ วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าเด็กเหล่านี้ได้ซึมซับและถูกฝังชิปความเกลียดชังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเช่นสถาบันศึกษาปอเนาะมะหัดดารุล มูฮายีรีน บ้านสวนซิก ม.4 (บ้านย่อยบ้านบละแต) ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ จ.นราธิวาส มีการขีดเขียนข้อความด้วยปากกาที่โต๊ะภายในห้องเรียน, ห้องละหมาด ข้อความว่า “กูเป็นนักรบฟาตอนี, กูฟาตอนี, RKK, กูรักฟาตอนีไปอยู่ฟาตอนีไลปีๆ”ฯลฯ

          ตัวอย่างของการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ความมีอคติ ความเกลียดชังจนนำไปสู่การสูญเสีย แล้วบิดเบือนความจริงใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐยังคงมีให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง อย่างกรณีตัวอย่างสดๆ ร้อนๆ เพิ่งผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา

         เมื่อ 5 ก.พ.58 เวลา 02.00 น. นายหนึ่ง ทองพูลดี (ไทยมุสลิม) อายุ 38 ปี บ้านเลขที่ 1/1 ม.2 ต.ปะกาฮะรัง อ.เมือง จ.ปัตตานี ได้บุกเข้า รร.มูฮัมมาดียะห์ 124 ม.4 ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี (โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา) และได้ทำการลักทรัพย์ ได้มาจำนวน 3 รายการ คือ กล้องถ่ายรูป, กระเป๋า และเงินสดจำนวนหนึ่ง

         ในขณะที่นายหนึ่งฯ กำลังหลบหนีออกจากบริเวณที่พักนักเรียนหญิง เด็กนักเรียนชายได้เข้ามารุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ต่อมานายหนึ่งฯ ได้ถูกนำตัวไปรักษาที่ รพ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี แต่เกินขีดความสามารถแพทย์จึงได้ทำการส่งต่อไปทำการรักษาตัว ณ รพ.ศูนย์ยะลา แต่นายหนึ่งฯ อาการสาหัสมากแพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ด้วยอาการเลือดคั่งในสมองจากการถูกรุมทำร้าย กลับกลายเป็น “มุสลิมทำร้ายมุสลิม”

        หลังจากนั้นกลุ่มขบวนการได้สร้างความเข้าใจผิด เดินหน้าปลุกปั่น สร้างความเกลียดชังและโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่รัฐ ผ่านเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ จนมีการแชร์ต่ออย่างกระหน่ำ ด้วยภาพและข้อความ

        “เมื่อเวลา 02.00 ของคืนวันที่ 5/2/58 รับแจ้งจากโต๊ะปาเกปอเนาะ กับชาวบ้านในพื้นที่! ว่าทหารพรานบุกเข้าในหอหญิงของปอเนาะ มะดาแฆ (แต่ข่าวเงียบ) ข่าวที่ไม่ออกและข่าวที่รัฐอาณานิคมแห่งโจรสยามไม่กล้าออกมาเปิดเผย หตุเมื่อคืน 5/2/58 เวลาประมาณ 02.00 น. มีผู้บุกรุกเข้าไปในหอพักหญิงในปอเนาะมะดาแฆ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ ปาตานี แต่โต๊ะปาเกที่เป็นชายจับได้เลยโดนซ้อมจนน่วมเลย ทราบต่อมาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแห่งโจรสยาม (ทหารพราน) เข้าไปทำอะไร ขโมยหรือเข้าไปเพื่อปลุกปล้ำ..ในปอเนาะหญิงไม่ใช่ที่ฝึกทหาร”


         เมื่อ 7 ก.พ.58 นางคอลีเยาะ หะหลี ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 28 เมษายน ปี 2547 และแกนนำสตรีเรียกร้องสันติภาพจาก ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ได้กล่าวฝากให้ทุกส่วนทำความเข้าใจกับเรื่องดังกล่าว เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นฝีมือเจ้าหน้าที่ทหารตามที่ได้มีการบิดเบือนกันในเครือข่ายสังคมออนไลน์ และการสร้างกระแสข่าวลือเพื่อสร้างความเกลียดชังให้กับเจ้าหน้าที่ทหาร อยากให้ทุกคนเข้าใจค่ะ...“แต่เป็นไทยมุสลิมด้วยกันเอง...ไทยมุสลิมทำร้ายไทยมุสลิม...แล้วโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่”

         กระแสตอนนี้ทุกคนเอาแต่โทษทหาร โยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ทหาร ทหารเลวทั้งที่ความเป็นจริงไม่ใช่ทหาร แต่เป็นพี่น้องคนไทยมุสลิมด้วยกันเอง มันไม่ยุติธรรมนะค่ะ หรือว่านี่คือผลพลอยได้ในการสร้างความเกลียดชังให้กับเจ้าหน้าที่โดยอาศัยความตายของนายหนึ่งฯ ฝากด้วยค่ะ ใครผิดต้องยอมรับความผิด

       และที่แย่ไปกว่านั้น ทหารเข้าไปในปอเนาะนักเรียนด่าเจ้าหน้าที่ทหารต่างๆ นาๆ ซึ่งหลักศาสนาอิสลามไม่เคยสอนให้ใครพูดจาไม่ดีกับบุคคลอื่น ไม่สอนให้คนเกลียดชังกัน แต่เวลานี้เด็กๆ กำลังหลงทางเพราะการบิดเบือนความจริง ผู้บริหารโรงเรียนไม่กล้าเปิดเผยความจริง และทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน ทุกข์ใจกับปัญหาที่ไม่ได้ก่อ เรียกร้องไปยังอุซตาซ, ครู และ ผอ.รร.มูฮัมมาดียะห์ รีบออกมาทำความเข้าใจกับเด็กนักเรียน และประชาชนทั่วไปเสียที และให้ยอมรับความจริง ไม่ควรบิดเบือนความจริง อย่าทำให้ศาสนาต้องเสื่อมเสีย อัลลอฮ์ไม่สนับสนุนให้ผู้นับถือศาสนาให้กระทำเช่นนี้ ขอให้รีบดำเนินการ ก่อนทุกอย่างจะบานปลาย สายเกินแก้...

       นั่นคือผลิตผลของปอเนาะที่ครู, อุสตาซได้อุตส่าห์ประคบประหงมบ่มเพาะมากับมือ ผู้เขียนและบุคคลภายนอกไม่สามารถก้าวล่วงหรอกนะว่าโรงเรียนได้สอนอะไรบ้างให้กับนักเรียนเหล่านี้ แต่ดอกผลปอเนาะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ในสายตาประชาชนทั่วไป

        ฝากไปยังผู้บริหารสถาบันปอเนาะทุกแห่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วยกันหาวิธีป้องกันดูแล อย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก นักเรียนใช้ความรุนแรง ผู้บริหารไม่กล้าพูดความจริง มีการบิดเบือนข้อมูล รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงการใช้ปอเนาะเป็นแหล่งพักพิง แหล่งซ่องสุมกำลัง ประกอบวัตถุระเบิดและซุกซ่อนอาวุธของ ผกร. มิเช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบ และนำไปสู่การเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการ สุดท้ายจะไม่มีผู้ปกครองคนไหนไว้วางใจฝากลูกหลานให้ไปอยู่กับปอเนาะของท่านอีก เพราะมีความสุ่มเสี่ยงชักนำให้เป็นสมาชิก RKK ผู้เขียนขอเรียกร้องฝ่ายรัฐให้รีบดำเนินการตรวจสอบสถาบันปอเนาะที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐานให้ทบทวนตัวเอง และพัฒนาปอเนาะให้เป็นสถาบันที่ดีน่าศึกษา

ต่อไป...อย่าให้กลายเป็นแดนลี้ลับตรวจสอบไม่ได้เป็นช่องว่างให้กลุ่มขบวนการใช้ประโยชน์อีกเลย...

-----------------------

วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เครือข่ายส่งเสริมสิทธิโจรฟาตอนี



           เมื่อ 5 ก.พ.58 องค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี (HAP) ร่วมกับกลุ่มเครือข่ายสตรีผู้ได้รับผลกระทบปาตานี (Jawani) ลงพื้นที่ บ.กูวิง ม.6 ต.บาโร๊ะ อ.ยะหา จ.ยะลา เพื่อเยี่ยมเยียนเยียวยาครอบครัว และร่วมงานครบรอบ 7 วัน การเสียชีวิตของนายสะอูดี สตาปอ สมาชิก ผกร. ซึ่งเสียชีวิตจากการปฏิบัติการเชิงรุกของเจ้าหน้าที่ เมื่อ 30 ม.ค.58 นอกจากนี้ เมื่อ 2 ก.พ.58 กลุ่มดังกล่าวได้นำตัวแทนองค์กรสิทธิมนุษยชน Bruce Van Voorhis Interfaith Cooperation Forum (ICF) จาก สปป.ลาว, เมียนมาร์, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, ฮ่องกง, ฟิลิปปินส์, ศรีลังกา, ติมอร์เลสเต และ สหรัฐอเมริกา ลงพื้นที่เยียวยา อ.กาบัง จ.ยะลา

         ส่วน นายอิสมาแอ เต๊ะ ประธานองค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี (HAP) ระบุ เตรียมเปิดองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน “เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจาก พรก.ฉุกเฉิน (JARINGAN MANGSA DARI UNDANG-UNDANG DA-RURAT : JASAD)” ซึ่งนายตูแวดานียา ตูแวแมแง ผอ.สำนักปาตานีรายาเพื่อสันติภาพและการพัฒนา (LEMPAR) เห็นด้วยกับการเปิดเครือข่ายดังกล่าว เพื่อชี้ให้เห็นว่าชาวปาตานียังมีความเข้มแข็งที่จะปกป้องจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน

        น่าแปลกใจทำไมองค์กรเหล่านี้จึงให้ความสำคัญกับ ผกร. เรียกร้องความยุติธรรม เยี่ยมเยียนเยียวยาครอบครัว เสมือนหนึ่งโจรใต้เหล่านี้ได้สร้างคุณงามความดีต่อพี่น้องประชาชนปาตานี ในหลักของมนุษยชนแอดมินเห็นด้วยที่ควรมีน้ำใจต่อญาติผู้เสียชีวิตที่ไม่ได้รู้เรื่องด้วย แต่ที่องค์กรเหล่านี้เคลื่อนไหวอยู่เปรียบเสมือนเจ้าหน้าที่รัฐมีความผิดที่เกิดการปะทะจนกระทั่ง ผกร.เสียชีวิต

        อย่าลืมว่า ผกร.ที่เสียชีวิต มีความชั่วคดีติดตัวมากมาย เคยทำการก่อเหตุเข่นฆ่าคนตาย กี่ชีวิตต้องมาดับด้วยน้ำมือของโจรชั่ว กี่ชีวิตต้องได้รับบาดเจ็บ และกี่ครอบครัวที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ

           อยากฝากถามไปยังนายอิสมาแอ เต๊ะ ประธานองค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี (HAP)
  • คุณเคลื่อนไหวเพื่อใคร? 
  • เพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่..? 
        ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตพวกคุณเคยโผล่หน้าออกมาบ้างไหม..

        และฝากให้ไปเปลี่ยนชื่อองค์กรใหม่นะ..
       อย่าใช้ชื่อองค์กรเครือข่ายสิทธิมนุษยชนเลย...
       ไปเปลี่ยนเป็น 
     ..เครือข่ายส่งเสริมสิทธิโจรใต้ ดีกว่ามั๊ย!!!!!
Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม