ช่วงกลางเดือนมกราคม เจ้าหน้าระดับสูงด้านความมั่นคงในรัฐบาลสหรัฐและรัฐบาลจีน เดินทางเข้าพบหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคงของรัฐบาลมาเลเซียที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสารเกี่ยวกับเครือข่ายการก่อการร้ายกลุ่ม Islamic State หรือ IS ที่เคลื่อนไหวอยู่ในประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีข้อมูลที่ยืนยันได้ว่าชาวมาเลเซียจำนวนหนึ่งเดินทางไปร่วมรบกับกลุ่ม IS ที่ประเทศซีเรีย โดยข้อมูลล่าสุดที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทมส์นำออกเผยแพร่ในรูปแบบวิดิโอสารคดีเรื่องราวของโมฮัมหมัด ล็อตฟี อาราฟิน อุสตาซแห่งปอเนาะนูรุล ฮิดายะห์ ในรํฐเคดะห์ ทางเหนือของมาเลเซีย ไม่ห่างจากพรมแดนไทยมากนัก วิดิโอชิ้นนี้เผยให้เห็นเรื่องราวของอุสตาสล็อตฟี อารีฟิน ที่วัยหนุ่มเคยเดินทางไปร่วมรบกับกลุ่มมูจาฮิดีน ในอัฟกานิสถานเพื่อปลดปล่อยจากการปกครองของสหภาพโซเวียต ก่อนที่จะเดินทางกับมาดูแลครอบครัวที่มาเลเซีย และตัดสินใจไปร่วมรบกับกลุ่ม IS ที่ซีเรียเมื่อปลายเดือนมกราคม ปี 2557 ขณะอยู่ที่ซีเรีย อุสตาซจากปอเนาะนูรุล ฮิดายะห์ มีการติดต่อกับครอบครัวผ่านเครือข่ายสังคมออนไลนส์ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ้ค หรือ ว้อทแอฟ และหลายต่อครั้งอุสตาซล็อตฟี อารีฟิน ได้ส่งภาพนิ่งและวิดิโอจากสนามรบถึงนักเรียนของเขา
รายงานพิเศษของนิวยอร์คไทมส์ชิ้นนี้ จึงทำให้รัฐบาลมาเลเซียรีบสั่งการให้รัฐบาลท้องถิ่นรัฐเคดะห์ ร่วมดำเนินการกับสมาคมโรงเรียนปอเนาะแห่งรัฐเคดาห์เข้าไปตรวจสอบการเรียนการสอนของโรงเรียนปอเนาะให้จัดการเรียนการสอนอิสลามศึกษาให้ถูกต้องตามหลักอิสลาม เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเผยแพร่ความคิดที่ไม่ถูกต้องด้วยการปลุกระดมให้ใช้ความรุนแรงโดยบิดเบือนว่า การกระทำที่ถูกต้องตามหลักอิสลาม
นอกจากการเข้าไปตรวจสอบกำกับดูแลการเรียนการสอนของโรงเรียนปอเนาะในรัฐเคดะห์แล้ว รัฐบาลมาเลเซียยังมีการติดตามเฝ้าระวังนักโทษคดีที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับกลุ่มการร้ายอย่างใกล้ชิด โดยดาโต๊ะสรีอาหมัด ซาฮิด ฮามีดี รัฐมนตรีมหาดไทยมาเลเซีย เปิดเผยว่า ทางการมาเลเซียได้แยกขังเดี่ยวนักโทษกลุ่มนี้ซึ่งมีประมาณ 120 คน ไม่ให้จองจำอยู่ร่วมกับนักโทษอื่น ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเผยแพร่แนวคิดความรุนแรงต่อนักโทษอื่นๆ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจีนก็ได้นำข้อมูลมามอบให้กับทางการมาเลเซีย เพื่อจับตาผู้ต้องสงสัยชาวจีนมุสลิมที่เดินทางเข้ามาเลเซีย เนื่องจากที่ผ่านมาทางการจีนมีข้อมูลว่ามีคนจีนมุสลิมประมาณ 300 คนเดินทางเข้ามาเลเซียผ่านทางประเทศเพื่อนบ้านโดยคนเหล่านี้ใช้พาสปอร์ตปลอมเพื่ออำพรางตัวก่อนเดินทางต่อไปยังประเทศที่สามโดยมีจุดหมายปลายทางที่ซีเรีย
เครือข่ายการก่อการร้ายสากลที่ขยายเข้ามาในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นภัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยอาจจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องร่วมมือทำงานร่วมกับผู้นำศาสนาและโรงเรียนปอเนาะ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบิดเบือนชักจูงเยาวชนไปในทางที่ไม่ถูกต้อง เฉกเช่นเดียวกับที่รัฐบาลมาเลเซียกำลังพยายามดำเนินการดับไฟในรัฐเคดะห์อยุ๋ในขณะนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น