วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บทพิสูจน์“ปอเนาะสีเทา”(ภาค 2)


โดย : ‘อิมรอน’  http://pulony.blogspot.com/2015/02/2.html

             ยังไม่ทันก้าวข้ามครบรอบขวบปีกับสิ่งดีๆ ที่ทุกคนต่างชื่นชมมาวันนี้บทพิสูจน์ “ปอเนาะสีเทา” เรื่องสั้นรางวัลชมเชยกับโครงการ “เรื่องดีๆ ที่บ้านเรา ประจำปี 2557” โดยกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเขียนโดย อับดุลเลาะ วันอะฮ์หมัด เริ่มส่งกลิ่นเหม็นเน่าโชยมา...งามหน้ามั๊ยล่ะท่าน!! 

           ไม่สมราคาเลยกับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ได้รับมา..ในเมื่อความจริงเรื่องราวในพื้นที่มันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับงานเขียน...

         9 มกราคม 2558 เจ้าหน้าที่ได้ทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้านหลังหนึ่ง บริเวณโรงเรียนยุวอิสลาม บ้านน้ำใส ต.ลุโบะยิไร อ.มายอ จ.ปัตตานี โดยเป็นการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี ได้สนธิกำลังร่วมอีกหลายฝ่าย เหตุการณ์นี้ส่งผลให้โจรใต้ฟาตอนีเสียชีวิต 3 ราย อาศัยความชุลมุนเล็ดลอดหลบหนีไปได้ 2 ราย และสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้อีก 3 ราย นำตัวไปทำการซักถามขยายผล

         ก่อนหน้านั้นได้มีข่าวร่ำลือกันหนาหูว่าโรงเรียนสอนศาสนาเป็นแหล่งบ่มเพาะของกลุ่มขบวนการโจรใต้ แต่ได้มีการตอบโต้กลับมาจากแนวร่วมเครือข่ายว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้ปล่อยข่าวเพื่อต้องการใส่ร้าย ป้ายสี มุ่งทำลายสถาบันสอนศาสนาของพี่น้องมลายูปาตานี

         หลังจากการรวบรวมหลักฐานแน่นหนา เจ้าหน้าที่ได้ทำการเข้าตรวจสอบปอเนาะเป้าหมาย ถึงกับอึ้ง!! พบอุปกรณ์ประกอบระเบิด ชุดวงจรไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เอกสารเชื่อมโยงการก่อเหตุ เอกสารขั้นตอนสู่ความสำเร็จ แผนบันได 7 ขั้นสู่ความสำเร็จ ซึ่งเนื้อหาเป็นแผนงานการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนปาตานี รวมไปถึงหนังสือประวัติศาสตร์ และการต่อสู้ของรัฐปัตตานีภาษามลายู การดำเนินการสั่งปิดโรงเรียนปอเนาะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการดังกล่าวจึงเกิดขึ้น หลังจากการเข้าทำการตรวจค้นจำนวน 2 โรง คือ 
  • โรงเรียนญิฮาดวิทยา หรือปอเนาะญิฮาด ตั้งอยู่ที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ถูกสั่งปิดเมื่อ 19 พฤษภาคม 2549 และ 
  • “ปอเนาะสะปอม” หรือ “โรงเรียนอิสลามบูรพา” หมู่ที่ 5 ต.กะลุวอเหนือ อ.เมือง จ.นราธิวาส ถูกสั่งปิดเมื่อ 5 กรกฎาคม 2550
        นั่นคือปฐมบท “ปอเนาะสีเทา” ความกังขาข้องใจของเจ้าหน้าที่ต่อโรงเรียนปอเนาะ หรือโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการโจรใต้ฟาตอนียังไม่จบ เนื่องจากข่าวสารความเคลื่อนไหวในการใช้สถานศึกษาเหล่านี้เป็นแหล่งปลุกระดม ซ่องสุมกำลัง ซุกซ่อนอาวุธปืน และใช้สถานศึกษาเป็นแหล่งกบดานของ ผกร. ยังมีข่าวความเคลื่อนไหวอยู่อย่างต่อเนื่อง




             การปลูกฝังแนวความคิดบิดเบือนประวัติศาสตร์ การปลุกกระแสความรักชาติปาตานี ในลักษณะบิดเบือนภายในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม หรือโรงเรียนปอเนาะ ตาดีกา เพื่อให้เยาวชนมุสลิมมีความเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ และชาวไทยพุทธยังคงดำเนินต่อไป จากหลักฐานที่ได้จากการเปิดเผยของอาจารย์ท่านหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ-นามสกุล เพื่อความปลอดภัย) ของศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาดีกา)บุกอาตุนนูร บ้านควนหรัน ม.2 ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ซึ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ได้จับกุมตัว นายซอบรี หลำโสะ เจ๊ะฆูของศูนย์การศึกษาดังกล่าว ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจเยี่ยมศูนย์ฯ และได้บันทึกการตรวจเยี่ยมลงในสมุด พบข้อความที่แสดงถึงความไม่พอใจในการควบคุมตัว นายซอบรีฯ ซึ่งได้เขียนต่อจากบันทึกการตรวจเยี่ยมของ พ.อ.พิเชษฐ์ ชุติเดโช ว่า “เอาครูไปด้วยโดยไม่มีเหตุผลใดๆ คราวหน้าไม่ต้องมาก็ได้นะเกรงใจ”



            การแสดงออกของนักเรียนสถาบันปอเนาะที่ก้าวร้าว เกลียดชังต่อคนต่างศาสนาซึ่งแน่นอนเด็กนักเรียนเหล่านี้เป็นผ้าขาว ย่อมถูกระบายสีเทาจากเจ๊ะฆู, โต๊ะครู และอุสตาซ วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าเด็กเหล่านี้ได้ซึมซับและถูกฝังชิปความเกลียดชังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเช่นสถาบันศึกษาปอเนาะมะหัดดารุล มูฮายีรีน บ้านสวนซิก ม.4 (บ้านย่อยบ้านบละแต) ต.บาโงสะโต อ.ระแงะ จ.นราธิวาส มีการขีดเขียนข้อความด้วยปากกาที่โต๊ะภายในห้องเรียน, ห้องละหมาด ข้อความว่า “กูเป็นนักรบฟาตอนี, กูฟาตอนี, RKK, กูรักฟาตอนีไปอยู่ฟาตอนีไลปีๆ”ฯลฯ

          ตัวอย่างของการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ความมีอคติ ความเกลียดชังจนนำไปสู่การสูญเสีย แล้วบิดเบือนความจริงใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐยังคงมีให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง อย่างกรณีตัวอย่างสดๆ ร้อนๆ เพิ่งผ่านพ้นไปเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา

         เมื่อ 5 ก.พ.58 เวลา 02.00 น. นายหนึ่ง ทองพูลดี (ไทยมุสลิม) อายุ 38 ปี บ้านเลขที่ 1/1 ม.2 ต.ปะกาฮะรัง อ.เมือง จ.ปัตตานี ได้บุกเข้า รร.มูฮัมมาดียะห์ 124 ม.4 ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี (โรงเรียนเอกชนสอนศาสนา) และได้ทำการลักทรัพย์ ได้มาจำนวน 3 รายการ คือ กล้องถ่ายรูป, กระเป๋า และเงินสดจำนวนหนึ่ง

         ในขณะที่นายหนึ่งฯ กำลังหลบหนีออกจากบริเวณที่พักนักเรียนหญิง เด็กนักเรียนชายได้เข้ามารุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ต่อมานายหนึ่งฯ ได้ถูกนำตัวไปรักษาที่ รพ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี แต่เกินขีดความสามารถแพทย์จึงได้ทำการส่งต่อไปทำการรักษาตัว ณ รพ.ศูนย์ยะลา แต่นายหนึ่งฯ อาการสาหัสมากแพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้ และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ด้วยอาการเลือดคั่งในสมองจากการถูกรุมทำร้าย กลับกลายเป็น “มุสลิมทำร้ายมุสลิม”

        หลังจากนั้นกลุ่มขบวนการได้สร้างความเข้าใจผิด เดินหน้าปลุกปั่น สร้างความเกลียดชังและโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่รัฐ ผ่านเว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ จนมีการแชร์ต่ออย่างกระหน่ำ ด้วยภาพและข้อความ

        “เมื่อเวลา 02.00 ของคืนวันที่ 5/2/58 รับแจ้งจากโต๊ะปาเกปอเนาะ กับชาวบ้านในพื้นที่! ว่าทหารพรานบุกเข้าในหอหญิงของปอเนาะ มะดาแฆ (แต่ข่าวเงียบ) ข่าวที่ไม่ออกและข่าวที่รัฐอาณานิคมแห่งโจรสยามไม่กล้าออกมาเปิดเผย หตุเมื่อคืน 5/2/58 เวลาประมาณ 02.00 น. มีผู้บุกรุกเข้าไปในหอพักหญิงในปอเนาะมะดาแฆ ต.นาประดู่ อ.โคกโพธิ์ ปาตานี แต่โต๊ะปาเกที่เป็นชายจับได้เลยโดนซ้อมจนน่วมเลย ทราบต่อมาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแห่งโจรสยาม (ทหารพราน) เข้าไปทำอะไร ขโมยหรือเข้าไปเพื่อปลุกปล้ำ..ในปอเนาะหญิงไม่ใช่ที่ฝึกทหาร”


         เมื่อ 7 ก.พ.58 นางคอลีเยาะ หะหลี ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 28 เมษายน ปี 2547 และแกนนำสตรีเรียกร้องสันติภาพจาก ต.ควนโนรี อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ได้กล่าวฝากให้ทุกส่วนทำความเข้าใจกับเรื่องดังกล่าว เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นฝีมือเจ้าหน้าที่ทหารตามที่ได้มีการบิดเบือนกันในเครือข่ายสังคมออนไลน์ และการสร้างกระแสข่าวลือเพื่อสร้างความเกลียดชังให้กับเจ้าหน้าที่ทหาร อยากให้ทุกคนเข้าใจค่ะ...“แต่เป็นไทยมุสลิมด้วยกันเอง...ไทยมุสลิมทำร้ายไทยมุสลิม...แล้วโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่”

         กระแสตอนนี้ทุกคนเอาแต่โทษทหาร โยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ทหาร ทหารเลวทั้งที่ความเป็นจริงไม่ใช่ทหาร แต่เป็นพี่น้องคนไทยมุสลิมด้วยกันเอง มันไม่ยุติธรรมนะค่ะ หรือว่านี่คือผลพลอยได้ในการสร้างความเกลียดชังให้กับเจ้าหน้าที่โดยอาศัยความตายของนายหนึ่งฯ ฝากด้วยค่ะ ใครผิดต้องยอมรับความผิด

       และที่แย่ไปกว่านั้น ทหารเข้าไปในปอเนาะนักเรียนด่าเจ้าหน้าที่ทหารต่างๆ นาๆ ซึ่งหลักศาสนาอิสลามไม่เคยสอนให้ใครพูดจาไม่ดีกับบุคคลอื่น ไม่สอนให้คนเกลียดชังกัน แต่เวลานี้เด็กๆ กำลังหลงทางเพราะการบิดเบือนความจริง ผู้บริหารโรงเรียนไม่กล้าเปิดเผยความจริง และทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อน ทุกข์ใจกับปัญหาที่ไม่ได้ก่อ เรียกร้องไปยังอุซตาซ, ครู และ ผอ.รร.มูฮัมมาดียะห์ รีบออกมาทำความเข้าใจกับเด็กนักเรียน และประชาชนทั่วไปเสียที และให้ยอมรับความจริง ไม่ควรบิดเบือนความจริง อย่าทำให้ศาสนาต้องเสื่อมเสีย อัลลอฮ์ไม่สนับสนุนให้ผู้นับถือศาสนาให้กระทำเช่นนี้ ขอให้รีบดำเนินการ ก่อนทุกอย่างจะบานปลาย สายเกินแก้...

       นั่นคือผลิตผลของปอเนาะที่ครู, อุสตาซได้อุตส่าห์ประคบประหงมบ่มเพาะมากับมือ ผู้เขียนและบุคคลภายนอกไม่สามารถก้าวล่วงหรอกนะว่าโรงเรียนได้สอนอะไรบ้างให้กับนักเรียนเหล่านี้ แต่ดอกผลปอเนาะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ในสายตาประชาชนทั่วไป

        ฝากไปยังผู้บริหารสถาบันปอเนาะทุกแห่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ช่วยกันหาวิธีป้องกันดูแล อย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก นักเรียนใช้ความรุนแรง ผู้บริหารไม่กล้าพูดความจริง มีการบิดเบือนข้อมูล รวมไปถึงการหลีกเลี่ยงการใช้ปอเนาะเป็นแหล่งพักพิง แหล่งซ่องสุมกำลัง ประกอบวัตถุระเบิดและซุกซ่อนอาวุธของ ผกร. มิเช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบ และนำไปสู่การเชื่อมโยงกับกลุ่มขบวนการ สุดท้ายจะไม่มีผู้ปกครองคนไหนไว้วางใจฝากลูกหลานให้ไปอยู่กับปอเนาะของท่านอีก เพราะมีความสุ่มเสี่ยงชักนำให้เป็นสมาชิก RKK ผู้เขียนขอเรียกร้องฝ่ายรัฐให้รีบดำเนินการตรวจสอบสถาบันปอเนาะที่ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐานให้ทบทวนตัวเอง และพัฒนาปอเนาะให้เป็นสถาบันที่ดีน่าศึกษา

ต่อไป...อย่าให้กลายเป็นแดนลี้ลับตรวจสอบไม่ได้เป็นช่องว่างให้กลุ่มขบวนการใช้ประโยชน์อีกเลย...

-----------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม