ASTVผู้จัดการ - เกาะติดคดีขุดรากถอนโคนมาเฟียสีกากีอ้างเบื้องสูง อึ้งค้นบ้านพัก “พงศ์พัฒน์-โกวิท” เจอขุมทรัพย์นับพันล้าน ธนบัตรดอลลาร์ซุกไว้เป็นฟ่อน ทองคำแท่ง-รูปพรรณ กับวัตถุโบราณล้ำค่าเพียบ แฉแค่นายดาบคนขับรถมีสมบัติอย่างต่ำคนละ 50 ล้าน สารภาพสิ้นร่วมรับส่วยน้ำมันเถื่อนภาคใต้เดือนละ 15 ล้าน เตรียมยัดคุก-ยึดทรัพย์ปิดตำนานเจ้าพ่อสอบสวนกลาง
ความคืบหน้าคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.กับพวกที่ตกเป็นผู้ต้องหาความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลอาญามาตรา 112 และเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ มาตรา 148 และเรียกรับผลประโยชน์ มาตรา 149 และ มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีรายงานว่าช่วงสายวันที่ 22 พ.ย.นี้มีภาพ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์กำลังถูกเจ้าหน้าที่สอบสวนอยู่เซฟเฮาส์แห่งหนึ่ง บุคคลที่ปรากฏในภาพคือ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.เพื่อนร่วมรุ่น 31 ส่วน พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์สวมเสื้อยืดสีขาวนั่งอยู่ข้างๆ ลักษณะเคร่งเครียดและอิดโรย นอกจากมีนายตำรวจระดับสูงกำลังสอบปากคำแล้วยังมีกำลังทหารกระจายอยู่รอบๆ
รายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของการดำเนินคดีนั้น พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และผู้ต้องหาทุกคนให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา ทั้งนี้สืบเนื่องจากจำนนต่อพยานหลักฐานที่ถูกค้นพบในบ้านพักส่วนใหญ่ที่เป็นรายการทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลและไม่สามารถอธิบายถึงความเป็นไปได้ เช่น สองนายดาบตำรวจที่เป็นคนขับรถประจำตัว พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ และ พล.ต.ต.โกวิท วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก.มีทรัพย์สินกว่า 50 ล้านบาท
ส่วนอดีต ผบช.ก. เจ้าหน้าที่ได้ค้นคฤหาสน์บ้านพักพบเงินสดเป็นธนบัตรดอลลาร์รวมทั้งสิ้นหลายสิบล้านดอลลาร์กับทองคำแท่ง และทองรูปพรรณอีกจำนวนมาก
เช่นเดียวกับ พล.ต.ต.โกวิท ที่พบว่ามีการซุกซ่อนธนบัตรและทองคำในบ้านพักจำนวนมากเช่นกัน นอกจากนั้นยังพบวัตถุโบราณล้ำค่าอีกจำนวนหนึ่ง ประเมินว่าทรัพย์สินทั้งหมดนั้นมีมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาทเลยทีเดียว
มีรายงานด้วยว่า ผลการเอาจริงเอาจังต่อขบวนการอิทธิพลโดยแอบอ้างเบื้องสูงโดยไม่มีใครกล้าแตะต้องมาเป็นเวลานั้น นับเป็นผลงานของทางการไทยที่ทั่วโลกให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งเพราะมีบุคคลสำคัญเข้าไปเกี่ยวข้องจำนวนมาก อีกทั้งยังนับว่านี่คือการเปลี่ยนโฉมสังคมไทยกันอย่างแท้จริง เพราะทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมาแม้คนไทยจะรังเกียจการทุจริตคอร์รัปชัน อีกทั้งรัฐบาลที่มาจากพรรคการเมืองทุกพรรคก็ให้สัญญาจะปราบปรามขบวนการทุจริต แต่ในที่สุดเป็นเพียงลมปากกับนโยบายสวยหรูโดยไม่มีการเอาจริงเอาจังแม้แต่ครั้งเดียว ผลของการขุดรากถอนโคนขบวนการแอบอ้างเบื้องสูงในแวดวงสีกากีแก๊งนี้จึงนับเป็นสัญญาณที่ดีของรัฐบาลทหาร เพราะเชื่อว่ายังมี “เหลือบ” ที่แอบอ้างบุคคลสำคัญหากินในหน่วยงานอื่นกันอยู่
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของอดีต ผบช.ก.กับพวกนั้น ขั้นตอนต่อจากนี้เมื่อสอบสวนดำเนินคดีในข้อหาต่างๆ แล้วจะมีความผิดฐานฟอกเงินเป็นการปิดท้ายเพื่อยึดทรัพย์ทั้งหมดตกเป็นของแผ่นดินต่อไป
สำหรับประวัติ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. เกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2499 ที่ตำบลบ้านบ่อ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร เป็นบุตรนายประวัติ และนางยุพิน ฉายาพันธุ์ จบระดับประถมการศึกษาที่โรงเรียนวัดใหญ่บ้านบ่อ มัธยมศึกษาจากโรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย โรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 15 (ตท.15) โรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 31 ร่วมรุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ผบช.ภ.1 เป็นต้น จบปริญญาโทรัฐศาสตรมหาบัณฑิตจากจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย และยังผ่านการอบรมหลักสูตรทั้งในและต่างประเทศอย่างมากมาย เช่น หลักสูตรผู้บริหารชั้นสูงของตำรวจ หลักสูตรสืบสวนหน่วยสืบราชการลับจากมหาวิทยาลัยสิบราชการลับสหรัฐอเมริกา หลักสูตรด้านการบริหารตำรวจจากวิทยาลัยตำรวจแคนนาดา เป็นต้น
เส้นทางราชการนายตำรวจผู้นี้ เคยเป็นสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลท่าพระ สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา รองผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลบางขุนนนท์ ผกก.1 กองปราบปราม ผกก.2 กองปราบปราม ผกก.ปฏิบัติการพิเศษ กองปราบปราม รอง ผบก.กองปราบปราม รักษาราชการแทนผู้การกองปราบปราม ผู้บังคับการกองปราบปราม ก่อนขยับเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเมื่อปี พ.ศ. 2553 ซึ่งในขณะนั้นเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางเพราะเส้นทางการเติบโตของนายตำรวจผู้นี้แหกกติกา ระเบียบแบบแผนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาโดยตลอด
เช่นเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2550 ตอนที่ถูกดวางตัวเป็น ผบก.ป.แต่ไม่ครบหลักเกณฑ์เนื่องจากเป็นรอง ผบก.ไม่ถึง 4 ปี และยังไม่ได้เข้าโรงเรียนผู้บังคับการ อีกด้วยแต่มีการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ให้ยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ เส้นทางการเข้าสู่ตำแหน่ง “ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง” ของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ยังคืบต่อไปอย่างไม่หยุด โดยหลังจากนั้นอยู่ในตำแหน่ง ผบก.ป.เพียงปีเดียวก็ขยับขึ้นเป็นรอง ผบช.ก. ได้เพียง 6 เดือนก็ผงาดเป็นรักษาการ ผบช.ก.และเป็น “ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง” อย่างเต็มตัว เมื่อ พ.ศ. 2553 กระทั่งมาถูกคำสั่งฟ้าผ่าตอนตี 4 ดังกล่าว
ส่วนผลงานสำคัญคือจับนายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ เมื่อปีก่อน และผลงานในอดีต เช่น ทลายแก๊งปลอมดอลลาร์ที่คนร้ายใช้เทคโนโลยีสูงสุดสามารถปลอมธนบัตรได้เหมือนจริง ผู้ต้องหาคือนายอาซินลี เจ้าของฉายา “คิงคอง” เจ้าหน้าที่สามารถยึดของกลางจำนวนมาก เช่น แท่นพิมพ์ ดอลลาร์ปลอมจนสหรัฐฯ ยกให้เป็นคดีประวัติศาสตร์ มีผลงานแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ศาสตร์หน่วยสืบราชการลับ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. จับนายโรแลนด์ ลอสซิกมอล หัวหน้าเครือข่ายยาเสพติด 3 ทวีปทั้งอเมริกา ยุโรปและเอเชีย ระดับโลก ยึดทรัพย์สินได้ราว 800 ล้านบาท ปี 2530 ขณะยังมียศเป็น ร.ต.อ.จับกุมนักเคมีชาวไต้หวัน ร่วมกับนายทุนผลิตยาบ้า ยึดหัวเชื้อเพื่อการผลิตจำนวนมาก ดำเนินคดีต่อผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดรวมทั้งนายตำรวจยศ พ.ต.อ.ระดับหัวหน้าจังหวัด ระดับสารวัตรใหญ่ ศุลกากรจังหวัดในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและละเว้นการปฏิบัติจับกุมนายอเล็กซานเดอร์จอห์น วินสโตน หรืออเล็กซ์ อายุ 36 ปี ชาวอังกฤษ ฐานส่งอีเมลข่มขู่ผู้บริหารเทสโก้โลตัส เรียกเงิน 140 ล้านบาทหากไม่ได้จะนำยาพิษผสมอาหารที่ห้างโลตัสวางจำหน่าย คดีนี้มีการประสานกับหน่วยสกอตแลนด์ยาร์ด สหราชอาณาจักร จนสามารถปิดคดีได้
สมัยเป็น ผกก.1 ป.จับนายยุทธนา นึกหมาย นายสุชาติ สิทธิทองหลวง ผู้ต้องหาปล้นทองคำหนักกว่า 500 บาท เหตุเกิดร้านทองนวนคร โดยก่อนหน้าตำรวจท้องที่จับแพะเมื่อมีการร้องเรียนจึงรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่และสามารถจับผู้ต้องหาตัวจริงได้ คดีฆาตกรต่อเนื่องที่เป็นผู้หญิงรายแรกของประเทศไทย กรณีนางณัฐกานต์ อนะมาน วางแผนจดทะเบียนกับ พล.อ.ต.กิตติพัฒน์ เมืองโคตร (เมื่อปี พ.ศ. 2543) และนายอรุณ ครัวกลาง (เมื่อปี 2544) ทำประกันชีวิตวงเงิน 40 ล้านบาท ผู้ต้องหาลอบวางยาพิษสามีเพื่อเอาเงินประกันต่อมาชุดสืบสวนของพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ นำหลักการวิเคราะห์พฤติกรรมซึ่งเป็นวิชาการสืบสวนสมัยใหม่จนนางณัฐกานต์รับสารภาพคดีนี้ศาลตัดสินจำคุกผู้ต้องหา 25 ปี นอกจากนั้นยังมีคดีฉ้อโกงบริษัทประกันภัย จับกุมนายพิเชษฐ์ พรตันติพงศ์ อายุ 38 ปี ข้อหาร่วมกันฉ้อโกกงโดยผู้ต้อวงหารายนี้จะตัดนิ้วมือตัวเองเพื่อขอรับเงินประกันชีวิตที่ทำไว้วงเงิน 16 ล้านบาทในกรณีสูญเสียอวัยวะ คดีนายวิคเตอร์ อนาโตลเจวิช บูท ผู้ก่อการร้ายชาวรัสเซีย ในข้อหาร่วมกันจัดหาและรวบรวมทรัพย์สินเพื่อการก่อการร้าย โดยนายวิคเตอร์ เป็นหัวหน้าแก๊งค้าอาวุธสงครามมีเครือข่ายทั่วโลก เป็นผู้ต้องหารายสำคัญที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และสหรัฐอเมริกาต้องการตัวมากที่สุดแต่หลบหนีเข้ามากบดานในประเทศไทยจนถูกจับในที่สุด
อีกคดีที่อื้อฉาวสะท้านวงการสีกากีไทยก็คือ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2552 ขณะทำหน้าที่รอง ผบช.ก.ได้แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับคณะกรรมการประกวดราคา ตามคำสั่งกรมบัญชีกลาง ที่ สมพ./ก.252/2550 ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2550 ประกอบด้วย พล.ต.ท.- กับพวกรวม 6 คนโดยกล่าวหาว่า ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับผลประโยชน์ กรณีกระทำผิดต่อระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ประมวลกฎหมายอาญาในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ โดยเริ่มจากการสืบสวนข้อมูลและพฤติการณ์ในการกระทำผิดของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจักรยานยนต์สายตรวจขนาด 200 ซีซี จำนวน 19,147 คัน ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปี 2550 ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการดำเนินการของคณะกรรมการประกวดราคา มีลักษณะไม่เป็นธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ เอื้อประโยชยน์ให้กับฝ่ายตนเองและผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อให้บริษัทเอกชนผู้ชนะการประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างได้รับผลประโยชน์ ทำให้ราชการเสียหายจึงแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ยังมีชื่อทางด้านนักวิชาการด้วยเคยสวมบทบาทเป็นอาจารย์บรรยายให้นักศึกษาระดับปริญญาเอกคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และเขียนตำรา-เอกสารทางวิชาการตำรวจแบบแผนใหม่อีกหลายเล่ม เช่น ความรู้เบื้องต้นการเฝ้าสังเกตการณ์ และสะกดรอย พ.ศ. 2536 ความรู้เบื้องต้นการสืบสวนอาชญากรรม พ.ศ. 2537 วิธีปฏิบัติภาคสนามสำหรับเจ้าหน้าที่เมื่อรับแจ้งเหตุ พ.ศ. 2539 และอีกจำนวนมาก
นั่นคือด้านสว่างที่สังคมทราบกันดีอยู่แล้ว
แต่อีกมุมหนึ่งก็มีกระแสข่าวเข้ามาเป็นระยะ เป็นต้นว่ามีตำรวจกลุ่มหนึ่งแอบอ้างบุคคลสำคัญสร้างอิทธิพลให้กับตนกับพวกพ้อง จนหน่วยงานดังกล่าวประหนึ่งเป็นรัฐอิสระไม่มีใครกำกับดูแลได้ นอกจากนั้นยังไปพัวพันกับผลประโยชน์ต่างๆ มากมาย อาทิ บ่อนพนันย่านถนนพระราม 9 ในอดีต หรือแม้แต่ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งต่อมากลายเป็นภัยคุกคามต่อประเทศเมื่อหน่วยข่าวกรองมีหลักฐานเชื่อว่าขบวนการดังกล่าวให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายเพื่อสร้างความวุ่นวายเปิดช่องให้สะดวกต่อการทำผิดกฎหมาย
เผยค้นบ้าน “พงศ์พัฒน์” 4-6 หลัง พบเงินสดซุกซ่อนนับพันล้านบาท พระพุทธรูปบูชาหายากกว่า 100 องค์ พระเครื่องชื่อดังหลายพันองค์ โฉนดที่ดินจำนวนมาก เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบที่มาที่ไป รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดได้ร่วม 1 หมื่นล้าน ด้าน ผบ.ตร.ลงนามสั่งออกจากราชการไว้่ก่อนทั้งก๊วน วันนี้ (23 พ.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) รายงานข่าวแจ้งว่าการเข้าจับกุม พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. และ พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร.พร้อมพวกครั้งนี้ได้มีการควบคุมผู้ต้องหาทั้งหมด 8 คน โดยแยกควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจนครบาล 8 แห่ง และมีการควบคุมตัวเหมือนผู้ต้องหาทั่วไปในห้องควบคุมผู้ต้องหา สำหรับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ถูกควบคุมตัวไว้ที่ สน.เตาปูน ขณะที่ พล.ต.ต.โกวิทย์ ถูกควบคุมตัวไว้ที่ สน.พหลโยธิน ในวันที่ 24 พ.ย. เวลา 08.00 น.จะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปขออำนาจศาลฝากขังที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อคืนที่ผ่านมาได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 8 คนสอบปากคำที่ค่ายทหารแห่งหนึ่งโดยแยกกันสอบปากคำ ก่อนที่จะแยกย้ายกันนำตัวไปควบคุมตามสถานีตำรวจต่างๆ สำหรับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ หลังสอบปากคำเสร็จได้ถูกตำรวจอรินทราชนำตัวมาที่ สน.เตาปูน เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 23 พ.ย. โดยสวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงขายาวสีกากี มีท่าทางอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด แหล่งข่าวระดับสูงกล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ทำการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาทั้ง 8 คน พบพยานหลักฐานมากมาย โดยเฉพาะในบ้านพักของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ที่มีอยู่ 4-6 หลัง พบเงินสดซุกซ่อนอยู่นับพันล้านบาท และทรัพย์สินอื่นๆ เช่น พระพุทธรูปบูชาหายากกว่า 100 องค์ พระเครื่องชื่อดังจำนวนหลายพันองค์ โฉนดที่ดินจำนวนมาก เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบที่มาที่ไปของโฉนดที่ดินเหล่านี้ รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดได้ร่วม 1 หมื่นล้าน ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า วันนี้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตรได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 632/2557 ลงวันที่ 23 พ.ย. 2557 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน โดยคำสั่งดังกล่าวระบุว่า อาศัยอำนาจตามมาตรา 95 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ประกอบกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสั่งพักราชการและให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. 2547 ข้อ 8 จึงมีคำสั่งให้ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รอง ผบช.ก.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผบก.รน.ปฏิบัติราชการ ศปก.ตร. พ.ต.อ.วุฒิชาติ เลื่อนสุคันธ์ ผกก.4 บก.ปคบ. ด.ต.สุรศักดิ์ จันทร์เงา ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. ด.ต.ฉัตรินทร์ เหล่าทอง ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.ป. ออกจากราชการไว้ก่อน ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อนึ่ง ผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามคำสั่งนี้มีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.ตร.ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 105 ภายใน 30 วันนับแต่วันทราบคำสั่งและประสงค์จะฟ้องโต้แย้งคำสั่งหรือวินิจฉัยอุทธรณ์นี้ให้ทำคำฟ้องเป็นหนังสือยื่นต่อศาลปกครองหรือส่งไปทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รับแจ้งหรือรับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ นับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือขอรับผลการวินิจฉัยอุทธรณ์ มีรายงานว่า ในวันที่ 24 พ.ย. 2557 จะมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงต่อนายตำรวจทั้ง 6 นายที่ถูกให้ออกจากราชการในครั้งนี้ด้วย |
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
งามหน้าละมึง ไอ้พวกคนดีทั้งหลาย
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น