วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เบื้องหลังการปลูกฝังให้เด็กเกลียดชัง ‘เจ้าหน้าที่รัฐ’



โดย ‘แบดิง โกตาบารู’


         กลุ่มขบวนการ BRN Co – ordinate ได้ดำเนินการปลูกฝังความคิด ความเชื่อ ต่อพี่น้องมลายูปาตานี เป้าหมายกลุ่มคนทุกเพศทุกวัย เพื่อต้องการให้กลุ่มบุคคลเหล่านี้สนับสนุนงานการเมือง หรือเข้าร่วมเคลื่อนไหวเป็นสมาชิกแนวร่วมในการต่อสู้กับรัฐไทยมานานนับหลายปี มีการกำหนดแนวความคิดให้มวลสมาชิกใช้ความรุนแรง จนถึงเป้าหมายที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไปตั้งเป็นรัฐเอกราช


         มูลเหตุของความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความสอดคล้องกับเงื่อนไขการก่อเหตุสร้างสถานการณ์ของขบวนการ BRN อย่างชัดเจนเพื่อนำไปสู่ปัจจัยที่ทำให้ก่อเกิดความคิดต่อสู้ต้องการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมี 8 ประการด้วยกันกล่าวคือ

  1. เกิดจากการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในพื้นที่ค่อนข้างล้าหลัง ส่งผลให้คนที่มีความคิดชาตินิยมทางด้านเชื้อชาติบางส่วนรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกครอบงำทางสังคม การเมือง และวัฒนธรรม คนกลุ่มนี้คือแกนนำสำคัญของขบวนการ BRN Co – ordinate
  2. เกิดจากการกระจุกตัวอย่างหนาแน่นของกลุ่มคนชาติพันธุ์มลายูที่มีวัฒนธรรมจำเพาะ แตกต่างจากคนไทยในสังคมใหญ่โดยทั่วไป
  3. พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มีอาณาเขตติดต่อกับบางรัฐของประเทศมาเลเซีย และรัฐเหล่านั้นปกครองโดยกลุ่มคนชาติพันธุ์เดียวกันกับคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะที่ทำให้มีโอกาสเกิดความคิดต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนสูงกว่าพื้นที่อื่นของประเทศ
  4. คนในพื้นที่โดยเฉพาะพี่น้องมลายูมุสลิมปาตานี มีความรู้สึกที่แรงกล้าต่ออัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์และศาสนาของตนเอง
  5. แรงจูงใจร่วมของคนในพื้นที่ที่รู้สึกว่าเขาได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างไม่เป็นธรรม
  6. ความสามารถของกลุ่มชาวมลายูมุสลิมเองที่จะปฏิบัติการทางการเมืองร่วมกัน ทั้งที่มาจากการสนับสนุนของมวลชนในพื้นที่ และกลุ่มองค์กรที่เป็นแนวร่วมจากต่างประเทศ
  7. เงื่อนไขทางการเมืองของสังคมใหญ่ที่เอื้ออำนวย เช่น การแตกแยกทางความคิดของกลุ่มสีต่างๆ ในสังคมใหญ่ อันเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มผลประโยชน์ต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมืองอย่างยืดเยื้อ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ถดถอย ความน่าเชื่อถือของประเทศโดยรวมลดลง และระบบราชการย่อหย่อนอ่อนแอ
  8. พลังสำนึกร่วมในประวัติศาสตร์ และบาดแผลของปาตานีในครั้งอดีต
         เหตุปัจจัยทั้ง 8 ประการดังกล่าว พลังสำนึกร่วมในประวัติศาสตร์ปัตตานีเป็นปัจจัยปลุกเร้าที่กลุ่มขบวนการได้ใช้ในการปลูกฝัง ปลุกระดมมวลชนเชื้อสายมลายูเข้าร่วมในขบวนการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนได้อย่างทรงพลังที่สุด ส่วนปัจจัยอื่นเป็นเพียงปัจจัยเสริม มีการสืบทอดส่งต่อความสำนึกร่วมดังกล่าวไปสู่คน รุ่นต่อรุ่นมานานนับร้อยปี

       กลุ่มคนที่เข้าร่วมขบวนการต่อสู้กับรัฐไทยเหล่านี้ได้รับการปลูกฝังให้มีความรู้สึกเคียดแค้นชิงชังต่อคนไทย หรือสยามอย่างเข้ากระดูกดำ ปรากฏการณ์แบบนี้พบได้จากการปฏิบัติการอย่างโหดเหี้ยมฆ่าแล้วเผา การฆ่าตัดคอเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของกลุ่มนักรบคอมมานโด หรือ RKK ของขบวนการ BRN Co – ordinate


        ขบวนการ BRN Co – ordinate ได้ชี้นำทางความคิดในการปลุกระดมมวลชนให้เห็นว่าดินแดนที่เรียกว่าปาตานีแห่งนี้ถูกรุกรานและยึดครองโดยสยามมาเป็นเวลานับร้อยปี ในอดีตดินแดนแห่งนี้มีความรุ่งเรืองทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และความบริสุทธิ์ของศาสนาอิสลาม ทุกคนจะต้องร่วมกันในการปลดปล่อยปาตานีดารุสลามและบังคับใช้ชารีอะห์ซึ่งเป็นกฎหมายที่อัลเลาะฮ์ประทานมาให้มนุษยชาติประกาศใช้บนแผ่นดินเป็น “ฟัรดูอีน” ปาตานี ไม่ใช่ “ดารุลกุฟร์” หรือดินแดนของกาเฟร์ ชาวปาตานีถูกสยามกระทำย่ำยีอย่างทารุณ และจงใจทำลายจิตวิญญาณของมลายู และก่อให้ชาวมลายูปาตานีมีความหวาดกลัวในทุกวินาทีที่ต้องเผชิญกับกองกำลังทหารตำรวจที่ป่าเถื่อนและไม่เป็นธรรม


       เยาวชนคนหนุ่มสาวปาตานีถูกล้างสมองด้วยระบบการศึกษาที่ถูกแทรกซึมด้วยความเป็นไทย พยายามทำลายศาสนาและวิถีชีวิตของประชาชนปาตานี อีกทั้งประชาชาติปาตานีไม่ได้เป็นผู้ยึดกุมทรัพยากรและเศรษฐกิจ ต้องสูญเสียอำนาจให้กับคนไทย มีการกดขี่ประชาชนปาตานีซึ่ง ๆ หน้า หรือเหตุการณ์ร่วมสมัยโดยไม่ต้องอาศัยประวัติศาสตร์ใด ๆ มาคอยย้ำเตือน หนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้คือ การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชของคนมลายูมุสลิมปาตานี


       เป้าหมายที่ง่ายที่สุดในการชักนำของขบวนการ BRN Co – ordinate คือเด็ก เยาวชน ที่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน
มีการใช้ครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู ทำการปลูกฝัง ปลุกระดมแนวความคิดต่อต้านอำนาจรัฐให้กับเยาวชนนักเรียนเหล่านี้ด้วยแนวความคิดข้างต้น




      รูปแบบในการปลูกฝังให้เด็กเกลียดชังเจ้าหน้าที่มีความหลากหลาย แต่วิธีหนึ่งที่มักจะได้ผลเสมอคือการเล่านิทานให้เด็กฟัง อย่างเช่นนิทานเรื่อง วอตอเป๊าะ ฮิญา, แอ๊ปเปิ้ลสีเขียว ในห้วงการเรียนการสอนวิชาศาสนาหรือห้วงเวลาอื่นที่เหมาะสม โดยเน้นให้มีทัศนคติ ความคิดต่อต้านเกลียดชังเจ้าหน้าที่รัฐ และต้องร่วมต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราชปาตานีเป็นประจำทุกวัน แน่นอนเด็กเหล่านี้ย่อมซึมซับรับรู้นำไปสู่พฤติกรรมที่น่าเป็นห่วงในเวลาต่อมา


        ครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู ยังคงเดินหน้าย้อมสีผ้าขาวที่บริสุทธิ์เหล่านี้ให้เปรอะเปื้อนอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ยืนยันผลงานของบุคคลากรทางการศึกษาโรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน คือการแสดงออกของเด็กนักเรียนที่เป็นผลผลิตทางการศึกษาด้วยการขีดเขียนบนโต๊ะเรียน บอร์ดกระดาน ฝาผนัง และห้องน้ำ ด้วยข้อความที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ยังไม่นับรวมถึงการแสดงออกในสื่อสังคมออนไลน์ที่เด็กๆ เหล่านี้ได้เข้าถึง


      ตัวอย่างที่มีให้เห็นอย่างชัดเจนในพื้นที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี คือฝาผนังห้องน้ำโรงเรียนสายบุรีอิสลามวิทยา มีการเขียนข้อความภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ว่า “นักรบฟาตอนี fathoni Darussalam”

      ส่วนโรงเรียนธรรมวิทยามูลนิธิ อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ยังคงมีการแสดงออกของนักเรียนด้วยการขีดเขียนข้อความ “FATONI MERDIKA 30” (การปลดปล่อยรัฐปัตตานี) และข้อความ “RKK” ในสถานที่สาธารณะของโรงเรียนดังกล่าว


      จังหวัดนราธิวาส โรงเรียนมะหัดดารุลมูฮายีรีน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านบาโงสะโต ตำบลบาโงสะโต อำเภอระแงะ มีการเขียนในกระดาษข้อความภาษาไทยว่า “นักรบฟาตอนีดารุสลาม” มีเครื่องหมายลูกศรชี้ไปที่คำว่า “RKK” และอีกข้อความ “จาก RKK ดารุสลามนักรบฟาตอนี” ส่วนกรัดาษอีกแผ่นมีการวาดรูปปืน และมีข้อความภาษาไทยทับศัพท์ว่า “บาบีอายิง” แปลว่า “หมูหมา”


       นอกจากนี้บนแผ่นไม้ชั้นวางหนังสือเรียนในศาลาเอนกประสงค์ มีการเขียนข้อความเป็นภาษาไทยว่า “กูรักฟาตอนี” มีรูปสัญลักษณ์กริช และซองกริช โดยมีข้อความไว้บนซองกริชว่า “ฟาตอนี”


      โรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชนหลายแห่ง นอกจากครูสอนศาสนา, อุสตาซ และเจ๊ะฆู เป็นผู้ปลูกฝังแนวความคิดให้กับเด็กนักเรียนแล้วยังมี โต๊ะครู บาบอ เจ้าของโรงเรียน เจ้าของสถาบันเป็นผู้ยุยง ส่งเสริมให้นักเรียนไม่พอใจ และเกลียดชังเจ้าหน้าที่อีกด้วย ซึ่งจากหลักฐานการเขียนข้อความในที่สาธารณะภายในบริเวณโรงเรียนเป็นสิ่งยืนยัน


      ที่กล่าวมาข้างต้นชี้ให้เห็นว่าขบวนการ BRN Co – ordinate ยังคงมีการใช้โรงเรียนตาดีกา สถาบันปอเนาะ และโรงเรียนสอนศาสนาเอกชน ปลูกฝังแนวความคิดให้แก่เด็ก เยาวชนคนรุ่นใหม่ รวมไปถึงสมาชิกขบวนการ เป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ การยกเอาคำสอนทางศาสนามาเบี่ยงเบนและบิดเบือนให้ดูเสมือนจริง เนื่องจากคำสอนศาสนาล้วนเป็นคำสอนสากล


      ตราบใดที่การแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ปล่อยให้ขบวนการ BRN Co – ordinate ปลูกฝังแนวความคิดที่ผิดๆ ให้แก่เด็กและเยาวชนในสถานศึกษาต่อไป มีการสืบทอดส่งต่อความสำนึกร่วมไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน ความสงบสุขที่ทุกคนต่างเรียกหาก็ยังไม่เกิด ผู้คนต้องบาดเจ็บล้มตายอีกกี่ศพ แต่อย่างน้อยผู้เขียนพยายามสื่อให้เห็นถึงเบื้องลึกเบื้องหลังการปลูกฝังความเกลียดชังต่อเจ้าหน้าที่รัฐ รวมไปถึงรัฐไทยมีการปูพื้นมาตั้งแต่เล็กในโรงเรียนสอนศาสนาที่ยากต่อการตรวจสอบ 

      เพราะฉะนั้นถึงเวลาหรือยัง!! ที่จะต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุด้วยการจัดระบบโรงเรียนเหล่านี้ที่มีอยู่หลายพันโรงกระจายเต็มพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถตรวจสอบได้ และมีความโปร่งใสตอบโจทย์ต่อสังคมได้โดยไม่มีข้อกังขา!! ว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะของขบวนการ BRN Co – ordinate

-----------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม