วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ตำรวจคอมมานโดฟิลิปปินส์กว่า 40 คนถูกสังหาร หลังจากละเมิดข้อตกลงสันติภาพบุกปะทะต่อสู้เป็นเวลา 11 ชั่วโมงกับกลุ่ม MILF ทางภาคใต้



ตำรวจฟิลิปปินส์บุกโจมตีกลุ่มโมโร

ตำรวจคอมมานโดฟิลิปปินส์กว่า 40 คนถูกสังหาร หลังจากละเมิดข้อตกลงสันติภาพบุกปะทะต่อสู้เป็นเวลา 11 ชั่วโมงกับกลุ่ม MILF ทางภาคใต้ ในปฏิบัติการไล่ล่าผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายสำคัญ 2 คน อย่างไรก็ดี ทั้งมะนิลาและ MILF ยืนยันในวันจันทร์ (26ม.ค.) ว่า สัญญาที่ทำกันไว้ยังคงมีผลและต้องการสานต่อกระบวนการสันติภาพตามแผนการเดิม

การยิงต่อสู้กันคราวนี้ปะทุขึ้นในวันอาทิตย์ (25) หลังจากตำรวจฟิลิปปินส์เกือบ 400 คน ยกกำลังเข้าไปในเมืองมามาซาปาโน เมืองห่างไกลบนเกาะมินดาเนา ที่กลุ่มแนวร่วมเพื่อการปลดปล่อยอิสลามโมโร (MILF) ปกครองอยู่ เมื่อเวลาประมาณ 3.00 น. วันอาทิตย์ (25) โดยไม่ได้ประสานกับกลุ่มกบฏตามที่กำหนดในข้อตกลงหยุดยิง

ลีโอนาร์โด เอสปินา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของฟิลิปปินส์ กล่าวในที่ประชุมแถลงข่าววันจันทร์ว่า ตำรวจคอมมานโดเสียชีวิตไปทั้งสิ้น 43 คน

ขณะที่ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน จูดิธ อัมบอง โฆษกสำนักงานตำรวจประจำภูมิภาคบอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า ได้นำศพตำรวจทั้ง 49 คน รวมทั้งตำรวจ 11 นายที่ได้รับบาดเจ็บออกจากเมืองดังกล่าวไปยังค่ายทหารแล้ว แต่ไม่ได้เปิดเผยว่า มีสมาชิก MILF เสียชีวิตหรือไม่

ทางด้านโมฮาเกอร์ อิกบัล หัวหน้าคณะเจรจาสันติภาพของ MILF ยอมรับว่า เหตุการณ์นี้อาจกระทบต่อกระบวนการสันติภาพ แต่ยืนยันเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลว่า ข้อตกลงหยุดยิงยังคงมีผล

เอสปินา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่บินไปยังเกาะมินดาเนาในวันจันทร์ พร้อมกับมานูเอล ร็อกแซส รัฐมนตรีมหาดไทย แถลงว่า หน่วยคอมมานโดที่ถูกโจมตีกำลังตามจับผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายสำคัญ 2 คนที่เชื่อว่า อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดหลายครั้งทางใต้ของประเทศคือ ซัลกิฟลี บิน ฮีร์ หรือมาร์วัน และบาสิต อัสมาน

ซัลกิฟลี มือระเบิดชาวมาเลเซียเป็น 1 ใน 12 สมาชิกที่โดดเด่นที่สุดของกลุ่มเจมาห์ อิสลามิยาห์ (JI) และเป็นหนึ่งในผู้ก่อการร้ายที่อเมริกาต้องการตัวมากที่สุดและตั้งรางวัลนำจับ 5 ล้านดอลลาร์ กองทัพฟิลิปปินส์เผยว่า ซัลกิฟลีหนีไปกบดานทางใต้ในปี 2003 และช่วยฝึกนักรบท้องถิ่นนับจากนั้นเป็นต้นมา

ส่วนอัสมานเป็นผู้นำของกลุ่ม “นักรบเสรีภาพอิสลามบังซาโมโร” (BIFF) ซึ่งเดิมเคยอยู่กับ MILF แต่แยกตัวออกมา เพราะไม่พอใจการเปิดเจรจาสันติภาพกับรัฐบาล

ทั้งนี้ MILF ที่มีสมาชิกราว 10,000 คน และถือเป็นกลุ่มนักรบมุสลิมกลุ่มใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของฟิลิปปินส์ ได้ตกลงยุติการจับอาวุธต่อสู้ที่ดำเนินมาหลายสิบปี เพื่อแลกเปลี่ยนกับการออกกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาฟิลิปปินส์ ซึ่งจะให้อำนาจชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมปกครองตนเองในหลายจังหวัดทางภาคใต้ โดยพวกเขาจะเริ่มการปลดอาวุธในช่วงต้นปีนี้ตามเงื่อนเวลาซึ่งระบุเอาไว้ในสนธิสัญญาสันติภาพ

อิกบัลกล่าวว่า เหตุปะทะครั้งนี้เป็นการเผชิญหน้าครั้งแรกระหว่าง MILF กับกองกำลังของรัฐบาลในปีนี้ และเป็นเหตุการณ์ที่กองกำลังของรัฐบาลสูญเสียมากที่สุดในการปะทะเพียงวันเดียว
อย่างไรก็ดี อิกบัลแสดงความหวังว่า การปะทะครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย และยืนยันว่า MILF ยังคงยึดมั่นในกระบวนการสันติภาพและข้อตกลงหยุดยิงยังคงมีผล

เช่นเดียวกัน กาซาลี จาฟาร์ รองประธาน MILF กล่าวว่า สนธิสัญญาสันติภาพที่ลงนามเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว เป็นทางออกเดียวสำหรับความขัดแย้งที่ดำเนินมาหลายสิบปีซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 150,000 คน รวมทั้งบ่อนทำลายกระบวนการพัฒนาในภูมิภาคที่ยากจนที่สุดของแดนตากาล็อก

ด้าน มิเรียม โคโรเนล-เฟอร์เรอร์ ประธานคณะกรรมการสันติภาพของรัฐบาล แถลงว่า เหตุนองเลือดเมื่อวันอาทิตย์ตอกย้ำ “ความท้าทายด้านความมั่นคง” รวมทั้งความสำคัญในการแก้ไขปัญหาผ่านทางคณะเจรจา

เหตุนองเลือดที่เกิดขึ้นในมามาซาปาโนเป็นการปะทะครั้งที่สองนับจากมีข้อตกลงหยุดยิง โดยในครั้งแรกซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วบนเกาะบาสิลัน มีทหาร 2 คนและนักรบมุสลิม 18 รายเสียชีวิต

นับจากทำข้อตกลงสันติภาพ กองทัพและตำรวจฟิลิปปินส์ได้ตามล่า BIFF ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธคัดค้านสนธิสัญญาสันติภาพที่ยังมีสมาชิกอยู่หลายร้อยคน รวมทั้งยังประกาศแสดงความจงรักภักดีต่อกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในอิรักและซีเรียเมื่อปีที่แล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม