วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คำสารภาพ"หัวหน้าทีมสังหาร"ที่ปลายด้ามขวาน

คำสารภาพ"หัวหน้าทีมสังหาร"ที่ปลายด้ามขวาน




            นายมะสือดี คามิ หรือ ปะดอ อายุ 26 ปี แกนนำกลุ่มปฏิบัติการอาร์เคเค ระดับหัวหน้ากลุ่ม ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่มีหมายจับเลขที่ จส.335/48 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2548 ในข้อหาเกี่ยวกับความมั่นคงและมีค่าหัวสูงถึง 5 แสนบาท ได้กล่าวเปิดเผย ถึงเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า …

            ขณะนี้มีเยาวชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมาก ที่เข้าเป็นแนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และเมื่อผ่านกระบวนการดื่มน้ำสาบาน และทำพิธีซุมเปาะแล้วไม่สามารถถอนตัวออกจากองค์กรได้ เช่นเดียวกับตัวเองเมื่อครั้งหลงผิดและแทบไม่มีโอกาสกลับสู่สังคมปกติได้ทั้งๆ ที่ไม่อยากทำ แต่ถูกข่มขู่ว่าหากหนีไปก็ไม่พ้น เพราะทุกพื้นที่ซึ่งมีสังคมมุสลิม นั่นหมายถึงทุกแห่งจะมีคนขององค์กรแฝงตัวอยู่ และจะมีคนตามเก็บเพื่อปิดปากในที่สุด 

            ส่วน คนที่ชักจูงให้เข้าสู่การขบวนการอาร์เคเคคือ ครูสอนศาสนา หรืออุซตาส ที่มีการส่งไม้ต่อเป็นทอด จากการชักนำของเพื่อนในกลุ่มที่โรงเรียนอีกทีหนึ่ง กระทั่งนำไปสู่ขั้นตอนการทำพิธีสาบาน พร้อมกับเพื่อนร่วมรุ่นอีก 10 คน และล่องแพไปฝึกในพื้นที่เขื่อนบางลาง โดยมีครูฝึกรูปร่างสูงใหญ่ ไม่ใช่คนไทย เพราะไม่สามารถพูดหรือสื่อสารภาษาเดียวกันได้ แม้กระทั่งภาษามลายูท้องถิ่น โดยคำสั่งทุกคำจะต้องผ่านล่ามอีกคน ซึ่งไม่มีใครเคยเห็นหน้า

            การฝึกใช้เวลานานกว่าหนึ่งเดือน กระทั่งจบหลักสูตร และส่งตัวกลับมาอยู่ในหมู่บ้าน ซึ่งเพื่อนร่วมรุ่นครั้งนั้นเสียชีวิตในการฝึก 2 คน ส่วนที่เหลือแยกย้ายกันหมดจนกระทั่งถึงวันนี้ยังไม่มีโอกาสพบหน้ากันอีกเลย ทั้งหมดจะต้องรอคำสั่งจากจากบุคคลภายนอกผ่านการประสานของเครือข่ายในพื้นที่ ซึ่งงานแต่ละครั้งชุดประสานจะไม่เคยซ้ำหน้ากันแม้แต่ครั้งเดียว

            "หัวหน้าทีมของผมในช่วงแรกอยู่บาเจาะ โดยที่เราไม่มีโอกาสพบเขาได้เลย นอกจากเขาต้องการและจะมาหาเราเอง การนัดหมายงานส่วนใหญ่จะพบกันที่สนามฟุตบอลในหมู่บ้าน จากนั้นจะมีการชี้เป้า รวมไปถึงคนประสานงานก่อนลงมือและรับอาวุธตามเวลาและสถานที่ก่อนลงมือกับเหยื่อไม่นาน" เขา กล่าว

            นายมะสือดี กล่าวว่า ได้พยายามจดจำใบหน้าผู้เกี่ยวข้องในงานแต่ละครั้ง แต่ท้ายที่สุดแทบจะไม่เจอกันอีกเลย หลังผ่านพ้นงานแต่ละครั้ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ก่อเหตุแล้วประมาณ 20 ครั้ง จนกระทั่งแทบไม่หลงเหลือความรู้สึกสงสารกับเหยื่อเลย

            "ทุกครั้งที่เราบอกว่าไม่อยากทำหรือไม่กล้าลงมือกับเหยื่อ คนติดตามจะบอกเพียงว่างั้นพี่เสียใจกับน้องด้วย ทำให้เราตกอยู่ในภาวะจำยอมต้องทำตามคำสั่งทุกครั้งเพราะหากคิดหนีก็คงไปไม่รอด" นายมะสือดี กล่าว 

            เขากล่าวอีกว่า กระทั่งงานสุดท้ายที่ได้รับมอบหมายคือการให้เก็บสายข่าวเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นหญิงหม้าย ลูกหนึ่ง จึงตัดสินใจหาทางมอบตัวเพราะรับไม่ไหวกับสภาพที่ถูกกดดันอย่างหนัก โดยแต่ละคืนนอนไม่หลับคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทุกคืน เว้นเสียจากใช้ยานอนหลับเท่านั้น 

            "ผมถามเขาว่าช่วยผมได้ไหม เพราะวันนี้ที่พึ่งเดียวคือคนไทยพุทธ เพราะหากไปที่อื่นตามคำขู่ของเขาผมไม่รอดแน่ กระทั่งผมได้รับความช่วยเหลือในที่สุด แต่วันนี้ก็ยังยอมรับว่ายังไม่ไว้ใจใคร" นายมะสือดี กล่าว

            นายมะสือดี กล่าวว่า วันนี้เจ้าหน้าที่รัฐบางคนก็ยังไม่น่าไว้วางใจ เพราะเมื่อครั้งเข้าพิธีซุมเปาะ พบว่ามีคนของรัฐเข้าร่วมกระบวนการดังกล่าว รวมถึงตำรวจบางนายก็เป็นส่วนหนึ่งในขบวนการ ทำหน้าที่เป็นสายให้  โดยเหตุการณ์หลายครั้งที่มีโอกาสร่วมขบวนการพบว่าจะได้ข้อมูลในส่วนของทางการจากสายเหล่านี้ในการส่งสัญญาณชี้เป้าก่อนลงมือปฏิบัติการ

            "วันนี้ผมถูกฝ่ายตรงข้ามใช้วิธีป้ายสีเพื่อไม่ให้กลับบ้านหรือภูมิลำเนาได้ด้วยการลอบสร้างสถานการณ์ทั้งวางเพลิงและทำลายทรัพย์สิน จากนั้นก็ปล่อยกระแสข่าวลือว่าเป็นฝีมือของผม ทั้งที่เราถอนตัวออกมาแล้วแต่พวกเขาไม่ยอมรามือ" นายมะสือดี กล่าว

            นายมะสือดี ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมได้เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่หลายเหตุการณ์ และส่วนใหญ่ได้แต่งกายด้วยเครื่องแบบเจ้าหน้าที่แทบทุกครั้งในการก่อเหตุเพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน อย่างไรก็ตามหลังถูกจับกุมนายมะสือดีสำนึกผิดและพร้อมให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้

http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม