วันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เชคริฏอ อะห์หมัด สะมดี บรรยายนำเสนอเพื่อการปลุกเร้าให้มุสลิมฆ่ากันเอง...

       เมื่อวันที่ 25 ส.ค.56 อ.ฟารีด เฟ็นดี ได้เขียนจดหมายเปิดผลึกผ่านเว็บไซต์ www.fareedfendy.com เนื้อหาใจความว่า เชคริฎอฯ ได้บรรยายปกปิดข้อเท็จจริงเรื่องสถานการณ์ในอิยิปต์ และกล่าวว่าการบรรยายนำเสนอเพื่อการปลุกเร้าให้มุสลิมฆ่ากันเอง... โปรดอ่านต่อในจดหมายทั้งหมดด้านล่างนี้!!

จดหมายเปิดผนึกถึง เชคริฏอ อะห์หมัด สะมดี และคณะ




        จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ทำขึ้นโดยผม ฟารีด เฟ็นดี้ ซึ่งกระทำการโดยลำพัง ไม่เกี่ยวกับองค์กร สถาบัน บุคคล และคณะบุคคลใดๆทั้งสิ้น
ถึงเชคริฏอ อะห์หมัด สะมดี และคณะ

السلام عليكم ورحمة الله وبركاته
 
        อ้างถึงคำบรรยายของเชคริฏอ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2556 เรื่องวิกฤติอียิปต์ด้วยหลักการอัลกุรอ่านและซุนนะฮฺ
        ตามที่ท่านได้บรรยายวิเคราะห์สถานการณ์ในอียิปต์ ปรากฏคลิปตามสื่อสาธารณะโดยทั่วไปนั้น ผมเรียกร้องให้ท่านทบทวนเนื้อหาคำบรรยาย เนื่องจากท่านได้ปกปิดข้อมูลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในอียิปต์ อีกทั้งได้นำเอาอัลกุรอ่านและฮะดีษมาอ้างอิงเป็นหลักฐานตัดสินมุสลิมว่าเป็น กาเฟร ซึ่งผิดไปจากวัตถุประสงค์และเป้าหมายของหลักฐานตามที่ท่านได้กล่าวอ้าง
        ท่านทราบดีว่า สถานการณ์ในอียิปต์แตกต่างจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในซีเรีย ซึ่งเป็นการต่อสู้กันระหว่างมุสลิมกับชีอะห์ที่เป็นศัตรูกับมุสลิมและอิสลาม แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอียิปต์ เป็นการเผชิญหน้าและประทะกันของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทั้งฝ่ายที่สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีมุรซีย์ และฝ่ายคัดค้าน ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้ถูกปกปิด มีเพียงการนำเสนอและปลุกเร้าให้คนทั่วไปรับทราบเพียงด้านเดียวว่า ประชาชนสู้กับทหาร และทหารฆ่าประชาชน
        นอกจากนั้นท่านยังได้นำเอาอัลกุรอ่านและฮะดีษมาตัดสินผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของท่าน และอ้างอย่างผิดๆ ตามที่ปรากฏในคลิปคำบรรยายว่า

وَلاَ تُصَلِّ عَلَى أَحَدٍ مِنْهُمْ مَاتَ أبَداً وَلاَ تَقُمْ عَلَى قَبْرِهِ


"และเจ้าอย่าได้ละหมาดให้คนหนึ่งคนใดในหมู่พวกเขาที่เสียชีวิต และอย่ายืนบนหลุมศพของพวกเขา"
ข้อความที่ต่อเนื่องของอายะห์นี้คือ

إنَّهُمْ كَفَرُوا بِاللهِ وَرَسُوْلِهِ وَمَاتُوا وَهُمْ فَاسِقُوْنَ


“แท้จริงพวกเขาปฏิเสธต่ออัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ และพวกเขาได้ตายในสภาพเป็นคนชั่ว” ซูเราะห์ อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 84

        ความจริงแล้ว อายะห์นี้ถูกประทานลงมาเนื่องจากการเสียชีวิตของ อับดุลลฮ์ อิบนิ อุบัยด์ อิบนิ ซะลูน หัวหน้ามุนาฟีกีน หรือผู้กลับกลอกทางด้านการศรัทธา ซึ่งพระองค์อัลลอฮ์ได้แฉพฤติกรรมของเขากับพรรคพวกไว้ในหลายซูเราะห์และหลาย อายะห์ เช่นช่วงต้นของซูเราะห์อัลบะกอเราะห์ ซูเราะห์อัตเตาบะห์ และซูเราะห์อัลมุนาฟิกูน เป็นต้น
พวกเขาคือกาเฟร เป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา ซึ่งท่านก็ทราบดีอยู่แล้ว ดังที่พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า

إنَّ المُنَافِقِيْنَ فِي الدَّرْكِ الأسْفَلِ مِنَ النَّارِ وَلَنْ تَجِدَ لَهُمْ نَصِيْراً


"แท้จริงบรรดามุนาฟิกีน (ผู้กลับกลอกด้านการศรัทธา) อยู่ในขุมนรกขั้นต่ำสุด และเจ้าจะไม่พบว่าพวกเขามีผู้ช่วยเหลือใดๆ" ซูเราะห์อันนิซาอ์ อายะห์ที่ 145
        และ ฮะดีษที่ท่านนำมากล่าวอ้าง ก็เป็นเหตุการณ์ที่ท่านอบูบักร์ ตัดสินผู้ปฏิเสธซะกาตว่า ตกมุรตัด สิ้นสภาพจากการเป็นมุสลิม ดังคำยืนยันของท่านต่อหน้าท่าน อุมัรว่า

وَاللهِ لأُقَاتِلَنَّ مَنْ فَرَّقَ بَيْنَ الصَّلاَةِ وَالزَّكاَةِ


"ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันจะต้องสู้รบกับพวกเขาอย่างแน่นอน ตราบใดที่พวกเขาแยกระหว่างละหมาดกับซะกาต" ศอเฮียะห์ บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 1312
         เหตุที่มาของฮะดีษบทนี้ถูกระบุไว้ในช่วงต้นฮะดีษคือ หลังจากท่านรอซูลเสียชีวิต อาหรับชนบทบางกลุ่มปฏิเสธที่จะจ่ายซะกาต ท่านอบูบักร์ ได้ตัดสินพวกเขาว่า ตกมุรตัด สิ้นสภาพการเป็นมุสลิม
        ท่านใช้อัลกุรอ่านข้างต้นนี้ตัดสินพี่น้องมุสลิมที่ไม่เห็นด้วยกับกับกลุ่มอิควานและแนวร่วมว่า พวกเขาเป็นมุนาฟิก ผู้กลับกลอกทางด้านการศรัทธา พวกเขาไม่ได้เป็นมุสลิม พวกเขาต้องอยู่ในนรกขั้นต่ำสุดกระนั้นหรือ
        ท่านใช้ฮะดีษข้างต้นนี้ตัดสินมุสลิมที่ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มอิควานและแนวร่วมว่า ตกมุรตัด สิ้นสภาพการเป็นมุสลิมกระนั้นหรือ
        ท่านกล่าวถึงผู้รู้ นักวิชาการในเมืองไทยและคนอื่นว่า เป็นมุนาฟิก ด้วยอัลกุรอานข้างต้นนี้ เท่ากับท่านตัดสินพวกเขาว่าไม่ได้เป็นมุสลิม เพราะอายะห์ข้างต้นนี้กล่าวถึงมุนาฟิกทางด้านอะกีดะห์
อีกทั้งมุสลิมทั้งโลกที่ไม่ใช่แนวร่วมของอิควานก็เป็นกาเฟรตกมุรตัดด้วยกระนั้นหรือ
นี่คือความเลยเถิดทางวิชาการ ที่ไม่อาจปฏิเสธได้
ขอถามสั้นๆว่า มุสลิมในอียิปต์มีเพียงกลุ่มอิควานและแนวร่วมของอิควานเท่านั้นใช่ไหม
คำตัดสินของท่านนี้มันร้ายแรงยิ่งกว่าการสังหารชีวิตผู้บริสุทธิ์เสียอีก
        ผม ขอเรียกร้องให้ท่านกลับคำ แล้วหวนกลับสู่การยึดอัลกุรอ่านและฮะดีษให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของหลักฐาน อย่าได้นำเอาอัลกุรอ่านและฮะดีษไปสนองความต้องการของตนเอง
หากท่านพลั้งพลาดโดยไม่เจตนา ก็ขออัลลอฮ์ทรงเมตตาและชี้ทางนำแก่ท่านด้วย
        แต่หากท่านยืนยันตามคำบรรยาย ผมก็บริสุทธิ์ไม่เกี่ยวข้องกับการมุสาและการบิดเบือนใดๆของท่านทั้งสิ้น
        หากท่านยอมรับความจริงว่า สถานการณ์ในอียิปต์ไม่ใช่มีเพียงทหารประทะกับประชาชนเท่านั้น แต่ยังมีการเผชิญหน้าและประทะกันระหว่างมุลิมกับมุสลิมด้วยกันเองอีกด้วย ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้หวนกลับสู่คำสอนของศาสนาที่เที่ยงตรง โดยยุติการปลุกเร้าและการแสดงสัญลักณ์ชูสี่นิ้ว เพื่อเชียร์ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะทั้งสองฝ่ายคือเลือดเนื้อของมุสลิม
และนี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม

عَن سَهْلِ بْنِ سَعْدٍ رَضِىَ اللهُ عَنْهُ أنَّ أهْلَ قُبَاءٍ اقْتَتَلُوا حَتَّى تَرَامَوا بِالْحِجَارَةِ فَأُخْبِرَ رَسُوْلُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ بِذَلِكَ فَقَالَ : اِذْهَبُوا بِنَا نُصْلِحُ بَيْنَهُمْ

จากซะฮล์ บิน ซะอด์ ขออัลลอฮ์ทรงพอพระทัยต่อเขาด้วย แท้จริงชาวกุบาอ์ได้ต่อสู้กันจนกระทั่งต่างขว้างปากันด้วยก้อนหิน เมื่อท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้ทราบข่าวนี้ ท่านกล่าวว่า “ไปกันเถอะ เราจะประนีประนอมระหว่างพวกเขา” ศอเฮียะห์ บุคอรี ฮะดีษเลขที่ 2496
และนี่ก็อีกเหตุการณ์หนึ่ง พร้อมคำฟัตวาของศอฮาบะห์ โดยอ้างคำสอนของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

عَنِ الأحْنَفِ بْنِ قَيْسٍ قَالَ : ذَهَبْتُ لأنْصُرَ هَذَا الرَّجُلَ فَلَقِيَنِي أبُوبَكْرَةَ فَقَالَ أيْنَ تُرِيْدُ قُلْتُ أنْصُرُ هَذاَ الرَّجُلَ قَالَ إرْجِعْ فَإنِّي سَمِعْتُ رَسُوْلَ اللهِ صَلَّى اللهُ عليه وَسَلَّمَ يَقُوْلُ : إذَا التَقَى المُسْلِمَانِ بِسَيْفَيْهِمَا فَالْقَاتِلُ وَالمَقْتُوْلُ فِي النَّاِر فَقُلْتُ يَارَسُوْلَ اللهِ هَذَا القَاتِلُ فَمَا بَالُ المَقْتُوْلِ قَالَ إنَّهُ كَانَ حَرِيْصاً عَلَى قَتْلِ صَاحِبِهِ

        อะห์นัฟ บิน กอยซ์ รายงานว่า ฉันได้ไปช่วยเหลือชายคนหนึ่ง แต่อบูบักเราะห์ ได้มาพบฉันเสียก่อน เขาถามว่า ท่านต้องการอะไรหรือ ฉันตอบว่า ฉันจะไปช่วยเหลือคนคนนี้ เขากล่าวว่า จงกลับไป เพราะฉันเคยได้ยินท่านรอซูลุ้ลลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า "เมื่อ มุสลิมทั้งสองเผชิญหน้ากันด้วยอาวุธ ทั้งผู้ฆ่าและผู้ถูกฆ่าลงนรกทั้งคู่ ฉันถามว่า โอ้ท่านรอซูลุ้ลอฮ์ นี้ผู้ฆ่า แล้วผู้ถูกฆ่าลงนรกได้อย่างไร ท่านตอบว่า แท้จริง (ผู้ถูกฆ่า) ก็จ้องที่จะฆ่าอีกฝ่ายหนึ่งเหมือนกัน" ศอเฮียะห์ บุคอรี บทที่ว่าด้วยเรื่องการศรัทธา ฮะดีษเลขที่ 30
        แต่หากการต่อสู้กันนั้นเกิดจากความเข้าใจผิดระหว่างกัน และนำไปสู่การประหัตประหารซึ่งกันและกัน ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงดำรงสถานะเป็นมุอ์มิน พระองค์อัลลอฮ์ทรงกล่าวว่า

وَإنْ طَائِفَتاَنِ مِنَ المُؤْمِنِيْنَ اقْتَتَلُوا فَأصْلِحُوا بَيْنَهُمَا فَإنْ بَغَتْ إحْدَاهُمَا عَلَى الأخْرَى فَقَاتِلُوا الَّتِى تَبْغِي حَتَّى تَفِئَ إلَى أمْرِ اللهِ فَإنْ فَاءَتْ فَأصْلِحُوا بَيْنَهُمَا بِالْعَدْلِ وَأقْسِطُوا إنَّ اللهَ يُحِبُّ المُقْسِطِيْنَ

        “และหากมุอ์มินสองฝ่ายเข่นฆ่ากัน พวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างสองฝ่ายนั้น หากฝ่ายหนึ่งละเมิดอีกฝ่ายหนึ่ง พวกเจ้าก็จงปราบฝ่ายละเมิดจนกว่าเขาจะกลับสู่คำบัญชาของอัลลอฮ์ และหากเขายอมกลับแล้ว พวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างเขาทั้งสองด้วยความเที่ยงธรรม และพวกเจ้าจงยุติธรรมเถิด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้ที่ยุติธรรม”ซูเราะห์ อัลฮุจรอ๊ต อายะห์ที่ 9
        ข้างต้นนี้คือคำสั่งและวิธีปฏิบัติจากคำสอนของอัลลอฮ์และรอซูล พร้อมทั้งคำฟัตวาของศอฮาบะห์ หวังว่าท่านคงจะไม่ยอมรับบางส่วนและปฏิเสธบางส่วน
        ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มุสลิมต่อสู้กัน จึงเป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องช่วยกันยุติการหลั่งเลือดของมุสลิมทั้งสองฝ่าย มิใช่ปลุกเร้า ยุยงส่งเสริมฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หากไม่สามารถกระทำการใดๆได้ ก็ช่วยขอดุอาอ์ให้เหตุการณ์นองเลือดนี้ยุติโดยเร็ว เพราะดุอาอ์คืออาวุธของมุอ์มินไม่ใช่หรือ
         โดย ส่วนตัวแล้ว ผมเห็นด้วยและยินดีเป็นอย่างยิ่ง หากประเทศอียิปต์ปกครองด้วยกฏหมายอิสลามเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่เพียงเอาอิสลามมาอ้าง แต่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดและวิธีการของกลุ่มอิควาน ที่ปลุกระดมมวลชนให้เผชิญหน้ากัน แล้วนำไปสู่การนองเลือดของผู้บริสุทธิ์ดังที่ปรากฏ
การตั้งรัฐอิลามบนซากศพมุสลิมที่ประหัตประหารกันเองนี้ ไม่ใช่วิธีคิดและวิธีปฏิบัติของอิสลาม
       พร้อม กับจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ขอส่งข้อความถึงกลุ่มอิควานและแนวร่วมอิควานในประเทศไทยว่า อย่าได้ฉกฉวยสถานการณ์การนองเลือดของมุสลิมด้วยกันนี้ดึงประชาชนผู้บริสุทธ์เข้าร่วม อุดมการณ์ของตนเอง
ขออัลลอฮ์ทรงประทานความสำเร็จแด่ผู้ยืนหยัดบนทางนำ




ฟารีด เฟ็นดี้
อาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2556


คัดลอกจาก http://www.fareedfendy.com/alikwan1.php


อ่านต่อ: http://www.muslimvoicetv.com/ncontent/news.php?nid=12123#ixzz2knaejjit

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม