วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

5 ข้อเสนอบีอาร์เอ็น เส้นทางสู่สันติภาพหรืออหังการโจรใต้

 5 ข้อเสนอบีอาร์เอ็น เส้นทางสู่สันติภาพหรืออหังการโจรใต้


       พลันที่การเริ่มใช้แนวทางสันติวิธีโดยการพูดคุยสันติภาพระหว่าง สมช. และผู้แทนขบวนการบีอาร์เอ็นโดยมีมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อ 28 ก.พ.56 กระแสวิพากษ์ถึงความเป็นไปได้ที่จะนำความสงบสุขกลับมาสู่ภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะความหวังในการใช้ชีวิตแบบปกติสุขของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการก่อเหตุรุนแรงที่ยื้ดเยื้อมาถึง 9 ปี พร้อมด้วยหลายพันชีวิตที่ต้องบาดเจ็บและเสียชีวิตไปก็เริ่มต้นขึ้น แต่ถึงวันนี้การพูดคุยสันติภาพผ่านไปแล้วถึง 3 ครั้ง เค้าลางแห่งสันติภาพที่หลายฝ่ายคาดหวังยังคงไม่ปรากฏแต่อย่างใด ตรงกันข้ามการเรียกร้องซึ่งฝ่ายบีอาร์เอ็นใช้คำว่า “ข้อเสนอ” กลับเป็นเหมือนสิ่งฉุดรั้งไม่ให้กระบวนการนี้บรรลุวัตถุประสงค์ของทั้ง 2 ฝ่ายได้

         ด้วยข้อเสนอทั้ง 5 ข้อที่ฝ่ายขบวนการเสนอต่อรัฐบาลไทยนั้น หลายฝ่ายทั้งนักวิชาการในและนอกพื้นที่ ผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชนหรือแม้แต่การพูดคุยในร้านน้ำชายังคงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเป็นไปไม่ได้ในหลายประเด็น โดยเฉพาะข้อเสนอข้อ 4 ให้ปล่อยตัวแนวร่วมที่ถูกคุมขังโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะนอกจากจะขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนแล้วยังขัดต่อความรู้สึกของประชาชนซึ่งเป็นผู้สูญเสียด้วย


         ลองจินตนาการดูซิว่า คนที่ฆ่าพ่อแม่พี่น้องของประชาชนในพื้นที่ สร้างความสูญเสียให้กับบ้านเมืองอย่างสุดประมาณ แทนที่จะต้องชดใช้กรรมที่เขาเหล่านั้นได้กระทำอย่างเลวทรามไว้ แต่สามารถรอดพ้นอาญาบ้านเมืองเหมือนไม่ได้เคยกระทำผิด ประชาชนผู้สูญเสียเหล่านั้นจะมีความรู้สึกอย่างไร สภาพจิตวิทยาสังคมจะย่ำแย่ขนาดไหน สำคัญที่สุดไม่ว่าอาชญากรเหล่านี้จะกระทำด้วยอุดมการณ์ตามที่กล่าวอ้างหรือด้วยเหตุผลใดๆ แต่สิ่งที่กลุ่มขบวนการนี้ได้กระทำคือผู้สังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์

         ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องคงรับรู้จากการแสดงทัศนะของส่วนต่างๆ ได้จากการนำเสนอของทั้งสื่อกระแสหลักและสื่อทางเลือกว่าไม่มีใครเห็นด้วยเพราะแม้แต่สื่อที่มีพฤติกรรมสนับสนุนฝ่ายขบวนการเองก็ยังแสดงความเห็นแบบแบ่งรับแบ่งสู้

         การชิงความได้เปรียบอย่างน่ารังเกียจของขบวนการก่อนการพูดคุยในวันที่ 13 มิ.ย.56 โดยผู้แทนขบวนการได้เผยแพร่คลิปวีดีโอผ่านเว็ปไซต์ยูทูปติดต่อกันหลายตอน ดูจะยืนยันความไม่จริงใจในการแก้ปัญหาร่วมกันของขบวนการได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ชี้ชัดคือการพูดคุยที่เกิดขึ้นนี้มีข้อตกลงร่วมกันว่าจะต้องใช้การพูดคุยบนโต๊ะตามกระบวนการที่จัดวางไว้เท่านั้น แต่ขบวนการกลับใช้วิธีเปิดเผยผ่านสื่อด้วยข้อมูลหลักคือ ย้ำความต้องการในข้อเสนอ 5 ข้อ และกล่าวหาว่ารัฐบาลไทยเกี่ยวข้องกับเหตุรุนแรงในพื้นที่โดยเฉพาะการยิง 6 ศพที่ปัตตานี สิ่งนี้ชี้ชัดถึงความไม่จริงใจใน 2 ประเด็น

        ประเด็นแรกข้อเสนอทั้ง 5 ข้อของขบวนการไม่มีข้อใดเลยที่กล่าวถึงแนวทางในการลดการใช้ความรุนแรงการหยุดก่อเหตุร้ายที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน ทั้งๆ ที่ขบวนการเองเป็นฝ่ายกระทำมาอย่างต่อเนื่อง ตรงกันข้ามกลับเร่งเพิ่มความถี่ในการก่อเหตุมากขึ้น เพื่อกดดันฝ่ายรัฐบาลให้ยอมรับข้อเสนอที่นอกจากไม่มีใครเห็นด้วยแล้วยังเอื้อประโยชน์ให้กับขบวนการและแนวร่วมเพียงฝ่ายเดียว และที่น่าจะเข้าตัวผู้แถลงคือนายฮาซัน ตอยิบ กรณีกล่าวว่ากระบวนการสันติภาพควรเป็นวาระแห่งชาติ ไม่ใช่เครื่องมือเพื่อล้างบาปหรือความโลภของคนใดคนหนึ่ง แล้วข้อเสนอข้อที่ 4 มิใช่เครื่องมือล้างบาปให้กับกลุ่มขบวนการหรือ นี่แสดงให้เห็นถึงความไม่จริงใจในการแก้ปัญหาร่วมกันอย่างแท้จริง

          ประเด็นที่สอง ความพยายามในการบิดเบือนข้อมูลการก่อเหตุผ่านโซเซียลมีเดียเพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาคมโลก เช่น กรณียิง 6 ศพ ก็ปรากฏชัดเจนแล้วว่าอาวุธที่คนร้ายใช้นั้นมีหลักฐานการเชื่อมโยงคดีโดยเฉพาะกระสุนและปลอกกระสุน พบว่าปืนที่ใช้จำนวน 1 กระบอก มีหลักฐานปรากฎเคยใช้ก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง รวมถึงการใช้ยิงนายยะโก๊ป หร่ายมณี โต๊ะอิหม่ามมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีและบุตรสาว เมื่อ 11 ต.ค.53 รวมทั้ง 6 ศพล่าสุดซึ่งมีเด็กอายุเพียง 2 ขวบเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยม ดังนั้นการกล่าวในลักษณะข่มขู่ตอบโต้ กล่าวหารัฐไทยว่าใช้ความรุนแรงกับประชาชนปาตานี จึงเป็นเพียงต้องการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อยกระดับกลุ่มของตนให้ได้รับการยอมรับเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงขบวนการบีอาร์เอ็นและกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยความแตกแยกภายในขบวนการนั้นเองที่เป็นฝ่ายใช้ความรุนแรงโดยไม่เลือกเป้าหมายมาโดยตลอด

       จากบทเรียนการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งร่วมกันที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ในโลกนั้นบางแห่งต้องใช้เวลายาวนาน และด้วยความจริงที่ว่าการพูดคุยเพื่อสร้างสันติภาพในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงได้ทั้งสองฝ่ายหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ การใช้วิธีเยี่ยงผู้มากด้วยเล่ห์กลของผู้แทนขบวนการบีอาร์เอ็น

        ด้วยข้อเสนอที่เห็นแก่ตัวและการกล่าวหาโดยให้ข้อมูลด้านเดียวย่อมมิใช่วิถีของผู้ต้องการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีของผู้ที่เจริญแล้ว หากแต่เป็นการแสดงออกถึงความแข็งกร้าวไม่ใช้กระบวนการพูดคุยอย่างถูกต้อง บทบาทและการกระทำของบีอาร์เอ็นวันนี้จึงไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นความพยายามในการสร้างสันติภาพ แต่เป็นความอหังการชอบใช้ความรุนแรงโดยไม่คำนึงถึงประชาชนที่ต้องบาดเจ็บล้มตายมากกว่า


สันติสนทนา การเจรจาที่น่าเคลือบแคลง


        แล้วความเคลือบแคลงใจของหลายฝ่ายเกี่ยวกับบทบาทท่าทีและความจริงใจของผู้แทนขบวนการบีอาร์เอ็นก็ปรากฏชัดและแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงซึ่งแอบแฝงอยู่ภายใต้วาทะกรรม “สันติสนทนา” ด้วยเกมส์รุกที่เหนือชั้นของฮาซัน ตอยิบ และอับดุลการิม คอลิบ ผู้แทนบีอาร์เอ็นซึ่งได้แถลงข้อเสนอ 5 ข้อเผยแพร่ผ่านยูทูบก่อนวันที่จะมีการพูดคุยรอบที่ 3 เพียง 1 วัน แน่นอนว่าด้วยข้อเสนอทั้ง 5 นั้น ได้สร้างกระแสความไม่เห็นด้วยและได้รับการปฏิเสธจากหลายฝ่าย ขณะที่ระดับนโยบายรวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเจรจาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอย่างชัดเจน

         ตามมาด้วยกระแสวิพากษ์แสดงทัศนะของนักวิชาการอีกหลายท่าน โดยเฉพาะท่านที่มีบทบาทชี้นำความเป็นไปในพื้นที่ทั้งที่เกี่ยวข้องโดยเป็นนักวิชาการที่มีเชื้อสายมลายูและส่วนที่อยู่ในสถาบันส่วนกลาง จากน้ำเสียงของท่านเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ได้แสดงทัศนะในเชิงสร้างสรรค์ พร้อมชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้อย่างมีนัยสำคัญที่น่าสนใจ ภายใต้ความมุ่งหวังเดียวกันคือ ร่วมกันแสวงหาทางออกด้วยแนวทางสันติเพื่อให้ปัญหาที่ยื้ดเยื้อมานานจบลงโดยเร็ว

          ข้อเสนอทั้ง 5 ข้อ เริ่มตั้งแต่ให้ยอมรับประเทศมาเลเซียเป็นคนกลางในการเจรจา (ซึ่งจริงๆ เวลานี้ต้องเรียกว่าพูดคุย) การให้มีพยานจากอาเซียน องค์การความร่วมมืออิสลามหรือเอ็นจีโอเข้ามาร่วมพูดคุย รวมถึงการที่ฝ่ายไทยต้องยอมรับว่าบีอาร์เอ็นไม่ใช่ขบวนการแบ่งแยกแต่เป็นขบวนการปลดปล่อยชาวปาตานีนั้น หากพิจารณาถึงสาระแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่หากทั้งสองฝ่ายมีความจริงใจที่จะสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นร่วมกันโดยคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก เพราะในทุกเวทีที่มีการเจรจาเพื่อสันติภาพในประเด็นความขัดแย้งใดๆ ก็จำเป็นที่จะต้องมีองค์ประกอบเหล่านี้เพื่อให้เกิดความพึงพอใจร่วมกันของคู่เจรจา แม้ว่าเจตนาของบีอาร์เอ็นต้องการที่จะยกระดับการพูดคุยเป็นการเจรจาที่สูงขึ้นก็ตาม

         แต่วันนี้กระบวนการสันติภาพยังอยู่ในขั้นตอนของการพูดคุยเพื่อสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันระหว่างฝ่ายไทยและกลุ่มขบวนการยังไม่ถึงขั้นการเจรจา ข้อเสนอข้างต้นจึงยังเป็นเพียงข้อเสนอที่ต้องใช้เวลาพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ เพราะหากกระบวนการมีการพัฒนาไปถึงขั้นการเจรจาแล้ว ข้อเสนอซึ่งวันนี้ยังพิจารณาร่วมกันได้จะกลายเป็น “ข้อต่อรอง” ซึ่งหากถึงเวลานั้นจริงๆ คู่เจรจาและองค์ประกอบข้างต้นจะเป็นองคาพยศสำคัญในการร่วมกันทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ สามารถนำไปสู่สันติภาพที่ต้องการ หรือหนทางแห่งสันติภาพอาจพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่าหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ทั้งสองหนทางนี้มีความเป็นไปได้เท่าๆ กันซึ่งนับเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่งโดยมีชะตากรรมของประชาชนในพื้นที่เป็นเดิมพัน

         โดยรวมแล้วก็ต้องใช้เวลาในการพิจารณาร่วมกันพร้อมฟังเสียงของประชาชนเจ้าของประเทศด้วย ซึ่งนั้นเป็นวิถีแห่งประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ




          ยกเว้นข้อเสนอข้อที่ 4 ที่ดูเหมือนนักวิชาการเหล่านั้นไม่ได้วิพากษ์และให้เหตุผลอย่างชัดเจนคือ ต้องปล่อยตัวผู้แกนนำแนวร่วมในคดีความมั่นคงโดยไม่มีเงื่อนไข ที่ฟังอย่างไรก็รู้สึกคับข้องใจระคนสงสัยว่านี่คือข้อเสนอที่จะนำไปสู่สันติภาพได้กระนั้นหรือ เพราะตั้งแต่เหตุการณ์รุนแรงที่ปะทุขึ้นอีกครั้งตั้งแต่ต้นปี 47 เป็นต้นมา การเสียชีวิตของพลเรือน เจ้าหน้าที่รัฐผู้ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กรอบกฏหมาย ประชาชนทุกสาขาอาชีพทั้งที่เป็นพุทธและมุสลิม ไม่เว้นแม้แต่คนแก่ เด็กผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาต้องสูญเสียชีวิตไปด้วยการก่อเหตุร้ายหลายรูปแบบ เป็นการก่ออาชญากรรมต่อพี่น้องประชาชนอย่างร้ายแรง แล้วด้วยข้อเสนอข้อนี้หากรัฐบาลไทยยอมรับ แล้วปล่อยให้อาชญากรเหล่านั้นออกมาเดินลอยชายเสมือนไม่ได้ก่อกรรมทำเข็ญกับประชาชนไว้ รัฐบาลไทยจะตอบคำถามนี้กับประชาชนโดยเฉพาะกับญาติพี่น้องของผู้สูญเสียเหล่านั้นได้อย่างไร

        ข้อเสนอของบีอาร์เอ็นในข้อนี้จึงไม่ใช่หนทางไปสู่สันติภาพ แต่เป็นความแข็งกร้าวที่ต้องการกดดันรัฐบาลไทยให้ยอมรับด้วยคิดว่ากลุ่มตนมีแต้มต่อที่สำคัญ กล่าวคือ หากไม่ยอมรับก็ก่อเหตุร้ายต่อไป และแน่นอนว่าบีอาร์เอ็นนอกจากไม่เคยประกาศความรับผิดชอบต่อการกระทำแม้แต่ครั้งเดียวแล้ว ยังโยนความผิดให้ฝ่ายรัฐทุกครั้งหากเห็นว่าจะเสียมวลชน

         และหากการเสนอตนออกมาเป็นผู้แทนการพูดคุยของบีอาร์เอ็นมีความจริงใจตามที่กล่าวอ้างแล้ว การเปิดเผยตัวตนและขบวนการครั้งนี้จึงเท่ากับเป็นการยอมรับว่าเหตุร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นบีอาร์เอ็นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังและต้องรับผิดชอบต่อการก่อเหตุจนนำไปสู่การสูญเสียทั้งหมด ซึ่งผู้ที่ก่อเหตุซึ่งกำลังถูกคุมขังและขบวนการเสนอให้ปล่อยตัวนั้นย่อมต้องเกี่ยวข้องกับบีอาร์เอ็นด้วยเช่นกัน
         ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยการตัดสินใจเรื่องใดๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องต้องนำบทบัญญัติมายึดถือและนำมาเป็นบรรทัดฐานเพื่อให้เกิดความเสมอภาคในการบังคับใช้กฏหมาย เพราะ ท้ายที่สุดแล้วประชาชนในพื้นที่จะตัดสินใจได้เองว่า ใครที่ให้ความสำคัญกับประชาชน ใครที่ต้องการให้สันติสุขเกิดขึ้นในพื้นที่ ใครเป็นอุปสรรคขัดขวาง และใครคืออาชญากร เพราะอาชญากรก็คืออาชญากร

ซอเก๊าะ  นิรนาม  
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม