หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ผู้สื่อข่าวทุกสำนักต้องการทราบจากเรียวปากผู้ต้องหาความ มั่นคงคือ การพูดคุยสันติสุขระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทย กับผู้ที่มีความคิดต่างหรือกลุ่มขบวนการปลดปล่อยรัฐปัตตานี ซึ่งกำลังจะมีขึ้นระลอกใหม่ หลังจากเคยมีการพูดคุยสันติภาพมารอบหนึ่งแล้วในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เพิ่งถูกรัฐประหารโค่นล้มไปโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นั้น ปรากฏว่าผู้ต้องขังทุกคนเห็นด้วยที่รัฐบาลใช้เป็นแนวทางนี้แก้ไขปัญหา อีกทั้งยังเห็นว่าน่าจะเป็นแนวทางที่จะสามารถสร้างความสันติสุขเกิดขึ้นใน พื้นที่ได้จริง โดยไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา
อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องขังได้ฝากให้รัฐบาลไทยแสดงความจริงจังและจริงใจต่อการพูดคุยที่จะ เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดสันติสุขในดินแดนปลายด้ามขวานทองของไทย เนื่องจากตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมากลุ่มผู้ที่คิดต่างคิดว่ารัฐไทยยังขาด ความจริงใจต่อการพูดคุย เพราะไม่ใช่พึ่งพูดคุยเป็นครั้งแรก แต่มีการพูดคุยมาแล้วเกือบทุกรัฐบาลที่ผ่านๆ มา ซึ่งแทบจะไม่เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
จึงเกิดคำถามว่า แล้วจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อให้การพูดคุยสันติสุขที่กำลังจะมีขึ้น เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันขึ้นได้เสียก่อน เพื่ออย่างน้อยจะได้เป็นแนวทางว่า รัฐบาลไทยมีความจริงใจกับการพูดคุยใช้เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน ชายแดนใต้
อันจะเห็นได้จากการพูดคุยสันติสุขรอบที่ผ่านมาล่าสุด ซึ่งอาจจะยังไม่เป็นข่าวที่สังคมรับรู้นั้น ฝ่ายรัฐไทยมี พล.อ.อิศรา เกิดผล เป็นหัวหน้าทีม เดินทางไปพูดคุยกับกลุ่มผู้ที่คิดต่างในประเทศที่สาม โดยมีตัวแทนจากกลุ่มบีอาร์เอ็นฯ กลุ่มมูจาฮิดีน และกลุ่มพูโล ซึ่งการพูดคุยในครั้งนั้นทางกลุ่มผู้เห็นต่างได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐบาลไทยส่ง สัญญาณความจริงใจ หรือความไว้เนื้อเชื่อใจต่อการพูดคุยก่อนที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการเดินหน้าพูดคุยต่อไป
นอกจากนี้ยังมีข้อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแสดงความจริงใจด้วยการปล่อย ตัวผู้ต้องหาคดีความมั่นคงชายแดนใต้ที่มีไม่น้อยกว่า 300 คนโดยไม่มีเงื่อนไข รวมไปถึง นายสะมะแอ สะอะ หรือ หะยีสะมาแอท่าน้ำ อดีตสมาชิกพูโลเก่า และ นายดาโอ๊ะ มะเซ็ง หรือ หะยีดาโอ๊ะท่าน้ำ อดีตแกนนำพูโลใหม่และพวก ซึ่งปัจจุบันได้ถูกจำคุกที่เรือนจำมาแล้ว 17 ปี หลังจากที่ถูกศาลพิพากษาต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตในข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดน
หลังจากการพูดคุยในครั้งนั้น หน่วยงานด้านความมั่นคงในชายแดนใต้ได้ขยับตัวครั้งสำคัญ มีการโยกย้ายกำลังพลที่นิยมความรุนแรงออกจากพื้นที่ ลดการปิดล้อมเพื่อลดการสร้างเงื่อนไขและการสูญเสียจากเหตุปะทะที่อาจเกิด ขึ้นได้ทุกเมื่อในระหว่างการปิดล้อม เบื้องต้นเพื่อให้เป็นรูปธรรมของการไม่ใช้ความรุนแรง ทางศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศชต.) ได้มีการตัดลดงบประมาณเพื่อการปิดล้อมตรวจค้น ลดการเบิกอาวุธสงคราม และย้ายยานพาหนะกระจ่ายไปตามโรงพักต่างๆในพื้นที่
ปัจจุบันมีการเปิดเวทีพูดคุยสันติสุขกับผู้ที่มีความคิดต่างที่นำโดย พล.ต.ท.อนุรุต กฤษณการะเกตุ ผบ.ศชต. ซึ่งมีการเดินสายในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการนำร่องด้วย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในพื้นที่ว่าจะใช้หลักสันติวิธีในการ แก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ร่วมกัน โดยจะไม่ใช่อำนาจรัฐมากเกินไป จนทำให้เกิดภาพของการรังแกประชาชน
ด้าน นายดาโอ๊ะ มะเซ็ง หรือ หะยีดาโอ๊ะท่าน้ำ อายุ 57 ปี อดีตแกนนำกลุ่มพูโลใหม่ ได้เผยกับผู้สื่อข่าวว่าได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับ นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เมื่อครั้งเป็นประธานเปิดงานเยี่ยมญาติ ณ เรือนจำกลางปัตตานี เพื่อเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีด้วยความเป็นธรรมกับผู้ต้องหา หลังจากในช่วงที่ผ่านมามีผู้ต้องหาหลายรายหลังจากพ้นโทษและได้ออกจากเรือนจำ ปัตตานี แต่กลับมีเจ้าหน้าที่ไปดักรับตัวแล้วแจ้งข้อกล่าวหาใหม่ ส่งผลให้ถูกนำตัวไปฝากขังต่อ ทำให้ผู้ต้องหาต้องขาดอิสรภาพหลังจากพ้นโทษที่เรือนจำ
หะยีดาโอ๊ะท่าน้ำ ให้ความคิดเห็นด้วยว่า การที่รัฐบาลไทยเดินหน้าพูดคุยสันติสุขกับกลุ่มผู้เห็นต่างนั้น เรื่องนี้ตนเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะการพูดคุยเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้แผ่นดินชายแดนใต้เกิดความสงบขึ้นมา ได้ อีกทั้งเขายังเชื่อด้วยว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา น่าจะมีศักยภาพและมีประสิทธิภาพมากกว่ารัฐบาลที่แล้วๆ มา หรือเชื่อได้มากที่สุดต่อการแก้ปัญหาความไม่สงบในชายแดนใต้ จึงหวังว่ากระบวนการพูดคุยสันติสุขต่อจากนี้จะบรรลุแน่นอน และประสบผลสำเร็จในช่วงของรัฐบาลนี้ โดเยจะสามารถนำสันติสุขกลับมาสู่แผ่นดินปลายด้ามขวานได้อย่างแน่นอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น