สำนักข่าว IMM :เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมานักวิชาการวะฮาบีย์สลาฟีย์ตักฟีรีย์ ได้มีคำฟัตวา (คำสั่งทางศาสนา) ประกาศให้หญิงสาวชาวอาหรับเดินทางยังแผ่นดินซีเรีย เพื่อสนองอามรณ์ใคร่ให้กับกลุ่มกบฏซีเรีย และกลุ่มก่อการร้ายโค่นล้มรัฐบาลซีเรียในนาม “ญิฮาดุนกะห์” หรือ “การต่อสู้ในหนทางของพระเจ้าด้วยการตอบสนองความใคร่แก่บรรดานักรบฝ่ายกบฏซีเรีย”
และหลังจากนั้น บรรดานักวิชาการวะฮาบีย์สลาฟีย์ตักฟีรีย์จากประเทศต่างๆ ของโลกอาหรับ โดยเฉพาะซาอุดิอาระเบีย ก็ได้ออกมาตอบรับในคำประกาศดังกล่าว ด้วยการออกมาสนับสนุนคำฟัตวา โดยประกาศให้บรรดาสตรี หญิงม่าย มุ่งหน้าเข้าสู่แผ่นดินซีเรียเพื่อทำการ “ญิฮาดุนนิกะห์”
เชค มุฮัมมัด อัลอาริฟีย์ หนึ่งในบรรดานักวิชาการของวะฮาบีย์สลาฟีย์ตักฟีรีย์ชื่อดังชาวซาอุดิอาระเบีย ก็ได้ออกมาประกาศคำฟัตวาเพิ่มเติมอีกว่า “แม้แต่หญิงสาวที่สามีแล้ว ก็สามารถเข้าร่วมในการ “ญิฮาดุนนิกะห์” ครั้งนี้ได้
ล่าสุดนักวิชาการวะฮาบีย์สลาฟีย์ตักฟีย์รีย์ นามว่าเชค นาศีร อัลอัมร์ ก็ได้ประกาศคำฟัตวาใหม่อีกว่า “การญิฮาดุนนิกะห์” กับมะฮฺรอม (ผู้ที่ไม่สามารถแต่งงานกันได้ เช่น แม่ พี่สาว น้องสาว เป็นต้น) ก็เป็นสิ่งที่อนุมัติให้มีเพศสัมพันธ์ได้ ในกรณีถ้าหากนักรบกลุ่มกบฏซีเรียไม่สามารถหาหญิงสาวเพื่อสนองอารมณ์ใคร่ได้”
เมื่อวันพฤหัสบดี (19 ก.ย.) ที่ผ่านมาสักนักข่าวอัลอาราบีย่าได้นำเสนอข่าว รัฐมนตรีมหาดไทยของตูนิเซีย นายลุตฟี บินเจดโด ทนไม่ไหวเผย บรรดาหญิงสาวตูนิเซียที่เดินทางไปยังประเทศซีเรียเพื่อทำการ "ญิฮาดุนนิกะห์" กลับประเทศมาพร้อมกับการตั้งครรภ์ และติดเชื้อเอดส์
ทางด้านนักวิชาการศาสนาชาวตูนิเซียชี้ว่า "ญิฮาดุนนิกะห์" ที่แท้คือการ “ขายตัว” “ หญิงสาวชาวตูนิเซียเหล่านี้ ไปมีเพศสัมพันธ์หมุนเวียนกับทหารของฝ่ายกบฏซีเรียจำนวน 20-100 คน แล้วก็กลับประเทศมาพร้อมด้วยลูกนอกสมรสอันเกิดจากการร่วมประเวณีในนาม “ญิฮาดดุนนิกะห์” แล้วเราก็นิ่งเงียบ ไม่ทำอะไรกัน และเพิกเฉยต่อเรื่องที่เกิดขึ้นนี้”
รัฐมนตรีมหาดไทยของตูนิเซีย กล่าวอีกว่า “ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2556 ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยตูนิเซียได้ห้ามชาวตูนิเซีย 6,000 คน มิให้เดินทางไปยังประเทศซีเรีย และในจำนวนนั้นมี 86 คนที่ถูกจับกุมสงสัยว่าจะเป็น "เครือข่าย" ที่ส่งเยาวชนตูนิเซียไป "ญิฮาด" ในซีเรีย”
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตูนิเซีย ยังได้ตอกกลับกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่วิจารณ์การตัดสินใจของรัฐบาลที่ห้าม "มุญาฮิดีน" เหล่านี้เดินทางไปซีเรีย ว่า ส่วนใหญ่ของผู้ที่จะเดินทางไปซีเรียมีอายุน้อยกว่า 35 ปี เยาวชนของเราถูกส่งไปอยู่ในตำแหน่งแนวหน้า ทั้งถูกสอนให้ขโมย และโจมตีหมู่บ้านชาวซีเรีย”
อดีตผู้พิพากษาศาลศาสนาของตูนิเซีย เชคออตมาน บัตตีค (Sheikh Othman Battikh) ได้กล่าวในเดือนเมษายน ว่า “มีผู้หญิงชาวตูนิเซีย 13 คน ที่ "หลงกล" เดินทางไปยังประเทศซีเรียเพื่อที่จะปรนเปรออารมณ์ใคร่ทางเพศให้แก่นักรบฝ่ายกบฏที่ต่อสู้เพื่อโค่นล้มระบอบการปกครองของประธานาธิบดี บาชาร์ อัลอัสซาด”
"ญิฮาดุนนิกะห์" คือก็รูปแบบหนึ่งของการเป็น "โสเภณี" พวกเขากำลังผลักดันหญิงสาวไปที่นั่น และมีหญิงสาว 13 คนแล้วที่ถูกส่งไปเพื่อการ “ญิฮาดุนนิกะห์" นี่คืออะไรกัน? นี่เรียกว่า “การขายตัว” มันคือความเสื่อมทรามด้านศีลธรรม” เขาได้กล่าวกับผู้สื่อข่าว
หลังจากที่หนังสือพิมพ์ภาษาอาหรับชื่อดัง อัชชุรูก ได้ตีพิมพ์ข่าวนี้ดังไปทั่วโลก กรณีมีหญิงสาวตูนิเซียคนหนึ่งที่เดินทางกลับมาจากซีเรียเพื่อไปร่วมใน “ญิฮาดุนนิกะห์” เป็นภรรยาชั่วคราวให้เหล่านักรบกบฏซีเรียนับร้อยคน ปรากฏว่าติดเชื้อเอดส์ และตั้งครรภ์ ทำให้ประชาชนชาวตูนิเซียเริ่มเห็นภัยอันตรายของกลุ่มลัทธิวะฮาบีย์ และช่องทีวีดาวเทียมที่เป็นของวะฮาบีย์ในตูนิเซียมากขึ้น
และวานนี้ 24/9/56 หนังสือพิมพ์อัชชุรูกของตูนิเซียได้ตีพิมพ์รายงานหนึ่งเกี่ยวกับเด็กสาวอายุ 19 ปี ที่เพิ่งกลับจากประเทศซีเรีย หลังจากไปเป็น “นางบำเรอ” ให้กับนักรบกบฏซีเรียนานหนึ่งปี พร้อมกับตั้งครรภ์ได้ 5 เดือนและติดเชื้อเอดส์ เธอได้เล่าถึงขั้นตอนต่างๆ กว่าจะถูกส่งตัวเข้าไปในประเทศซีเรีย และยังได้เล่าถึงสภาพของหญิงสาวคนอื่นๆ ที่ยังคงอยู่ในซีเรียขณะนี้ หนังสือพิมพ์อัชชุรูกได้ชี้ชัดว่า เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากหญิงสาวคนนี้ทำให้มั่นใจได้ว่า ณ เวลานี้มีหญิงสาวชาวตูนิเซียอีกจำนวนมากที่กลายเป็นนางบำเรอของนักรบกบฏซีเรีย และติดเชื้อเอชไอวีแล้ว ที่น่าเป็นห่วงคือ การกลับมายังตูนิเซียของพวกเธอเหล่านั้น คือภัยพิบัติที่ใหญ่หลวงของสังคมในตูนิเซียทีเดียว
หนังสือพิมพ์อัชชุรูกได้รายงานต่อไปว่า หญิงสาวคนนี้ได้เล่าต่อไปอีกว่า หลังจากเธอได้ฟังข่าวเหตุการณ์ต่างๆ ในซีเรียถึงความป่าเถื่อนของรัฐบาลซีเรีย และความลำบากของนักรบที่ต่อสู้กับรัฐบาลซีเรีย เธอตัดสินใจจากบ้านแผ่นดินเกิดตูนิเซียเข้าร่วมภารกิจ “ญิฮาดุนนิกะห์” ผ่านประเทศลิเบีย และเข้าสู่ตุรกี และเดินทางไปยังเมืองอเลปโปซีเรีย
เธอได้เล่าต่อไปอีกว่า ขบวนการ “ญับฮะตุลนุศเราะฮฺ” “ ขบวนการ “ปลดปล่อยเมืองชาม” และอีกหลายๆ ขบวนการที่เป็นเครือข่ายของอัลกออิดะห์ หรือพวกวะฮาบีย์ พวกเขาทุกคนไม่มีมารยาทของมุสลิมเลยสักคน พวกเขาไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติการแต่งงานชั่วคราวที่ต้องปฏิบัติเลย เธอได้เล่าต่อไปอีกว่า เธอและหญิงสาวอีกจำนวนหนึ่งถูกนำตัวไปยังตึกแห่งหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้น่าจะเป็นโรงพยาบาล เมื่อเข้าไปข้างในได้มีชายคนหนึ่งออกมาต้อนรับพวกเธอ และได้แนะนำตัวว่าเป็นชาวตูนิเซียนามว่า อะบูอัยยูบ เขาได้กล่าวต่อเธอว่า “หัวหน้าของสถานที่นี้เป็นชาวเยเมนเป็นหัวหน้าค่ายของนักรบมีชื่อว่านายพลอัมร์ และเขาคือชายคนแรกที่เธอได้ทำการ “ญิฮาดุนนิกะฆห์” ด้วยในคืนนั้น
เธอได้เล่าอีกว่า หลังจากคืนนั้นผ่านไป เธอจำไม่ได้ว่านักรบจำนวนกี่คนที่ได้รุมกระทำกับเธอ ทว่าสิ่งที่เธอจำได้ดีในเวลานั้นคือ ความบริสุทธิ์แห่งการเป็นมนุษย์ที่อยู่ในตัวเธอกำลังถูกบรรดาสัตว์ร้ายเดรัจฉานเหล่านั้นรุมย่ำยี เป้าหมายของพวกเขาเพียงเพื่อย่ำยีสตรีเท่านั้น เธอได้เล่าเรื่องราวข้างต้นพร้อมกับอาการหวาดผวาว่า “บรรดานักรบเหล่านั้น หลังจากที่พวกเขาได้บุกโจมตีชาวซีเรีย พวกเขาก็จะกลับมาบุกโจมตีพวกเราอย่างบ้าคลั่งในตึกแห่งนั้น”
เธอได้เล่าต่อไปอีกว่า “ไม่มีการทำพิธีแต่งงานตามหลักศาสนา ไม่มีโอกาสให้เลือกชายใด จนถึงตอนนี้หนูยังไม่ทราบเลยว่า พ่อของเด็กในท้องของหนู คือชาวปากีสถาน ชาวอัฟกานิสถาน ชาวลิเบีย ชาวตูนิเซีย ชาวอิรัก ชาวเชเชน ชาวซาอุดิอาระเบีย หรือชาวโซมาเลีย และก็ไม่ทราบเช่นกันว่าได้รับเชื้อเอชไอวีมาจากชายคนใด” ( พระเจ้า ทรงสร้างทุกสิ่ง ลูกอัลเลาหุ์ แหง ๆ )
- See more at: http://www.immjournal.com/analysis/751-yehadnekah.html#sthash.llMBKX9T.dpuf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น