วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ลอบฆ่า ‘ครอบครัวมะมัน’ มหากาพย์ฆาตกรรมต่อเนื่องไทยพุทธ



โดย ‘อิมรอน’
http://pulony.blogspot.com/2015/02/blog-post_89.html?spref=fb

            เหตุการณ์คนร้ายบุกเข้ายิงนายเจ๊ะมุ มะมัน พร้อมครอบครัวขณะกลับจากมัสยิดทำให้ลูกชายเสียชีวิต 3 คน คือ ด.ช.อิลยาส มะมัน อายุ 6 ปี, ด.ช.บาฮารี มะมัน อายุ 9 ปี และ ด.ช.มูยาเฮด มะมัน อายุ 11 ปี ต้องสังเวยชีวิตให้กับคมกระสุน เมื่อค่ำคืนวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557 ทำให้เกิดการประณามที่พุ่งเป้าความสงสัยมายังเจ้าหน้าที่พร้อมเรียกร้องให้นำคนร้ายมาลงโทษโดยเร็ว

           ต่อมาเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2557 ครบรอบหนึ่งเดือนของการเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุได้จำนวน 2 ราย คือ อส.ทพ.มะมิง บินมามะ อายุ22 ปี และ อส.ทพ.ซากือระ เจ๊ะแซ อายุ 25 ปี บุคคลทั้งสองสังกัดหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 46 โดยเป็นการจับกุมตามหมายจับที่ จ.77 และ 78/2557 ลงวันที่ 1 มี.ค.57 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน และผู้ต้องหาได้ให้การยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุทำไปเพื่อเป็นการล้างแค้นจากเรื่องส่วนตัว (เนื่องจากปักใจเชื่อว่านายเจ๊ะมุฯ เป็นผู้ลงมือฆ่าพี่ชายของตนเองเสียชีวิต และพี่สะใภ้ขณะกำลังตั้งครรภ์ได้ 4 เดือน) และยังให้การต่อไปอีกว่าการกระทำในครั้งนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับหน่วยงานภาครัฐที่ตนเองสังกัดเป็นทหารพรานอยู่

           ภายหลังถูกจับกุมทหารพรานทั้งสองถูกปลดออกจากราชการ จึงกลายเป็น“อดีตทหารพราน”และไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว จึงถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจังหวัดนราธิวาสตลอดมา จนกระทั่งเมื่อวันจันทร์ที่ 26 ม.ค.58 หรือราว 11 เดือนหลังถูกจับกุมศาลจึงมีคำพิพากษา“ยกฟ้อง”

          เหตุผลที่ศาลยกฟ้อง คือ “ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าบุคคลทั้งสองเป็นคนฆ่า มีเพียงคำรับสารภาพของจำเลยเท่านั้น ส่วนภรรยาของผู้เสียหาย คือ น.ส.พาดีละ แมยู ก็ไม่สามารถจดจำใบหน้าของผู้ก่อเหตุได้”

         นั่นคือกระบวนการยุติธรรมในการนำผู้ที่กระทำความผิดมาลงโทษ แต่เป็นเพราะมูลเหตุศาลมีอันต้องยกฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองสืบเนื่องจากไม่มีประจักษ์พยานถึงแม้ผู้ต้องหาจะให้คำรับสารภาพก็ตามที และด้วยเหตุนี้เองได้ส่งแรงกระเพื่อมขึ้นระลอกใหม่ของกลุ่มองค์กรแนวร่วม โดยมีกลุ่มนักศึกษา PerMAS เป็นตัวตั้งตัวตีมีการออกแถลงการณ์เรียกร้องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งประกาศให้วันที่ 3 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็นวันเชิงสัญลักษณ์ “วันมนุษยธรรมปาตานี”

อดีตสองทหารพรานฆ่า 3 ศพ ‘ครอบครัวมะมัน’ มหากาพย์ฆาตกรรมต่อเนื่องไทยพุทธในเวลาต่อมา

            กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้อาศัยสถานการณ์ดังกล่าวแอบอ้างสร้างความชอบธรรมในการเข่นฆ่าผู้คนอย่างโหดเหี้ยมด้วยการสั่งสมาชิกแนวร่วมฆ่าแล้วจุดไฟเผาชาวไทยพุทธ ยิงพระและประชาชนที่มารอตักบาตรในยามเช้า แล้วมีการวางใบปลิวเป็นการแก้แค้นให้กับครอบครัวเจ๊ะมุฯ รวม 6 ชีวิตต้องสังเวยกับความชั่วร้ายของโจรใต้ฟาตอนีในครั้งนั้น ผู้เขียนขอรื้อฟื้นความทรงจำให้กับผู้อ่านถึงแม้จะหดหู่ใจต่อการกระทำดังกล่าวแต่เพื่อเป็นข้อมูลย้ำเตือนช่วยกันตัดสินว่าการที่กลุ่ม PerMASออกมาประกาศให้วันที่ 3 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น ‘วันมนุษยธรรมปาตานี’ มันสมควรแล้วหรือ?
            ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 9 ก.พ.57 ถัดจากวันเกิดเหตุกับครอบครัวมะมันได้หกวัน นางเบญจพร เกื้อทุ่ง ซึ่งมีสามีเป็นตำรวจถูกคนร้ายลอบยิงและจุดไฟเผากลางตลาดนัด เหตุเกิดในพื้นที่ ต.ราตาปันยัง อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี คนร้ายทิ้งข้อความไว้ว่า “นี่คือรางวัลของ 3 พี่น้องที่พวกมึงฆ่าและพวกกูจะฆ่าพวกมึงต่อไป ตราบใดที่พวกมึงยังอยู่ในแผ่นดินกู”

          อีกวันวันต่อมา นางสาวศยามล แซ่ลิ้ม พนักงานธนาคารกรุงเทพ สาขาปัตตานี ถูกดักยิงบนถนนสายหลักในอำเภอเดียวกัน ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์เพื่อกลับบ้าน ร่างของเธอถูกเผาพร้อมกับมีใบปลิวทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า “ถึง ผบ.ทบ.นี่ไม่ใช่ศพสุดท้ายสำหรับ 3 พี่น้อง”


        และที่หนักที่สุดคือเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2557 กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงได้กราดยิงชาวไทยพุทธขณะกำลังตักบาตร ส่งผลให้พระสงฆ์มรณภาพทันที และมีประชาชนเสียชีวิตรวม 4 รายด้วยกัน และได้รับบาดเจ็บจำนวน 8 ราย เหตุเกิดในพื้นที่สามแยกบ้านใหม่ ต.แม่ลาน อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี จากเหตุดังกล่าวได้สร้างความหวาดระแวงระหว่างชาวไทยพุทธ - มุสลิม และระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่อีกทั้งยังมีการปล่อยใบปลิวพร้อมข่าวลือที่เตือนให้คนมุสลิมระวังเจ้าหน้าที่ที่มีพฤติกรรมจะทำร้ายคนมุสลิมกระจายไปทั่ว ทำให้บรรยากาศแห่งความหวาดกลัวและความหวาดระแวงปกคลุมพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในครั้งนั้น

         การกราดยิงพระและพุทธศาสนิกชนที่มาตักบาตรจนกระทั่งมีการเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนหลายรายลักษณะการก่อเหตุมีความคล้ายคลึงกับสองเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น มีหลักฐานชี้ชัดว่าได้มีการราดน้ำมันเตรียมจุดไฟเผาพระสงฆ์และชาวบ้านที่เสียชีวิตเช่นกัน แต่ถูกยิงตอบโต้ กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงจึงต้องถอยหนีไปก่อน การฆาตกรรมในลักษณะนี้จึงมิได้เป็นเพียงการหมายเอาชีวิต แต่ต้องการสร้างให้เกิดความสะพรึงกลัวอีกด้วย

        การปฏิบัติการของกลุ่มผู้ก่อเหตุในการสร้างความแตกแยกและโยนความผิดให้กับเจ้าหน้าที่ น่าจะเป็นสูตรสำเร็จที่นำมาใช้ได้ผลแทบทุกครั้ง เช่นเดียวกับเหตุการณ์ยิงครอบครัวนายเจ๊ะมุฯ ซึ่งขบวนการแนวร่วมได้มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ เนื่องจากเป้าหมายเป็นคนมุสลิม และคนร้ายแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธสงครามอีกทั้งการก่อเหตุอย่างโหดเหี้ยมราวกับต้องการฆ่าล้างครอบครัวซึ่งไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก

          ย้อนรอยอดีตเหตุการณ์ความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้จะเห็นว่ามีหลายๆ ครั้งด้วยกันที่การก่อเหตุมีลักษณะโหดเหี้ยมเช่นนี้ โดยในระยะเริ่มแรกจะพบเห็นบ่อยมากที่สุด คือการฆ่าเชือดคอ หรือฆ่าแล้วราดน้ำมันจุดไฟเผา และที่น่าสลดใจมากที่สุดคือเหตุการณ์ที่วัดพรหมประสิทธิ์ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ทำให้มีพระมรณภาพ 1 รูป พร้อมเด็กวัด 2 คนเสียชีวิต และอีกหลายๆ หลายเหตุการณ์ ซึ่งล้วนเป็นฝีมือของกลุ่มก่อเหตุรุนแรงอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องสงสัย เพราะคนร้ายทิ้งใบปลิวระบุการกระทำเกือบทุกครั้ง ซึ่งต่อมาได้รับการเปิดเผยจากผู้ที่อยู่ในขบวนและออกมารายงานตัวต่อทางการว่า “ความโหดเหี้ยมคือแผนการที่ต้องการสร้างให้เกิดความหวาดกลัว และกดดันให้ประชาชนอยู่ภายใต้อำนาจ และต้องการสร้างความแตกแยกระหว่างประชาชน จึงจำเป็นต้องทำทุกวิถีทางโดยไม่เลือกเป้าหมายไม่ว่าไทยพุทธและมุสลิม” นอกจากนี้ผู้ลงมือปฏิบัติเองก็ไม่อาจละเว้นเมื่อเป็นคำสั่งเพราะคนเหล่านั้นตกอยู่ภายใต้กฎของการซุมเปาะห์ ในการเข้าร่วมกับขบวนการ

          นอกจากกฎของการซุมเปาะห์แล้ว ผู้ที่ออกมารายงานตัวยังได้เปิดเผยอีกว่า ผู้ก่อเหตุหรือที่ว่า  “นักรบญิฮาด” ยังได้รับการบ่มเพาะอุดมการณ์ปลูกฝังความรู้ที่ผิดๆ ทั้งด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา วัฒนธรรม และ นำเรื่องการ “ญิฮาด” มาแปลความหมายว่าเป็นการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดน ซึ่งหมายรวมถึงการเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ รวมทั้งข้าราชการทั้งไทยพุทธและมุสลิมที่เป็นฝ่ายตรงข้ามหรือผู้ทรยศ เรื่องนี้สอดคล้องกับเอกสารการปลุกระดม “เบอร์ญิฮาดดิปัตตานี” หรือการ “การต่อสู้ในทางศาสนาที่ปัตตานี” ที่ค้นพบจากตัวผู้ก่อเหตุที่เสียชีวิตในเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะเมื่อปี 2547 ซึ่งเป็นเอกสารการปลุกจิตสำนึกการต่อสู้ โดยนำหลักศาสนามาบิดเบือน แก้ไข เพิ่มเติมข้อความเพื่อให้เกิดการก่อเหตุที่รุนแรง โหดเหี้ยม ไร้มนุษยธรรม แม้กระทั่งบิดามารดา เอกสารฉบับนี้ยังระบุว่าสามารถฆ่าได้ ดังข้อความที่ปรากฏในวรรคหนึ่งมีใจความสรุปได้ว่า “อย่าได้เอาบิดามารดามาเป็นผู้นำ ถ้าเขาหันเหออกจากความศรัทธา เพราะการเป็นบิดามารดาเป็นเพียงรูปธรรมเท่านั้น แต่ในนามธรรมนั้นผู้ที่หันเหและทรยศนั้นไม่ได้เป็นคนของกลุ่มเราอีกต่อไป ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของผู้ศรัทธาคือผู้ทรยศ และจงฆ่าพวกเขาเสีย

         นี่คือคำตอบว่าทำไมกลุ่มก่อเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ถึงได้กระทำการอันโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ นับเป็นการบิดเบือนที่อันตรายต่อสังคม และเป็นการทำลายศาสนาอย่างไม่น่าให้อภัย แม้ว่าสำนักจุฬาราชมนตรี ได้ออกหนังสือชี้แจงข้อเท็จในเรื่องดังกล่าวแล้ว แต่กลุ่มก่อเหตุยังคงนำมาใช้ ซึ่งก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่โหดร้าย อย่างไม่คาดคิดเช่นที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงที่ตกเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำ ถูกเจ้าหน้าที่กดดันจากการติดตามจับกุมอย่างหนัก อย่างเช่นการยึดเทือกเขาบูโด ซึ่งทำให้กลุ่มก่อเหตุไม่สามารถใช้เป็นที่หลบซ่อนต่อไปได้อีก และกรณีการขยายผลปิดล้อมเทือกเขาตะเว ค้นพบค่ายพักและที่ซ่อนอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากทำให้กลุ่มก่อเหตุต้องเสียฐานที่มั่นแหล่งสำคัญๆ เกือบจนหมดสิ้น จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนที่หลบซ่อนตัวเข้ามาอยู่ปะปนกับประชาชนในหมู่บ้านอีกครั้งหนึ่ง

          สิ่งที่ยืนยันถึงเรื่องดังกล่าวอีกประการหนึ่งคือ ใบปลิวที่มีข้อความเตือนคนมุสลิมให้ระวังจากเจ้าหน้าที่ ที่มีพฤติกรรมจะทำร้ายมุสลิม ซึ่งระบุในตอนท้ายว่าพร้อมที่ช่วยเหลือปกป้องคนมุสลิมจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้เพื่อที่กลุ่มก่อเหตุที่สูญเสียฐานที่มั่นจากเทือกเขา จะได้กลับเข้ามาอาศัยในหมู่บ้านเป็นที่หลบซ่อนตัว โดยประชาชนที่หลงเชื่อข่าวลือคอยอำนวยความสะดวกและให้ที่หลบซ่อน และยังสอดคล้องกับความพยายามในการก่อเหตุที่รุนแรงเพื่อโหมไฟแห่งความแตกแยก ความหวาดระแวง อันเป็นการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อกลุ่มขบวนการในการใช้โล่ประชาชนเป็นที่กำบังในการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ

       …นี่คือจุดยืนของ “นักรบฟาตอนี” ที่กลุ่มขบวนการยกย่องนักหนาแต่เอาเข้าจริงๆ“เป็นแค่นักรบขี้ขลาดตาขาว ใช้ยาเสพติดในการย้อมใจตนเองในการก่อเหตุ คอยแว้งกัดทีเผลอต่อเจ้าหน้าที่ ไม่กล้าสู้ซึ่งๆ หน้า.....”

-------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม