ภัยแห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ภัยแห่งพระพุทธศาสนา ความจริงมีมานานแล้ว แต่ถ้าเราไม่ประมาทจริง ๆ ก็ยังพอมีทางที่จะแก้ปัญหาได้ ภัยดังกล่าวมีสองอย่างคือ ภัยจากภายนอกและภัยจากภายใน ภัยภายในเป็นเรื่องใหญ่ ภัยภายนอกแม้จะร้ายแรงอย่างไรก็ตาม ถ้าภายในยังเข้มแข็งอยู่ ก็สามารถดำรงตนรักษาตัวไว้ได้ แต่ถ้าภายในอ่อนแอเสียแล้ว ภัยภายนอกก็เข้ามาซ้ำเติมได้ง่าย แม้แต่ไม่มีภัยก็ยังทำลายตัวเองหมดไปได้ ภัยภายนอกที่เรามองดู และพูดถึงว่าเป็นภัยต่อพระพุทธศาสนา ถ้าว่าไปแล้วไม่ใช่เป็นภัยต่อพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะภัยต่อพระพุทธศาสนา ก็หมายถึงภัยต่อประเทศชาติ และสังคมไทยทั้งหมดด้วย นอกจากนั้นภัยจากประเทศ และสังคมนี้ก็เป็นภัยอย่างเดียวกับภัยที่จะเกิดแก่โลก หมายความว่าถ้าภัยเกิดแก่พระพุทธศาสนาได้ และถ้าประเทศไทยมีปัญหาได้ ก็เป็นปัญหาแก่ทั้งโลกนั่นเอง ฉะนั้น เราจึงมามองดูสภาวะ และสถานการณ์ของโลกทั้งหมด เวลานี้เมื่อเรามองดูไปทั่วโลก จะเห็นว่าอยู่ในภาวะที่ไม่ปลอดภัยในสังคม การรบราฆ่าฟันยังมีกันมากมาย แม้แต่ในประเทศเดียวกันก็เกิดสงคราม มีการฆ่ากันอย่างทารุณโหดร้ายชนิดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ การฆ่าฟันทำสงครามกันนี้ เป็นเรื่องของเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ และลัทธิศาสนา อย่างที่เราได้ยินกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน คือการทำสงครามรบกัน ระหว่างยิวกับอาหรับ เป็นสงครามที่มีความหมายทั้งในแง่เผ่าพันธุ์ และในแง่ลัทธิศาสนา คือเรื่องชาวยิวกับชาวอิสลาม ซึ่งเห็นชัดว่าเป็นศัตรูกันมาเป็นพันปีแล้ว มองใกล้เข้ามาอย่างประเทศฟิลิปปินส์ อินโดเนเซีย ก็มีสงคราม การรบการฆ่าฟันกันด้วยเรื่องของลัทธิศาสนา มองไปทางเมืองฝรั่งอย่างไอร์แลนด์เหนือ ก็มีการรบกันระหว่างโปรเตสแตนท์กับคาทอลิก เป็นปัญหากันมาไม่รู้จบสิ้น ถอยหลังไปไม่นานก็ที่บอสเนีย มีการฆ่ากันอย่างโหดร้ายทารุณอย่างยิ่ง เมื่อมองเรื่องที่เป็นมาเป็นไปอย่างนี้แล้ว ก็ทำให้เราต้องมองไปข้างหน้าด้วยว่าสภาพที่เป็นอย่างนี้ มันส่องแนวโน้มว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะความคิด ความเชื่อหรือทิฏฐิของคนนี้เป็นเรื่องสำคัญ เมื่อคนเรามีความเชื่อตั้งจิตตั้งใจมองอะไรอย่างไรก็คิดจะทำอย่างนั้นต่อไป ถ้ามองในแง่ของการที่เกิดสงครามฆ่าฟันกัน ระหว่างคนต่างผิวต่างลัทธิศาสนานี้ เมื่อเราหันมามองประเทศไทยกลับเห็นว่าเป็นประเทศที่ดีที่สุด เป็นประเทศที่ร่มเย็นเป็นสุข คนไทยไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์คนผิวเผ่าไหน คนลัทธิศาสนาไหนก็อยู่กันได้ด้วยดี เป็นอย่างนี้มาตลอดเวลายาวนานแล้ว เพราะว่าคนไทยไม่รังเกียจใคร ปรับตัวเข้ากับทุกคนได้ ที่เป็นอย่างนี้เราพูดได้เต็มปากว่าเป็นเพราะพระพุทธศาสนา ที่ว่าคนอยู่ร่วมกันได้ดี เพราะพระพุทธศาสนานี้แน่นอน เพราะว่าแนวคำสอนของพระพุทธศาสนานั้นให้มีเมตตา มีกรุณา แล้วเมตตากรุณานั้นก็สากล คือไม่มีการจำกัดหรือแบ่งแยกว่ารักเฉพาะพวกนี้พวกนั้น หรือว่าฆ่าคนพวกนั้นได้ไม่เป็นบาป ฆ่าคนพวกนี้จึงจะเป็นบาป อย่างที่บางลัทธิศาสนาถึงกับบอกว่า คนพวกนั้นกลุ่มนั้นฆ่าแล้ว กลายเป็นว่าได้บุญเสียด้วยก็มี ถ้าไม่เป็นการสนับสนุนให้เกิดการรบราฆ่าฟัน อย่างน้อยก็เป็นข้ออ้างให้ฆ่าฟันทำการรุนแรงได้ ฝรั่งแสนแปลกใจ แต่ไหนแต่ไร เมืองไทยใจเสรีไม่มีที่ไหนเทียมเท่า เมืองไทยเรามีความใจกว้างอย่างนี้มานานแล้ว ถอยหลังไปดูประวัติศาสตร์ได้ คนไทยตั้งแต่เป็นพุทธศาสนิกชนสืบมา อยู่ร่วมกับใครก็ได้ ในสมัยที่ฝรั่งเริ่มเข้ามา และเขียนบันทึกเหตุการณ์ไว้ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อฝรั่งเข้ามาพร้อมกับการล่าเมืองขึ้น และทำการค้าขายอะไรต่าง ๆ ศาสนาก็เข้ามาด้วยคือมีการนำศาสนาคริสต์เข้ามาเผยแพร่ และนักบวชที่เข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์นั้นเองได้เขียนบันทึกไว้ ถึงสภาพชีวิตจิตใจ และลักษณะนิสัยของคนไทยที่มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยิ้มแย้มแจ่มใส ยินดีต้อนรับและให้เกียรติคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน ลัทธิศาสนาใด บาทหลวงชื่อ ฌ็อง เดอ บูร์ ได้บันทึกไว้ตอนหนึ่ง กรมศิลปากรได้นำมาจัดพิมพ์เป็นหนังสือไว้ เป็นจดหมายเหตุการเดินทางของพระสังฆราชแห่งเบริด เขาบอกไว้ดังนี้ ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะมีประเทศใดในโลก ที่มีศาสนาอยู่มากมาย และแต่ละศาสนาสามารถปฏิบัติพิธีการของตน ได้อย่างเสรีเท่ากับประเทศสยาม อีกตอนหนึ่งเขาเขียนบอกว่า ความคิดของชาวสยามที่ว่าทุกศาสนาดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แสดงตนเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนาอื่นใด หากศาสนานั้น ๆ สามารถยืนหยัดอยู่ได้ภายใต้กฏหมายของรัฐ นับแต่โบราณกาล ผู้ปกครองของไทยมีเจตนารมย์อันดีงาม ที่จะปล่อยให้แต่ละชาติปฏิบัติพิธีการทางศาสนาของตนได้อย่างเสรี หันไปดูบันทึกของฝรั่งที่เป็นพ่อค้า เป็นนายทหารหรือเป็นนักปกครองบ้างพ่อค้าฝรั่งเศสเขียนว่า ถ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ทรงชักชวนแล้ว สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็คงจะหันเข้าหาศาสนาโรมันคาทอลิกเป็นแน่ ถ้าการณ์เป็นไปได้เช่นนั้นจริงแล้ว จะเป็นพระเกียรติแก่พระเจ้าหลุยส์เพียงใด เพราะในเวลาพระองค์ได้ทรงจัดการศาสนาในพระราชอาณาเขตของพระองค์ ยังได้ทรงจัดการทำลายศาสนาอันไม่ดีในแผ่นดินฝ่ายตะวันออก ซึ่งนับว่าเป็นประเทศที่เจริญที่สุดอยู่แล้ว บันทึกตอนนี้หมายความว่าเขามาเห็นสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไม่ได้ทรงรังเกียจเดียดฉันท์ แต่กลับทรงอุปถัมภ์ศาสนาคริสต์ และนักบวชบาทหลวงที่เข้ามาเผยแพร่ เขาก็เลยเข้าใจผิดนึกว่าพระเจ้าแผ่นดินไทยนี้ทรงพร้อมแล้วที่จะนับถือศาสนาคริสต์ จึงกราบทูลให้พระเจ้าหลุยส์ทำพระราชสาส์นมาชวน ที่น่าสังเกตก็คือ เขามีความภูมิใจว่า ถ้าเขาไปไหนเขาได้เอาศาสนาเขาเข้าไป เขาจะต้องทำลายศาสนาที่นั่นด้วย เพราะเขาถือว่าศาสนานั้นไม่ดี แสดงให้เห็นคติของฝรั่งต่อศาสนาอื่นที่เขาว่าไม่ดีไปหมด ต่อมาก็เป็นอย่างที่ว่าจริง ๆ คือพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ทรงมีพระราชสาส์นมาเชิญชวนสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ให้ทรงหันไปนับถือคริสต์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงตอบยาวอยู่ ถ้าเอาข้อความสั้น ๆ ก็คือ ตรัสว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง ทรงสร้างแผ่นดิน สร้างสิงสาราสัตว์ ทรงบันดาลได้ทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าหากว่าพระเจ้าต้องการให้พระองค์เป็นคริสต์ พระองค์ก็จะบันดาลเอง ขณะนี้สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยังเป็นพุทธมามกะ ก็แสดงว่าพระผู้เป็นเจ้ายังไม่ทรงต้องการ จึงทรงปล่อยให้พระองค์เป็นชาวพุทธอยู่อย่างนี้ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงมีพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ทรงตอบทีเดียว พระเจ้าหลุยส์ก็เลยไม่รู้จะว่าอย่างไร บัวก็ไม่ช้ำ น้ำก็ไม่ขุ่น ขณะที่ฝรั่งฆ่ากันใหญ่ หนีภัยเพราะศาสนา ฝรั่งมาเมืองไทย คนไทยต้อนรับเอาใจยิ่งกว่าคนไทยด้วยกัน ทีนี้มาถึงนายทหารบ้าง ที่ชื่อนายพลฟอร์บัง นายพลฟอร์บังอยู่ในกรุงศรีอยุธยามานาน ต่อมากลับไปประเทศฝรั่งเศส ก็ไปเล่าให้พระเจ้าแผ่นดิน และบาทหลวงผู้ใหญ่ทางฝรั่งเศสฟัง นายพลฟอร์บังเล่าว่า ที่ทำให้ศาสนาคริสต์แผ่ไพศาลไปได้เร็วนั้น ต้องโทษจรรยาวัตรของพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีความอดทนและเคร่งครัดมาก พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ไม่เสพสุราเมรัย ฉันแต่ของที่คนใจบุญถวายเป็นวัน ๆ ไปเท่านั้น ของที่ได้มากเกินความจำเป็นก็บริจาคแก่คนจน ไม่เก็บไว้สำหรับวันรุ่งขึ้น ตามปกติใจความของพระธรรมเทศนานั้นแนะนำให้คนทำบุญ ทั่วพระราชอาณาจักรนั้นมีคนใจบุญมากมาย เราจะไม่เห็นคนที่จนถึงต้องขออาหารกิน ธรรมจรรยาของเขาเลิศกว่าของเรามาก เขาหานับถือผู้สั่งสอนศาสนาของเราไม่ เพราะผู้สั่งสอนศาสนาของเราไม่เคร่งครัดเท่าภิกษุสงฆ์ เมื่อผู้สั่งสอนศาสนาของเราแสดงคริสตธรรม คนไทยซึ่งเป็นคนว่านอนสอนง่าย นั่งฟังธรรมปริยายนั้น เหมือนฟังคนเล่านิทานให้เด็กฟัง ความพอใจของเขานั้นไม่ว่าจะสอนศาสนาใด ก็ชอบฟังทั้งนั้น พระภิกษุสงฆ์ไม่เถียงเรื่องศาสนากับผู้หนึ่งผู้ใดเลย เมื่อมีคนยกคริสต์ศาสนา หรือศาสนาใด ๆ มาพูดกับท่าน ท่านก็เห็นว่าดีทั้งนั้น ถ้ามีคนมาปรักปรำพระพุทธศาสนา ท่านก็ตอบอย่างใจเย็นว่า เมื่ออาตมาภาพเห็นว่าศาสนาของท่านเป็นศาสนาที่ดี เหตุไรท่านจึงไม่เห็นว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ดีเล่า พระของเราตอบพระฝรั่งไปอย่างนี้ เพราะคนไทยมีจิตใจกว้างขวาง ซึ่งฝรั่งต้องพยายามต่อสู้กันมานักหนา ฝรั่งมีแต่รบกันฆ่ากันเรื่องศาสนา จนกระทั่งต้องอยู่กันด้วยกฎหมาย เอากฎหมายเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้คนรุกราน หรือรุกล้ำละเมิดกัน ฝรั่งเป็นอย่างนั้นมาตลอด แม้แต่ใกล้ ๆ ปัจจุบันนี้เอง คนไทยก็ยังมีน้ำใจดีเหมือนเดิม ทางใต้ของเรามีคนนับถือศาสนาอิสลามมีชาวอิสลามมาก เราก็อยู่กันมาด้วยดีไม่มีปัญหา เหมือนพี่เหมือนน้อง พระทางใต้ท่านเล่าให้ฟังว่า ในภาคใต้เราที่เป็นมาแต่ก่อนคนไทยพุทธ และคนไทยอิสลามอยู่ด้วยกัน เวลาคนอิสลามสร้างมัสยิดคนไทยพุทธไปช่วยสร้าง เวลาชาวพุทธสร้างโบสถ์ ชาวอิสลามก็มาช่วยสร้างด้วย นี่เป็นสภาพที่หาได้ยาก ไม่มีที่ไหนในโลก อย่างที่ประเทศอเมริกาที่ว่าเป็นประเทศเสรีภาพ มีความเป็นประชาธิปไตย ก็เป็นด้วยกฎหมายหากมี ประสบการณ์ในการบีบคั้นข่มเหงกันมาก หนีความบีบคั้นทางศาสนาในยุโรปก็ยังไปพิฆาตกันใน อเมริกาอีก เวลานี้แม้แต่มีกฎหมายบังคับควบคุมก็ยังมีพวกสมาคมลับ มีพวก Ku KIux Klan เอาไว้สำหรับฆ่าคนผิวดำ แล้วต่อมาก็มีนาซีใหม่อีก นี่เพราะจิตใจยังแก้ไม่ตก แต่ของเรานี่แก้เข้าไปในจิตใจเลย จึงพูดได้ว่าเสรีภาพทางศาสนานี่ อเมริกาอย่ามาคุยเลย เทียบกับเมืองไทยไม่ได้ เรียกว่าอเมริกามีเสรีภาพในทางลบ คือเสรีภาพแบบคอยกั้นคอยกัน คอยระวังไม่ให้รุกรานข่มเหงกัน แต่ของไทยเราเป็นเสรีภาพแบบบวก คือกลายเป็นสามัคคีช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ที่ว่ามานี้เป็นสภาพที่เป็นมาในพื้นเพภูมิหลังของเราที่เราจะต้องรู้จักตัวเอง แต่สภาพอย่างนี้เราจะรักษาเอาไว้ได้หรือไม่ นี่แหละคือปัญหาเรื่องภัยแห่งพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร ชาวพุทธควรได้ปัญญามองดูความคิดจิตใจคน ที่จะส่งผลอนาคตต่อไป สภาพอย่างที่ว่ามานี้ ที่อยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง ไม่ว่าต่างผิว ต่างเผ่า ต่างศาสนานี้ เราพูดได้เลยว่า มีได้เฉพาะเมื่อชาวพุทธจำนวนมากครอบคลุมเกือบหมดทั้วประเทศ แต่ถ้าเมื่อไรมีชาวพุทธน้อยลงก็จะเริ่มเกิดปัญหา อย่างเมืองไทยนี้ ถ้าเมื่อไรคนพุทธเหลือ ๙๐ % ก็จะเริ่มเดือดร้อน ปัญหาต้องเกิดขึ้น ตอนนี้เหลือ ๙๔ % กว่า ๆ ก็มีเค้าว่าจะเริ่มร้อนแล้ว ย้อนไปแค่ช่วง ๔ - ๕ ปีก่อนนี้ ปัญหาก็เริ่มตั้งเค้าแล้ว เช่นมีพระองค์หนึ่งจากนราธิวาสได้เล่าเรื่องความเป็นไปในจังหวัดของท่านด้วยความเป็นห่วงว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร สมัยท่านเป็นเด็ก จะเป็นเด็กพุทธหรือเด็กอิสลามก็เรียนหนังสือด้วยกันโตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก ตอนเป็นเด็กจะถือศาสนาไหน ๆ ก็ไม่รู้จักแบ่งแยก จึงเป็นเพื่อนสนิทกันเรื่อยมา พอโตแล้วอยู่ด้วยกันมีบรรยากาศที่สบาย ต่อมาตอนหลัง เขาแยกไปเรียนคนละโรงก็เริ่มมีปัญหา กลายเป็นคนละพวกแล้วโน่นพุทธ นั่นอิสลาม ปัญหาก็ได้เริ่มมีขึ้นเรื่อย ๆ ในบางท้องที่ของเมืองใต้นั้น พระไปบิณฑบาตในบางถิ่นที่มีคนอิสลามมาก เดี๋ยวนี้ถูกวัยรุ่นโห่เอาแล้ว บางแห่งไปมีการถ่มน้ำลาย อันเป็นเรื่องที่แสดงว่า สถานการณ์สังคมได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี และนับว่าเป็นภัยชนิดหนึ่ง ที่เป็นอย่างนี้เราพูดได้ว่า ชาวศาสนาอื่นไม่ได้มองอย่างชาวพุทธ ยกตัวอย่างเรื่องที่เป็นข่าวใหญ่ระดับโลกเร็ว ๆ นี้ คือเรื่องกรณีทาลีบัน พวกทาลีบันเข้าปกครองประเทศอัฟกานิสถาน ได้ใช้ปืนใหญ่ และลูกระเบิดทำลายพระพุทธรูปที่มีมาเป็นพันปี และถือว่าเป็นสมบัติของโลก ในประวัติศาสตร์อัฟกานิสถานเคยเป็นดินแดนพระพุทธศาสนา เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง อยู่แถว ๆ อาณาจักรกุษาณของพระเจ้ากนิษกะที่บามิยาน มีพระพุทธรูปใหญ่สูง ๕๓ เมตร และ ๓๕ เมตร ซึ่งแกะสลักอยู่ที่ภูเขาเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๘๐๐ มาถึงตอนนี้พระพุทธรูปทั้ง ๒ องค์ ก็ถูกผู้ปกครองอิสลามพวก ทาลิบัน ทำลายลงไป ความจริงในประวัติศาสตร์เขาเคยทำลายมาแล้วหลายครั้ง แต่สมัยก่อนยังไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยอย่างนี้ เขาทำลายโดยได้แต่เอาฆ้อนเหล็กไปต่อยไปทุบ ในอินเดีย จะเห็นพระพุทธรูปในที่ต่าง ๆ ถูกทำลาย ถ้าเป็นศิลาใหญ่หน่อยก็ต่อยที่พระนาสิกให้เสียโฉม เพราะมีพระพุทธรูปเป็นจำนวนมาก เพราะเขาทำลายไม่ไหวจึงทำได้แต่เพียงนั้นเป็นอย่างนี้ทั่วไปหมด แต่เวลานี้มีเครื่องมือทำลายที่ร้ายแรง มีระเบิดมีปืนใหญ่จึงทำลายได้หมดสิ้น เมื่อเกิดกรณีทาลีบันขึ้นมา ก็ต้องดูว่าชาวพุทธก็ตาม ชาวโลกและโดยเฉพาะชาวอิสลามก็ตาม จะมีความรู้สึกแสดงออกอย่างไร ซึ่งจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ในการที่จะมองสถานการณ์ ซึ่งหมายถึงแนวโน้มต่อไปในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร เราควรพิจารณาในแง่ว่าคนที่มีความคิดอย่างนี้ ที่เขาทำอย่างนี้ได้นั้นจิตใจเขาเป็นอย่างไร เขานึกคิดต่อผู้อื่นอย่างไร ต้องมองไปในอนาคตว่า เมื่อเขายังมีความคิดมีความเชื่อ และมีสภาพจิตใจอย่างนี้ อะไรจะเกิดขึ้นต่อไปนี่เป็นเรื่องสำคัญเท่าที่ดูแล้ว ชาวพุทธก็มีบ้างที่ตื่นตัวแต่ว่ามีน้อย ในฝ่ายชาวอิสลามมีชาวอิสลาม ที่แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างอาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ก็เขียนลงในหนังสือพิมพ์ แสดงความไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ใช่คำแถลง หรือแสดงมติที่ออกจากองค์กรใหญ่ของชาวอิสลาม ซึ่งควรแสดงให้เห็นท่าทีที่ชัดเจน แต่ชาวอิสลามบางคนก็พูดในทางตรงข้าม เป็นข้อเขียนในหนังสือรายสัปดาห์ฉบับหนึ่ง ในหัวข้อเรื่องว่า เวรกรรมของทาลีบัน มีเนื้อความบางส่วนว่า เรื่องการทำลายพระพุทธรูปของพวกทาลีบัน อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องของศาสนิกชนอื่น ที่ไปทำลายศาสนสถานของชาวพุทธ ซึ่งพระพุทธรูปเป็นที่เคารพสัการะสำหรับศาสนาของเขา สิ่งที่เขาทำอาจเป็นสิทธิของเขา เพราะเขาทำในบ้านของเขา ถ้าไทยอิสลามมีรูปเจว็ดในบ้าน เราก็ต้องกำจัด นายวันนอร์ก็เปลี่ยนแปลงห้องรัฐมนตรีโดยการยก พระพุทธรูปออกไป และอดีต รมว.ต่างประเทศ ก็ยกพระพุทธรูปออกจากห้องทำงานเหมือนกัน การที่จะให้อิสลามเป็นสากล ไม่ใช่ว่าจะยืดหยุ่นได้ทุกเรื่อง อิสลามเป็นศาสนาที่สร้างสรรไม่ใช่ทำลาย บางครั้งการทำลายอาจเป็นสาเหตุจากการสร้างสรรค์ ศาสดามูฮำหมัดก็เคยทำสิ่งเดียวกัน บรรดาเทวรูปที่อยู่ในเมกกะถูกทำลาย แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้น ก็ทำให้สังคมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว นี่คือท่าทีที่เป็นตัวอย่าง เขามองประเทศอัฟกานิสสถานเป็นบ้านเฉพาะของชาวอิสลามเท่านั้น คนถือศาสนาอื่น ๆ ทั้งที่เกิดที่นั่นก็ไม่มีบ้าน ไม่มีสิทธิ นอกจากนั้นคำว่าสากลที่ชาวอิสลามคนนี้เขียนก็มิใช่หมายถึง การทำให้คนทั้งหลายทั่วไปทั้งหมด เข้าใจศาสนาอิสลามถูกต้อง แล้วเห็นชอบยอมรับทั่วกันอย่างที่เราเข้าใจ แต่หมายถึงการที่จะต้องให้ทุกคน และทุกอย่างเป็นไปตามที่ศาสนาอิสลามกำหนด คนไทยชอบยกย่องนับถืออเมริกา แต่น้อยคนจะรู้จักอเมริกา ยกตัวอย่างประเทศมาเลเซีย ได้ประกาศให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ แล้วก็เริ่มมีปัญหาเรื่องการศึกษาเล่าเรียน มีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรต่าง ๆ ในขณะที่มาเลเซียมีศาสนิกอิสลาม ๕๓ % พุทธ ๑๙ % คริสต์ ๑๑ % ฮินดู ๘ % และอื่น ๆ ๙ % แล้วแค่นี้เอาเป็นศาสนาประจำชาติก็แปลกแล้ว จุดที่ควรมองอยู่ที่ว่า ความคิดจิตใจของเขาเป็นอย่างไร จะเห็นว่าคนในประเทศไทย กับประเทศต่าง ๆ ที่ยกมานี้มีความคิดไปคนละแบบ แม้แต่ประเทศอเมริกาที่บอกว่า เป็นประเทศที่มีเสรีภาพทางศาสนา ถึงกับแยกรัฐกับศาสนาแต่เป็นการแยกแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ยกตัวอย่างพิธีปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดี ประธานาธิบดีต้องสาบานตัวกับคัมภีร์ไบเบิล แม่แต่พิธีสาบานธง ซึ่งเป็นการแสดงความภักดีต่อชาติ ก็มีกฎหมายออกมา ซึ่งรัฐสภากำหนดคำสำหรับปฏิญาณตนตอนหนึ่งว่า ประเทศอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งเดียวภายใต้พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น ถ้าถามว่าประเทศอเมริกามีศาสนาประจำชาติไหม ตามหลักฐานนี้ก็บอกได้เลยว่ามี ถ้าถามต่อไปว่าเขาถือศาสนาไหนเป็นศาสนาประจำชาติ ก็ตอบได้เลยว่าศาสนาคริสต์ การที่ในรัฐธรรมนูญเขาให้รัฐกับศาสนา แยกกันก็เพราะความขัดแย้งของนิกายคาทอลิก กับโปรเตสแตนท์ ที่จริงในตัวรัฐธรรมนูญแท้ ๆ ก็ไม่มีคำที่บอกว่าแยกรัฐกับศาสนา มันเป็นเพียงการแปลความหมายของประธานาธิบดี เจฟเฟอร์สันของสหรัฐอเมริกา หลายคนหลงไปตามสหรัฐอเมริกา ที่มองกันไม่ชัดแล้วเข้าใจผิดว่า การแยกรัฐจากศาสนาและการมีเสรีภาพทางศาสนา เป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งที่จริงไม่ใช่ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการเข้าใจผิดต่อไปอีกว่า เรื่องนี้เป็นความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรม แต่ที่จริงไม่ใช่เลย มันเป็นความติดตันทางอารยธรรมต่างหาก ที่กล่าวมาแล้วมุ่งที่จะให้รู้เท่าทันสถานการณ์ว่ามนุษย์หรือชาวโลกยังเป็นกันอยู่อย่างนี้ ซึ่งเราควรจะก้าวให้พ้นเลยต่อไป เพราะศักยภาพของชาวพุทธมีมากกว่านั้น เราสามารถสร้างสันติสุขที่แท้จริงให้แก่โลกได้ แต่ทั้งนี้ต้องปฏิบัติตามหลักที่พูดแล้วว่า ใจดีอยู่กับเขาโดยมีเมตตา แต่ก็ต้องปฏิบัติจัดการด้วยปัญญา และอยู่ด้วยความไม่ประมาท บางที่เราไม่รู้ภูมิหลัง เข้าใจว่าสหรัฐอเมริกามีเสรีภาพทางศาสนา ให้ศาสนากับรัฐไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน แล้วเอาวิธีนี้มาใช้กับประเทศไทย โดยไม่เข้าใจภูมิหลัง กลายเป็นว่าเอาสิ่งที่เป็นโทษมายัดเยียดใส่ประเทศของตัวเอง นายกรัฐมนตรีไทย เวลาเข้ารับตำแหน่ง ถ้าจะเอาอย่างอเมริกาน่าจะมีพิธีทางพระพุทธศาสนาบ้าง อย่างอื่นเอาอย่างอเมริกา แต่อย่างนี้ไม่เอา ตามประเพณีของไทยเรา ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก มีการประกาศราชธรรมต่าง ๆ คือหลักการปกครองแผ่นดิน ตามคำสอนของพระพุทธศาสนา มีทั้งทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร ราชสังคหวัตถุ และขัตติยพละเมื่อเรามาเป็นประชาธิปไตย เราไม่ได้นำวัฒนธรรมประเพณีนี้มาสืบต่อ ทำไมเราจึงละเลยเสีย กลมกลืนกันไปมา ฝ่ายที่ไม่รู้ตัวจะหัวหายไปเอง อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ตอนนั้นชาวพุทธบางท่านได้ไปพบเอกสารของคริสต์จากองค์กรที่เรียกว่า สำนักราชเลขาธิการเพื่อปฏิบัติต่อคนที่มิใช่ชาวคริสต์ (Secretariat for non - christians) เป็นเอกสารลับ ซึ่งเขาใช้สำหรับสื่อกัน ระหว่างพวกบิชอพคาทอลิกที่ทำงานอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ในเอกสารนี้มีนโยบายใหม่ของคาทอลิก ที่จะปฏิบัติต่อศาสนาอื่น ๆ ทำให้รู้ว่าเวลานี้ทางคาทอลิกได้เปลี่ยนนโยบาย เพราะก่อนหน้านี้พวกบาทหลวงเวลาเผยแพร่ศาสนา จะใช้วิธีพูดจารุนแรง คำว่าโจมตี ก็ได้เปลี่ยนแปลงในทางที่เข้ามาเป็นมิตร เอกสารลับดังกล่าวนี้สืบเนื่องมาจาก การประชุมมหาสมัชชาวาติกัน ครั้งที่ ๒ (Vatican Council 2) ที่ประชุมกันเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๖๒ - ๑๙๖๕ (พ.ศ. ๒๕๐๕ - ๒๕๐๘) แต่เรามาพบหลังจากนั้นนานจึงรู้ว่าเขาเปลี่ยนนโยบาย เข้ามาสัมพันธ์กับชาวพุทธอย่างดี แม่แต่ที่กรมการศาสนา ก็ถึงกับตั้งเป็นหน่วยงาน เรียกว่า ศูนย์ศาสนสัมพันธ์ แปลมาจากคำว่า Dialogue เพื่อให้ทางคริสต์ทางพุทธอะไรต่าง ๆ ได้มาประสาน และมีความกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในเมืองไทยศาสนาคริสต์เข้ามาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ราวสามร้อยปีมาแล้ว จนถึงปัจจุบันมีคนไปเป็นคริสต์อยู่เพียง แสนกว่าคนถือว่าไม่ได้ผลเลย จึงต้องหันมาใช้วิธี dialogue ให้มีการวิสาสะกันใช้วิธีผสมกลมกลืน (Assimilalion) ในเอกสารที่เป็น Bulletin มีบอกหมดว่าประเทศไทยเวลานี้มีสถานการณ์อย่างไร องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก พุทธสมาคม ทำงานได้ผลหรือไม่ พระสงฆ์เป็นอย่างไร ชาวไทยเป็นอย่างไร เขาควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะให้ผลดี เริ่มตั้งแต่ในแง่คำสอนทางศาสนา ก็ให้คนเก่าของคริสต์ไปเรียนหลักธรรมของพระพุทธศาสนา แล้วเอามาใช้ในคริสตศาสนา ตลอดจนพิธีกรรมต่าง ๆ ก็นำมาใช้เช่นชาวคริสต์ทอดผ้าป่า พยายามใช้วิธีบวชแบบพุทธ มีการขานนาคมีคู่สวด อันไหนได้ผลก็ทำต่อ อันไหนไม่ได้ผลก็เลิกไป นอกจากนั้นยังนำเอาแบบแผนทางสถาปัตยกรรมไปใช้ โดยออกแบบให้คล้ายแบบไทยและเป็นแบบพุทธ มีการนำเอาโต๊ะหมู่บูชาไปใช้ บาทหลวงคริสต์เอานิพพานเป็นอัตตา เพื่อให้พุทธศาสนากลายเป็นคำบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า นอกจากภาคปฎิบัติแล้ว เราก็พบในแง่คำสอน เขาวางวิธีเอาหลักธรรมของพระพุทธศาสนาไปอธิบายแบบคริสต์ เป็นการครอบคือ เอาพุทธไปไว้ข้างใน แล้วเอาคริสต์เป็นใหญ่คลุมไว้ทั้งหมด ให้พระพุทธเจ้าเป็นคนที่พระเจ้าส่งมา บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นประกาศก ที่พระผู้เป็นเจ้าส่งมา เพื่อเตรียมชาวตะวันออกไว้ต้อนรับพระเยซู อนัตตาเขาบอกว่าคริสต์ก็มี สรุปได้ความว่า พระพุทธเจ้าสอนไปได้ถึงแค่อนัตตา คือสอนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จบแค่นั้น ต้องอาศัยรอพระเยซูมาสอนอัตตาอีกทีหนึ่ง ใจกว้างอย่างไม่รู้หรือใจกว้างวางเฉย อย่าเอาเลยจะพาชาติศาสน์ล่ม การที่เรามีลักษณะเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ไม่ค่อยจะถืออะไรเป็นจริงเป็นจัง จึงกลายเป็นคนที่ตกอยู่ในความประมาท ถ้าจะเป็นชาวพุทธจริง ก็ต้องไม่ประมาท อีกอย่างหนึ่งคือต้องไม่ใจกว้างจนไม่มีหลัก มีตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือมีชาวยิวมาพบและบอกว่า ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองเหนือของไทย มีนักบวชของศาสนาคริสต์เอาข้าวของรางวัลเงินทองให้ เพื่อชักชวนคนไทยไปนับถือศานาคริสต์ การที่จะให้คนไปนับถือศาสนาด้วยวิธีการเอาอามิสเป็นเหยื่อล่อนี้ เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ในประเทศของเขา ถือว่าต้องไล่ออกจากประเทศไปเลย แต่ทำไมเมืองไทยจึงปล่อยให้เป็นเช่นนั้น การที่เป็นได้เช่นนี้ก็เพราะคนไทยไม่รู้ปัญหา ใครจะทำอะไรก็ทำไป ไม่ถือไม่คิดอะไรเพราะว่าใจกว้าง ก็เลยกลายเป็นความเขลาเป็นเหยื่อของเขาไป การมีเมตตา จะต้องประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่เมตตาลอย ๆ ยิ่งถ้ามีเมตตากับโมหะก็กลายเป็นความโง่ เรื่องของคนไทยที่ปล่อยให้ความไม่รู้มาคู่กับความใจกว้างนี้ เป็นปัญหามาก และเป็นปัญหากับคนสมัยใหม่ที่มีการศึกษาดีด้วย คือคนสมัยใหม่ไปศึกษาต่างประเทศกันมาก แล้วกลับมาเป็นผู้ปกครองบริหารบ้านเมือง แต่ไม่ค่อยรู้เรื่องประเทศของตนเอง รวมทั้งไม่รู้เรื่องพุทธศาสนาด้วย แม้แต่เรื่องประชาธิปไตย ก็ทำเป็นประชาธิปไตยกันไป แสดงขึ้นมาว่าอย่างนี้ไม่ถูก อย่างนั้นไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ถ้าพวกไหนรุนแรงเขาจะไม่กล้า แต่สำหรับชาวพุทธ ถ้าชาวพุทธทำอะไรเพียงเล็กน้อย พวกนักประชาธิปไตยแบบนี้จะออกมาว่า แต่ถ้าเป็นพวกศาสนาที่รุนแรงออกมาเขาเงียบเลย หรือมิฉะนั้นก็ออกมาเอาใจอีกด้วย แม้แต่เรื่องรัฐธรรมนูญ เวลานี้ก็อ้างกันนัก จนไม่รู้ขอบเขตว่าอะไรแค่ไหน บางคนไปเอารัฐธรรมนูญมาตัดสินพระธรรมวินัย บางคนก็เอาสิทธิมนุษยชนมาตัดสินความจริงของธรรมชาติ ประชาธิปไตยจริงต้องเอาเหตุเอาผลเอาความจริงความถูกต้อง และยอมรับหลักการ ไม่ใช่เอาแต่ความต้องการ ต้องหาความรู้ไม่ใช่อยู่แค่ความเห็น ต้องวิจัยด้วยไม่ใช่เอาแต่วิจารณ์ ไม่ใช่กล้าแสดงออก แต่ต้องมีสาระที่จะเอามาแสดงด้วย สภาพที่เป็นอยู่เวลานี้ทำให้น่ากลัวว่าเอาแต่แสดงออกกันเรื่อยไป แต่เจอด้านไหนรุนแรงนอกการเมืองก็สยบ ถ้าเป็นอย่างนี้สังคมของเราจะไปไม่ไหว หลายคนที่ไปเรียนเมืองนอกนั้น นอกจากไม่รู้จักประเทศของตนแล้ว มักไม่รู้จักฝรั่งจริงด้วย สักแต่ว่าเมื่อเขามีแบบมีแผน มีกฎหมายอย่างไร ก็อยากจะนำมาใช้ การนำแบบแผนของเขามาโดยไม่รู้เขา เป็นการกระทำที่ก่อผลเสียหาย ถ้าว่าในแง่ของการบริหารประเทศต้องถือว่าอภัยไม่ได้ ในเมืองไทยระดับผู้ใหญ่ฝ่ายบริหาร แสดงการเริ่มรับผิดชอบงานด้วยการไหว้เจ้า ที่ว่ารู้จักศาสนานั้นไม่ใช่รู้จักในฐานะเป็นศาสนาเท่านั้น แต่ต้องรู้จักในฐานะเป็นเรื่องของคนไทย เป็นเรื่องที่คนไทยทั่วไปเกี่ยวข้องอยู่ เป็นของที่อยู่ในตัวของคนไทย เป็นส่วนเนื้อหาสาระของความเป็นไทยด้วย ไม่ว่าจะเป็นในแง่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม การที่ผู้นำหรือผู้บริหารบ้านเมือง ไม่รู้เรื่องประเทศชาติของตนเอง นับว่าเป็นอันตรายอย่างมาก ภัยภายใน ในที่นี้คือความไม่รู้ คนมากมายทั้งที่เป็นคนไทย และเป็นพุทธศาสนิกชน แต่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาสอนอะไร ไม่รู้ว่าเชื่ออย่างไรถูก เชื่ออย่างไรผิด มีการปฏิบัติที่วิปริตผิดพลาดต่าง ๆ สรุปว่าปัญหาไม่ได้เป็นเพราะนับถือพระพุทธศาสนา แต่เป็นเพราะคนไทยละทิ้งพระพุทธศาสนา ดังนั้น วิธีแก้ปัญหาสังคมไทยนั้นง่าย ๆ ตรงไปตรงมา ในเมื่อคนไทย ๙๕ % เป็นพุทธศาสนิกชน แต่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา จึงได้เชื่อผิดปฏิบัติผิด แล้วทำให้เกิดปัญหาสังคมมากมาย เพราะฉะนั้นการแก้ไขซึ่งง่ายที่สุดคือให้เขารู้จักพระพุทธศาสนาเสีย พอมารู้จักพระพุทธศาสนา เชื่อถูกปฏิบัติถูกแล้ว ก็แก้ปัญหาสังคมเสร็จไปในตัวเลย ทำไมจะต้องไปคิดอะไรต่ออะไรมาแก้ปัญหากันซับซ้อน เช่นจะจัดการศึกษาอย่างนั้นอย่างนี้ จะเอาอันโน้นอันนี้มาแก้ไขปัญหา แล้วก็ไม่ตรงจุดเลย ใช้วิธีแก้ปัญหาแบบอ้อมไปอ้อมมา ในเรื่องปฏิรูปการศึกษา มีคำถามหลักอยู่ข้อหนึ่งคือ คนไทยที่เป็นพุทธศาสนิก ๙๕ % นั้นไม่รู้หลัก พระพุทธศาสนาจริงหรือไม่ ถ้าตอบว่าจริงทางแก้ปัญหาก็ตามมาว่า ทำอย่างไรจะให้เด็กนักเรียนไทยทั่วประเทศได้เรียนพระพุทธศาสนา ได้รู้จักคำสอนในพระพุทธศาสนา อันนี้คือการปฏิรูปการศึกษา และตรงตามเหตุปัจจัยที่จะแก้ปัญหาของประเทศชาติได้ เวลานี้ก็รู้เห็นกันอยู่ว่า สภาพแวดล้อมทั่วไป การแสสังคมและความนิยมวัฒนธรรมต่างประเทศ มีแต่ทำให้เด็กและเยาวชน ห่างเหินออกไปจากความเป็นไทย ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง ไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ห่างเหินออกไปจากวัฒนธรรมของตัว และตกต่ำในทางศีลธรรมจรรยา คนไทยเราชาวพุทธ ไม่มีจิตสำนึกในความเป็นเจ้าของ ที่จะมีส่วนร่วมรับผิดชอบพระพุทธศาสนา เวลามีเหตุการณ์อะไรไม่ดีเกิดขึ้น คนไทยชาวพุทธจะวิจารณ์เหตุการณ์นั้นเหมือนกับว่าตัวเป็นคนนอก หรือเหมือนกับว่าฉันไม่เกี่ยว พระพุทธศาสนาเป็นของพุทธบริษัทสี่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว พุทธบริษัทสี่ไม่ใช่มีแต่พระฝ่ายเดียว แต่มีทั้งบรรพชิต และคฤหัสทั้งหมด นี่เป็นเจ้าของพระพุทธศาสนา จึงมีสิทธิเท่ากัน ในเมื่อทุกคนมีสิทธิเท่ากันก็ใช้ความถูกต้องใช้ธรรมวินัยตัดสิน ฉะนั้นต้องตั้งจิตคิดกันใหม่ ถ้าไปตั้งใจแบบยกศาสนาให้เป็นของพระ ตัวไม่เกี่ยว พระศาสนาก็อยู่ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องรีบแก้ไข ท่าทีที่ผิดมานานแล้วในสังคมไทยคือมองไปว่า ถ้าใครไม่เอาเรื่องเอาราวเรียกว่าวางเฉยก็ถือว่าดี อันนี้เป็นอันตรายมากต่อพระพุทธศาสนา คือไปนึกว่าทำอย่างนั้นเป็นอุเบกขา อุเบกขามีหลายอย่าง แต่อุเบกขาที่เป็นหลักใหญ่มี ๒ อย่างคือ อุเบกขาที่ถูกกับ อุเบกขาที่ผิด อุเบกขาที่ถูกนั้นเป็นธรรมชั้นสูงมากับปัญญา ที่รู้ และทำให้วางใจพอดีได้ แต่ต้องไม่ประมาทด้วย ปล่อยวางได้คือจิตใจของบัณฑิต แต่ถ้าปล่อยปละละเลยก็ผิด เพราะเป็นกรรมของคนพาล ในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ท่านให้ถือกิจส่วนรวมเป็นสำคัญ ตามหลักพระวินัยกิจของสงฆ์ พระภิกษุทุกรูปต้องเคารพให้เป็นใหญ่ แม้แต่พระอรหันต์จะไปเข้านิโรธสมาบัติ ก็ต้องวางใจไว้ก่อนว่า ถ้ามีเรื่องส่วนรวมของสงฆ์เกิดขึ้นต้องออกจากนิโรธสมาบัติทันที ถ้าพูดสรุปโดยสาระคือ ปล่อยวางได้ แต่อย่าให้กลายเป็นปล่อยปละละเลย ปล่อยวางเป็นเรื่องของจิตใจที่ไม่ยึดติดถือมั่น แต่ปล่อยปละละเลยคือความประมาท เป็นอกุศลเป็นความเสื่อม พระอรหันต์ มีลักษณะอย่างหนึ่งคือ เป็นผู้ไม่อาจจะประมาท เป็นผู้ปล่อยวางในทางจิตใจ เพราะท่านไม่ยึดติดอะไร ท่านไม่มีอะไรต้องทำเพื่อตัวเอง ท่านจึงยกชีวิตนี้ให้เป็นของส่วนรวม เพื่อทำประโยชน์สุขแก่มนุษย์ทั้งปวงได้เต็มที่ พูดตามภาษาพระว่า พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย คือเพื่อประโยชน์สุขของพหุชน เพื่อเกื้อกูลแก่ชาวโลก พระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้แล้วได้จาริกไปโปรดสัตว์ อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย เพราะไม่มีอะไรจะต้องทำเพื่อตนเอง จึงยกพระชนม์ชีพให้แก่สรรพสัตว์ อันนี้เป็นลักษณะของพระอรหันต์ เรียกว่า เป็นผู้ไม่มีกิจที่จะต้องทำเพื่อตนเองอีกต่อไป ชาวพุทธในอดีตก็ได้ดำเนินตามคติพระอรหันต์ข้อนี้ อย่ามัวแค่มองผลและวิจารณ์กับแค่เปลือกผิว ต้องหัดใช้ปัญญาหยั่งลึกเหตุปัจจัยที่เป็นมายาวไกล การที่มีปรากฏการณ์ปัญหาความเสื่อมต่าง ๆ เป็นเครื่องฟ้องว่า การพระศาสนาของเรา รวมทั้งวงการพุทธบริษัทนี้ได้เสื่อมมานานแล้ว เนื่องจากเหตุปัจจัยต่าง ๆ ที่ได้สร้างกันมา ทำให้กระแสความเสื่อมหมักหมม จนกระทั่งแสดงผลออกมา เพราะฉะนั้นเราจะต้องกลับไปแก้สาเหตุของมัน แต่อาการปรากฏชั่วคราวเฉพาะหน้าก็แก้ด้วย คือต้องแก้ทั้งสองอย่างแก้เฉพาะหน้าระยะสั้น กับแก้ลงไปถึงเหตุปัจจัยระยะยาว ปัญหาสำคัญของเราเวลานี้ คือสภาพขาดการศึกษามีอยู่เป็นจำนวนมากที่พระใหม่บวชเข้ามาไม่ได้เรียนอะไรเลย การบวชตามประเพณีตามคติโบราณเรียกว่าบวชเรียน แต่เดี๋ยวนี้เหลือแค่บวชเฉย ๆ เราต้องให้พระที่บวชเข้ามานี้ได้เรียน คำว่าเรียน ก็คือได้เรียนพระธรรมวินัย ทั้งเล่าเรียนปริยัติ และเรียนโดยการประพฤติปฏิบัติ เช่นการทำกิจวัตรต่าง ๆ และฝึกจิตเจริญปัญญา เป็นการเรียนด้วยชีวิตจริง จากการเป็นอยู่อย่างพระภิกษุ และฝึกฝนปฏิบัติต่าง ๆ คือฝึกอบรม กาย วาจา ใจ และปัญญา เรียกตามหลักว่า ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ดูบทเรียนในอดีต พระพุทธศาสนามักจะเสื่อมในเวลาที่เจริญที่สุด เพราะฉะนั้นจึงต้องคอยระวังให้มาก เมืองไทยเรานี้เป็นดินแดนที่พระพุทธศาสนาเจริญมาแล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องระวังไม่ประมาทอย่างยิ่ง เพราะความเสื่อมพร้อมที่จะเข้ามา ตัวอย่าง เช่นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระพุทธศาสนาได้รับการอุปถัมภ์บำรุงจากบ้านเมืองอย่างมาก พวกเดียรถีย์ได้ปลอมบวชกันใหญ่ เพราะบวชแล้วสบายมีลาภหากินอย่างไรก็ได้ พระเจ้าอโศก ฯ เมื่อทรงทราบปัญหาจึงจัดการแก้ไข โดยจัดสอบความรู้ของพระ แล้วจับสึกไปถึงหกหมื่นรูป สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระพุทธศาสนาก็เจริญ มีพระบวชเข้ามาเพราะอยากอยู่สบายไม่ได้เล่าเรียนศึกษา สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็ต้องจัดการสอบความรู้ พระรูปใดไม่มีความรู้สมเป็นพระก็ทรงให้สึกไปเป็นอันมาก รักษาพระพุทธศาสนา คือรักษาพระธรรมวินัย รู้พระธรรมวินัย และยึดเอาธรรมวินัยเป็นหลักเกณฑ์วินิจฉัย แกนกลางหรือเนื้อตัวของพระพุทธศาสนานั้นก็คือ พระธรรมวินัย ที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดง และบัญญัติไว้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อานนท์ โดยกาลที่เราล่วงลับไปธรรมและวินัยใดที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ดังนั้น ถ้าเราจะรักษาพระพุทธศาสนา ก็ต้องรักษาพระธรรมวินัยไว้ให้ได้ พระธรรมวินัยนั้นท่านจารึกไว้เป็นพระไตรปิฎก และพระสงฆ์ตั้งแต่พระสาวกรุ่นใกล้ชิดพระพุทธเจ้าได้รักษาสืบทอดกันมาด้วยการทรงจำ สาธยาย และจารึกไว้ด้วยความไม่ประมาท เพราะฉะนั้นพระไตรปิฎกจึงเป็นที่บรรจุรวบรวมพระธรรมวินัยไว้ จึงใช้เป็นหลักในการศึกษาสั่งสอนพระพุทธศาสนา และเป็นมาตรฐานหรือเป็นเกณฑ์ตัดสินว่า อะไรเป็นพระพุทธศาสนาหรือไม่ บรรพบุรุษไทยเพียงรักษาพระไตรปิฎกไว้ให้มาถึงเรา พระไตรปิฎกของชั้นเดิมนั้นเป็นภาษาบาลี เรียกว่าเป็นฉบับเถรวาท คือสืบต่อกันมาตั้งแต่พระสาวกที่ทันเห็นทันฟังพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ประชุมกัน รวบรวมพระธรรมวินัยไว้ เรียกว่า สังคายนาพระธรรมวินัย หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานเพียง ๓ เดือน ประเทศพุทธศาสนาอย่างเมืองไทยเรานี้ ได้พยายามระวังรักษาพระไตรปิฎกเดิมที่เป็นภาษาบาลีไว้ โดยถือเป็นกิจสำคัญสูงสุดของชาวพุทธ ทั้งฝ่ายคณะสงฆ์และฝ่ายบ้านเมืองตั้งแต่องค์พระมหากษัตริย์ลงมา ดังเช่นมีการสังคายนา และเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงกู้ชาติตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี ก็ทรงให้รวบรวมพระไตรปิฎก จากเมืองเหนือเมืองใต้มาไว้ที่กรุงธนบุรี สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อทรงตั้งกรุงเทพ ฯ เป็นราชธานี ก็ทรงจัดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งใหญ่ และจัดตั้งอาคารที่เป็นหอเก็บพระไตรปิฎกไว้เป็นหลักประจำบ้านเมืองที่วัดพระแก้ว ฯ ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อเกิดมีการพิมพ์สมัยใหม่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงให้พิมพ์พระไตรปิฎกบาลี ด้วยตัวอักษรไทย เป็นเล่มหนังสือ แล้วทรงส่งไปพระราชทานแก่ประเทศต่าง ๆ แม้แต่ประเทศทางชาติตะวันตก จากพระไตรปิฎกบาลีของเดิมนั้น ก็ได้มีการแปลเป็นภาษาไทย แล้วพิมพ์เป็นชุดเรียกว่าพระไตรปิฎกภาษาไทย เริ่มตั้งแต่ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๐๐ หรือฉบับฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะแพร่ขยายไปในประเทศต่าง ๆ เกิดพระพุทธศาสนาแบบที่แยกออกไปเป็นมหายาน แต่ก็เป็นที่รู้กันว่า จะหาคำสอนเดิมแท้ของพระพุทธเจ้าเท่าที่มี ก็ต้องมาที่พระไตรปิฎกบาลี เช่นที่มีในเมืองไทยนี้เป็นพื้นฐาน ภัยแห่งพระพุทธศาสนาที่ใครก็ตามกระทำต่อพระธรรมวินัย ถือว่าเป็นภัยที่ร้ายแรงที่สุด การทำร้ายอาจมาในรูปของ การกระทำพระธรรมวินัยให้วิปริต ซึ่งร้ายแรงกว่าการประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัย การอ้างหลักฐานด้วยการดัดแปลง แทรกเสริมปลอมปน การทำลายความเชื่อถือต่อพระธรรมวินัย และพระไตรปิฎกด้วยวิธีหลอกลวง ทำให้ประชาชนเข้าใจสับสนไขว้เขว และหลงประเด็น ซึ่งในระยะ ๓ - ๔ ปีมานี้ได้มีขึ้นบ่อยครั้ง พระราชบัญญัติคณะสงฆ์จะไม่มีความหมาย ถ้าไม่เป็นฐานรองรับ พระธรรมวินัย และไม่เป็นประกันให้พระเณรเจริญในไตรสิกขา จึงต้องมีพระธรรมวินัยหลักเป็นเป้าหมาย พระพุทธเจ้าทรงปกครองคณะสงฆ์ในสมัยพุทธกาล ทรงจัดตั้งวางระเบียบต่าง ๆ ก็เพื่อให้พุทธบริษัทคือ พระสงฆ์ และประชาชนได้ประโยชน์จากพระธรรมวินัยที่พระองค์ใด้ทรงสั่งสอน กฏหมายจะต้องเป็นเครื่องมือที่จะรองรับพระธรรมวินัย และเป็นหลักประกันที่จะให้พระธรรมวินัยออกมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ และออกมาสู่ความรู้ความเข้าใจ และการประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนทั้งปวง พระศาสนาจะอยู่ได้ต้องมีศาสนทายาท ที่ผ่านมาเมืองไทยเราโดยมากได้ศาสนทายาท จากการให้ลูกหลานบวชเรียนกันมา อย่างน้อยบวชเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ แล้วก็มีการบวชตั้งแต่เด็กอีก บางทีพอเด็กอายุ ๗ ขวบ ก็เริ่มไปอยู่วัด และไปเรียนหนังสือกับหลวงพ่อพระอาจารย์ที่วัด ถ้าเด็กตั้งใจดีมีแววดีก็ได้บวชเณร หลายคนได้บวชกันมาจนเป็นพระเถระผู้ใหญ่ก็มีอยู่มาก พระรุ่นก่อน ๆ ก็อยู่กันมาอย่างนี้ องค์ไหนอยู่ได้ก็อยู่ไป องค์ไหนอยู่ไม่ได้ก็สึกไปแต่เวลานี้กำลังจะหมดไป หาคนที่บวชได้เต็มพรรษาได้ยาก และยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีเด็กจะบวชเณร ยิ่งขยายการศึกษาออกไปตอนนี้เณรแทบไม่มีแล้วก็ต้องอาศัยเณรบวชภาคฤดูร้อน เวลานี้เณรที่บวชภาคฤดูร้อนบางส่วนอยู่เล่าเรียนจนจบเปรียญธรรม ๙ ประโยคไปหลายองค์แล้ว คนที่เริ่มต้นด้วยการบวชเป็นพระภิกษุ แล้วเรียนนั้นมีจำนวนน้อย การศึกษาพระปริยัติธรรมจึงเสื่อมโทรมลงไป ศาสนทายาทก็ขาดแคลนจึงเป็นเรื่องที่จะต้องเอาจริงเอาจัง ว่าเราจะเอาปัญหานี้มาประสานกับการปฏิรูปการศึกษาได้อย่างไร คนที่บวชเมื่ออายุมากแล้วมักไม่ได้ร่ำเรียนอะไรจึงไม่ค่อยมีความรู้พระธรรมวินัย ถึงจะเป็นคนมีเจตนาดีก็ได้แต่เฝ้ารักษาวัด สภาพการพระศาสนาอย่างนี้เป็นมานานแล้ว ประมาณกว่า ๑๐ ปีแล้ว ที่วัดในประเทศไทยไม่มีเจ้าอาวาสประมาณ ๕,๐๐๐ วัด เหตุที่ไม่มีเจ้าอาวาสเพราะไม่มีพระที่มีคุณสมบัติจะเป็นเจ้าอาวาส เพราะบวชมาได้ ๒ - ๓ พรรษา หรือแม้แต่จะบวชมานาน แต่ก็ไม่ได้ความรู้นักธรรม ยังเป็นเจ้าอาวาสไม่ได้แต่รักษาการณ์ไว้ แม้นแต่จะตามเขาก็ยังตามไม่เป็น เวลานี้คนไทยเรานิยมชมชื่นฝรั่ง เลยมีค่านิยมตามวัฒนธรรมฝรั่ง ปัญหาในสังคมไทยที่เกิดขึ้นเวลานี้มากทีเดียว เกิดจากค่านิยมเห่อฝรั่ง และตามฝรั่งในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง คือในเรื่องที่ไม่เป็นสาระเป็นเรื่องชั่วครู่ชั่วยาม ปัญหานี้เกิดจากการมองไม่เป็นและตามไม่เป็น คนไทยมีนิสัยชอบโก้เก๋ และเอาสิ่งนี้ไปผูกไว้กับการเสพบริโภค ซึ่งเป็นเรื่องที่นำไปสู่ความเสื่อม เพราะเรื่องของการบริโภคนี้ ไปสัมพันธ์กับพวกอบายมุข และความเป็นคนอ่อนแอ คือเป็นการหาความสุขโดยไม่ต้องทำ กลัวความยากลำบากและทำไม่เป็น ไทยจะก้าวหน้าได้ต้องเปลี่ยนวิธีตามเสียใหม่ ต้องมีความอยากทำและอยากสร้างสรรค์ ฝึกทำให้เก่งหลักการในเรื่องนี้ พระพุทธศาสนาสอนไว้ ก่อนที่จะมีความขยันหมั่นเพียร ท่านสอนให้มีฉันทะซึ่งหมายถึงความอยากทำ ความอยากมี ๒ ชนิดคือ ความอยากที่เป็นอกุศล และความอยากที่เป็นกุศล ความอยากที่เป็นอกุศลคือตัณหา ความอยากที่เป็นกุศลคือฉันทะ หมายถึงอยากให้ทำดี ซึ่งเมื่อมีขึ้นมาก็จะเจริญมรรคจะเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่ออาทิตย์จะอุทัย มีแสงเงินแสงทองส่องขึ้นมาก่อนฉันใด เมื่ออริยมรรคจะเกิดแก่ภิกษุ ก็มีฉันทะมาก่อนฉันนั้น ความอยากที่เป็นกุศลเรียกว่าฉันทะนั้น ท่านให้ส่งเสริมตราบใดที่ยังไม่บรรลุอรหัตตผลต้องมีฉันทะตลอด ความอยากทั้งสองอย่างนี้ต้องละ แต่ละต่างกัน คือตัณหานั้นเกิดเมื่อไรให้ละเสียเลย ส่วนฉันทะนั้นละด้วยการทำให้สำเร็จ ฉันทะนี้จะมีอยู่กระทั่งเป็นพระอรหันต์แล้ว พระพุทธเจ้ามีฉันทะเป็น พุทธคุณ ข้อหนึ่งเรียกว่าเป็นพุทธธรรมอย่างหนึ่ง พุทธธรรมก็คือลักษณะหรือคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า ๑๘ ประการ รวมทั้งข้อหนึ่งคือ มีฉันทะไม่ลดถอยเลย (นตฺถิ ฉนฺทสฺส หานิ) เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ต้องสร้างฉันทะขึ้นมาให้ได้ หลักธรรมสอนไว้ให้ใจดีมีเมตตา แต่ต้องปฎิบัติด้วยปัญญา และอยู่ด้วยความไม่ประมาท พระพุทธศาสนาได้ทำให้ประเทศไทยเป็นดินแดนที่ร่มเย็นเป็นสุข คนไทยชาวพุทธไม่มีความรังเกียจเดียดฉันท์ต่อผู้ใด จะอยู่กับใครก็ได้ และยินดีต้อนรับทุกคน แต่สภาพนี้มีในเมื่อประเทศไทยเป็นดินแดนพุทธศาสนา มีชาวพุทธเป็นคนส่วนใหญ่ แทบทั้งประเทศ แต่เมื่ออัตราส่วนนี้เปลี่ยนแปลงไปก็ต้องเตรียมตัวว่าเราจะแก้ไขอย่างไร ความเปลี่ยนแปลงนี้มาพร้อมกับสิ่งที่น่ากลัว คือวิธีการเพิ่มศาสนิกของบางศาสนา ที่ว่าพวกหนึ่งใช้วิธีคอยรุกหรือรุนแรง ส่วนอีกพวกหนึ่งใช้วิธีเล่ห์กล เอาเหยื่อล่อ เราจำเป็นต้องรู้ทัน แล้วคิดหาทางป้องกันแก้ไขด้วยความไม่ประมาท เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อจะรักษาพระศาสนาไว้ให้เป็นสมบัติของคนรุ่นต่อไป เพื่อว่าพระพุทธศาสนาจะช่วยให้คนไทยมีธรรมะที่จะอยู่ร่มเย็นเป็นสุข และถ้าธรรมะแผ่ไปทั่วโลก ทั่วโลกก็จะอยู่ร่มเย็นเป็นสุขด้วย สนทนาต่อท้าย อย่ามัวประมาทปล่อยตัวเรื่อยเปื่อย ถึงเวลารวมตัวกัน หมั่นประชุมทำงานพระศาสนา คำถามที่ ๑ จุดหนึ่งที่ชาวพุทธขาด คือองค์กรที่เป็นตัวแทนของชาวพุทธ ที่จะเป็นปากเสียงให้ชาวพุทธได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรามีองค์กรพุทธศานาอยู่เป็นจำนวนมาก ทำอย่างไรจึงจะทำให้องค์กรเหล่านี้รวมกันประสานกัน เพื่อช่วยกันหาหนทางที่จะต่อต้านภัยอันนี้ อีกประการหนึ่ง จะเป็นไปได้ไหม ที่จะให้พุทธบริษัทที่มารวมกันบ้างแล้ว จะเป็นลักษณะของสมัชชาหรือสภาชาวพุทธ ที่จะรวมสติปัญญาจากพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหมด รวมทั้งฝ่ายฆราวาสด้วย ที่จะมาช่วยกันกำหนดทิศทางของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ตอบคำถามที่ ๑ การที่ชาวพุทธไม่รู้จักรวมตัวกันนับว่าเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นภัยภายในเหมือนกัน เราไม่เคยกับงานแบบนี้ จนกลายเป็นความบกพร่องที่สำคัญ ความอยู่สบายก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่รู้จักรวมตัว เวลามีภัยอันตรายขึ้นมา จึงรวมตัวกันได้ทีหนึ่ง อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เป็นมาเรื่อย ๆ การรวมตัวนั้นต้องทำตลอดเวลา เพื่อจะไม่ประมาท พระพุทธเจ้าตรัสว่าต้องหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ซึ่งเป็นหลักธรรมอย่างหนึ่งที่ชาวพุทธไม่ค่อยได้ปฏิบัติคือ อปาริหานิยธรรม ที่ว่า ๑.หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์ ๒.เมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุมก็อยู่จนเลิกพร้อมกัน ๓.เมื่อมีเรื่องราวที่เป็นกิจส่วนรวม ต้องลุกขึ้นร่วมกันทำโดยพร้อมเพรียงกัน เพียงสามข้อแรกชาวพุทธก็แทบจะสอบตกแล้วในการปฏิบัติธรรมตามหลักอปาริหานิยธรรม ๗ ประการ ที่ทำให้เป็นที่ตั้งแห่งความไม่เสื่อม คำตอบในเรื่องนี้ก็คือเราต้องเริ่มต้น การที่จะเริ่มต้นได้ก็ต้องมีจุดรวม ข้อสำคัญคือเกี่ยงกัน ดังนั้นใครรู้ปัญหา ใครทำได้ก็ทำเลยและไม่รังเกียจผู้อื่น ต้องพร้อมที่จะรับความร่วมมือ มีบ้างบางจุดที่มีการเริ่มต้นที่จะรวมตัวกัน ต้องมาประสานกันระหว่างหย่อมเล็ก หย่อมน้อยให้เป็นหน่วยใหญ่ขยายกว้างขวางออกไป ชุมชนชาวไทยพุทธถึงจะเป็นหน่วยย่อยกระจายกันไป แต่ถ้ายังถือหลักการร่วมกันไว้ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวทั่วประเทศ ถ้าเรามองดูสังคมไทยเดิม เราใช้วิธีประสานหน่วยย่อย คือชุมชนแต่ละชุมชน พระพุทธศาสนาในเมืองไทยนี้ อยู่ได้ด้วยชุมชนแต่ละชุมชน คือเรามีชุมชนอยู่ในหมู่บ้าน ในตำบล โดยที่หมู่บ้านนั้น ๆ มีวัดเป็นศูนย์กลาง และชุมชนมีความสมบูรณ์ในตัวเอง แล้วชุมชนเหล่านี้ก็เชื่อมประสานกัน ถ้าว่าตามระบบประเพณีเราทำแต่ละชุมชนให้ดีให้เข้มแข็ง แล้วพระพุทธศาสนาก็อยู่ได้เอง เวลานี้ชุมชนแต่ละชุมชนกำลังสลายตัว วิธีแท้ของเราไม่ใช่วิธีรวมศูนย์ แต่ใช้วิธีประสานหน่วยย่อย สิ่งที่จะประสานให้เกิดความสามัคคีนั้นอยู่ที่หลักการ คือยึดถือหลักการเดียวกัน แล้วมุ่งมั่นสู่จุดหมายร่วมกัน ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็มา ต้องจัดระบบเป็นมัชฌิมา ให้หน่วยย่อยกับศูนย์กลางประสานกันพอดี ถ้าจะรักษาพระศาสนาในไทยให้เจริญมั่นคง ต้องฟื้นกำลังชุมชนในชนบท ในอดีตนั้นวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน เป็นแหล่งการศึกษา เป็นที่รวมอะไรทุกอย่างกิจกรรมของชุมชนก็อยู่ที่นั่นหมด เขาจึงรักษาวัดไว้ พระเป็นผู้นำ เป็นผู้ให้ความรู้ เป็นที่พึ่งทางจิตใจ และที่อาศัยทางปัญญา พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระสงฆ์กับคฤหัสถ์นี้เป็น อโภ อัญโญญญ นิสสิตา แปลว่า ทั้งสองฝ่ายอาศัยซึ่งกันและกัน ฝ่ายหนึ่งถวายวัตถุสิ่งของปัจจัย ๔ อีกฝ่ายหนึ่งให้ธรรม การให้ธรรมนั้นมี ๒ อย่างคือ ให้โดยพูดกับให้โดยไม่ต้องพูด คือพระปรากฏตัวที่ไหนก็ทำให้ญาติโยมได้ธรรมได้ความชื่นใจที่นั่น เพราะพระเป็นเครื่องหมายของความไม่มีภัย พระเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส คำถามที่ ๒ นับเป็นเวลาสิบ ๆ ปีแล้ว ในต่างจังหวัดวัดไม่มีสมภาร ไม่มีเจ้าอาวาส ขาดการดูแล อยากให้พระราชาคณะทั้งหลาย ได้กระจายอำนาจ พุทธสมาคมได้เข้าไปช่วยเหลือ กรมศาสนาต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้เยาวชนได้ปกปักรักษาสิ่งที่บรรพบุรุษได้ทำมา อยากก่อตัวเล็ก ๆ ขึ้นมาก่อนให้เป็นตัวอย่าง เชื่อว่าคนที่มีความสามารถ คนที่อยากแสดงความรักความเคารพพระพุทธศาสนา จะต้องออกมามากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ขณะนี้ชาวพุทธเฉยเมย ความดีความชั่วไม่ได้เกิดขึ้นมาวันเดียว ต้องมีการสะสม จึงเห็นด้วยกับนโยบายในอดีต ที่มีการบรรพชาสามเณร และให้เณรนั้นได้ศึกษาเล่าเรียนจนแตกฉาน เข้ามาเป็นผู้นำทางศาสนาในอนาคต ตอบคำถามที่ ๒ เรื่องนี้มีพระที่ท่านเอาใจใส่ขวนขวายทำอยู่เหมือนกัน บางแห่งทำคล้าย ๆ เป็นโครงการหาเณรบวชเลยทีเดียว แต่เป็นการทำเป็นหย่อม ๆ ยังไม่เป็นการประสานกันทั้งหมด มีวิธีทำ ๒ อย่างคือ ๑.จัดสภาพสังคมให้เอื้อต่อระบบที่เราต้องการ ๒.หาวิธีใหม่ จัดขึ้นมาให้เหมาะกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ขอพระพุทธศาสนาเมืองไทยอย่าเป็นลัทธินานาอาจารย์ ขอให้รวมกันเป็นหนึ่งที่พระบรมศาสดาองค์เดียว คำถามที่ ๓ พระคุณเจ้าบอกว่า เมื่อมีภัยทางศาสนาเกิดขึ้น พระอรหันต์ท่านจะไม่ดูดาย เท่าที่ผ่านมาจนบัดนี้ก็เห็นแต่พระคุณเจ้าที่ขวนขวาย ไม่เห็นมีพระคุณเจ้าอื่น ๆ มาร่วมกับพระคุณเจ้า ทำไม่จึงเป็นอย่างนั้น อีกประการหนึ่ง พระคุณเจ้ากล่าวว่า พระอรหันต์นั้นแม้ท่านเข้านิโรธสมาบัติ ท่านอาจจะตั้งใจไว้ว่าถ้าพระพุทธเจ้าก็ดี พระสงฆ์ก็ดีต้องการท่าน ท่านจะออกจากสมาบัติมาได้เลย จึงสงสัยว่าท่านจะหยั่งรู้ด้วยญาณวิถีใด ตอบคำถามที่ ๓ เท่าที่พอนึกได้ เพราะเหตุที่สัญญาและเวทนาดับไป ระหว่างนั้นจึงต้องตั้งจิตไว้ ความตั้งจิตของท่านนี้ก็ไปประสานกับเรื่องของสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นที่ตรงกับที่ตั้งจิตก็จะตื่นขึ้นมา คำถามที่ ๔ พระอรหันต์ท่านหายไปไหนกันหมด ขณะนี้ภัยของสังคม ภัยของพระพุทธศาสนามีแล้ว ตอบคำถามที่ ๔ ก็อาจตอบว่ายังเป็นหย่อม ๆ คืออยู่ที่โน่นองค์ อยู่นั่นองค์ ตอนนี้จะต้องมาประสานรวมตัวกัน คำถามที่ ๕ เครือข่าย การเคลื่อนไหวด้วยเครือข่ายไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจหรือใช้ทรัพยากรอะไรมาก คือต้องใช้ปัญญามาก ๆ องค์กรกลางอย่างที่ว่านี้ในขั้นแรกใช้เป็นคณะที่ประสานงาน เพียงแต่ให้มีตัวยืนจริง ๆ ทำงานได้ต่อเนื่อง แล้วรวบรวมความรู้ว่าใคร พันธมิตรอยู่ที่ไหน เราจะทำอย่างไร ตอบคำถามที่ ๕ ที่แนะนำมานั้นเป็นเรื่องของส่วนที่จะนำไปใช้ปฏิบัติ สิ่งที่ต้องมีที่สำคัญคือใจรวมกัน การที่ใจรวมกันนี้ ๑. มีจุดมุ่งหมายร่วม ถ้ามีจุดหมายร่วมแล้วใจก็รวมกันได้ ฉะนั้นคำว่า "เพื่ออะไร" อันนี้ต้องชัดต้องตอบให้ได้พอทุกคนเห็นด้วยใจก็รวมกันเลย ๒. มีศูนย์รวมจิตใจ ให้ทุกคนไปรวมกันที่พระพุทธเจ้า ชาวพุทธในระยะที่ผ่านมา เกิดปัญหาอย่างหนึ่งคือ เริ่มกระจายไปเป็นสำนักเป็นอาจารย์ เป็นอะไรต่าง ๆ ชาวพุทธต้องมองอาจารย์ด้วยความเคารพให้ถูก อาจารย์นั้นจะต้องเป็นสื่อโยงพุทธบริษัทไปหาจุดโยงเดียวกันคือพระพุทธเจ้า ข้อนี้ต้องทำให้ได้มิฉะนั้นจะรวมกันไม่ได้ พอรวมที่พระพุทธเจ้าก็ยึดเอาพระธรรมวินัยของพระองค์เป็นหลัก เมื่อเราอยู่กับพระธรรมวินัย พระธรรม พระสงฆ์ ก็มาด้วยทั้งหมด ครบพระรัตนตรัยก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน บทแถมท้าย ทำไมจึงว่าเมืองไทยใจเสรี ไม่มีที่ไหนเทียมเท่า บาทหลวง ฌอง เดอบูร์ ชาวฝรั่งเศสมาเมืองไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เห็นอัธยาศัยไมตรีของคนไทย ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชน ที่แสดงออกต่อพวกตนที่เป็นคนต่างชาติ ต่างศาสนาแล้วจึงได้เขียนจดหมายเหตุไว้ว่า "ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าจะมีประเทศใดในโลกที่มีศาสนา อยู่มากมาย และแต่ละศาสนาสามารถปฏิบัติพิธีกรรมของตน ได้อย่างเสรีเท่ากับประเทศสยาม" คำพูดอย่างนี้จะเกิดขึ้นมาได้ต้องอาศัยการกระทบประสบการณ์ใหม่ ที่แปลกแตกต่างจากความรู้สึกนึกคิดของเขามาก และทำให้เกิดความประทับใจ ในทางตรงข้ามอย่างแรง ประสบการณ์ที่แตกต่างที่ทำให้แปลกประหลาด ประทับใจนั้นเกิดขึ้นจากสภาพการนับถือศาสนาในประเทศแถบยุโรป ที่เป็นดินแดนของบาทหลวง ฌอง เดอบูร์ เองในสมัยนั้น ชาวยุโรปเคยมีสงครามระดับทวีป ด้วยสงครามศาสนา เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๐๐ - ๒๒๓๑ ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตรงกับรัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ของฝรั่งเศส สงคราม ๓๐ ปี เป็นสงครามศาสนา แสดงให้เห็นว่า ประเพณีการนับถือศาสนาของชาวตะวันตก เป็นเรื่องของความเชื่อหรือศรัทธาแบบผูกขาด ประกอบด้วย ความรุนแรงที่ไม่อาจยอมรับซึ่งกันและกัน แต่จะต้องกำจัดกวาดล้างความคิดความเชื่อถืออย่างอื่นไปให้หมด หลังจาก มาร์ติน ลูเธอร์ ทำการประท้วง ซึ่งเป็นการละเมิดต่ออำนาจของสันตะปาปา ทำให้เกิดคริสตศาสนาที่เป็นนิกายใหม่ แยกออกไปจากโรมันคาทอลิก เรียกว่านิกายโปรเตสแตนต์ ในประเทศเยอรมนี เมื่อปี พ.ศ. ๒๐๖๐ แล้วนิกายโปรเตสแตนต์ แผ่ขยายออกไป เกิดการขัดแย้งรบราฆ่าฟันกันระหว่างชาวคริสต์ ๒ นิกายนี้ในประเทศต่าง ๆ ทั่วยุโรป พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงห้ามมิให้มีการถือปฏิบัติลัทธิศาสนาอื่นใด นอกจากศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๒๕๘ พระองค์ได้ทรงประกาศว่า พระองค์ได้ทำให้ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ จบสิ้นการดำเนินการทุกอย่างหมดไปแล้วจากประเทศฝรั่งเศส บันทึกของพ่อค้าฝรั่งเศสเกี่ยวกับการที่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ จะชวนสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้หันไปเป็นคาทอลิก ที่เขาพูดว่า "ถ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ได้ทรงชักชวนแล้ว สมเด็จพระนารายณ์ก็คงหันเข้าหา ศาสนาโรมันคาทอลิกเป็นแน่..... จะเป็นพระเกียรติยศแก่พระเจ้าหลุยส์สักเพียงไร เพราะในเวลาที่พระองค์ได้ทรงจัดการ ศาสนาในราชอาณาของพระองค์ ยังได้ทรงจัดการทำลายศาสนาอันไม่ดีในแผ่นดินฝ่ายตะวันออก ซึ่งนับว่าเป็นประเทศที่เจริญที่สุดอยู่แล้ว" ในอดีตเป็นที่รู้จักกันมาชาวตะวันตกเผยแพร่ศาสนาผนวกกับการล่าเมืองขึ้น ตอนปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ฝรั่งเศสได้เรียกร้องมากขึ้นในปี พ.ศ.๒๒๒๘ สยามกับฝรั่งเศสได้ร่างสนธิสัญญา ซึ่งนอกจากให้อภิสิทธิ์ทางการค้ามากมายแก่ฝรั่งเศสแล้ว ก็ยอมให้ฝรั่งเศสเข้ามาตั้งกองพันที่เมืองสงขลาด้วย ต่อมาในปี พ.ศ.๒๒๓๐ ก็ได้ส่งเรือรบ ๖ ลำ พร้อมทหาร ๖๐๐ คน เข้ามาบีบให้สยามยอมรับเงื่อนไขของพระองค์ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจำพระทัยยอม ให้กองทหารฝรั่งเศสเข้ามาตั้งประจำเมืองบางกอก ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ครั้งนั้น เมื่อสมเด็จพระนารายณ์สวรรคตในปี พ.ศ. ๒๒๓๑ พระเพทราชาได้ขับไล่กองทัพ และพ่อค้าฝรั่งเศสออกจากประเทศสยามทั้งหมด ทำให้ประเทศไทยเหมือนปิดประเทศ ไม่มีความสัมพันธ์กับชาวตะวันตกเป็นเวลานาน ความเป็นมาเรื่องการกำจัดเบียดเบียนกันทางศาสนาในประเทศตะวันตก เป็นช่วงเวลาคร่าว ๆ และเหตุการณ์สำคัญบางอย่างได้ดังนี้ - จักรวรรดิ์โรมัน กำจัดกวาดล้างศาสนาคริสต์ พ.ศ. ๖๐๗ - ๘๕๖ (ค.ศ. ๖๔ - ๓๑๓) - ศาสนจักรคริสต์ กำจัดกวาดล้างคนนอกรีตนอกศาสนา พ.ศ. ๙๒๔-๒๓๗๗ (ค.ศ. ๓๙๑ - ๑๘๓๔) - สงครามครูเสด ระหว่างศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม พ.ศ. ๑๖๓๙ - ๑๘๑๓ (ค.ศ. ๑๐๙๖ - ๑๒๗๐) - ศาลไต่สวนศรัทธา พ.ศ. ๑๗๗๔ - ๒๓๗๗ (ค.ศ. ๑๒๓๑ - ๑๘๓๔) - การกำจัดกวาดล้างระหว่างนิกายคริสตศาสนาในอังกฤษ พ.ศ. ๒๐๙๗ - ๒๒๓๒ (ค.ศ. ๑๕๖๒ - ๑๗๘๙) - สงคราม ๓๐ ปี ระหว่างประเทศที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก กับประเทศที่นับถือนิกายโปเตสแตนต์ พ.ศ. ๒๑๖๑ - ๒๑๙๑ (ค.ศ. ๑๖๑๘ - ๑๖๔๘) เรื่องราวเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องรู้เพื่อประโยชน์ทางปัญญา คือให้เกิดความรู้ความเข้าใจ จะได้ปฏิบัติต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ถูกต้อง วางตัว วางใจ วางท่าทีในการปฏิบัติได้พอดี เรื่องเหล่านี้ชาวตะวันตกก็พยายามให้คนของเขาเรียนรู้เพื่อเข้าใจภูมิหลังแห่งประเทศของตน หรือรู้จักตนเอง รู้ที่ไปที่มา และเหตุปัจจัยของความเจริญความเสื่อม แบบแผนวัฒนธรรมสถาบันของตน จะได้ไม่หลงตัวเอง และสามารถจับจุดที่จะก้าวเดินต่อไปได้ถูกต้อง สรุปว่ากฎหมายคณะสงฆ์โดยเฉพาะ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ จะต้องเป็นฐานรองรับให้พระธรรมวินัย ปรากฏโดดเด่นขึ้น มาเป็นหลักของพระพุทธศาสนา และเป็นเครื่องกำกับให้พระภิกษุสามเณรที่บวชเข้ามาแล้วได้เจริญงอกงามในศีล สมาธิ ปัญญา ตามหลักไตรสิกขาทำวัดให้เป็นแหล่งเผยแผ่ธรรม ขยายปัญญาสู่ประชาชน สามารถสั่งสอนธรรมนำประชาชนให้พัฒนาชีวิต และสังคมประเทศชาติสู่ความเจริญมั่นคง และประโยชน์สุขที่แท้จริงยั่งยืน |
วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554
ภัยแห่งพระพุทธศาสนา
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น