วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554


ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกกับการพระพุทศาสนา
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกกับการพระพุทธศาสนา


http://www.alittlebuddha.com/html/The%20Vision%20of%
20P.M.Narin/The%20Vision
%20of%20Phramaha%20Narin%20119.html







         ไม่กี่วันหลังจากนั้น ราวเดือนกันยายน 2545 นายกฯ (ทักษิณ ชินวัตร) มีภารกิจเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทที่วังไกลกังวล หัวหิน ในฐานะเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผม (วิษณุ เครืองาม) ได้รับพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าฯ ด้วย

        นายกฯ ได้กราบบังคมทูลถวายรายงานข้อราชการตามปกติ ซึ่งถือเป็นพระราชสิทธิที่จะทรงได้รับการกราบบังคมทูลถวายรายงานจากรัฐบาล เรื่องใหญ่ของรัฐบาลเวลานั้นคือ การจะปฏิรูประบบราชการ

ตอนหนึ่ง รับสั่งถามอย่างเป็นห่วงว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ของทำเล่น ใครจะดูแล

นายกฯ กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า

     รับสั่งถามว่า แล้วที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความยากจน การพัฒนาแหล่งน้ำ ที่ดิน ที่ทำกินซึ่งยืดเยื้อมานานซึ่งทรงเป็นห่วงมาก เป็นภารกิจหลักของรัฐบาล ใครจะดูแล

นายกฯ ก็กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า

รับสั่งถามถึงกี่เรื่อง นายกฯก็กราบบังคมทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้า

ลงท้ายรับสั่งว่า "เรื่องศาสนา ก็เป็นเรื่องใหญ่ ละเอียดอ่อน เวลานี้มีปัญหา ใครจะดูแล.."

บางตอนจากหนังสือ “โลกนี้คือละคร” ของวิษณุ เครืองาม

ก่อนอื่นก็ต้องขอแสดงมุทิตาจิตยินดีต่อ คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่จะได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรีสุภาพสตรี"คนแรกของประเทศไทย ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ซึ่งถือว่าเป็นประวัติศาสตร์อันสำคัญยิ่งหน้าหนึ่ง ในฐานะที่คุณยิ่งลักษณ์กับผู้เขียนเป็นคนบ้านเดียวกัน หมายถึงว่าเป็นชาวเจียงใหม่ด้วยกัน คนเชียงใหม่ย่อมจะท่องคำขวัญประจำจังหวัดได้ติดปากว่า "ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเป็นสง่า บุปผชาติล้วนงามตา นามล้ำค่า..นครพิงค์" แหมไม่อยากคุย บางท่านที่ไม่ค่อยชอบพรรคเพื่อไทยก็คงจะประชดให้ว่า "อ๋อก็แหงละซี เห็นมหานรินทร์ประกาศตัวห่มจีวรแดงตั้งแต่ปีก่อน มิน่า ตอนนี้ถึงได้ออกมาเชียร์ยิ่งลักษณ์แต่ไก่โห่ ฯลฯ" เอ้อเรื่องการเมืองนั้น ช่วงนี้อยู่กลางพรรษาตั้งใจไว้ว่าจะไม่พูดถึง ดังนั้นถึงใครจะว่ายังไง ผู้เขียนก็ขอสวมบท "พระเตมีย์ใบ้" ไม่รับไม่ตอบใดๆ ทั้งสิ้น

แต่ที่จะเขียนหรือพูดถึงในวันนี้ ขอย้ำว่า "ไม่เกี่ยวกับการเมือง" แต่เป็นเรื่องศาสนาโดยเฉพาะ แต่ทีนี้ว่า การศาสนากับการเมืองนั้นแยกกันไม่ออก จะบอกว่าพูดเรื่องศาสนาโดยไม่พาดพิงการเมืองเลยนั้นมันก็จะเข้าข่ายมุสา จึงขอให้เข้าใจเจตนาว่า ที่ว่าจะพูดเรื่องการศาสนาไม่เกี่ยวกับการเมืองนั้น ก็เป็นการ "ขีดกรอบ" หรือจำกัดประเด็นที่จะพูด คือพูดเรื่องศาสนาที่เกี่ยวข้องกับการเมือง หรือถ้าการเมืองจะเกี่ยวข้องกับการศาสนา ก็ถือเสียว่า "เป็นไปโดยอนุโลม" เพราะถ้าเรื่องมันเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าไม่พูดถึงเรื่องก็จะขาดตกบกพร่องไป ขอเรียนท่านผู้อ่านไว้ตรงนี้ก่อน นะ ใจเย็งๆ ไอ้ตี๋ลางไฟ..

ที่ต้องเขียนเรื่องนี้ในวันนี้นั้น ก็เพราะทราบข่าวว่า กำลังมีการฟอร์มรัฐบาลใหม่ ท่ามกลางข่าว 2 กระแส คือ 1.มีการวิ่งเต้นขอตำแหน่งรัฐมนตรีกันอุตลุต จนบุรุษผู้มีบารมีเหนือการเมืองไทยสู้แรงตื๊อไม่ไหว ต้องปิดมือถือ แต่ก็เป็นข่าวลือเพราะไม่เคยมีใครยอมรับความจริง และ 2.มีการประชุมเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล เพื่อแถลงต่อรัฐสภาก่อนปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ

ข้อที่ 1 นั้นเขียนประดับไว้ให้สวยงาม แต่จะไม่วิเคราะห์เพราะไม่ใช่หน้าที่ จะขอวิเคราะห์เฉพาะข้อที่ 2 คือว่าด้วยนโยบายของรัฐบาลใหม่ ที่เรียกชื่อตามนิคเนมหรือชื่อเล่นของคุณยิ่งลักษณ์ว่า "รัฐบาลคุณปู 1/1"

ถามว่าทำไมผู้เขียนถึงต้องเขียนเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้วไม่เคยเขียน ตรงนี้ก็ต้องขอเรียนให้ทราบว่า เพราะว่ามีเหตุผลหลายประการ เช่น

1.รัฐบาลในอดีตเคยทำงานเกี่ยวกับศาสนาแล้วเกิดปัญหา แต่ไม่ขอเรียกว่าเป็นความผิด อาจจะเป็นความพลาดด้วยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรืออะไรก็ตามแต่

2.รัฐบาลในอดีตนั้นเป็นรัฐบาลผู้ชาย ไม่ใช่รัฐบาลผู้หญิงเหมือนรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์

       เพราะว่าผู้หญิงกับผู้ชาย เมื่อจะทำอะไรเกี่ยวกับพระกับเจ้าแล้ว พูดถึงความใกล้ชิดยังไงก็สู้ผู้ชายไม่ได้ เพราะผู้ชายเข้าใกล้พระใกล้เจ้าได้ง่ายกว่า แต่ความใกล้ชิดก็มิใช่เหตุผลแห่งความสำเร็จเพียงอย่างเดียว เพราะบางทีความใกล้ชิดมากๆ ก็กลายเป็นการมองข้ามไปเสียก็มี บางทีคนที่อยู่ห่างออกไปอาจจะมองเห็นอะไรได้ชัดเจนกว่าคนใกล้ด้วยซ้ำ เพราะบางคนนั้นสายตายาวเกินไป มองอะไรใกล้ๆ ไม่เห็น ต้องให้คนอื่นช่วยดู

3.มีความคาดหวังกับรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์มาก แค่สถิติกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ของชาวไทยที่ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งในครั้งนี้ ถือว่ามากที่สุดในบรรดาการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา แถมโพลล์ต่างๆ นานา ก็ส่งสัญญาณบอกว่า คะแนนเสียงที่พรรคเพื่อไทยได้รับนั้นมีความหมายเป็นมุ่งหวังอันแรงกล้าต่อผู้ลงคะแนนเพียงใด ไม่ว่าด้านใดๆ ก็ตาม

"รัฐบาลไทยคือผู้บริหารประเทศไทยในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เป็นคำนิยามที่ต้องนำมาเตือนสตินักการเมืองไทยไว้ตรงนี้ แปลให้กะทัดรัดก็คือว่า รัฐบาลคือคณะบุคคลที่อาสาเข้ามาทำงาน เพื่อสนองงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งงานของรัฐบาลนั้นต้องเกี่ยวพันกับทุกภาคส่วนของประเทศไทย ส่วนหนึ่งซึ่งใหญ่มากๆ ก็คือ งานศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม หรือศาสนาอื่นใดที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำการเผยแพร่พระสัทธรรม ในประเทศไทยได้

แต่ตรงนี้จะจำกัดวงลงแค่ "พระพุทธศาสนา" เพราะประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา เรียกได้ว่าเป็นศาสนาประจำชาติไทย

ถ้าเราเอาประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของรัฐบาลไทยแบบว่าไม่ต้องไกล เอาแค่ 10 ปีให้หลัง คือนับจากปี พ.ศ.2544 ถึง ปีนี้ ปี พ.ศ.2554 ซึ่งปี พ.ศ.2544 นั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพิ่งเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยแรก

อาจารย์วิษณุ เครืองาม ได้เขียนไว้ในหนังสือ "โลกนี้คือละคร" เล่าเรื่องที่ได้ยินจากปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเกี่ยวกับพระกับเจ้าเอาไว้ว่า "ผม (พ.ต.ท.ทักษิณ) เป็นคนเข้าพระเจ้าเข้าเจ้าไม่ค่อยเป็น เจ้าคุณก็รู้จักอยู่รูปเดียว คือเจ้าคุณใหญ่ วัดเจดีย์หลวง (พระพุทธพจนวราภรณ์ จันทร์ กุสโล ป.ธ.7 อดีตเจ้าอาวาสวัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่) พระอุปัชฌาย์ของผม"

ซึ่งต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้แต่งตั้งให้ ดร.วิษณุ เครืองาม ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และให้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อันหมายถึงให้ดูแลกิจการพระศาสนาในนามของรัฐบาล และต่อมาก็เป็น ดร.วิษณุ เครืองาม ที่เป็นผู้ลงนามในคำสั่ง "แต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช" เป็นฉบับแรก เมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ.2547 อันนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ให้แก่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.9) วัดสระเกศ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ถูกพระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว แห่งวัดป่าบ้านตาด อุดรธานี เรียกประชุมพระกรรมฐานสายวัดป่าจำนวนถึง 5 พันรูป ประกาศนิคหกรรม ปรับอาบัติระดับปาราชิกมาแล้ว

และก็เป็นหลวงตามหาบัวอีกเช่นกัน ที่ทั้งสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะหัวหน้าพรรคไทยรักไทยอย่างออกหน้า และต่อมาเมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ เรียกร้องให้ทักษิณลาออก หนักเข้าถึงกับสาปแช่งเป็นตาเถรเทวทัตไปโน่น โดนอย่างนี้อัศวินลูกที่สามก็ตามเถอะ ต้องปัดคำถามพัลวัน เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งเสีย นี่ขนาดว่าเป็นผู้ชายนะ ถ้าเป็นนายกผู้หญิงล่ะ ?

ขนาดว่าได้ปรมาจารย์ระดับวิษณุ เครืองาม ทำงานแทน ทักษิณก็ยังบอบช้ำแสนสาหัส นับประสาอะไรกับยิ่งลักษณ์น้องสาวเล่า

ไม่อยากให้ใครตำหนิคุณยิ่งลักษณ์เอาได้ว่า "ไม่ประสีประสาในเรื่องวัดเรื่องวาเรื่องพระเรื่องเจ้า"

นี่แหละคือเหตุผลว่า ทำไมผู้เขียนต้องเขียนถึงรัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์ ?

เพราะดังที่ยกพระดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็นนิกเขปบทใส่กรอบสี่เหลี่ยมไว้ในตอนต้นของคอลัมน์ว่า"เรื่องศาสนา ก็เป็นเรื่องใหญ่ ละเอียดอ่อน เวลานี้มีปัญหา ใครจะดูแล.." นั้น ก็เพราะว่าเรื่องศาสนาเป็นเรื่องใหญ่ มิใช่เรื่องเล็ก จะทำง่ายๆ แค่ขอให้เป็นรัฐบาลแบบผ่านๆ ไปเหมือนบางรัฐบาลนั้น ย่อมจะทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความผิดหวัง

พุทธศาสนิกชนนั้นก็ขอแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ อุบาสกอุบาสิกา และพระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกานั้นย่อมมุ่งหวังว่า ท่านนายกรัฐมนตรีจะเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี หมั่นเข้าวัดฟังธรรม ทำบุญสุนทาน ไม่ละทิ้งจารีตประเพณีอันดีงาม เป็นตัวอย่างอันดีให้แก่ประชาชนชาวไทย ในฐานะที่อุตส่าห์เลือกให้เป็นผู้นำประเทศ ส่วนพระภิกษุสามเณรซึ่งอยู่ใกล้ชิดพระศาสนามากกว่าอุบาสกอุบาสิกานั้น ก็ย่อมมุ่งหวังที่จะได้รับการอุปถัมภ์บำรุงจากรัฐบาลไทย ทั้งในด้านการศึกษา การเผยแผ่ การสาธารณสงเคราะห์ และการสาธารณูปการ อันเป็นงานหลักที่เรียกว่า "จตุสดมภ์" ของคณะสงฆ์ไทย รวมทั้งช่วยสนับสนุนในด้านการปกครองคณะสงฆ์ไทยด้วย

พูดง่ายๆ ว่า คุณยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ต้องรู้จักงานของคณะสงฆ์ทั้ง 4 หลักเหล่านี้ ก่อนที่จะร่าง-เขียน เป็นนโยบายของรัฐบาล และดำเนินการให้เป็นไปตามทีแถลงไว้ต่อรัฐสภา

ใช่แต่เท่านั้น รัฐบาลทุกรัฐบาล โดยเฉพาะก็คือตัวนายกรัฐมนตรี ต้องทำตัวให้เป็น "ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่ทรงดำรงตำแหน่ง องค์เอกอัครศาสนูปถัมภก" ซึ่งจะต้องประกอบด้วยองค์ 2 คือ

1. กิจการงานใด ที่เนื่องด้วยองค์พระประมุขของชาติ ที่จะต้องทำบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในบวรพระพุทธศาสนาแล้ว นายกรัฐมนตรีต้องถือเป็นภาระหน้าที่ของตนเอง ด้วยการเอาใจใส่ เข้าไปน้อมรับพระกระแสรับสั่ง และดำเนินการให้เป็นไปตามพระบรมราชวินิจฉัย

2.กิจการงานใด แม้มิใช่พระกระแสรับสั่งหรือพระราชกรณียกิจ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนา เป็นการส่งเสริมให้พระพุทธศาสนาดำรงคงมั่น หรือก้าวหน้า นายกรัฐมนตรีต้องมีวิสัยทัศน์ที่จะดำเนินการให้เป็นมรรคเป็นผล ซึ่งเมื่อจะกระทำนั้นก็อาจจะกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบและขอพระกระแสรับสั่งเป็นแนวทางด้วยก็ได้

ข้อหลังนี้ เช่น กรณีตั้งธนาคารพุทธ ปรากฏว่ายื่นเป็น พรบ. เข้าไปในรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่ปรากฏว่าไม่มีแรงดัน ปล่อยให้ตกไปพร้อมๆ กับการยุบสภา

ผู้เขียนคงจะไม่พูดมาก เพราะประเดี๋ยวจะเป็นการสอนนายกรัฐมนตรีผ่านเว็บไซต์ซึ่งไม่สวย แต่อย่างไรก็ตาม บรรดากิจการงานทั้งหลายนั้น "เมื่อไม่รู้ก็ย่อมมีทางหาความรู้ได้" ดังอาจารย์วิษณุ เครืองาม ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องกฎหมายของรัฐบาลทักษิณเอาไว้ว่า "ควรตั้งคณะที่ปรึกษาด้านกฎหมายไว้สักชุดหนึ่ง เผื่อขอความเห็นในคราวจำเป็น"

เรื่องพระศาสนานี้ก็เช่นกัน รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ก็ควรจะมีทีมงานที่ปรึกษาเกี่ยวกับพระศาสนาไว้ด้วย ซึ่งการปรึกษานั้น แม้ว่าจะผ่านการลงความเห็นกันในหมู่คณะที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีหรือของรัฐบาลแล้วก็ตาม แต่เพื่อความสวยงามก็ควรกระทำตามอย่างคุณสมัคร สุนทรเวช ที่เข้าไปปวารณาตัวในท่ามกลางการประชุมของมหาเถรสมาคมว่า "ถ้ามีอะไรก็กรุณาให้เด็กวัดไปเรียก เกล้าฯกระผม-ลูกศิษย์วัด จะรีบมารับใช้ในทันที" ซึ่งฟังทีไรก็ชื่นใจทุกครั้ง

"ตัวประสานระหว่างรัฐบาลกับคณะสงฆ์" นี่แหละสำคัญที่สุด มันก็ไม่ต่างไปจากวิปรัฐบาลหรอก แต่ตำแหน่งเหล่านี้ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าคุณทักษิณ เอ๊ย คุณยิ่งลักษณ์ เห็นว่าสำคัญ ก็ควรจะตั้งเป็นครั้งแรก ซึ่งจะช่วยงานรัฐบาลในด้านนี้ได้ดีกว่าไม่มี

เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งผ่านการพิจารณาของมหาเถรสมาคมไปนานแล้ว ตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ 1/1 โน่นแหละ ถูกเก็บถูกดองผ่านมาถึง 6 รัฐบาล จนเค็มเป็นเกลือไปแล้วมั๊ง ไม่ทราบว่ารัฐบาลใหม่จะทำอย่างไร

ที่เขียนมาทั้งนี้เพราะมีข่าวว่า กำลังร่างนโยบายรัฐบาลใหม่อยู่ ก็กลัวว่าคุณยิ่งลักษณ์จะลืม กลัวว่าจะต้องร้องเพลง "เผลอใจรัก" เหมือน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เสียดายแต่ว่า คุณจุฬารัตน์ บุณยากร อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นสุภาพสตรีเพศเพียงคนเดียวนั้น ถึงแก่กรรมไปเสียแล้ว มิเช่นนั้นก็จะแนะนำให้ไปคุยด้วย เพราะคุณจุฬารัตน์เธอฉลาด ถูกถามเรื่องเกี่ยวกับพระกับเจ้าก็จะยิ้มและยกมือสิบนิ้วไว้เหนือหัว ท่องแต่คาถาว่า "ดิฉันมีหน้าที่ถวายความอุปถัมภ์บำรุงพระเจ้าพระสงฆ์เท่านั้น เจ้าค่ะ" ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่จนเกษียนอายุราชการได้อย่างสง่างาม

ขอสะกิดคุณยิ่งลักษณ์ไว้อีกนิดว่า "พระหนุ่มเณรน้อยชาวบ้านนอก แถวๆ ยโสธร อุดร ขอนแก่น หรือเชียงใหม่ เชียงราย โน้น ท่านมุ่งหวังกับรัฐบาลนี้ ไม่น้อยไปกว่าประชาชนที่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งแต่อย่างใด" ดังนั้น ก็ขอเจริญพรว่า "อย่าให้พระสงฆ์สามเณรผิดหวัง"

ว่างๆ ก็โทรหาแหน่เด้อ เอ๊ย ไปเยี่ยมบ้านนอกบ้างเน้อ

http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม